กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1026.2 อยากขอให้ชิงตี้ปกครองตลอดไป
อันที่จริงแทบทั้งถนนก็มีแต่ร ้านหนังสือทั้งหมด ชุยตงซานยืนอยู่ หน้าประตู ถามว่า “เจ้ารู ้หรือไม่ว่าทาไมทั่วทั้งอาณาเขตชานเมือง หลวงแคว้นอวิ๋นเหยียนถึงไม่เจอกับไฟสงคราม?”
หลิวเม่าส่ายหน้า “ไม่รู ้”
ราชวงศ์ใหญ่ล่างภูเขาบางแห่งที่กองกาลังแคว้นโชติช่วง ส่วน ใหญ่แล้วราชส านักจะชอบเรียบเรียงชุดตาราขนาดใหญ่ที่รวมตารา ไว้มากหลายหมื่นเล่ม เพื่อให้เป็ นสัญลักษณ์ของการปกครองที่ใส สะอาด ความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุข
ยกตัวอย่างเช่นตอนที่ราชวงศ์ต้าเฉวียนยังแซ่หลิวก็เคยเรียบ เรียงผลงานยิ่งใหญ่ที่มีจ านวนต ารามากมายมหาศาล และองค์ชาย หลิวเม่าก็คือขุนนางผู้เรียบเรียงหลักตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง
เมืองหลวงแคว้นอวิ๋นเหยียนกลายมาเป็ นดินแดนสุขาวดีที่โชคดี รอดพ้นหายนะจากสงครามครั้งนั้นมาได้ หลังจากที่กอบกู้แคว้นก็ แทบจะไม่จ าเป็ นต้องท าการซ่อมแซมใดๆ เลย
เกี่ยวกับเรื่องที่ทาไมแคว้นอวิ๋นเหยียนถึงรอดพ้นจากเภทภัยครั้ง นี้มาได้ เซียนซือบนภูเขาของในทวีปพูดกันไปหลากหลาย แต่ ส าหรับสกุลฉินแคว้นอวิ๋นเหยียนแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็ นเพราะบรรพ บุรุษสาแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
ชุยตงซานถูมือยิ้มกล่าว “คนของตรอกยากจนกังขาในวสัตฤดูมี น้อย คนของตระกูลร่ารวยรู ้สึกว่าแสงจันทร ์สว่างไสวที่สุด นครตารา ที่ไม่มีราตรีกาล ไป เข้าไปดูกันหน่อย จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”
ในแคว้นอวิ๋นเหยียนแห่งนี้ ไม่เพียงแต่การพิมพ์ตาราขนานใหญ่ ของทางการเท่านั้นการพิมพ์ต าราของชาวบ้านและร ้านหนังสือก็ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนเกิดเป็ นกระแสนิยมเช่นเดียวกัน
พูดถึงแค่ร ้านที่ไม่สะดุดตาแห่งนี้ ลองประเมินคร่าวๆ แม่พิมพ์ สลักที่วางอยู่ในคลังก็มีมากถึงเก้าหมื่นกว่าชิ้นแล้ว
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย พูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ใช่ตระกูลปัญญาชนก็ต้องเป็ นตระกูลขุนนาง กลิ่นอายบุ๋นเข้มข้น ขจรขจายนับแต่นี้ไป จะเป็ นดอกกุ้ยหรือดอกกล้วยไม้ จะโดดเด่น หรือมีแววพัฒนา ปราชญ์ปรากฏมิขาดสาย กลิ่นหอมของตารามิ สาบสูญ”
“ข้าต้องบอกกับเจ้าของร ้านต าราสักค าว่ามีโจรเข้าร ้านแล้ว!”
“จิตใจเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมของจอมยุทธเช่นนี้ น่าชื่นชมยิ่ง นัก”
หลิวเม่าท าเพียงปิดปากเงียบ ส าหรับการกระท าเหลวไหลและ ค าพูดประหลาดของชุยตงซาน เขาสามารถรับมือได้ถึงขั้นที่ว่าแสร ้ง ท าเป็ นมองไม่เห็น ไม่ได้ยินได้แล้ว
ชุยตงซานเก็บแม่พิมพ์สลักทั้งหลายเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ อย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย แล้วบอกให้หลิวเม่ารออยู่ตรงนี้ครู่หนึ่ง บอก ว่าเขาจะไปพบเค่อชิงของส านักตัวเองในอนาคตเสียหน่อย
เด็กหนุ่มชุดขาวเดินไปบนถนนใหญ่เพียงล าพัง
อีกาบนฟ้ าสยายปีกบินกระต่ายบนดินวิ่งแผล็ว กาลเวลาในโลก มนุษย์ตราบอดีตจวบจนปัจจุบันช่างยาวนาน
อยากขอให้ชิงตี้ (เทพเจ้าที่ดูแลเรื่องฤดูใบไม้ผลิ) ปกครอง ตลอดไป ไม่ให้ดอกไม้ในโลกมนุษย์ต้องร่วงโรย
ในศาลบรรพจารย์ของเรือนเก่าแก่หลังหนึ่ง บนผนังแขวน ภาพเหมือนไว้สองภาพ ไม่ได้ลงนามชื่อเอาไว้
บนโต๊ะบูชานอกจากกระถางธูปแล้วยังวางตั้งตาราโบราณอีก หลายเล่มที่เย็บเข้าเล่มอย่างประณีติงดงาม ใช ้ผ้าไหมสีขาวและสี เขียวห่อพันเอาไว้
มีบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งที่รูปโฉมไม่โดดเด่น เพียงแต่ว่าแต่ง กายด้วยชุดที่ไม่ได้พบเห็นบ่อยนัก เสื้อผ้าของเขามีหลายสีปะปนกัน ทั้งสีเขียว สีแดง สีขาวแสงจันทร ์และสีเทาเข้ม
หลังจากจุดธูปคารวะแล้วเขาก็เอาธูปสามดอกปักลงในกระถาง ธูป แล้วก็ไม่ได้หันตัวกลับมา เพียงเอ่ยด้วยน้าเสียงราบเรียบว่า “ใน เมื่อเป็ นผู้ฝึกตนที่ขึ้นเขาแล้ว ไยต้องลงภูเขามาท าตัวเป็ นโจรด้วย”
ตรงชื่อคานของห้องมีศีรษะหนึ่งยื่นออกมา “วิญญูชนบนขื่อคาน ก็เป็ นวิญญูชนเหมือนกันนี่นา”
ที่แท้เด็กหนุ่มหน้าเหลี่ยม สวมชุดสีขาวคนหนึ่งก็ซ่อนตัวอยู่บน นั้น พอถูกเขาจับได้ก็กลิ้งตัวลงมาบนพื้น
เห็นเพียงว่าตอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นร่วงพื้น เขาคล้ายจะขาพลิก พยายามตีหน้าให้นิ่งสนิทก่อน แต่เหมือนจะเจ็บจนทนไม่ไหวจึงยก ขาขึ้นมากอด ยืนท่าไก่ทองขาเดียว แผดเสียงร ้องโวยวาย
ปัญญาชนขมวดคิ้วเตือน “เงียบหน่อย”
เด็กหนุ่มใบหน้ารูปสีเหลี่ยมตบพุงตัวเอง “เริ่มรู ้สึกหิวแล้ว ไม่รู ้ว่า ที่นี่มีอะไรให้กินหรือไม่ แค่ข้าวเปล่าก็พอ ไม่ต้องมีกับข้าว ข้าคนนี้ใช ้ ชีวิตเรียบง่ายได้ดีที่สุดแล้ว”
ปัญญาชนไม่ตอบ เพียงแค่มองแขกไม่ได้รับเชิญที่ไม่รู ้สถานะผู้ นี้เงียบๆ
เด็กหนุ่มยิ้มหน้าเป็ น “แต่ทางที่ดีที่สุดควรจะเป็ นข้าวที่ผ่านการ หุงด้วยปืนที่ผ่าอย่างยากลาบากมาก่อน ยกตัวอย่างเช่นเป็ นฟืนที่รื้อ มาจากล้อรถเก่า ไม่ทราบว่าที่แห่งนี่ของเจ้ามีหรือไม่?”
