กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1026.3 อยากขอให้ชิงตี้ปกครองตลอดไป
เด็กหนุ่มแอบใช ้หลังมือเช็ดเสื้อผ้าป่าน ปลุกความกล้าให้ตัวเอง กล่าวอย่างเขินอายว่า “นักพรตอู๋จะเข้ามานั่งข้างในหน่อยไหม?”
นักพรตอืมรับหนึ่งที “ก็ดีเหมือนกัน อยากขอน้าจากเจ้าดื่มสัก หน่อย ไม่ต้องต้มน้าแล้ว หากมีถังน้าก็ตักน้ามาให้ข้าสักกระบวยก็ พอ”
เด็กหนุ่มถอดกลอนของประตูเรือน พานักพรตเข้ามาในลาน บ้าน บอกให้นักพรตอู๋นั่งลงบนม้านั่งก่อน ส่วนเขารีบไปตักน้าที่ ห้องครัวมาให้ นักพรตไม่มีข้อพิถีพิถันอะไรจริงๆ ไม่มีม้านั่งก็นั่งแปะ ลงไปบนขั้นบันไดโดยตรง ออกเสียงเตือนเด็กหนุ่มเบาๆ ว่าหยิบ กระบวยมาได้เลย ไม่ต้องใช ้ชาม รอกระทั่งเด็กหนุ่มวิ่งเหยาะๆ มาหา นักพรตรับกระบวยเก่าแก่ใบนั้นมาก็แหงนหน้ากระดกดื่ม เช็ดปาก คืนกระบวยไปให้แล้ว นักพรตถึงได้ถอนหายใจยาวเหยียดยิ้มเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก แค่น้ากระบวยเดียวก็พอแล้ว”
รอกระทั่งเด็กหนุ่มเอากระบวยไปเก็บที่ห้องครัวและย้อนกลับมา อีกครั้ง นักรพตก็ยิ้มเอ่ย “ใช่แล้ว ไม่เคยถามชื่อแซ่ของเจ้าเลย”
เด็กหนุ่มไม่ได้นั่งลงบนม้านั่งตัวนั้น แต่นั่งบนขั้นบันไดเลียนแบบ นักพรตอู๋ เบี่ยงตัวหันข้าง ตอบอย่างนอบน้อมว่า “นักพรตอู๋ ข้า ชื่อป๋ ายอวิ๋น”
นักพรตพยักหน้า “แซ่ป๋ ายนามอวิ๋น? เป็ นชื่อที่จาได้ง่ายจริงๆ”
ในบทฟ้ าดินของลู่เฉินเคยมีคากล่าวที่ว่า “พันปีเบื่อหน่ายโลกจึง จากไปเป็ นเซียน ขี่เมฆขาว (ป๋ ายอวิ๋น) ไปถึงแดนสวรรค์” นี่ต่างหาก จึงจะถือว่าไม่บังเอิญก็มิอาจแต่งต าราอย่างแท้จริงกระมัง?
เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย กดเสียงลงต่าเอ่ยว่า “ไม่กล้าหลอกท่าน นักพรต อันที่จริงป๋ ายอวิ๋นเป็ นแค่ชื่อในเวลานี้ แซ่เดิมของข้าคือหนิง ชื่อว่าหนิงจี๋”
นักพรตมีท่าทางประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ร ้องอ้อหนึ่งที ยิ้ม บางๆ เอ่ยว่า “แซ่หนิง? เป็ นแซ่ที่ดีมากเลยนะ”
เงียบไปครู่หนึ่ง นักพรตก็เอ่ยชมว่า “หากปรากฏการณ์ฟ้ าเกิด ความวุ่นวาย ลมและหมอกแปรปรวน มีเพียงฝึกบ าเพ็ญคุณธรรมและ พัฒนาตัวเองจึงจะเป็ นมงคล (หนิงจี๋) หนิงจี๋ ชื่อดี นอกจาก ความหมายตามตัวอักษรที่งดงามแล้ว คิดดูแล้วคนที่ตั้งชื่อนี้ให้เจ้า ตอนนั้นก็น่าจะฝากความหวังไว้ให้เจ้ามากเหมือนกัน”
เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง จากนั้นก็ตีหน้าเคร่ง ก้มหน้าลง เพียงแต่ว่าไม่ นานเด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มให้กับนักพรตอู๋ที่มีความรู ้ลึกล้า
เด็กหนุ่มที่ชื่อหนิงจี๋ผู้นี้ ในส่วนลึกของดวงตาเขามีทั้งความ เสียใจที่คล้ายกับแค้นใจในความผิดพลาดของตน แล้วก็ซุกซ่อน ความขอบคุณบางอย่างที่ไม่มีใครรู ้เอาไว้
เฉินผิงอันตบไหล่เด็กหนุ่ม ยิ้มเอ่ยว่า “แต่ข้ารู ้สึกว่าตั้งชื่อนี้ บาง ทีอาจไม่ได้มีความคาดหวังอะไร ก็เป็ นแค่ความหมายตามตัวอักษร แค่นี้เท่านั้น หวังเพียงว่าเจ้าจะไร ้โรคภัยไข้เจ็บ สงบสุขปลอดภัย”
เขาเองก็เคยเป็ นเด็กหนุ่มมาก่อน เมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มบางคนก็ รู ้สึกเหมือนได้เห็นตัวเอง
หนิงจี๋ที่เดิมทีพยายามเกร็งสีหน้าเอาไว้ พอได้ยินประโยคนี้แล้ว น้าตาก็พลันอาบไหลเต็มใบหน้า ก้มหน้าลงไป พยักหน้ารับแรงๆ
ความกลัดกลุ้มและความคิดถึงค านึงหาของเด็กหนุ่ม แสงจันทร ์ ที่สาดส่องไปทั่วพื้นดินประหนึ่งสายน้าที่ไหลริน
……
หมอกยามราตรีเหมือนผ้าโปร่งบาง ท่ามกลางความสลัวราง มองเห็นเค้าโครงร่างของซานจวินท่านหนึ่งได้ราไร ดวงตาสองข้างที่ ใหญ่เท่าหมัดเป็ นประกายเรืองรอง ยามจ้องมองก็คล้ายจะช่วงชิงจิต วิญญาณของคนไป
ซานจวินท่านนี้ก้าวเดินไร ้เสียง เรือนกายใหญ่โตมโหฬาร ฟันสูง เท่าตัวคน ใหญ่เท่าวัว
โดยทั่วไปแล้วบนภูเขามักจะมีงูเยอะ เพียงแต่ว่าผู้ที่เดิน ลาดตระเวนภูเขาของวัดแห่งนี้กลับไม่เคยเห็นแมลงตัวใหญ่หรือแมลง ตัวยาวมาก่อน
โชคดีที่คนลาดตระเวนภูเขาของวัดไม่ได้เห็นภาพนี้ ภิกษุในวัด เองก็มีแค่ตาเนื้อของมนุษย์ธรรมดาซึ่งไม่เคยผ่านการฝึกเวทคาถา เซียนมาก่อน หาไม่แล้วเกรงว่าคงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว
