กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1025.2 ควงจันทร ์ที่เหน็ดเหนื่อยช่างชวนให้คน สงสาร
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1025.2 ควงจันทร ์ที่เหน็ดเหนื่อยช่างชวนให้คน สงสาร
อวี้เจวี้ยนฟูกล่าว “กู้ช่านบอกให้ข้าน าค าพูดมาบอกเจ้า เขา ต้องการท าการค้ากับเจ้า”
หลิวโยวโจวถามอย่างสงสัย “กู้ช่าน? เขาไม่น่าจะขาดเงิน กระมัง”
ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาว หากกู้ช่านขาดเงินก็เป็ นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้ าแล้ว
อวี้เจวี้ยนฟูพยักหน้า “เขาต้องการขอซื้อของบางอย่างจากสกุล หลิวธวัลทวีป เขารู ้ว่าหากไปขอซื้อด้วยตัวเองจะต้องกลับไปมือเปล่า แน่นอน จึงหวังว่าเจ้าจะช่วยสานสะพานความสัมพันธ ์ให้ได้”
หลิวโยวโจวพลันพูดไม่ออก ก็จริงนะ หากบอกว่ามีผู้ฝึกตนคน หนึ่ง ไม่ต้องสนว่าจะเป็ นใคร มีสถานะและขอบเขตอะไร บอกว่า ตัวเองยินดีจ่ายเงินราคาสูง แต่ก็ต้องซื้อของล้าค่าหายากจากสกุล หลิวธวัลทวีปมาให้ได้ คาดว่าเล่าลือออกไปเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ คง ไม่ใช่คนโง่หรอกกระมัง
หลิวโยวโจวหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเอ่ย “เรื่องนี้ข้าจะ ช่วย สามารถลองดูได้”
อวี้เจวี้ยนฟูยิ้มถาม “เจ้าไม่มีเงื่อนไขเลยหรือ?”
หลิวโยวโจวยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นการค้าครั้งนี้ก็ไม่มีความหมาย แล้วน่ะสิ”
ในเมื่อต้องการให้กู้ช่านติดค้างน้าใจตน ก็ไม่สู้ทาให้ ตรงไปตรงมาหน่อย
อวี้เจวี้ยนฟูหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “นี่ คือใบรายการ”
หลิวโยวโจวรับมาแล้วกวาดตามองหนึ่งที แค่มองเขาก็รู ้สึกชาไป ทั้งหนังศีรษะ ขมวดคิ้วมุ่นไม่คลาย ถามว่า “กู้ช่านต้องการของพวก นี้ไปทาอะไร คิดจะก่อเตาอีกใบ เตรียมก่อส านักตั้งพรรคหรือ?”
อวี้เจวี้ยนฟูใช ้เสียงในใจเอ่ย “นครจักรพรรดิขาวต้องการสร ้าง ส านักใต้อาณัติสองแห่งขึ้นมาพร ้อมกัน ฟู่จิ้นกับกู้ช่านได้ครอบครอง คนละสานัก อาจารย์อาหลิ่วเต้าฉุนของพวกเขาจะติดตามฟู่ จิ้น ส่วน อาจารย์อาหญิงหานเชี่ยวเซ่อช่วยสนับสนุนกู้ช่าน นอกจากนี้แล้ว ตลอดทั้งนครจักรพรรดิขาวอาจมีการ…เก็บกวาดทาความสะอาดกัน ภายใน ทุกคนจะต้องจากไปอาศัยความปรารถนาของตัวเองเลือกเอา ว่าจะติดตามฟู่ จิ้นหรือกู้ช่าน เมื่อเป็ นเช่นนี้ นครจักรพรรดิขาวก็จะ กลายเป็ นสานักดั้งเดิม ส่วนฟู่ จิ้นกับกู้ช่าน ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคน ใครจะเป็ นเจ้าสานักของสานักเบื้องบน ใครจะเป็ นเจ้าสานักของ สานักเบื้องล่าง ฟังจากน้าเสียงของกู้ช่าน ดูเหมือนจะยังไม่ได้
ตัดสินใจกัน ดังนั้นกู้ช่านที่ในมือไม่ขาดเงินถึงได้ต้องการขอซื้อพื้นที่ ลับที่เป็ นพื้นที่มงคลปริแตกหลายแห่งจากสกุลหลิวธวัลทวีปของพวก เจ้า”
แนวความคิดของหลิวโยวโจวค่อนข้างจะประหลาด เขาถาม คาถามที่ชวนให้คนลาบากใจ “หากพูดอย่างนี้ก็แสดงว่านคร จักรพรรดิขาวเหลือแค่อาจารย์เจิ้งคนเดียวน่ะสิ?”
