กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1027.2 บุ๋นมีที่หนึ่งบู๊ไร ้ที่สอง
ลู่เฉินเล่าเรื่องน่าสนใจให้ฟัง จางเฟิงไห่แห่งนครอวี้ซูที่ถูกกักขัง อยู่นานแปดร ้อยปี เขาได้ออกไปจากถ้าแยนเสียตาหนักเจิ้งเยว่แล้ว อาจารย์ของอาจารย์เจ้ารับปากเขาด้วยตัวเองว่าขอแค่เอาชนะการ โต้วาทีของสามลัทธิได้ ก็จะหลุดพ้นจากท าเนียบเต๋าของป๋ ายอวี้จิ งก่อนข้าจะมาที่นี่ เขาเพิ่งไปเยือนยอดเขารุ่นเยว่มารอบหนึ่ง เตรียม จะพูดโน้มน้าวผู้ฝึ กยุทธซินขู่ให้ไปก่อตั้งสานักด้วยกัน หลวี่ปี้เสีย เซียนอิสระที่ก่อนหน้านี้ออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามพร ้อมกับจางเฟิงไห่ ก็จะคอยช่วยเหลือพวกเขา ข้างกายยังมีสือสิงหยวนที่ตอนนี้ชื่อเสียง ยังไม่โด่งดังอยู่ด้วย หากจางเฟิงไห่เจรจาเรื่องนี้ได้สาเร็จ ซินขู่ยินดี ออกจากภูเขา ถ้าอย่างนั้นพรรคที่มีคนมีพรสวรรค์สี่คนนี้ก็มิอาจดู แคลนได้เลย”
เฉาหรงขนลุกชัน
คงไม่ใช่ว่ามรรคาจารย์เต๋าคลายตราผนึกตาหนักเจิ้นเยว่แล้ว ปล่อยจางเฟิงไห่ออกมา จากถ้าแยนเสียด้วยตัวเองหรอกนะ?
นี่ไม่ใช่การปล่อยเสือกลับภูหรอกหรือ? ใครบ้างไม่รู ้ถึงบุญคุณ ความแค้นระหว่างจางเฟิงไห่กับเจ้าลัทธิอวี๋? นั่นคือความแค้นที่เป็ น เงื่อนตายเชียวนะ จางเฟิงไห้ไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนทั่วไป หากปล่อยให้คนผู้นี้ก่อตั้งสานัก แตกกิ่งก้านสาขา เสริมสร ้างกอง
ก าลังให้แข็งแกร่ง ต่อให้เป็ นป๋ ายอวี้จิงก็ยังถือว่าเป็ นภัยแฝงที่ไม่เล็ก อย่างหนึ่งอยู่ดี เพราะตามความเห็นของเฉาหรง หากใต้หล้าเปลี่ยว ร ้างโจมตีเก้าทวีปของไพศาล ส าหรับสองใต้หล้าแล้วล้วนถือเป็ น กระดาษข้อสอบแผ่นหนึ่ง หัวข้อในการสอบของไพศาลนั้นอยู่ที่สอง ค าว่า “ภัยภายนอก” ถ้าอย่างนั้นสิบสี่มณฑลของมืดสลัวที่มีคลื่นใต้ น้าก็จะต้องเจอกับกระดาษข้อสอบที่มีสองคาว่า ‘ความกังวลภายใน
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องตื่นเต้น ตามความเห็นของอาจารย์ ศิษย์ พี่อวี๋ของข้ามีหนี้เยอะไม่กลัวว่าจะทับตัวตาย ไม่ได้สนใจจางเฟิงไห่ที่ เป็ นดอกไม้บานในกาแพงแต่ส่งกลิ่นนหอมไปนอกก าแพงเลยแม้แต่ น้อย”
“ส่วนทางฝั่งของใต้หล้าไพศาล โจวชิงเกาที่มาจากกระโจมเจี่ย เซิน หากไม่ผิดไปจากที่คาด เขาจะเข้ามาแทนที่ผู้ฝึกตนหญิงบางคน ที่ถูกกู้ซ่านแห่งนครจักรพรรดิขาวหลอกเอาตัวไป เพื่อชดเชย ตาแหน่งที่ขาดของสายแผนภูมิฟ้ า อีกทั้งยังจะต้องกลายมาเป็ นผู้นา เชื่อว่าเรื่องพวกนี้ล้วนเป็ นเรื่องที่อาจารย์ของเขาคาดการณ์ไว้ ล่วงหน้าอยู่แล้ว อ้อมไปอ้อมมาก็ยังได้ผลลัพธ ์เหมือนเดิมอยู่ดี ควรจะ บอกว่าน้าดีไม่ไหลเข้านาคนนอก หรือควรจะบอกว่าเป็ นการทาสิ่งที่ เกินความจ าเป็ นอย่างการถอดกางเกงผายลมกันเล่า?”