หยวนฮว่าจิ้งหิ้วถุงผ้าฝ้ ายใบหนึ่งมา เอ่ยกับซานจวินตนนี้ว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้าจะพูดเรื่องนั้นกับเจ้าขุนเขาเฉินเอง เพียงแต่ ว่าจะสาเร็จหรือไม่ก็ต้องอยู่ที่โชควาสนาของเจ้าเองแล้ว”
ภูเขามีชื่อเสียงที่มีวัดใหญ่ตั้งอยู่ ส่วนใหญ่ล้วนมีเรื่องเล่าที่คล้าย กับปลาและมังกรรับฟังเสียงสวดมนต์อยู่เสมอ
ซานจวินเอาศีรษะแนบติดพื้น หันตัวจากไป
หยวนฮว่าจิ้งใช ้วัดเล็กบนภูเขาลูกนั้นเป็ นสถานที่พักผ่อนหลบ ร ้อน จึงรู ้จักกับซานจวินที่มิอาจหลอมเรือนกายได้เสียทีตนนี้มานาน หลายปี
หลายร ้อยปีที่ผ่านมา ภิกษุที่อยู่ในวัดใช ้เวลาทั้งชีวิตหมดไปแล้ว ก็ยังไม่เคยเจอหน้าอีกฝ่ายเลยสักครั้ง
ทิ้งไว้เพียงตานานเล่าขานที่มีประวัติศาสตร ์ยาวนาน บอกว่าเคย มีจิตวิญญาณแห่งภูเขาที่คอยช่วยพิทักษ์ปกป้ องภิกษุสมณศักดิ์สูง มากด้วยบารมีโดยเฉพาะ ยามที่ใจของภิกษุไม่นิ่ง มันก็มักจะส่งเสียง ค ารามเตือน
หยวนฮว่าจิ้งมองไปทางประตูภูเขา เดินออกไปหนึ่งก้าว เรือน กายเหมือนเมฆหมอกที่สลายหายไป ตอนที่รวมตัวกันอีกครั้งก็
ปรากฏตัวอยู่ในห้องรับรองแขกที่สงบสวยงามของในวัดแล้ว ในห้อง ยังจุดแสงตะเกียงเอาไว้
อิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ในรูปโฉมของปัญญาชนลัทธิขงจื้ออายุมาก ผมตรงจอนหูสองข้างเป็ นสีดอกเลา ในมือหนึ่งถือตาราเดินมาเปิด ประตูให้ ยิ้มเอ่ยว่า “เซียนกระบี่หยวนลงจากภูเขามาได้อย่างไรกัน นี่?”
อันที่จริงก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ ายได้ไปเจอกันในศาลาริมหน้าผา รวมเซียนแล้ว แล้วก็ได้พูดคุยกันไปไม่น้อย
หยวนฮว่าจิ้งยื่นมือออกมา ส่งถุงใบนั้นให้กับเฉินผิงอัน “คือหวง จิง (สมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน) ที่งอกในสถานที่แห่งนี้ มีจานวนสาม จิน เพื่อแสดงความจริงใจ แต่อาจแสดงความเคารพได้ไม่เพียงพอ”
“เป็ นของดี คิดอยากจะขึ้นไปขุดบนภูเขามานานแล้ว แต่ก็ ผัดวันประกันพรุ่งมาหลายครั้งจนถ่วงเวลามานานถึงตอนนี้”
เฉินผิงอันไม่เกรงใจแม้แต่น้อย รับถุงมาจากมือของหยวนฮว่าจิ้ง ยกขึ้นลองชั่งน้าหนัก “ทั้งถุงทั้งหวงจิง สองจินเก้าตาลึง”
หวงจิงสามารถบ ารุงลมปราณ ปลอบประโลมอวัยวะภายใน หาก กินเป็ นเวลานานจะทาให้อายุยืน ดังนั้นของสิ่งนี้จึงมีอีกชื่อในตารายา ว่า “อู้จี่จือ” หมายถึงได้รับแก่นแท้อันบริสุทธิ์จากพื้นดิน และยังมีคา กล่าวอีกอย่างหนึ่งในบรรดาผู้ฝึ กลมปราณบนภูเขาว่า “อาหาร สารองของเซียนเหริน” แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็ นหนึ่งในอาหารเป็ นยาที่