อวี้เจวี้ยนฟูพยักหน้ารับ “ดูเหมือนว่าจะพูดแบบนี้ก็ได้”
อันที่จริงยังมีความลับบางอย่างที่กู้ช่านบอกกับนางอย่าง ตรงไปตรงมา เพียงแต่อวี้เจวี้ยนฟูกลับไม่สะดวกจะพูดให้หลิวโยวโจว ฟัง
ยกตัวอย่างเช่นนครจินชุ่ยของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างจะถูกยกให้เป็ น ของสานักเขา ส่วนที่ตั้งสานัก กู้ช่านมีตัวเลือกสามที่ แจกันสมบัติ ทวีปที่เป็ นบ้านเกิด ฝูเหยาทวีปหรือไม่ก็ใต้หล้า เปลี่ยวร ้าง
อวี้เจวี้ยนฟูกล่าว “กู้ช่านบอกว่าหากเจ้าตอบตกลงว่าจะช่วย ค่อยให้ข้าน าค าพูดอีกประโยคมาบอกเจ้า นั่นคือเขาจะแต่งตั้ง ตาแหน่งรองเจ้าสานักขึ้นมาโดยเฉพาะ หวังว่าเจ้าจะสามารถไปรับ ตาแหน่งนั้นได้ กู้ช่านยังรับปากด้วยว่าสามารถตกลงกับเจ้าไว้ ล่วงหน้าก่อนได้ ขอแค่เป็ นรองเจ้าสานักนี้ เจ้าก็ไม่ต้องสนใจเรื่อง อะไรเลยก็ได้ หรือจะสนใจทุกเรื่องก็ยังได้”
อันที่จริงอวี้เจวี้ยนฟูคิดว่ากู้ชานคิดผิดไปแล้วหรือไม่ ไม่เข้าใจ นิสัยใจคอของหลิวโยวโจวผู้นี้อย่างสิ้นเชิง? หาไม่แล้วเหตุใดถึงคิด ว่าเขาจะตอบตกลงกับข้อเสนอที่เต็มไปด้วย “กลิ่นอายของความ หน้าเลือด” นี้?
บอกตามตรง อวี้เจวี้ยนฟูก็เจอผู้ฝึกตนบนภูเขาและลูกหลานคน รวยมาไม่น้อยแล้วแต่คนที่มีนิสัย “เฉยเมยไม่กระตือรือร ้น อย่างหลิว โยวโจวกลับมีแค่คนเดียวจริงๆ
พูดให้น่าฟังหน่อยก็คือไร ้ความปรารถนา พูดให้ไม่น่าฟังก็คือไร ้ ปณิธานยิ่งใหญ่ คิดแต่จะนอนเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองเท่านั้น
เพียงแต่ไม่ว่าจะอย่างไร สามารถแน่ใจได้เลยว่า หลิวโยวโจว ไม่ใช่คนโง่แน่นอน
แล้วก็จริงดังคาด หลิวโยวโจวยิ้มพลางโบกมือ
อวี้เจวี้ยนฟูมีสีหน้าปั้นยาก “กู้ช่านยังมีของขวัญที่จะมอบให้เจ้า ด้วย”
นางหยิบกล่องไม้ใบหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ เป็ นงานไม้ในรู แแบบกล่องร ้อยสมบัติที่ฝังเลื่อมอัญมณีละลานตา ด้านล่างแกะสลัก ค าว่า ‘โจวเป็ นผู้สร ้าง