เฉาหรงพยักหน้า “ผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ ยากมากที่จะมี ใครได้ครอบครองชื่อเสียงดีงามเพียงลาพัง”
ดูเหมือนว่าลู่เฉินจะไม่เห็นด้วยกับคากล่าวนี้ “อาจารย์ลุงอวี๋ของ เจ้าไม่ใช่ว่าเคยใช ้ตรา ประทับส่วนตัวประทับลงไปในสมุดภาพของ เจ้าหรอกหรือ?”
เฉาหรงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “บุ๋นมีที่หนึ่ง บู๊ไร ้ที่สอง”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “บุ๋นในที่นี้ แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงบทกวีเล็กๆ น้อยๆ แต่หมายถึงมรรคกถา บู๊ หมายถึงการประลองคาถากับผู้อื่น คือความสามารถในการเข่นฆ่า”
นี่จึงเป็ นเหตุให้เนื้อหาของตราประทับนี้ก็คือการเขียนบอกความ ในใจที่จริงจังชัดเจนที่สุดของศิษย์พี่อวี๋โต้ว เขาต้องการเป็ นบุคคลที่ เป็ นอันดับหนึ่งทั้งด้านมรรคาและด้านศาสตร ์ต่างๆ
มรรคาของข้าสูงที่สุด ส่วนความสามารถในการต่อสู้ ขอโทษ ด้วย พวกเจ้าได้แค่ไปแย่งชิงอันดับที่สองกันเท่านั้น
เฉาหรงรู ้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง “คาพูดทานองนี้ มีเพียงอาจารย์ลุ งอวี๋เท่านั้นที่พูดได้ อีกทั้งคนอื่นฟังแล้วไม่รู ้สึกว่าเขาก าเริบเสิบสาน กลับกันยังรู ้สึกว่าเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิมห้าวหาญ”
ลู่เฉินหัวเราะร่วนถามว่า “เฉาหรง หากเจ้าเป็ นศัตรูกับอาจารย์ลุ งอวี๋ เจ้าจะคิดอย่างไร?”
เฉาหรงยิ้มเงื่อน “ไหนเลยจะกล้า แม้แต่คิดก็ยังไม่กล้าเลย”
ลู่เฉินตีหน้าเคร่ง “หากเป็ นแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ แล้ว เจ้ามิอาจตัดสินใจได้ด้วยตัวเองล่ะ ยกตัวอย่าง แค่ยกตัวอย่างนะ ยกตัวอย่างว่าวันใดอาจารย์แตกหักกับศิษย์พี่อวี๋แล้วต้องต่อสู้กัน จากนั้นก็ถูกศิษย์พี่อวี๋ฆ่าตาย เจ้าที่เป็ นลูกศิษย์จะไม่แก้แค้นให้ อาจารย์หรือ?”
เฉาหรงปากอ้าตาค้าง
ลู่เฉินตบไหล่ของเฉาหรง เอ่ยสั่งสอนว่า “ฟังคาล้อเล่นไม่ได้แบบ นี้จะอยู่ในยุทธภพได้อย่างไร อาจารย์มีข้อดีตั้งมากมาย เจ้าเรียนรู ้ เอาเรื่องอะไรไปบ้างเล่า?”