พบเจอได้บ่อยที่สุดของเขียนชื่อทาเนียบ แต่หวงจิงของแต่ละสถานที่ ก็มีฤทธิ์ยาต่างกันออกไป อันที่จริงนี่ไม่ใช่ของแปลกใหม่ส าหรับเฉิน ผิงอัน ปีนั้นอยู่บนภูเขาของบ้านเกิดมันก็ไม่ถือว่าเป็ นของหายากแล้ว ดังนั้นจึงชินที่จะเรียกมันว่าหมี่ผู้มากกว่า มองเป็ นพืชที่ช่วยเหลือคน ยากจนอย่างหนึ่ง
หยวนฮว่าจิ้งพูดเข้าประเด็นทันที “ไม่มีเรื่องก็ไม่แวะไปเยือน ตาหนักซานเป่ า ครั้งนี้ข้าลงจากภูเขามาตอนกลางคืนเพราะมีเรื่อง อยากจะขอร ้อง”
เฉินผิงอันชูหวงจิงที่อยู่ในมือถุงนั้นขึ้น ยิ้มเอ่ยว่า “เอาของคนอื่น เขามาต้องมือสั้นบอกมาได้เลย หากช่วยได้จะต้องช่วยแน่นอน”
หยวนฮว่าจิ้งกล่าว “ในภูเขามีเสืออยู่ตัวหนึ่งที่สติปัญญาเปิ ด ออกมานานหลายปีแล้วแต่มิอาจหลอมเรือนกายได้ส าเร็จเสียที หวง จิงหลายจินนี้มันเป็ นคนขุดขึ้นมา ข้าก็แค่ช่วยน ามามอบต่อให้ เท่านั้น”
เฉินผิงอันนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วิญญาณแห่งภูเขา ประเภทนี้ถือเป็ นสิ่งมหัศจรรย์ แต่กลับต้องกลายเป็ นตัวประหลาดที่ ติดชะงักอยู่ที่เค้าโครงรูปลักษณ์ภายนอกมิน่าเล่าถึงได้ร ้อนใจ เป็ น โรคร ้ายก็เลยหาหมอส่งเดชสินะ”
หยวนฮว่าจิ้งรอคอยคาตอบอย่างอดทน
เฉินผิงอันยกตาราในมือขึ้น สามารถพูดได้ว่าเป็ นตารายา สมุนไพรเล่มหนึ่งที่รวบรวมนื้อหาสาคัญและสรุปให้สั้นกระชับ นับแต่ โบราณมาเต๋าและแพทย์ไม่แยกบ้านกัน
“ในเมื่อมีวาสนาได้พบกันโดยบังเอิญ”
“เรื่องนี้ ข้าจะช่วยเอง”
หยวนฮว่าจิ้งพยักหน้า แล้วเตรียมจะหมุนตัวจากไป
เฉินผิงอันยิ้มเรียกรั้งตัวไว้ “ในเมื่อมาแล้วก็ไม่ต้องรีบร ้อนไปไหน ถึงอย่างไรอยู่ว่างไม่มีอะไรท าก็อยู่คุยกันให้นานสักหน่อยเถอะ”
ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ ายปฏิเสธ พาหยวนฮว่าจิ้งเดินข้ามธรณีประตู เข้าไปโดยตรง เฉินผิงอันวางตาราเล่มนั้นไว้บนโต๊ะ ยกเก้าอี้ตัวหนึ่ง มาให้หยวนฮว่าจิ้ง หยวนฮว่าจิ้งมองห้องที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด สภาพไม่ต่างจากห้องพักของเขาเท่าไร
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “โจวไห่จิ้งที่ไปเสริมแผนภูมิดินให้ครบถ้วนคง ท าให้พวกเจ้าปวดหัวกันไม่น้อยเลยกระมัง”
พอหยวนฮว่าจิ้งคิดถึงปรมาจารย์ใหญ่หญิงผู้นี้ก็ปวดหัวอย่าง มากจริงๆ แต่จะว่าไปแล้วก็แปลก มีโจวไห่จิ้งมาเข้าร่วมสายแผนภูมิ ดิน ภูเขาสองลูกที่เดิมทีความสัมพันธ ์จืดจางตอนนี้กลับมีกลิ่นอาย คล้ายคนที่มีศัตรูร่วมกันแล้ว
เฉินผิงอันถามชวนคุย “หากจ าไม่ผิด ดูเหมือนเจ้าจะเคยเป็ นคน แก้ไขตัวอักษรของส านักราชเลขาธิการต้าหลีมาก่อน?”