ปัญญาชนหรี่ตาลง สีหน้ามืดทะมึน จ้องเด็กหนุ่มปากไร ้หูรูดผู้นี้ เขม็ง
แต่เด็กหนุ่มกลับเอาสองมือไพล่หลัง มองไปยังภาพแขวนภาพ หนึ่งบนผนัง “เอ๊ะบังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ ถึงกับบูชาอาจารย์กงเจิง ไว้พอดี ช่างเป็ นขุนนางใหญ่ยิ่งนัก ส่วนสถานะของอีกคน ขอให้ข้า เดาก่อนนะ”
“ต่างก็พูดกันว่ากระดาษที่ดีมีอายุอยู่ได้นานเป็ นพันปี แต่ความ เป็ นจริงล่ะเป็ นเช่นไรเก็บรักษาต าราไว้ได้ไม่ดีพอก็จะถูกมอดกัด กระดาษชื้นขึ้นรา นี่ยังถือเป็ นหายนะเล็กน้อยหากน้าท่วมหอเก็บ ตารา ระหว่างเอาไปขายที่อื่นถูกพวกปัญญาชนคร่าครีบางคนเอามา ฝังไปพร ้อมกับศพ ถือเป็ นหายนะปานกลาง เจอกับสงคราม รวมไป ถึงราชสานักสั่งห้ามไม่ให้ขายตารา นี่ต่างหากถึงจะเป็ นหายนะใหญ่ อย่างแท้จริง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็ไล่สายตาลงมาเบื้องล่าง มองไปยัง ต าราโบราณหลายเล่มที่อยู่บนโต๊ะ “ตาราโบราณทุกเล่ม หาก สามารถสืบทอดไปได้นานหลายร ้อยปี ไม่ได้เรียกว่าถูกเทพและผี ปกป้ องไว้จะเรียกว่าอะไร ถูกไหม?”
เด็กหนุ่มถอนสายตากลับมา หันหน้าไปมองปัญญาชนคนนั้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าเองก็เป็ นขุนนางผู้มีคุณูปการอย่างไม่มีหักลบ จะดีจะชั่วก็ควรจะเก็บโชคชะตาบุ้นส่วนหนึ่งไว้ให้กับใบถงทวีปบ้าง”
ปัญญาชนเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ก็แค่รักษาตัวรอดเท่านั้น ไม่ถือว่า มีคุณูปการอะไร”
ชุยตงซานพยักหน้ากล่าว “แน่นอนว่าแค่พูดกับเจ้าตามมารยาท เท่านั้น อาจารย์ของข้าสอนไว้ว่าออกจากบ้านปากหวานไว้เป็ นดี”
ชุยตงซานพยักหน้าเอ่ยกับตัวเอง “ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก ให้ความช่วยเหลือคนอื่น ออกแรงที่ไม่มีค่าราคาอะไร ไยจะไม่ยินดีทา เล่า”
ปัญญาชนกระตุกมุมปาก เอ่ยว่า “ดูท่าสหายจะมีอาจารย์ที่ดี”
“ในบ้านมีเซียน ชีวิตประจ าวันก็มีหลักในการดาเนินไป ประหนึ่ง เข้าไปในห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกจือหลัน คลังลับล้า ค่าละลานตา ได้รับการกล่อมเกลาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ต่อให้มิอาจเป็ น อริยะก็เป็ นนักปราชญ์ได้”
เด็กหนุ่มชุดขาวเท้าเอวด้วยสองมือ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “นี่เป็ น หลักการเหตุผลไม่ต้องจ่ายเงินที่อาจารย์ของข้าได้ฟังมาจากคนเฒ่า คนแก่ของบ้านเกิดเหมือนกัน”
ปัญญาชนกล่าว “หากสหายพูดจบแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้อง ออกคาสั่งไล่แขกแล้วล่ะ”
ชุยตงซานโบกมือ “ยังเสียหน่อย ยังเร็วไป ยามที่พูดถึงคุณ ความชอบ ข้าพูดถึงแค่เรื่องราวไม่พูดถึงใจคน พูดถึงใจคนนับแต่ โบราณมาก็ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบนี่นา”
“ก็เหมือนกับคนเชือดสัตว์ขายเนื้อ เอาเนื้อลงตาชั่ง น้าหนัก เพียงพอ คนหนึ่งรับเงินไม่รังแกเด็กและคนอ่อนแอ ส่วนคนหนึ่งก็ซื้อ เนื้อ”
“มีเพียงพูดถึงการศึกษาหาความรู ้ของบัณฑิต ถึงจะต้อง พิจารณาทั้งการกระทาและเจตนารมณ์”
ปัญญาชนได้ยินคาพูดประหลาดของคนประหลาดต่างถิ่น ใน ที่สุดก็อดไม่ไหวถามว่า “เจ้าเป็ นใคร มีคุณสมบัติอะไรมาพูดถึงการ พิจารณาความชอบและมอบรางวัลอยู่ที่นี่?”