เงิน ทอง ไข่มุก อัญมณี ปะการัง หินหยก ผลึกแก้ว งาช ้าง ไข น้าผึ้ง…ฝังเลื่อมไว้ด้วยกันออกมาเป็ นรูปภูเขาสายน้า คน ดอกไม้ พืชพรรณ สัตว์บก สัตว์ปีก หอเรือน ศาลา…
กล่องไม้ไม่ใหญ่ แต่กลับมีสีสันสดใสหลากหลาย ยากจะบรรยาย ได้หมด
หลิวโยวโจวหัวเราะ รับกล่องไม้ฝังเลื่อมร ้อยสมบัติใบนั้นมาแกว่ง เบาๆ ด้านในน่าจะไม่มีอะไรอยู่ ไม่มีความลี้ลับใดๆ เขาเอามันมา เหน็บไว้ใต้รักแร ้ “ช่วยขอบคุณกู้ช่านแทนข้าด้วย บอกเขาว่าข้าชอบ กล่องไม้ใบนี้มาก”
อวี้เจวี้ยนฟูพยักหน้ารับ “คราวหน้าข้าจะส่งกระบี่บินแจ้งข่าว ฉบับหนึ่งไปให้กู้ช่านตอนนี้เขาอยู่ที่แจกันสมบัติทวีป”
ทั้งสองฝ่ ายเดินไปคุยกันไปจนไปถึงโต๊ะวาดภาพที่ห้องข้าง บน โต๊ะและบนพื้นมีกระบอกใส่ภาพวาดอยู่หลายสิบใบ เสียบแกนม้วน ภาพที่ทาจากวัสดุแตกต่างกันไว้เต็มทุกใบ
บนโต๊ะวาดภาพคลี่กางภาพวาดไว้ภาพหนึ่ง หลิวโยวโจววาดนก คิ้วเหลืองพุงสีทองตัวหนึ่งที่ห้อยหัวอยู่บนเถาของดอกรุ่งอรุณ อวี้ เจวี้ยนฟูเหลือบตามอง ฝีมือการวาดภาพย่าแย่จนแทบทนมองไม่ได้
หลิวโยวโจววางกล่องไม้ไว้ด้านข้าง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ทุกวันนี้ ขนบธรรมเนียมในวงการวาดภาพไม่ดี เพื่อหาเงินมาได้ก็วาดภาพ ปลอมแปลงกันจนกลายเป็ นเรื่องปกติแน่นอนว่าบางคนก็มีความ ลาบากใจเหมือนกัน เพื่อหาเลี้ยงครอบครัวจึงจาต้องทาตามคนอื่นไป ด้วย ข้าจะต้องเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมชั่วร ้ายนี้ให้ได้ พูดถึงแค่ หลายปีมานี้ที่ขึ้นเหนือล่องใต้ไปตลอดทาง ได้เห็นภาพวาดฝาผนัง
มานับไม่ถ้วน ตอนนี้พอจรดพู่กันอีกครั้งก็พูดว่าตัวเองอายุน้อยๆ ก็มี ความหมายของการ “เปลี่ยนวิธีการใหม่ในวัยชรา” ได้แล้ว…”
หากเป็ นพวกหน้าไม่อายที่กาลังคุยโวโอ้อวดตัวเองก็ยัง พอท าเนา ปัญหาคืออวี่เจวี้ยนฟูมั่นใจได้เลยว่า ในเรื่องของการวาด ภาพนี้ หลิวโยวโจวจริงจังตั้งใจ เอาจริงเอาจังอย่างมาก
อวี้เจวี้ยนฟูถามชวนคุย “ในเมื่อไม่มีพรสวรรค์ขนาดนี้ แล้วทาไม ถึงยังชอบวาดภาพอีกล่ะ?”