หยวนฮว่าจิ้งพูดเสียงเรียบเฉย “ก็แค่ตาแหน่งที่ทางตระกูล จัดการให้ มีฐานะต่าต้อยในวงการการประพันธ ์ แค่ทาเรื่องในทาง ทฤษฎี มิอาจเปลี่ยนแปลงใจคนหรือแก้ไขขนบธรรมเนียมประเพณี อะไรได้ เป็ นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง”
เฉินผิงอันจุ๊ปาก “ฟังสิฟัง คาพูดประโยคนี้พูดได้ชวนเตะจริงๆ ยืนพูดไม่ปวดเอวหรือแน่จริงเจ้าก็ออกไปตะโกนข้างนอกสิ”
หยวนฮว่าจิ้งเพียงแค่ยิ้มรับ
จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าอิ่นกวานหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็ นลูกศิษย์คน สุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีแม้แต่ตาแหน่งกุ้ง เซิงหรือซิ่วไฉเลยไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันถาม “ตอนแรกสุดเจ้าคิดอย่างไรถึงมาหลบหาความ เงียบสงบที่นี่?”
หยวนฮว่าจิ้งมีสีหน้าเย้ยหยันอยู่บ้างเล็กน้อย ให้คาตอบที่พร่า เลือนซึ่งพูดก็เหมือนไม่พูด “จับผลัดจับผลูน่ะ”
จากนั้นหยวนฮว่าจิ้งก็เป็ นฝ่ ายย้อนถามว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ ต้องการอะไรอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ทาไมถึงถามอย่างนี้?”
หยวนฮว่าจิ้งเหลือบตามองเจ้าคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความ จริงใจผู้นี้แล้วนินทาในใจไม่หยุด ไยต้องแกล้งถามทั้งที่รู ้ดี เจ้าขุนเขา หนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วอย่างพวกเจ้าก็คือคนที่หากไม่เห็นกระต่ายก็ไม่มี ทางปล่อยนกอินทรี ไม่มีผลประโยชน์ก็ไม่ตื่นเช ้า
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “หรือว่าเซียนกระบี่หยวนรู ้สึกว่าสิ่งที่ข้า ต้องการชนกับเป้ าหมายในการมาเยือนที่นี่ของเจ้าพอดี จะสู้ก็สู้ไม่ได้ ก็เลยได้แต่ลงจากภูเขามาตอนกลางคืน ทั้งสามารถช่วยให้สหายใน ภูเขาผู้นั้นหาวิธีคลี่คลายปัญหา แล้วก็จะได้มาสืบเสาะเรื่องของข้า ที่นี่ด้วย หากคาตอบคือใช่ เจ้าก็ได้แต่ถอดใจ ถ้าค าตอบคือไม่ใช่ เซียนกระบี่หยวนก็จะมีโอกาสแล้ว”
หยวนฮว่าจึงพยักหน้า ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “มีความคิดนี้ อยู่จริงๆ”
เฉินผิงอันกล่าว “หากข้าบอกว่ามาที่นี่ไม่มีสิ่งใดที่ต้องการ เจ้า ต้องไม่เชื่อแน่ แต่ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร ข้าก็ได้แต่ปฏิบัติต่อผู้อื่น ด้วยความจริงใจ นอกจากจิตใจก็ไร ้สิ่งใด สิ่งที่ข้าต้องการไม่อยู่นอก กายจริงๆ”
ทันใดนั้นทั้งสองคนก็พากันเงียบงันไป
เฉินผิงอันเปิดปากพูดขึ้นมาก่อน เขาถามด้วยความประหลาดใจ ว่า “คือสมบัติอะไรที่ควรค่าให้เซียนกระบี่หยวนใส่ใจถึงเพียงนี้?”
