กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1027.1 บุ๋นมีที่หนึ่งบู๊ไร ้ที่สอง
ยอดเขาโพโม่ เฉาเทียนจวินเงยหน้ามองฟ้ า ถามว่า “อาจารย์ อวี๋เสวียนผสานมรรคาแล้วหรือ?”
ลู่เฉินไม่ต้องเงยหน้ามองภาพปรากฏการณ์ดวงดาวก็รู ้ผลลัพธ ์ ได้แล้ว พยักหน้าเอ่ย “ส าเร็จแล้ว”
ลัทธิเต๋ามีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่เพิ่มมาอีกคนหนึ่งแล้ว ช่างเป็ น เกียรติยิ่งนัก
เฉาหรงมิอาจถอนสายตากลับมาได้เป็ นนาน
ลู่เฉินพึมพาเบาๆ ว่า “ซิ่วไฉเฒ่าชอบทาตัวเป็ นอาจารย์คนอื่น มิน่าเล่าถึงได้ล าเอียงรักลูกศิษย์ปิดสานักมากกว่าใคร ในเรื่องนี้เฉิน ผิงอันเหมือนเขาซิ่วไฉเฒ่ามากที่สุดแล้ว”
ควันธูปของสายเหวินเซิ่งไม่โชติช่วง ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอด ทั้งหลาย หากจะพูดถึงคนที่มีความรู ้ยิ่งใหญ่ ทั้งชุยฉานและฉีจิ้งชุน ต่างก็มีความรู ้ยิ่งใหญ่มาก ส่วนจั่วโย่วกับจวินเชี่ยนนั้นจะด้อยกว่า เล็กน้อย อีกทั้งต่างก็ไม่ชอบพูดหลักการเหตุผลกับใคร ซุยฉานมีลูก ศิษย์เข้าห้องอยู่แค่ไม่กี่คน มีน้อยจนนับนิ้วได้ จึงมิอาจพูดได้ว่าท้อ หลีมิอาจเอื้อนเอ่ย แต่ใต้ต้นกลับถูกย่าเป็ นทาง (ต้นท้อและต้นหลีพูด ไม่ได้ แต่ผลมีรสชาติอร่อย ผู้คนจึงพากันมาเด็ดจนย่าพื้นใต้ต้น กลายเป็ นเส้นทาง เปรียบเปรยว่าหากคนมีความจริงใจก็จะได้ใจคน
ไปเอง ไม่จาเป็ นต้องพยายามโอ้อวด) ฉีจิ้งชุนที่แม้ว่าปีนั้นจะก่อตั้ง ส านักศึกษาซานหยาไว้ที่ราชสานักต้าหลี อีกทั้งยังได้เลื่อนเป็ นหนึ่ง ในเจ็ดสิบสองส านักศึกษา แต่ผ่านไปไม่นานเท่าไรเขาก็ไปอยู่ถ้า สวรรค์หลีจู เป็ นอาจารย์สอนหนังสือให้กับเด็กประถม ดังนั้นหากจะ พูดถึงคนที่ชอบเป็ นครูของคนอื่น ยังคงเป็ นเฉินผิงอันที่เหมือนซิ่วไฉ เฒ่ามากที่สุด
ภูเขาสูงจันทร ์จึงดูเล็ก แต่ไฉนพระจันทร ์เล็กจึงส่องแสงสว่างนัก
เฉาหรงทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “การเข้าข้างและปกป้ องคน กันเองของอาจารย์เหวินเซิ่ง ไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้เลย”
ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลู่เฉิน อันที่จริงความสัมพันธ ์ ระหว่างเฉาหรงกับสายเหวินเซิ่งก็ถือว่าไม่เลว ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทาง ขอให้ชุยฉานลงนามตราประทับให้ได้ ในความเป็ นจริงแล้วปี นั้น หลังจากที่สานักศึกษาซานหยาถูกก่อตั้งขึ้นได้ไม่นานเท่าไร เฉาหรง ก็เคยไปฟังฉีจิ้งชุนสอน ได้รับผลประโยชน์มาไม่น้อย มีครั้งหนึ่งออก จากด่านในอารามหลิงเฟยเพราะอยู่นิ่งมานานอยากขยับตัวบ้างจึงลง จากภูเขาออกทะเล ไปเยือนหลุมน้าสู่ที่ตั้นตั้นฮูหยินเป็ นผู้ครอบครอง ระหว่างนั้นก็เคยบังเอิญเจอกับจั่วโย่วที่ไปเยี่ยมเยือนเซียนบนทะเล ปราณกระบี่เปี่ยมล้นทั่วร่าง ฝ่ ายหลังแค่ถามเทียนจวินลัทธิเต๋าท่านนี้ ค าเดียวว่า รู ้หรือไม่ว่าเผยหมินไปอยู่ที่ไหน เฉาหรงตอบว่าไม่รู ้ จั่ว โย่วผงกศีรษะตอบรับ แล้วก็ไม่ได้มีค าโอภาปราศรัยไปมากกว่านั้น เฉาหรงกาลังจะเป็ นเปิดปากถามว่าต้องการหาตัวผู้อาวุโสเผยหนึ่งใน
สามสุดยอดของไพศาลผู้นั้นไปทาไม ร่างของจั่วโย่วกลับออกห่างไป ไกลร ้อยพันลี้ในชั่วพริบตาแล้ว ปราณกระบี่ของเขาเฉียบคมอย่างถึง ที่สุด ประหนึ่งรุ ้งขาวที่ลอดทะลุตะวัน
การพบเจอกันบนทะเลโดยบังเอิญครั้งหนึ่ง ผู้ฝึกตนสองคนกลับ พูดคุยกันได้ไม่เกินสิบค า
ตอนนั้นตั้นตั้นฮูหยินที่มีฉายาว่า “ชิงจง” แอบหลบซ่อนตัวอยู่ ห่างไปไกลอย่างขลาดกลัว รอกระทั่งจั่วโย่วจากไปแล้วนางถึงได้กล้า ปรากฏตัว เห็นได้ชัดว่าเคยเจอเรื่องลาบากด้วยฝีมือของผู้ฝึกกระบี่ คนนั้นมาก่อน
เหมือนอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ ลูกศิษย์คนรองของเหวินเซิ่ง ตอน ที่ศึกษาหาความรู ้นิสัยก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว หลังจากฝึ กกระบี่ก็ยิ่ง ฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์เข้าไปอีก
ลู่เฉินกล่าว “ก็มนุษย์นี่นะ หากไม่รักบุพการีแล้วจะรักคนอื่นได้ อย่างไร”
เฉาหรงถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ จั่วโย่วจะได้กลับมายัง ไพศาลหรือไม่?”
ลู่เฉินพลันแผดเสียงตะโกนดังลั่น ทิ้งสามคาไว้ด้วยน้าหนักแน่น เด็ดเดี่ยวว่า “คาถามยิ่งใหญ่!”
เฉาหรงอึ้งค้างไปทันที ได้แต่รอฟังประโยคถัดไปจากอีกฝ่ าย เพียงแต่ไม่รู ้ว่าทาไมอาจารย์ถึงคล้ายถูกร่ายเวทกักร่าง ยืนนิ่งงันเป็ น
หุ่นไม้อยู่นาน เฉาหรงจึงรู ้ว่าค าถามของตนไม่มีทางได้ค าตอบแน่ แล้ว จึงเปลี่ยนไปถามข้อสงสัยที่ค่อนข้างจะเป็ นรูปธรรมมากขึ้น “หลังจากอวี๋เสวียนผสานมรรคา มรรคกถาระหว่างเขากับอู๋ซวงเจี้ยง แห่งต าหนักสู้ยฉู ใครสูงใครต่า?”