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ “เขาเคยมาที่นี่ และเจ้าก็เคยเจอเขา แล้ว ถูกไหม?”
ปัญญาชนยิ้มถาม “พูดจาประหลาด ไร ้หัวไร ้หาง สหายกาลังพูด ถึงอะไรอยู่กันแน่”
ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อ พูดบ่นว่า “พวกเราล้วนเป็ นบัณฑิต ข้าวกินมั่วได้ แต่จะพูดจามั่วๆ ไม่ได้ ขอเตือนเจ้าว่าอย่าพูดส่งเดช ข้าคนนี้นิสัยไม่ค่อยดี ระวังว่าคาพูดจะกลายเป็ นค าท านาย ท าให้เจ้า ไร ้หัวไร ้หางอย่างแท้จริงล่ะ”
ปัญญาชนหัวเราะร่วน “ไม่ว่าจะเป็ นเทพเจ้าจากฝ่ ายใด ไม่สู้ พูดจาอย่างตรงไปตรงมากันดีกว่า ว่ามาเถอะ มาหาข้าด้วยเรื่อง อะไร”
เพราะด้วยเรื่องของรากฐานมหามรรคา แม้จะบอกว่า ความสามารถในการต่อยตีสามารถมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง แต่ เขาไม่กลัวว่าจะต้องพัวพันอยู่กับผู้ฝึ กตนใหญ่คนหนึ่งเลยจริงๆ สู้ ไม่ได้ก็แค่หนี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีทางโลกในทุกวันนี้ที่ใบถงทวีปกลับคืนไปสู่ มือของศาลบุ๋นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
และเขาเองก็ไม่รู ้สึกว่าผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาคนหนึ่งจะกล้าทา ตัวก าเริบเสิบสานอยู่ในชานเมืองของเมืองหลวงแคว้นอวิ๋นเหยียน
เด็กหนุ่มหยิบพัดพับไผ่หยกออกมาจากชายแขนเสื้อ บิดนิ้ว สะบัดพัดออกดั่งพรึ่บ บนหน้าพัดเขียนตัวอักษรใหญ่สี่ตัว เป็ นคาว่า ชนะใจผู้อื่นด้วยคุณธรรม
“วันนี้ละลาบละล้วงมาเยี่ยมเยือนก็เพราะมีเรื่องจะขอร ้องเล็กน้อย จะปรึกษากับเจ้าสักหน่อย”
“สหายเชิญพูด”
“วันหน้ามาติดตามอยู่ข้างกายข้า รับรองว่าด้วยรากฐานมหา มรรคานี้ของเจ้าก็สามารถกินอยู่สุขสบายได้อย่างแน่นอน”
“หากข้าไม่ยอม?”
เด็กหนุ่มบิดหมุนหน้าพัด เป็ นอักษรใหญ่สี่ตัวเหมือนเดิม ไม่ยอม ก็ตีให้ตาย
ปัญญาชนสะอึกอึ้ง เงียบไปนานพักใหญ่ถึงพูดกลั้วหัวเราะเสียง เย็นชา “สหายพูดจาวางโตไม่น้อยเลยนะ”
ชุยตงซานโบกพัดไม้ไผ่เบาๆ “ปีนั้นเขายืนอยู่ตรงนี้ ได้พูดอะไร หรือไม่?”