สัมผัสได้ถึงสีหน้าผิดปกติของเฉินผิงอัน หยวนฮว่าจิ้งก็ได้แต่ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่ว่าจะในฐานะลูกหลานสกุลหยวนหรือ ในฐานะผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ก็ไม่มีเหตุผลให้เอาของคนอื่นมาโดยไม่ บอกกล่าวหรือบังคับฉกชิงของผู้อื่นมาเป็ นของตน”
เฉินผิงอันพยักหน้า ความรับผิดชอบในตัวเองและความหยิ่ง ทระนงน้อยนิดแค่นี้หยวนฮว่าจิ้งยังมีอยู่บ้าง
หยวนฮว่าจิ้งพลันถามว่า “เจ้าเคยเจอหลวงจีนน้าแกงไก่ ภิกษุ เสินชิงท่านนั้นหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ตอนที่เข้าร่วมการประชุมของ ศาลปุ่ นเคยเจอมังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธท่านนี้อยู่ไกลๆ แต่ไม่เคย คุยกัน”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยได้ยินเรื่องการพิทักษ์ปกป้ องสามครั้งของ มังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธท่านนี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า เขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องลับระดับนี้เป็ นครั้งแรก จริงๆ เห็นหยวนฮว่าจิ้งทาสีหน้าคลางแคลงก็ได้แต่อธิบายด้วยรอยยิ้ม ว่า “เชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า หลายปีมานี้ข้าท าความเข้าใจกับคดีของ ลัทธิพุทธมาไม่น้อย แต่เรื่องลับบนภูเขาประเภทนี้กลับไม่ค่อยไป สืบเสาะเท่าใดนัก”
หยวนฮว่าจิ้งกึ่งเชื่อกึ่งกังขา จึงเล่าเรื่องการปกปักษ์รักษาศาสนา พุทธสามครั้งนั้นให้ฟังคร่าวๆ การพิทักษ์ปกป้ องครั้งแรกของภิกษุ
เสินชิงคือม้าขาวแบกคัมภีร ์ เผยแพร่พระธรรมค าสอนไปทางทิศ บูรพา
ครั้งที่สองคือที่ใต้หล้ามืดสลัว เคยมีการโต้วาทีของลัทธิพุทธที่ ส่งผลกระทบลึกล้ายาวไกลครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์ลัทธิเต๋าหลายคนพ่าย แพ้การโต้วาที ต้องโกนหัวตามข้อตกลงทันที อีกทั้งยังต้องเปลี่ยน ลัทธิ หันมาเข้าร่วมกับลัทธิพุทธแทน
การพิทักษ์ปกป้ องครั้งที่สามก็คือที่วัดตงซานบนภูเขาโฟโถวที่ “เปิดประตูธรรมโดยไม่สนความเหมาะสม” ช่วยปกป้ องภิกษุอายุน้อย คนหนึ่งลงจากภูเขาไปยังท่าเรือแห่งหนึ่งอย่างลับๆ
เฉินผิงอันฟังมาถึงตรงนี้ก็พยักหน้ารับเบาๆ
หยวนฮว่าจิ้งถาม “ในเมื่อเจ้าเชี่ยวชาญเรื่องการแกะสลักหินทอง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรู ้ว่าบนโลกนี้มีรอยตราประทับสีแดงสดที่ไม่มี ตัวอักษรอยู่ชิ้นหนึ่ง”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แน่นอน คือหินต าข้าวห้อย เอวของบรรพบุรุษนิกายวินัยท่านนั้น ปีนั้นเขาขึ้นเขาไปขอพระธรรม คาสอนจากอู่จู่ ช่วงแรกที่เข้าไปอยู่ในวัดเป็ นคนงานต าข้าว เพราะ ร่างกายอ่อนแอ ลิ่วจู่จึงได้แต่เอาหินตาข้าวมาห้อยเอวไว้”
หยวนฮว่าจึงไม่ได้ปิ ดบัง บอกความจริงเรื่องหนึ่งอย่าง ตรงไปตรงมาว่า “รอยตราประทับที่ว่านี้อยู่ที่วัดแห่งนี้”
เรื่องนี้ถูกเก็บงาเอาไว้ ทางการของต้าหลีไม่ได้บันทึกลงใน เอกสารใดๆ เพียงแต่ว่าปี นั้นราชครูชุยเคยพูดถึง คนพูดไม่มีเจตนา แต่คนฟังมีใจ หยวนฮว่าจิ้งจึงอยากจะมาลองเสี่ยงดวงที่นี่ดู
เฉินผิงอันถาม “มีความเกี่ยวข้องกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่อา พรางอย่างลึกล้าเล่มนั้นของเจ้าหรือ?”