เพราะถึงอย่างไรสองคนนี้ต่างก็เป็ นผู้ฝึ กตนที่เพิ่งเลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบสี่คนใหม่
“คนรุ่นเยาว์” ในบรรดาขอบเขตสิบสี่ยังต้องรวมคนทรยศของ กาแพงเมืองปราณกระบี่อย่างอดีตอิ่นกวาน “เซียวสวิ้น” เข้าไปด้วย แต่จากข่าวลือเล็กๆ บางอย่างบนยอดเขา เซียวสวิ้นกับคนพิฆาต มังกรที่แม้ต่างก็เป็ นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่อย่างแน่นอน ทว่ากลับ ไม่ “บริสุทธิ์” นัก
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ จิ้มๆ ชี้ๆ ไปบนความว่างเปล่าคล้าย โยกย้ายก าลังทหารบนสนามรบ พริบตานั้นก็ “ขนเอา” เหล้าหมัก เซียนสิบกว่าชนิดที่ซ่อนอยู่ในห้องเก็บเหล้าใต้ดินอย่างลับๆ ของ ภูเขาแต่ละแห่งในทวีปมาได้ ลู่เฉินให้เฉาหรงเลือกเองหนึ่งกา เฉา หรงไม่ชอบดื่มเหล้าจึงปฏิเสธความหวังดีของอาจารย์ไปอย่างละมุน ละม่อม ลู่เฉินจึงเลือกเอาเหล้าชุนคุ่นที่มาจากยอดเขาเกิงอวิ๋นภูเขา เมฆาเรื่องมากาหนึ่ง แล้วโบกสะบัดชายแขนเสื้ออีกครั้งเหล้าหมักไห อื่นๆ ล้วนกลับคืนสู่ตาแหน่งเดิมทั้งหมด ลู่เฉินแกะผนึกดิน ก้มหน้า สูดกลิ่นเหล้า ไม่เสียแรงที่เป็ นสุราดีซึ่งสหายรักหมักเองกับมือ ได้ยิน มาว่าทุกวันนี้หวงจงโหวได้เป็ นเจ้าขุนเขาคนใหม่ของภูเขาเมฆาเรื่อง
แล้ว น่ายินดีด้วยอย่างแท้จริง คราวหน้าผินเต้าจะต้องไปร่วมแสดง ความยินดีด้วยถึงที่อย่างแน่นอน ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มรรคกถาสูง ต่า? เจ้าหมายถึงความแข็งแกร่งอ่อนด้อยด้านความสามารถในการ ต่อยตีโดยเฉพาะหรือ?”
เฉาหรงพยักหน้า
ลู่เฉินใช ้มือหนึ่งนวดปลายคาง อีกมือหนึ่งแกว่งกาเหล้า สีหน้า ลาบากใจ “เรื่องนี้จะพูดอย่างไรดีล่ะ”
การผสานมรรคามีคร่าวๆ อยู่สามประเภท ฟ้ าอ านวย ดินอวยพร คนสามัคคี ฝูลู่อวี่ เสวียนเดินไปบนเส้นทางของ “ฟ้ าอานวย” ส่วนวิธี ผสานมรรคาของอู๋ซวงเจี้ยงนั้นตอนนี้ยังเหมือนถูกบดบังไว้ด้วยเมฆ หมอก ไม่มีใครล่วงรู ้ได้ ทางฝั่งของป๋ ายอวี้จิงก็มีพวกเต้ากวานที่ เชี่ยวชาญเรื่องหยินหยางลองทาการอนุมานกันอยู่ เพียงแต่เนื่องจาก อู๋ซวงเลี้ยงมีวิชาความรู ้หลากหลายเกินไป อีกทั้งคุณสมบัติด้านการ ฝึกตนก็ดีเยี่ยม เต้ากวานของป๋ ายอวี้จิงจึงได้แต่ใช ้วิธีการที่โง่ที่สุด นั่นคือลองคานวณทุกวิถีทาง ตัดดินอวยพรออกไปก่อนแล้วค่อยๆ ตัดฟ้ าอ านวยออกไปทีละนิด สุดท้ายก็ยังเหลือความเป็ นไปได้ถึงสิบ กว่าประเภท…