ปัญญาชนย้อนถาม “เจ้าคือนักปราชญ์หรือไม่ก็วิญญูชนของ ส านักศึกษาแห่งใด?”
สีหน้าของชุยตงซานฉายแววไม่พอใจ คล้ายรู ้สึกอยุติธรรมสุด ขีด “อยู่ดีๆ ด่ากันท าไม”
ปัญญาชนหรี่ตา “สหายพูดจาตลกขบขันนัก”
“เจ้าจ าข้าไม่ได้จริงๆ หรือ?”
“ไม่รู ้จัก แล้วก็ไม่อยากรู ้จัก”
“ข้าคือตงชานไงล่ะ!”
ปัญญาชนอึ้งตะลึง ตงชาน ชุยตงซานแห่งสานักกระบี่ชิงผิงน่ะ หรือ?
เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนที่สามารถตามมาพบที่แห่งนี้ได้ก็ต้องไม่ มีทางเป็ นผู้ฝึกตนทั่วไปแน่นอน
ในวันที่สองเดือนสองมังกรเชิดหัวของปีนี้ เมืองหลวงแคว้นอวิ๋น เหยียนได้สร ้างศาลบรรพจารย์ขึ้นมาชั่วคราว มีไว้เพื่อเรื่องของการ ขุดเจาะลาน้าใหญ่สายหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้ที่ได้ครอบครองเก้าอี้ในศาล
บรรพจารย์แห่งนั้นสองตัวมีน้อยจนนับนิ้วได้ มีแค่กองกาลังไม่กี่ฝ่ าย ที่เป็ นผู้ร่วมการก่อตั้ง ยกตัวอย่างเช่นหวังจี้ผู้ถวายงานแห่งสานักกุย หยก และยังมีบรรพจารย์อีกคนหนึ่งที่ลาดับอาวุโสสูงมาก แต่กลับ เป็ นคนต่างถิ่นที่ไร ้ชื่อเสียง
แน่นอนว่ายังมีสานักกระบี่ชิงผิงที่จู่ๆ ก็โผล่มา ผู้ที่ได้ครอบครอง ที่นั่งคือจังชิวผู้ดูแลจวนผู้เฉวียน และเฉาชิงหล่างเจ้าแห่งยอดเขาจิ่ง ชิง
ไม่รู ้ว่าเหตุใด เซียนกระบี่ใหญ่หมี่อวี้ที่เป็ นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ถึงได้ยกตาแหน่งที่นั่งในศาลบรรพจารย์ให้กับเฉาฉิงหล่างที่อายุยัง น้อยมาก ไม่รู ้ว่าทางฝั่งของสานักกระบี่ชิงผิงตกลงกันอย่างไร
ถึงได้ไม่เห็นเซียนกระบี่ใหญ่ที่มีชาติกาเนิดจากกาแพงเมือง ปราณกระบี่อยู่ในสายตาขนาดนี้?
หมี่อวี้ที่มีฉายาว่า “หมี่ผ่าเอว” ไม่เกิดแสลงใจเพราะเรื่องนี้บ้าง เลยจริงๆ หรือ?
ชุยตงซานหุบพัดพับ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ขอแค่เจ้าตอบรับคาเชิญ ของข้า ข้าก็สามารถตอบรับเจ้าเรื่องหนึ่งได้ทันทีถือเป็ นของขวับพบ หน้า เชื่อข้าเถอะ นั่นคือเรื่องที่ติดอยู่ในใจเจ้ามานานหลายพันปีแล้ว รับรองว่าจะต้องท าให้เจ้าสมปรารถนาอย่างแน่นอน”
“อ้อ? เจ้าส านักชุยมีศาสตร ์อ่านใจคนด้วยหรือ?”