หลิวโยวโจวอึ้งตะลึง “จะไม่มีพรสวรรค์ได้อย่างไร? ร ้อยปีพันปีให้ หลัง ไม่แน่ว่าข้าอาจเป็ นบรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของสายภาพวาด ลักษณะนี้ก็ได้นะ”
อวี้เจวี้ยนฟูกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “พูดจาให้จริงจังหน่อย”
หลิวโยวโจวยิ้มเอ่ย “เดิมก็เป็ นค าพูดจากใจจริงอยู่แล้ว แต่จะว่า ไปแล้วก็ยังมีความคิดอย่างหนึ่งจริงๆ ไม่ว่าจะวาดดีหรือไม่ดีแค่ไหนก็ ล้วนเป็ นของเลียนแบบทั้งนั้น”
หลังจากอวี้เจวี้ยนฟูจากไป หลิวโยวโจวก็นั่งเท้าคางด้วยมือเดียว เหม่อมองกล่องไม้ที่ อยู่บนโต๊ะใบนั้น
หลิวโยวโจวมี “ความชอบ” อย่างหนึ่งที่เก็บซ่อนอาพรางไว้เป็ น อย่างดี
เขาไม่เคยพูดให้ใครฟังมาก่อน แม้แต่บิดามารดาก็ไม่เคยเอ่ยถึง แม้แต่ครึ่งคา
ในส่วนลึกของหัวใจหลิวโยวโจวได้ซุกซ่อน ‘ความปรารถนาใน การควบคุม” อย่างหนึ่งที่พิเศษมาก แต่กลับเป็ นความปรารถนาที่ไม่ ทาร ้ายคนอื่น
พูดให้ถูกต้องหรือให้เอ่ยอย่างเป็ นรูปธรรมก็คือคล้ายคลึงกับการ วางหมากล้อมอย่างหนึ่ง มีการแบ่งแยก การเสริมในส่วนที่ขาด มีการ วางและการก่อตั้ง
เพราะคือตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่จะมารับตาแหน่งเจ้าประมุขคน ถัดไปของสกุลหลิวธวัลทวีป หลิวโยวโจวเองก็ไม่ใช่คนโง่ ยิ่งไม่ใช่ คนไร ้เหตุผล ถึงจะได้เอาของทั้งหมดที่มีและของที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด คืนกลับไปอย่างโง่งม
ถ้าอย่างนั้นหากเอามารวมกับข้าวของและทรัพย์สินเงินทองที่ถูก ก าหนดมาแล้วว่าใช ้กี่ชาติก็ไม่หมด ก็จะกลายเป็ น “การบ้าน” เพียง หนึ่งเดียวของหลิวโยวโจวแล้ว บังเอิญที่เขาเกิดมาก็ชอบทาเรื่องนี้ พอดี
ขึ้นชื่อว่ามือเติบใจกว้าง ชอบยืมสมบัติของคนอื่นมากที่สุด
หลิวโยวโจวมีความสุขกับความรู ้สึกประสบผลสาเร็จซึ่งได้มา จากการ “จัดแบ่ง” และการ “เติมเต็มส่วนที่ขาด’ อย่างมาก
หลิวโยวโจวเข้าใจความหมายของกู้ช่าน
สานักแห่งนั้นของกู้ช่านก็คือกล่องไม้ที่ด้านในไม่มีสิ่งใดอยู่ ตอนนี้ยังเป็ นเพียงเค้าโครงที่ว่างเปล่า คนและข้าวของทั้งหมดของ สานักแห่งนี้ก็คือร ้อยสมบัติที่ยังไม่ถูกนาไปฝังเลื่อม
ถ้าอย่างนั้นขอแค่หลิวโยวโจวยินดีเป็ นรองเจ้าสานัก ในเมื่อ กู้ช่านรับปากแล้วว่า “ไม่ต้องสนใจเรื่องอะไรเลยก็ได้” หลิวโยวโจ วก็สามารถจัดการดาเนินงานในเรื่องต่างๆ ได้ตามใจปรารถนา
อยู่ในสกุลหลิวที่เป็ นตระกูลของตัวเอง หลิวโยวโจวมิอาจทาเรื่อง นี้ได้ ยังไม่พูดถึงว่าบิดามีหวังจะเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ ถอยไปพูด หนึ่งก้าว ต่อให้พรุ่งนี้บิดาลงจากตาแหน่งเจ้าประมุข หลิวโยวโจวก็มิ อาจเป็ นเจ้าประมุขคนใหม่ที่ดีได้ พันธนาการเยอะเกินไป ขีดจากัด เยอะเกินไป ตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งมีการชั่งน้าหนักผลได้ผลเสีย และเรื่องราวความสัมพันธ ์ระหว่างผู้คนมากเกินไป หลิวโยวโจวคิดว่า ตัวเองไม่เชี่ยวชาญในการจัดการเรื่องพวกนี้ ข้อดีและความสนใจ ของเขาเป็ นได้เพียงการ “ปักบุปผาลงบนผ้าแพร” เท่านั้น
หลิวโยวโจวถอนหายใจ ยื่นมือไปตบกล่องไม้ “กู้ช่าน”