ประเด็นสาคัญคือช่วงเวลาระหว่างนี้เจ้าลัทธิสามของป๋ ายอวี้จิงก็ “ช่วยให้เสียเรื่อง” ไปอีกไม่น้อย ทาให้เต้ากวานกลุ่มนั้นที่เดิมทีก็มี ภาระหน้าที่หนักหน่วงยุ่งยากพอแล้วยิ่งมีภาระงานเพิ่มขึ้นอีก….อย่าง น้อยหนึ่งเท่าตัว
ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตต่ากว่าสิบสี่ลงมา พลังพิฆาตสูงต่ายัง พอจะวิเคราะห์ได้ง่ายความตื้นลึกของปราณวิญญาณที่สะสมไว้ การ บุกเบิกช่องโพรงลมปราณ เวทคาถาวิชาอภินิหารที่ชานาญ จานวน ของสมบัติอาคม การจับคู่กับวัตถุแห่งชะตาชีวิต มีท่าไม้ตายที่เป็ น วิชาก้นกรุหรือไม่ ทักษะพิเศษที่เก็บซ่อนไว้อย่างลึกล้า…ทั้งหมดนี้ ล้วนสามารถน ามาก าหนดให้เป็ นรูปธรรมและเขียนลงบน หน้ากระดาษได้ แต่หากผู้ฝึ กตนใหญ่ผสานมรรคาเดินก้าวเข้าสู่ ขอบเขตสิบสี่ก็จะกลายเป็ น “บัญชีเลอะเลือน บัญชีหนึ่งแล้ว
ลู่เฉินทาเรื่องประหลาดด้วยการเทเหล้าชุนคุ้นออกมาจากในกา สุราสีเขียวมรกตลอยค้างอยู่กลางอากาศไม่ร่วงหล่นลงมา รวมตัวกัน เป็ นกระแสน้าไหลเส้นเล็กบาง ประหนึ่งคูน้าเล็กจิ๋วสายหนึ่งที่ถูกสาด ส่องด้วยแสงจันทร ์
ลู่เฉินเอ่ยเนิบช ้าว่า “ในเมื่อเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋สามารถ ครอบครองค าว่าฝูลู่จากใต้หล้าไพศาลไปเพียงล าพังได้ แน่นอนว่า ต้องเป็ นขอบเขตบินทะยานที่มีพลังพิฆาตสูงมากคล้ายคลึงกับหนึ่ง ในคนที่เล่นหมากล้อมเก่งที่สุด ไม่ใช่คนที่พวกฝีมืออ่อนด้อย ฝีมือ ธรรมดาทั่วไปจะเทียบเคียงได้ ที่สาคัญที่สุดก็คือยันต์สามารถจาแลง ออกมาเป็ นเวทคาถานับพันนับหมื่นรูปแบบ ทั้งกระบี่บิน ทั้งเวทอสนี การอัญเชิญเทพลงมาจุติ ฯลฯ ล้วนสามารถใช ้ยันต์ท าให้เกิด ประสิทธิผลที่คล้ายคลึงกันได้ นี่ก็คือข้อได้เปรียบที่มีเฉพาะของยันต์
ดังนั้นขอบเขตบินทะยานของอวี๋เสวียน ไม่ว่าจะอยู่ในใต้หล้าแห่งใดก็ ถือเป็ นขอบเขตบินทะยานที่ต่อสู้ได้เก่งมาก”
“ส่วนเจ้าต าหนักอู๋ของพวกเราท่านนั้น ตอนที่อยู่ต่ากว่าขอบเขต สิบสี่ก็เดินไปบนเส้นทางที่คล้ายคลึงกับฝูลู่อวี๋เสวียนเช่นกัน แอบ เรียนรู ้วิธีการไปมากมาย อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในทุกด้าน ไม่ใช่พวก คนที่รู ้ครึ่งๆ กลางๆ เรียนหลายอย่างแต่ไม่ชานาญสักอย่าง ดังนั้น หากตอนที่ทั้งสองฝ่ ายเป็ นขอบเขตบินทะยานแล้วมาเจอกันบนทาง แคบ ต้องวัดสูงต่า ต้องแบ่งแพ้ชนะเป็ นตายกัน เชื่อว่าหากตีกันขึ้นมา จะต้องน่าดูอย่างมากแน่นอน ต้องใช ้เวลานานมาก ปล่อยกลเม็ด วิธีการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง จะต้องน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง”