หยวนฮว่าจิ้งมีความจริงใจอย่างมาก “ไม่ใช่แค่มีความเกี่ยวข้อง แต่เป็ นกุญแจส าคัญเลยล่ะ”
เฉินผิงอันรู ้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าในเมื่อเกี่ยวข้องกับ รากฐานในการฝึกตนของหยวนฮว่าจิ้ง เขาก็ไม่คิดจะซักถามต่อแล้ว
เขากับลูกหลานสายตรงของสกุลหยวนเสาค้ายันแคว้นผู้นี้ไม่ใช่ ทั้งมิตรและศัตรู แม้ว่าวันนี้จะพูดคุยกันมากหน่อย ความสัมพันธ ์ คลี่คลายลงได้บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้สนิทสนม กันถึงขั้นนั้น
หยวนฮว่าจิ้งเงียบไปพักใหญ่ อยู่ดีๆ ก็โพล่งขึ้นมาว่า “มองดู เหมือนข้าได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม แต่อันที่จริง เล่มหนึ่งในนั้นคือกระบี่บินจาลอง อีกทั้งยังมาจากมือของราชครูชุย”
เฉินผิงอันจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด
หยวนฮว่าจิ้งถาม “ขอถามอะไรเจ้าหน่อย จะตอบหรือไม่ก็ตามใจ เจ้า ผู้พิฆาตมังกรคนนั้น เจ้ารู ้ถึงวิธีการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ ของเขาหรือไม่? จะเล่าให้ฟังได้ไหม?”
ก็เพราะการดารงอยู่ของผู้ฝึกกระบี่คนนี้ที่เป็ นเหตุให้ทายาทเจียว หลง ภูตและเซียนน้าทั้งหมดบนโลกมนุษย์ที่มีหวังจะกลายเป็ นมังกรที่ แท้จริง ถึงกับไม่มีใครกล้า “ข้ามบ่อสายฟ้ าไปแม้แต่ครึ่งก้าว” อย่าง เจียวเฒ่าหมื่นปีที่อยู่ในอาณาเขตแคว้นหวงถึงตนนั้นมีอายุขัยการ ฝึกตนยาวนานถึงเพียงใด ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยกล้าเดินลงน้าเหมือนกัน หรอกหรือ?
ไม่ใช่กลัวว่ากระบี่หนึ่งจะแหวกอากาศแล้วทะลุผ่านถ้าสถิตมา หรอกหรือ?
เฉินผิงอันคืนสติ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ล้าเส้นข้อห้ามมากเกินไป ไม่ สะดวกจะแพร่งพรายความลับสวรรค์กับเจ้า”
หยวนฮว่าจิ้งพยักหน้า
เฉินผิงอันกล่าว “กระบี่จาลองเล่มนั้น เลียนแบบกระบี่บินแห่ง ชะตาชีวิตของศิษย์พี่จั่วโย่วข้าใช่ไหม?”
หยวนฮว่าจิ้งยิ้มตอบ “เจ้าลองเดาดูสิ”
มารดามันเถอะ พอพูดจาประชดประชันเลียนแบบอิ่นกวานหนุ่ม ผู้นี้ก็ช่างผ่อนคลายสบายอารมณ์เสียจริง
เฉินผิงอันไม่เห็นเป็ นสาคัญ เพียงยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่หยวนแค่ เรียนรู ้ไปได้อย่างผิวเผินเท่านั้น มีอะไรให้ชอบใจกันเล่า ภาระหน้าที่ หนาหนักยาวไกล พยายามให้มากเข้าล่ะ”
นอกห้องคือความเงียบสงบ ต้นป่ายตั้งอยู่หน้าเรือน