และเวลานี้เอง ศีรษะของลู่เฉินก็เอียงไปข้างหนึ่ง เขารีบยื่นมือไป ประคองกวานเต๋าให้ตั้งตรงทันที
คนที่ไม่ชอบคาล้อเล่นที่สุดยังคงเป็ นศิษย์พี่อวี๋โต้วต่างหาก
อวี๋โต้วประลองเวทคาถากับคนอื่น ขึ้นชื่อว่าหนึ่งคนหนึ่งที กระ ทั่ง….ไปเจอกับเจ้าอาเหลียงชาติสุนัข
เห็นได้ชัดว่าเฉาหรงก็นึกถึงมือกระบี่ที่ “ชื่อเสียงฉาวโฉ่” ผู้นี้ เหมือนกัน จึงถามว่า “อาจารย์ การต่อสู้ที่นอกฟ้ าสองครั้งนั้น อาจารย์ลุงอวี๋เจอกับอาเหลียง ได้ออมแรงไว้กี่ส่วน?”
ลู่เฉินรีบร่าย “เวทย้ายสุรา” อีกครั้งอย่างว่องไว เอาเหล้าหมักกา หนึ่งที่ขโมยมาจากตาหนักฉางชุนออกมาจิบหนึ่งอีกเพื่อระงับความ
ตกใจ แล้วถึงได้ย้อนถามว่า “เจ้าไม่ควรถามก่อนว่าข้าได้ออมแรงไว้ หรือไม่หรอกหรือ?”
เฉาหรงแค่รู ้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ ต่อให้วิถีกระบี่ของอาเหลียงผู้นั้น จะสูงแค่ไหน แต่เจอกับอาจารย์ลุงอวี๋ที่มีฉายาว่า “ผู้ไร ้เทียมทานที่ แท้จริง” ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะไม่มีโอกาสชนะสักเสี้ยวถึงจะถูก แต่ใน ความเป็ นจริงแล้ว การต่อสู้ครั้งแรก อาเหลียงถูกอวี๋โต้วต่อยหมัด หนึ่งจนหล่นจากนอกฟ้ ามายังไพศาล ทว่าการต่อสู้ครั้งที่สองกลับ เป็ นอาจารย์ลุงอวี๋ที่ถูกอาเหลียงต่อยหนึ่งหมัดจนร่างร่วงกลับไปยังใต้ หล้ามืดสลัว
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “นี่ก็คือแก่นแท้ของการประลองเวทของขอบเขต สิบสี่ เพียงแต่ว่าความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกี่ยวพันกับมหามรรคาของศิษย์พี่อวี๋และใครคนใด ข้าคงไม่พูด กับเจ้าให้มากความแล้ว”
เฉาหรงมองไปยังอาจารย์อย่างคลางแคลงไม่แน่ใจ
เพราะศิษย์พี่ใหญ่เคยเล่าให้ฟังว่าอาจารย์มีงานอดิเรกเฉพาะ ตัวอย่างหนึ่ง ระหว่างผู้ฝึ กตนบนยอดเขาไม่สะดวกจะเรียกชื่อกัน อย่างตรงไปตรงมา เพราะจะมีการรับสัมผัสผ่านจิตได้ แต่อาจารย์ กลับไม่เหมือนกัน ขอแค่เบื่อหน่ายก็มักจะ ‘รบกวน” อีกฝ่ ายครั้งแล้ว ครั้งเล่า รู ้ว่าอีกฝ่ ายก่นด่าแล้วถึงจะเริ่มพูดคุยด้วย แล้วก็ไม่สนใจด้วย ว่าอีกฝ่ ายจะยินดีคุยด้วยหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าหากเป็ นอาเหลียง อาจารย์กลับไม่ยินดีจะเอ่ยเรียกว่า “อาเหลียง
ลู่เฉินหัวเราะร่า “เจ้าคิดดูสิ ไอ้หมอนี่ออกหมัดกลับกลอก ไม่มี คุณธรรมเลยแม้แต่น้อย ออกกระบี่จะดีได้แค่ไหนกันเชียว ข้าก็กลัว เขาเหมือนกัน”