เฉาหรงได้ยินแล้วก็พยักหน้า บนภูเขามีคากล่าวบางอย่างที่แม้ จะผ่านมาเนิ่นนานก็ยังไม่เสื่อมหาย นอกจากนามาใช ้ชื่นชม “หนึ่ง กระบี่ทาลายหมื่นอาคม” ของผู้ฝึ กกระบี่แล้ว ยังมีความหมายว่า “ยันต์คือแผ่นฟ้ า แผ่ปกคลุมทุกสรรพสิ่ง” ด้วย
ในประตูใหญ่ของการฝึกตนบนภูเขา ผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกตนสาย ยันต์ล้วนเป็ นบุคคลที่พิเศษอย่างมาก
ไม่เหมือนกับการเล่นหมากล้อม การเขียนอักษรพู่กันจีน ธรณี ประตูไม่สูง ผู้ฝึกลมปราณสองสายอย่างกระบี่และยันต์ หากทาได้ก็ คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้
ทันใดนั้นทัศนียภาพรอบด้านพลันแปรเปลี่ยน พวกเขามาถึงตีน เขาแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็ นยามเช ้าตรู่ที่ยังมีเม็ดฝนบางๆ ไอหมอก ขมุกขมัว เฉาหรงไม่รู ้สึกประหลาดใจสักเท่าไรจิตแห่งมรรคาไร ้ริ้ว กระเพื่อม คิดแค่ว่าชมทัศนียภาพไปเป็ นเพื่อนอาจารย์ที่จากลากันไป นานแล้วได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง อาจารย์และศิษย์สองคน ทั้งๆ ที่ ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับหยุดนิ่ง แต่ร่างกลับเคลื่อนไหวรวดเร็วราวเซียน เหินขึ้นสวรรค์ เฉาหรงกวาดตามองรอบด้าน เดาว่าน่าจะเป็ นภูเขาที่ มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง แก่นแท้แห่งฟ้ าดิน ปราณวิญญาณแห่งภูเขา เซียน สองข้างถนนล้วนมีแต่ต้นสนโบราณ ชุดคลุมเต๋าของคนทั้ง สองถูกสีสันของภูเขาอาบย้อมเป็ นสีเขียวขจี ท่ามกลางม่านฝนพอจะ ได้ยินเสียงนกเขา นกฮว่าเหมยร ้องดังเป็ นจังหวะขึ้นลง
ผู้ที่เดินอยู่บนเส้นทางภูเขามีทั้งคนที่ขี่ม้าและเดินเท้า ใช ้เชือกดึง พากันเดินดูเหมือนว่าจะมีขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่ได้รับโองการให้ขึ้นเขา มาเยี่ยมเยือนเซียน
เฉาหรงเห็นตัวอักษรที่แกะสลักบนหน้าผาถึงได้รู ้ว่าที่แห่งนี้คือ ภูเขาเฉวียนเจียว ได้เจอกับนักพรตลักษณะคล้ายคนโบราณผู้หนึ่ง ที่มาปลูกดอกไม้อ่านต าราสร ้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ เขาทาเป็ นมอง ไม่เห็นพวกเขาทั้งสอง
คล้ายกับเซียนดินยุคบรรพกาลคนหนึ่งที่รั้งอยู่ต่อในโลกมนุษย์ รอให้เวลาอีกหลายสิบปีผ่านพ้นก็จะสามารถอาศัยการสะสมบุญกุศล มาสละร่างบินทะยาน ทิ้งไว้เพียงคราบเซียนไว้ในภูเขา