ยังไม่เคยพบหน้าค่าตา แต่กลับเป็ นคนรู ้ใจกันแล้ว
ร ้านอาหารมื้อดึกที่ตั้งอยู่ข้างทางในตลาด
หยางผู่กาลังก้มหน้าก้มตากินอาหารหม้อดิน รอกระทั่งเงยหน้า ขึ้นก็สังเกตเห็นว่าฝั่งตรงข้ามมีคนหนุ่มชุดขาวใบหน้าสี่เหลี่ยมมานั่ง
ด้วย เขาเอ่ยภาษาทางการของแคว้นอวิ๋นเหยียนที่พูดได้คล่องปากสั่ง อาหารหม้อดินสองหม้อจากเจ้าของร ้านโดยตรง
หยางผู่เองก็ไม่คิดมาก คิดว่าอีกฝ่ ายเป็ นคนของเมืองหลวง หรือไม่ก็ผู้ฝึกลมปราณสักคน
อันที่จริงในร ้านยังเหลือโต๊ะว่างอีกสองตัว แต่อีกฝ่ ายกลับเลือก จะมานั่งร่วมโต๊ะกับเขา หยางผู่คร ้านจะถือสาอะไร เพราะถึงอย่างไร ตนก็เป็ นนักปราชญ์ของส านักศึกษา อีกฝ่ายคงไม่ถึงขั้นพลิกโต๊ะฟัน คนหรอกกระมัง
แต่หากจะบอกว่าอาศัยช่องทางบางอย่างบนภูเขาจึงรู ้สถานะของ ตน คิดจะมาตีสนิทตน อีกฝ่ายก็มาหาคนผิดแล้วจริงๆ
เมื่อก่อนอยู่ที่สานักศึกษาต้าฝู หยางผู่ก็ได้รับค าวิจารณ์ท านอง ว่าดีแต่อ่านต าราหนอนหนังสือ ไม่เข้าใจเรื่องทางโลก ไม่รู ้จักพลิก แพลง ฯลฯ
เขาไม่ค่อยชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ที่มีเสียงชนจอกเหล้าคละเคล้า เสียงหัวเราะพูดคุยเชื่อว่าในเมืองหลวงแห่งหนึ่ง หรือก็คือคืนนี้ จะต้อง มีการผลัดกันชนจอกสนุกสนานครื้นเครงของบนภูเขาล่างภูเขาอยู่ มากมายแน่นอน
แม้หยางผู่จะรู ้ว่าในหลายๆ ครั้งความสัมพันธ ์บนโต๊ะสุรา ก็มี ความจาเป็ น อีกทั้งยังมีประโยชน์ สามารถกระชับความสัมพันธ ์ได้ อย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่นว่าเข้าหาใครจนคุ้นหาคุ้นตากันแล้ว ก็
สามารถบอกกล่าวกับคนภายนอกว่าเป็ นสหายกับอีกฝ่ ายได้แล้ว แล้วก็จะสามารถอาศัยโอกาสนี้มา “หาเงิน” ได้จริงๆ
สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็คือสร ้างความพึงพอใจให้ผู้อื่น ต่างคน ต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพียงแต่หยางผู่รู ้ว่าตัวเองไม่เหมาะกับ การทาเรื่องพวกนี้ ยิ่งไม่ถนัด
แก้มของชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพองโป่ ง ปากขยับเคี้ยวไม่ หยุด ดวงตากลอกไปมามองประเมินหยางผู่อย่างละเอียด
หยางผู่กินอาหารของตัวเองเสร็จแล้ว แม้แต่น้าแกงในหม้อดินก็ ดื่มหมดไม่เหลือ ขณะก าลังจึงจะจ่ายเงินจากไปนั่นเอง ชายหนุ่มก็ เปิดปากยิมเอ่ยว่า “พี่ใหญ่หยาง จะไปแล้วหรือ ข้าช่วยสั่งหม้อดินมา ให้ท่านเพิ่มอีกหม้อแล้ว อย่าเพิ่งรีบไปไหนสิ พวกเราสองคนกินไปคุย กัน ไป
ระหว่างที่พูดชายหนุ่มก็ผลักหม้อดินอีกใบไปทางหยางผู่ ใบหน้า เต็มไปด้วยรอยยิ้มท่าทีกระตือรือร ้น
หยางผู่ถามอย่างสงสัย “เจ้ารู ้จักข้าหรือ?”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแรง “รู ้จัก จะไม่รู ้จักพี่ใหญ่หยางได้ อย่างไร! ท่านคือสหาย ที่แค่พบหน้าก็เหมือนรู ้จักกันมานานของ อาจารย์ข้า แล้วยังนัดหมายกับโจวอันดับหนึ่งไว้ด้วยว่าจะดื่มเหล้า ด้วยกันมื้อหนึ่ง”
ในใจหยางผู่กระตุกเล็กน้อย รีบใช ้เสียงในใจเอ่ยทันที “เจ้าคือผู้ ฝึกตนท าเนียบของสานักกระบี่ชิงผิงหรือ? หรือว่าเป็ นลูกศิษย์ของ อาจารย์เฉิน?”
ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตกตะลึง เสียงสั่นน้อยๆ “พี่ ใหญ่หยางคงจะไม่ดูดวงเป็ นหรอกนะ เรื่องนี้ก็เดาได้ด้วยหรือ?”
หยางผู่สะอึกอึ้ง คนผู้นี้ไม่ได้เอ่ยประโยคตรงข้ามกันจริงๆ หรือ? แต่เห็นว่าอีกฝ่ ายมีสีหน้าจริงใจ ไม่เหมือนว่าล้อเล่น เขาจึงรู ้สึกไม่ ค่อยแน่ใจ หยางผู่ได้แต่ยิ้มเอ่ยว่า “ก็ไม่ได้เดายากเท่าไรหรอก กระมัง?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หน้าประตูของภูเขาไท่ผิง หยางผู่ได้รู ้จัก กับเฉินผิงอันและเจียงช่างเจิน
คาพูดที่เป็ นกุญแจสาคัญในถ้อยคาของอีกฝ่ าย นั่นคือ “โจว อันดับหนึ่ง” ที่คล้ายกับเป็ นภาษาลับระหว่างกัน
เจียงช่างเจินแห่งส านักกุยหยก อดีตเจ้าส านักเจียงคือผู้ถวาย งานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วแห่งแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ทางเหนือ เรื่องนี้บนภูเขาของใบถงทวีปในทุกวันนี้ยังไม่ถือว่าทุกคนล่วงรู ้กัน หมด
ส่วนเรื่องที่หยางผู่รู ้จักกับเฉินผิงอันและเจียงช่างเจิน เขาไม่ใช่ คนที่ชอบเอาเรื่องที่ตัวเองรู ้จักกับใครไปเล่าให้คนอื่นฟัง ดังนั้นทุก
วันนี้ตลอดทั้งสานักศึกษาต้าฝู คนที่รู ้เรื่องนี้ก็มีแค่เจ้าขุนเขาหลักรอง สามท่านเท่านั้น
ในเมื่ออีกฝ่ ายคือลูกศิษย์ของอาจารย์เฉิน หยางผู่จึงรับหม้อดิน เผาใบนั้นมาอย่างผึ่งผาย หยิบตะเกียบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ม้วนบะหมี่ คาใหญ่เข้าปาก แล้วถึงได้ยิ้มถามเสียงอู้อี้ว่า “จะให้เรียกเจ้า อย่างไร?”
คนหนุ่มยิ้มกล่าว “ข้าคือลูกศิษย์ผู้เป็ นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ ไม่มี “หนึ่งใน” แซ่ชุยนามว่าตงซาน พี่ใหญ่หยางเรียกข้าว่าตงซานก็ ได้ เรียกน้องชุยก็จะยิ่งสนิทสนมกันมากหน่อย”
คราวนี้เป็ นหยางผู่ที่ต้องตกใจบ้างแล้ว “เจ้าสานักชุย?!”