“ศาสตร ์อ่านใจคน? ไม่มีหรอก ข้าก็แค่ค่อนข้างเชี่ยวชาญการ คาดเดาความคิดคนเท่านั้น”
บัณฑิตแคว้นอวิ๋นเหยียนที่จาแลงมาจากโชคชะตาบุ๋นผู้นี้ยิ้มเอ่ย ว่า “ไหนลองว่ามาสิ”
ชุยตงซานกล่าว “วันหน้าจะพาเจ้าไปที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ประลองความรู ้กับจิงเชิงซีผิง”
“จริงหรือ?” “จริงสิ ต้องจริงแน่อยู่แล้ว!”
ชุยตงซานตบอกเสียงดังสนั่นฟ้ า “อาจารย์ของข้ากับจิงเชิงชีผิง นั้นเรียกได้ว่าเป็ นสหายต่างวัยที่พบเจอหน้ากันก็ได้แต่เจ็บใจที่เจอ กันช ้าเกินไป คือเพื่อนรักเพื่อนสนิทกัน!”
ปัญญาชนเงียบไปพักใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า “ขอให้ข้าได้พิจารณา ดูก่อน”
ชุยตงซานพยักหน้า “สมควรเป็ นเช่นนี้”
ปัญญาชนพลันถามว่า “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะสมคบคิดกับเขา อย่างนั้นหรือ?”
ชุยตงซานร ้องเฮ้อหนึ่งที “เศษผ้าอย่างเจ้ามองประเมินตัวเองสูง เกินไปแล้ว การที่ข้าถามเรื่องนี้ก็แค่ใคร่รู ้เท่านั้นว่าตอนนั้นเขายืนอยู่ ที่นี่ได้น้าตาไหลพรากอยู่เงียบๆ หรือไม่”
ชุยตงซานรีบแก้ตัวทันที “อย่าโกรธนะ ข้าเป็ นคนพูดจา ตรงไปตรงมา ปากคมเหมือนมีดแต่ใจอ่อนเป็ นเต้าหู้ ไม่เชื่อหรือ?”
เด็กหนุ่มชุดขาวเป่าลมออกมาหนึ่งที ลมที่ออกมามีแต่กลิ่นเต้าหู้ เหม็นอบอวล
ปัญญาชนซื้อใบ้ไปทันใด
ชุยตงซานหยิบพัดขึ้นมาเคาะไหล่แล้วหัวเราะ
โจวมี่มหาสมุทรความรู ้แห่งเปลี่ยวร ้าง น่าสงสารที่ไร ้คนรู ้ใจใน โลกมนุษย์
ว่ากันว่า แค่ว่ากันว่า เมื่อหลายปีก่อน เจี่ยเชิงแห่งไพศาลที่ออก จากบ้านเกิดเคยไปยืนอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว จ้องมองไปยังบ้านเกิดที่อยู่ ทิศเหนือเนิ่นนาน
ชุยตงซานพลันยื่นมือมาป้ องปาก “ในเมื่อเป็ นคนครอบครัว เดียวกันแล้ว ก็ต้องรายงานข่าวเล็กๆ ให้เจ้ารู ้สักหน่อย มีโจรมาขโมย แม่พิมพ์สลักของเจ้า! น่ารังเกียจ น่าชิงชังนัก พวกเราไปซ ้อมเขา ด้วยกันสักรอบดีไหม?”
……
เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน อาเภอหย่งเจีย
ในตรอกเส้นหนึ่ง นักพรตผู้หนึ่งพลันหยุดเดิน มองไปยังลาน บ้านขนาดเล็กหลังหนึ่งแล้วร ้องเอ๊ะเบาๆ
ในลานบ้านมีเด็กหนุ่มร่างผอมแกร่งกาลังอาศัยแสงจันทร ์สานที่ ตักผงไม้ไผ่ เขาหูดีได้ยินเสียงก็ตกใจสะดุ้งโหยง รอกระทั่งหันไปมอง ทางนั้น มองข้ามหัวกาแพงเล็กเตี้ยไปก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ใบหน้า ของเด็กหนุ่มผิวดาคล้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่กล้าเชื่อ ก่อนจะพึมพ าว่า “นักพรตอู๋?”
นักพรตลูบหนวดยิ้ม “ได้เจอกันอีกแล้ว เป็ นความบังเอิญล้วนๆ”
เด็กหนุ่มรีบวางที่ตักผงซึ่งสานไปได้ครึ่งใบในมือลง ลุกขึ้นเดิน มาที่กาแพงเตี้ยๆ ถามอย่างตกตะลึงระคนประหลาดใจ “นักพรตอู่ นี่ คือ?”
ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว นักพรตอู๋คงไม่ได้มาชมแสงจันทร ์ที่นี่หรอก กระมัง?
นักพรตกวาดตามองไปรอบด้าน เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ช่วงนี้ใน เมืองหลวงมีปีศาจออกอาละวาด ตบะไม่ตื้นเขิน กาเริบเสิบสานยิ่ง ทั้ง ยังเชี่ยวชาญเวทอาพรางกายและเวทหลบหนี คืนนี้ผินเต้าไล่ตาม ร่องรอยของอีกฝ่ ายจนมาถึงที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะยังปล่อยให้มันหนีไป ได้ อีกฝ่ ายกล้าท าตัวโอ้อวดไม่เกรงกลัวกฎหมายอยู่ในเมืองหลวงใต้ ฝ่ าพระบาทของโอรสสวรรค์เช่นนี้ ผินเต้าย่อมมิอาจอดทนกับมันได้ ผู้ฝึกตนทั่วไปที่เชี่ยวชาญเวทคาถาอย่างผิวเผินมิอาจต่อกรกับมันได้ หรอก เหอะ แต่ในเมื่อมาเจอผินเต้าแล้ว ก็ถือว่าครั้งนี้มันลงจากภูเขา ไม่ได้เปิดปฏิทินเหลืองดูให้ดี”
เด็กหนุ่มมึนงง
นักพรตเห็นเขาเป็ นเช่นนี้ก็เปลี่ยนมาพูดภาษาบ้านๆ ที่ฟังเข้าใจ ได้ง่าย “มีปีศาจตนหนึ่งลงจากภูเขามาทาร ้ายคน ผินเต้าต้องการจับ ปีศาจ ผดุงคุณธรรมแทนสวรรค์”
เด็กหนุ่มดวงตาเป็ นประกายระยิบระยับในทันใด จริงดังคาด จริง ดังคาด ตนเดาได้ถูกต้องแล้ว นักพรตอู๋ที่แค่มองก็เห็นมาดแห่งเซียน เต็มเปี่ยมผู้นี้ต้องไม่ใช่แค่ดูดวงหาเงินเฉยๆ เท่านั้น เป็ นเทพเซียนที่ สามารถก าจัดปีศาจปราบมารได้จริงๆ ด้วย!
กาแพงเหลืองที่ล้อมรอบบ้านไม่สูง สองฝ่ ายจึงพูดคุยกันข้าม ก าแพง
เด็กหนุ่มในลานบ้านตัวเตี้ยผอมแห้ง นักพรตที่อยู่ในตรอกเรือน กายสูงเพรียว สูงกว่าเขาหนึ่งช่วงศีรษะ
เด็กหนุ่มกังวลใจจึงกดเสียงลงต่าถามว่า “นักพรตอู๋ ปีศาจตน นั้นหนีไปไกลแล้วจะไปทาร ้ายคนอื่นหรือไม่?”
“ในเมื่อผินเต้าเผยกายแล้ว ประมือกับมันจนมันรู ้ถึงความร ้าย กาจแล้ว คืนนี้ต้องไม่กล้าโผล่หน้ามาในเมืองหลวงแน่นอน ดีแต่จะหา สถานที่สักแห่งไปหลบซ่อนตัวแต่โดยดี”
นักพรตยิ้มเอ่ยอย่างสง่างาม “อีกอย่างก็แค่ปล่อยให้มันหนีพ้นไป จากสายตาชั่วคราวเท่านั้น ผินเต้าย่อมมีคาถาเซียนที่เป็ นวิชาเฉพาะ ของตัวเอง รับรองว่าจะจับมันได้ก่อนฟ้ าสาง มีความมั่นใจถึงเก้าใน
สิบส่วน นี่เรียกว่าหนีพ้นวันที่หนึ่งไปได้ (ชูอี) แต่หนีพ้นวันที่สิบห้า (สืออู่) ไปไม่ได้”