ลู่เฉินกล่าวต่ออีกว่า “เพียงแต่ว่าหลังจากผสานมรรคาแล้ว มรรคาสูงต่า กว้างแคบกลับไม่อาจใช ้หลักการเหตุผลทั่วไปมา ประเมินได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่นการเข่นฆ่าในยามค่าคืน หรือที่นอก ฟ้ า ต้องเป็ นอวี๋เสวียนที่ผสานมรรคากับดวงดาวที่ได้เปรียบอย่าง แน่นอนแต่หากเป็ นตอนกลางวันในโลกมนุษย์ หากเจ้าตาหนักอวี๋เอา สถานะของส านักการทหารมาใช ้ใหม่อีกครั้ง เข่นฆ่าจนตาแดงก่า ขึ้นมาจะน่ากลัวอย่างมาก โดยทั่วไปแล้วขอแค่ฝ่ ายใดไม่คิดอยาก ตาย ก็ยากมากที่ขอบเขตสิบสี่จะฆ่าขอบเขตสิบสี่ได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นหมื่นปีที่ผ่านมานี้ สถานการณ์บนภูเขาจึงเป็ นขอบเขตสิบสี่ที่ แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ขอบเขตบินทะยานดุจน้าไหล”
“วิธีการคิดบัญชีของขอบเขตสิบสี่แตกต่างจากขอบเขตทั้งหมด ก่อนหน้านั้น”
“กับพวกคนนอกวงการอย่างพวกเจ้า ถึงอย่างไรก็ไม่อาจบอก เล่าทัศนียภาพที่แท้จริงให้เข้าใจอย่างชัดเจนได้”
ในขณะที่เฉาหรงกาลังจะ “ยกเท้าเหยียบลงบนยอดเขา” นั้นเอง ทัศนียภาพก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง สองฝ่ายไปยืนอยู่ในเรือลาหนึ่ง
ริมฝั่งมีดอกท้อบานสะพรั่งนับร ้อยนับพันต้น เป็ นสีแดงจ้าเหมือน ก้อนเมฆสีแดงระหว่างนั้นแซมด้วยดอกท้อขาวอยู่หลายต้น บุปผาผลิ บานน่ารักดุจดรุณีน้อย
ทะเลสาบสีมรกตประหนึ่งคันฉ่องที่เพิ่งถูกขัดถูใหม่ ฤดูใบไม้ผลิ น้ายังไม่เพิ่มขึ้นสูงกระแสน้าเปลี่ยนเป็ นอ่อนโยนนุ่มนวล เรือน้อย คล้ายล่องอยู่ในม้วนภาพแห่งขุนเขาสายน้า
ลู่เฉินยืนอยู่บนหัวเรือ ในมือมีกิ่งดอกท้อเพิ่มมาหนึ่งกิ่ง เขาบิด หมุนข้อมือเบาๆ “รอดูไปเถอะ ภายในพันปี การเข่นฆ่าระหว่าง ขอบเขตสิบสี่ด้วยกัน ยิ่งนานจะยิ่งมีถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ขอบเขตสิบสี่ เดิมตายดับ ขอบเขตสิบสี่ใหม่พากันลุกผงาด นี่ก็คือแนวโน้มของ สถานการณ์ใหญ่แล้ว”
“ผู้ฝึ กตนขอบเขตสิบสี่กริ่งเกรงผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขตบินทะยาน มากที่สุด แน่นอนว่าก็แค่กริ่งเกรงเท่านั้น ไม่ถึงกับหวาดผวา ผู้ฝึก กระบี่ขอบเขตเขียนเหรินสามารถสังหารขอบเขตบินทะยาน นี่ไม่ถือ ว่าเป็ นเรื่องที่หายากอะไร ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคิดจะสังหาร ขอบเขตสิบสี่ กลับยากราวเดินขึ้นสวรรค์ แต่เรื่องราวก็มักจะมี ข้อยกเว้นอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่นบนเรือราตรีล าก่อนหน้านี้ เจ้า ตาหนักอวี่เผชิญหน้ากับการล้อมสังหารของผู้ฝึกกระบี่กลุ่มหนึ่ง ใน บรรดาคนเหล่านั้นก็มีเฉินผิงอันที่ผสานมรรคากับกาแพงเมืองปราณ กระบี่ หนิงเหยาที่บนร่างแบกรับโชคชะตาของใต้หล้าแห่งหนึ่ง ต่างก็ ถือเป็ นการลงมืออย่างไร ้เหตุผลที่ก่อกวนวุ่นวาย หากเปลี่ยนเป็ นข้า ที่อยู่บนเรือลานั้นก็คงไม่ยินดีเผชิญหน้ากับสถานการณ์ประเภทนี้ เหมือนกัน พูดถึงแค่ว่าหากไม่ทันระวัง ตีกันไปตีกันมาก็ต้องคุมเชิง
อยู่กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เจอกับกระบี่หนึ่งของเฉินชิงตู ใครจะ ไม่กลัวบ้างเล่า”
เฉาหรงเพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องลับระดับนี้เป็ นครั้งแรก เพียงแต่ว่าอู๋ ซวงเจี้ยงลอบเข้ามาในใต้หล้าไพศาลอย่างลับๆ ด้วยเรื่องอันใด? คง ไม่ใช่เพื่อหยั่งเชิงน้าหนักของเฉินอิ่นกวานกับหนิงเหยาหรอก กระมัง?
หรือจะบอกว่าอู๋ซวงเจี้ยงต้องการร่วมมือกับเฉินผิงอัน ภูเขาลั่ว พั่ว หนิงเหยาและนครบินทะยานของใต้หล้าห้าสี เพื่อร่วมกันวางแผน เล่นงานป๋ ายอวี่จิงอย่างลับๆ?
ห่างออกไปไกลคือสะพานโค้งทอดยาว ผิวทะเลสาบเหมือน กระจกแก้วใสสีเขียวมรกต เรือลาน้อยล่องไปเบื้องหน้าช ้าๆ เกิดเป็ น ริ้วกระเพื่อมเบาๆ ประหนึ่งกรีดผ่าแก้ว กระจกให้แตก
เฉาหรงพลันสังเกตเห็นว่าระหว่างต้นท้อริมฝั่งคล้ายจะมีสตรีคน หนึ่งที่จ้องมองมาทางเรือลาเล็กนี้ ข้างกายของสตรีคือเด็กหนุ่มผู้มี เขากวางชาติก าเนิดประหลาดยืนอยู่ด้วยสายตาของเขามืดลึก ชาย แขนเสื้อสองข้างห้อยลงเบื้องล่าง พวกเขาเองก็เห็นเรือลาเล็กบน ทะเลสาบแล้วเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจึงมองสบตากัน
พริบตานั้นทัศนียภาพก็กลับคืนไปเป็ นยอดเขาโพโม่อีกครั้ง ลู่ เฉินยิ้มเอ่ย “ก็แค่ว่าตอนนั้นเจ้าตาหนักอู๋ยินดีเป็ นฝ่ ายยอมแพ้ก่อน แน่นอนว่าเขาจงใจแสร ้งท าเป็ นอ่อนแอ การเดินทางไปเยือนเรือราตรี
ของเขาคือการเฝ้ าตอรอกระต่าย เพียงแค่เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าเฉิน ผิงอันมีคุณสมบัติจะเป็ นพันธมิตรของเขาหรือไม่ แน่นอนว่าไม่มีทาง ลงแรงเต็มที่ให้ตายกันไปข้าง”
“ครั้งแรกที่มีเหรียญเงินปรากฏบนโลกก็เพื่อให้ใครสักคนมีเงิน ยิ่งกว่าเดิมอย่างนั้นหรือ?”