การประชุมศาลบรรพจารย์ที่จัดขึ้นกะทันหันในครั้งนี้ สานัก กระบี่ชิงผิงมีชื่อเสียงบารมีอย่างมาก เป็ นที่ดึงดูดสายตาของผู้คน แต่ ซุยตงซานไม่ได้ปรากฏตัวที่เมืองหลวง
คิดไม่ถึงว่าจะได้มาพบกับเจ้าสานักของสานักแห่งหนึ่งที่ทั้ง สถานะและขอบเขตล้วนมีเมฆหมอกบดบังผู้นี้ในตลาดกลางคืน
เพราะถึงอย่างไรใบถงทวีปที่กว้างใหญ่ ในทุกวันนี้ก็มีเจ้าสานัก อยู่แค่กี่คนกันเชียว? มือหนึ่งนับยังพอ
“คนหนุ่ม” หยิบตะเกียบมาตบใบหน้าตัวเอง “ออกจากบ้านมาอยู่ ข้างนอกต้องท าตัวเรียบง่ายหน่อย ก็เลยใช ้เวทอ าพรางตาเล็กน้อย หลีกเลี่ยงไม่ให้แมลงวันบินเกาะอาจม น่าร าคาญใจนัก”
หยางผู่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ทราบว่าคืนนี้เจ้าสานักชุยมาพบ ข้า มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”
ส่วนคาพูดตลกขบขันที่บอกว่า….แมลงวันบินเกาะอาจม หยางผู่ จะคิดแค่ว่าตัวเองไม่ได้ยินก็แล้วกัน
ชุยตงซานทอดถอนใจด้วยน้าเสียงอันเป็ นเอกลักษณ์ของสายเห วินเซิ่ง “ชี้แนะอะไรกันเล่า พี่ใหญ่หยางคือผู้อาวุโส คืนนี้ข้าออกมา ผ่อนคลายอารมณ์ เดินเล่นเตร็ดเตร่คนเดียวส่งเดชไปอย่างนั้นเอง ก็ แค่บังเอิญเหลือบมาเห็นพี่ใหญ่หยางที่เป็ นดั่งขุนเขาสูงตระหง่านนั่ง อยู่ที่นี่ น้องชายเลยแวะมาเลี้ยงอาหารท่าน กลับไปก็จะได้เอาไปขอ คุณความชอบจากอาจารย์ได้พอดี”
ขุยตงซานถาม “พี่ใหญ่หยางเชี่ยวชาญเรื่องการเรียบเรียง หนังสือชุดใช่ไหม?”
หลังจากรู ้สถานะของอีกฝ่ าย ร่างทั้งร่างของหยางผู่ก็ผ่อนคลาย ลงอย่างเห็นได้ชัด ค าพูดค าจาก็ค่อนข้างเป็ นตัวของตัวเอง จึงตอบ กลับอย่างหยอกล้อว่า “เชี่ยวชาญพอๆ กับการคบค้าสมาคมกับ ผู้อื่น”
เรียบเรียงหนังสือชุดคืองานขนานใหญ่ อันดับแรกต้องเลือก ต้นฉบับที่ดีที่สุดมาเสียก่อน
จ าเป็ นต้องมีขุนนางหลักผู้รับผิดชอบด้านการรวบรวมเรียบเรียง คนสองคนเป็ นตัวน า ขุนนางในการจัดท าอีกหลายคน จ านวนของ เจ้าหน้าที่ตรวจทานเอกสารก็มีอีกเยอะมาก
พูดถึงแค่แคว้นอวิ๋นเหยียนแห่งนี้ วีรกรรม” เพียงหนึ่งเดียวใน ประวัติศาสตร ์ที่สามารถเอาออกมาโอ้อวดได้ก็คือเคยใช ้กองก าลัง ของทั้งแคว้น ระดมกาลังขุนนาง ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อและผู้คัดลอก เอกสารถึงสามพันกว่าคน ใช ้เวลานานสิบปี รวบรวมหนังสือชุด ขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีปได้
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเสียดาย “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด เดิมที่ยัง อยากจะพาพี่ใหญ่หยางไปช่วยเพิ่มความกล้าให้กับน้องชาย ในการ ไปพบคนคนหนึ่ง”
หยางผู่ฟังด้วยความมึนงง แต่ก็ไม่คิดจะซักไช ้ให้รู ้สาเหตุ เห็น เพียงว่าเจ้าส านักชุยลุกขึ้นกุมหมัดอาลา จากนั้นก็เดินห่างไปไกลบน ถนนสายนั้น เพียงแต่ว่าท่าทางการเดิน…ไม่ตรงทางสักเท่าไร เดี๋ยวก็ กระโดด เดี๋ยวก็โคลงศีรษะ คล้ายกาลังหลบเลี่ยงและกาลังออกหมัด
ชุยตงซานเดินตรงดิ่งออกไปจากเมืองหลวง ทั้งไม่ได้ทะยานลม แล้วก็ไม่ได้เรียกเรือยันต์ออกมา เด็กหนุ่มชุดขาวเพียงแค่แกว่งชาย แขนเสื้อสองข้างเดินเท้าจากไป เงยหน้ามองถาดหยกสีขาวบน ท้องฟ้ า สะบัดชายแขนเสื้อแรงจนมันโบกไสว ดวงจันทร ์ที่เหน็ด เหนื่อยช่างชวนให้คนสงสาร ต้องมาพบหน้าท่านทุกค่าคืน