หลังจากนั้นลู่เฉินก็พาเฉาหรงมาที่สนามสอบเคอจวี่ในปีเจียโย่ว ที่สองและยังไปในวันที่เก้าเดือนห้าปีหงอู่ที่สามสิบเอ็ด เฉาหรงได้เห็น ว่าในห้องเล็กที่แขวนผ้าต่วนสีขาวห้อยไว้บนขื่อคานแห่งหนึ่งในวัง มี เหล่าสตรีกาลังร่าไห้ แล้วก็มีสตรีที่สีหน้าเฉยชา หลังจากนั้นพวกเขา ก็ได้พบกับคนเฝ้ าต้นสนที่ภูเขาอีซาน มีล าธารสีเขียวมรกตไหลผ่าน ภูเขา น้ารสหวานไหลลื่นดุจไขกระดูกไหลเยิ้ม ลู่เฉินมาหยุดเดินอยู่ ที่นี่ วักน้าล้างหน้า ยามสนธยานกบินเกาะชายคา ก้อนเมฆโอบล้อม อยู่กึ่งกลางภูเขา ลู่เฉินนั่งอยู่ริมหน้าผา นอกจากคนเฝ้ าต้นสนแล้ว เฉาหรงยังคล้ายจะได้เห็นอิ่นกวานหนุ่มที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ชมพระอาทิตย์ตกอยู่ด้วยกัน ลู่เฉินนั่งมอง ตะวันตกดิน คนชุดเขียวมองภูเขาเขียวขจี
อยู่ดีๆ ลู่เฉินก็ถามขึ้นว่า “เฉาหรง เมื่อหมื่นปีก่อน เจ้ารู ้หรือไม่ ว่าใครคือผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ที่อายุน้อยที่สุด?”
เฉาหรงส่ายหน้า เพราะถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่มีบันทึกเอาไว้ แล้ว ก็ไม่มีข่าวใดๆ แพร่ออกมา
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “แล้วภายในหมื่นปีล่ะ?”
เฉาหรงมีสีหน้าปั้นยาก “อันที่จริงคือเหวินเซิ่ง”
ลู่เฉินพยักหน้า “ใช่แล้ว ก็คือซิ่วไฉเฒ่าผู้นี้ แต่เพียงแค่เพราะ ใครเห็นเขาก็ชอบเรียกเขาว่าซิ่วไฉเฒ่า ถึงได้ทาให้พวกเราหลงลืม ไปได้อย่างง่ายดายว่า เขาคือบัณฑิตที่เลื่อนจากขอบเขตหนึ่งถึง ขอบเขตสิบสี่ภายในร ้อยปี พูดให้ถูกต้องก็คือเริ่มฝึกตนตอนอายุสี่ สิบ อายุร ้อยปีก็บรรลุมรรคา ใช ้เวลาแค่หกสิบปีเท่านั้น”
“เพียงแค่เพราะซิ่วไฉเฒ่าผสานมรรคากับดินอวยพร ถึงได้ดูไม่ น่าตะลึงพรึงเพริดถึงเพียงนั้น แต่มีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู ้เรื่องวงใน ว่า หากไม่เป็ นเพราะมีภาระหน้าที่ของอริยะแห่งศาลบุ๋นติดตัว ซิ่วไฉ เฒ่าก็สามารถผสานมรรคากับคนสามัคคีได้เลย”
เฉาหรงรู ้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก ปีนั้นเหวินเซิ่งออกไปจากสวนกง เต๋อ ท่องไปในแจกันสมบัติทวีป เคยมาเยือนอารามหลิงเฟย ยืนกราน จะใช ้เทียบอักษรแลกสุราให้ได้ เฉาหรงไม่ยอมตอบตกลง เวลานี้คิด แล้วก็รู ้สึกเสียใจภายหลังเหลือเกิน