“ลัทธิพุทธมีหกบารมี ทานบารมีคืออันดับหนึ่ง ชายหญิงผู้มีจิต ศรัทธาในโลกมนุษย์บริจาคเงินให้แก่วัด ทางวัดแจกจ่ายทรัพย์สิน ให้กับใต้หล้า เจตนาเดิมของการไหลเวียนประเภทนี้เป็ นเหตุให้น้า ไหลไม่เน่าเสีย บานพับขยับย่อมไม่ผุ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็ใช ้สองนิ้วคีบ “สุรา” ช่วงหนึ่งที่ลอยอยู่ ตรงหน้าตัวเอง โยนใส่ปาก “หากว่ามรรคกถาของผู้ฝึกตนสามารถ น าความสามารถในการต่อสู้มาตัดสินสูงต่าได้อย่างเดียวจริงๆ จะมี ความหมายหรือ?”
เฉาหรงพยักหน้า “ไม่ถูกต้อง”
ลู่เฉินกลับยิ้มเอ่ย “ผิดแล้ว การฝึกตนในช่วงแรกสุดของนักพรต บนโลกไม่ใช่เพื่อการต่อสู้ แล้วยังจะเพื่ออะไรได้อีกเล่า?”
ขึ้นเขาเพียงแค่เพื่อเดินขึ้นสวรรค์ ฟ้ าพลิกดินคว่าอย่างฮึกเหิม กร ้าวแกร่ง
ลู่เฉินคีบสุราช่วงนั้นขึ้นมา หันหน้ามายิ้มเอ่ย “เฉาหรงอ่า อย่า เอาแต่ขมวดคิ้วมุ่นไม่คลายเช่นนี้สิ ฟ้ าดินมิอาจขาดความสงบกลม เกลียวฉันท์ใด ใจคนก็มิอาจขาดความสุขความเบิกบานฉันท์นั้น”
“นับประสาอะไรกับที่รากฐานขอบเขตเซียนเหรินของเจ้าก็ปูมา ได้ดีขนาดนี้ หากไม่เป็ นเพราะอาจารย์จงใจหลอกเจ้า ด้วยจิตแห่ง มรรคาและคุณสมบัติของเจ้า ป่ านนี้คงอยู่ยอดเขาของขอบเขตบิน ทะยานไปนานแล้ว หากโชคบนเส้นทางการฝึกตนดีขึ้นอีกหน่อย ไม่ แน่ว่าทุกวันนี้อาจได้สัมผัสธรณีประตูของการผสานมรรคาแล้วก็ได้ พูดไปพูดมา เรื่องนี้ต้องโทษข้า”
อันที่จริงเฉาหรงคือนามแฝง บรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของอารามห ลิงเฟยท่านนี้มีฉายา ว่า ‘เทียนรุ่ย
ก่อนหน้านี้ชื่อเดิมของเขาคือเจิ้งเจ๋อ มาจากรัฐฉี่ คือแคว้นเล็ก แคว้นหนึ่งที่ล่มสลายไปนานแล้ว คือดินแดนต่าต้อยที่ฐานะลดต่าแล้ว ลดต่าอีก เป็ นเหตุให้มีบันทึกในต าราประวัติศาสตร ์ทางการอยู่น้อย มาก สิ่งเดียวที่ถูกคนในโลกยุคหลังพูดถึงกัน เกรงว่าก็น่าจะมีแค่เรื่อง เล่าคนรัฐฉี่กังวลว่าฟ้ าจะถล่มนั่นแล้ว “เจิ้งเจ๋อ” เคยเป็ นขุนนางผู้ รวบรวมบทกวีที่ท่องไปทั่วใต้หล้าคนหนึ่ง
นาทีถัดมาพวกเขาก็มายังถนนทางหลวงสายหนึ่ง บนถนนมีคน ขี่ม้าและรถม้าสัญจรแล้วก็มีคนที่เดินเท้า ชายหาบฟืนและคนขาย ถ่าน
ตอนที่ลู่เฉินหยุดเดินก็ไปยืนอยู่หน้าประตูของจุดพักม้าแห่งหนึ่ง เฉาหรงมองกรอบป้ ายก็เห็นว่าชื่อจุดพักม้าโฉวปี่