ภูเขาสายน้าใต้ฝ่ าเท้าของอาจารย์และศิษย์สองคนเปลี่ยนแปลง ไปอีกครั้ง มาอยู่ในศาลโบราณหลังหนึ่ง หนึ่งอาจารย์สองลูกศิษย์ คนสามคนต่างก็ไม่ทันสังเกตเห็นการมาเยือนของลู่เฉินและเฉาหรง ลู่เฉินกัดขนมแป้ งอบแห้งแผ่นหนึ่ง นั่งยองอยู่ข้างกระดานหมากล้อม ลูกศิษย์สองคนนั้นมีคนหนึ่งที่ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มองไปยัง ขอบฟ้ ากว้างนอกศาลา จากนั้นก็มีเสียงระฆังโบราณที่เล่าลือกันว่า เชื่อมโยงเข้ากับคลื่นแห่งมหาสมุทรดังกังวาน คล้ายจะทอดยาวเข้า มายังหลุมในใจของคน ลู่เฉินโยนเศษขนมทิ้งไปบนพื้น นกน้อยที่มา
หาอาหารไม่กลัวคน หลังจากนั้นพวกเขาก็มายังแม่น้าลั่วสุ่ยแห่งหนึ่ง ระหว่างทางไปหยุดพักในร ้านที่เงียบเหงาร ้านหนึ่ง เทพล าคลองของ แม่น้าลั่วสุ่ยแห่งนี้คล้ายจะเกลียดแค้นคนแซ่ซือหม่าทุกคน ลู่เฉิน นอนหงายอยู่บนเรือขนส่งเสบียง ใจลอยไกลไปบนฟ้ า บอกให้เฉา หรงตะโกนดังๆ ว่าตัวเองแซ่ซือหม่า ก็ท าให้เทพล าคลองโมโหจนก่อ คลื่นลมมรสุมได้จริงๆเพียงแต่ว่าแม้เรือจะโคลงเคลงไม่หยุด แต่ก็ไม่ คว่า เทพลาคลองใช ้ทุกวิถีทางที่มีแล้วก็ได้แต่จากไปอย่างขุ่นเคือง ลู่ เฉินยิ้มเอ่ยกับลูกศิษย์ว่านี่เรียกว่า ‘ระมัดระวัง” (เสี่ยวชิน สามารถ แปลได้ว่าใจเล็ก ใจแคบได้ด้วย) ขับ ‘เรือได้นานหมื่นปี”
สุดท้ายลู่เฉินพาเฉาหรงมายังศาลาเล็กบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ชื่อ ว่าศาลาซวีซิน ด้านข้างมีป้ ายศิลา ตัวอักษรที่จารึกไว้เลือนรางไป แล้ว พอจะมองเห็นหกคาได้ราไรว่า “สถานที่แห่งนี้มีแสงเมฆเยอะ ที่สุด” ห่างจากภูเขาไปไกลคือนครที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง หลายสิบ หมื่นครัวเรือนในโลกโลกีย์ใต้เปลือกตาของเฉาหรงถูกปกคลุมไป ด้วยเมฆหมอกสลัวรางนครเหมือนผลึกแก้วใสใต้ผ้าม่าน สาวงามตื่น แต่เช ้าตรู่ขึ้นมาหวีผมประทินโฉม เดี๋ยวผลุบดี๋ยวโผล่จนนึกอยากจะ ใช ้เทียนเล่มใหญ่ส่องให้สว่างไสวเจิดจ้า
ลู่เฉินสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย “ถามมาเถอะ ข้อ สงสัยที่ใหญ่ที่สุดในใจของเจ้าน่ะ”
เฉาหรงเงยหน้ามองม่านฟ้ า พยักหน้ากล่าว “บรรพจารย์สาม ลัทธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์ปู่ ของศิษย์ ไฉนถึงไม่ขัดขวาง คนผู้นั้น”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เฉาหรง เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ อาจารย์ไม่เคยให้ ค าตอบเจ้าจริงๆ หรือ?”
เฉาหรงเบี่ยงกาย คารวะตามขนบลัทธิเต๋า “ศิษย์โง่เขลา ขอ อาจารย์โปรดไขความกระจ่างให้ด้วย”
ลู่เฉินถอนหายใจ กล่าวว่า “บรรพจารย์สามลัทธิเป็ นขอบเขตสิบ ห้า แต่ละคนต่างก็ผสานมรรคากับใต้หล้าทั้งแห่ง พวกเขาก็คือคน สามคนที่ไร ้อิสระที่สุดในใต้หล้าแล้ว”
ระหว่างที่พูด เฉาหรงก็สังเกตเห็นว่าตนกับอาจารย์มายืนอยู่บน เรือน้อยในทะเลสาบแห่งนั้น เพียงแต่ว่าครั้งนี้พวกเขามายืนอยู่ที่ท้าย เรือ ลู่เฉินยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช ้นิ้วชี้ไปที่ริ้วคลื่นของน้า ในทะเลสาบ เอ่ยเนิบช ้าว่า “บรรพจารย์สามลัทธิเหมือนอยู่ในโลก แก้วใสใบหนึ่ง คือความหมายตามตัวอักษร กระทาการใดๆ ก็ไม่ สะดวก เพราะอาจจะไปรบกวนฟ้ าดินเอาได้ หากไม่ตั้งใจก็ยังดี แต่ หากมีเจตนาก็จะเหมือนว่าฟ้ าดินถูกบีบให้เกิดรอยแตกรอยหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้ าอีกข้อหนึ่ง ก็เหมือนอย่างที่ข้า มาเยือนใต้หล้าไพศาลครั้งนี้ เพราะต้องการตามหาปลาที่หลุดรอด จากหว่างแห เพียงเพราะข้าลู่เฉินถูกมองว่าเป็ นเต้ากวานของป๋ ายอวี้ จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว ถือเป็ นคนนอกแล้ว ดังนั้นจึงน่าสงสัยว่า
บางครั้งอาจจะโชคไม่ดี มีบัญชาจากสวรรค์บางอย่างที่มองไม่เห็น หากตั้งใจก็จะต้องคลาดจากกันไป หากไม่ตั้งใจกลับกลายเป็ นว่า ปักกิ่งหลิ่วอย่างไม่ใส่ใจแต่หลิ่วกลับงอกเติบใหญ่ให้ร่มเงา”
เฉาหรงใช ้ความคิดจึงเงียบงันไป
ลู่เฉินกลับถามอีกว่า “ก่อนหน้านี้ข้าพาเจ้าไปเที่ยวเยือนสถาน ที่มาหลายแห่ง เจ้าคิดว่าก่อนและหลังก็คือลาดับที่แท้จริงแล้วหรือ?”
ไม่รอให้เฉาหรงตอบ ลู่เฉินก็ยิ้มกล่าวว่า “ก็เหมือนตัวอักษร บรรทัดหนึ่งบนกระดาษที่ถูกจัดล าดับวุ่นวายไปเล็กน้อย แต่เจ้าก็ยัง พอจะรู ้ความหมายที่สมบูรณ์แบบของประโยคนั้นอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะบอกเรื่องวงในสองสามเรื่องของผู้ฝึก ตนขอบเขตสิบสี่ให้เจ้ารู ้ก็แล้วกัน ยกตัวอย่างเช่นอาจารย์เคย เสียเวลาไปถึงสองพันปีเต็ม พยายามที่จะจดจาบุคคล สถานที่และ เรื่องราวของสิบสี่มณฑลในมืดสลัวให้ได้มากที่สุด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็ชี้ไปที่ศีรษะของตัวเอง “ผลคือในนี้กลับ รับไม่ไหว”
และนี่ก็เป็ นสาเหตุที่ทาไมก่อนหน้านี้ลู่เฉินถึงได้เตือนเฉินผิงอัน ว่าให้เผยเฉียนระวังเรื่อง “ความสามารถในการจดจ า” ให้ดี
“เมื่อพบว่าทางเส้นนี้เดินผ่านไปไม่ได้ก็เปลี่ยนเส้นใหม่ แต่ทาง เส้นก่อนหน้านี้ก็ไม่ถือว่าเดินผ่านไปอย่างเสียเปล่า บนพื้นฐานก่อน หน้าทาให้อาจารย์ได้ทดลองที่จะนิมิตภาพให้โลกมนุษย์ทั้งใบเป็ น
เครื่องมืออย่างหนึ่ง หมื่นเรื่องราวหมื่นสรรพสิ่งมีระเบียบขั้นตอน จากนั้นระหว่าง “ฟันเฟือง’ หลายพันหลายหมื่นซี่ก็วาง ‘ความคลาด เคลื่อน” “ความผิดพลาด” เอาไว้ให้เต็ม รอคอย “อิสระ” ที่เป็ นจริง และเป็ นมายาทั้งหลาย ฟ้ าดินถือกาเนิดมาพร ้อมกับข้า และหมื่น สรรพสิ่งก็รวมเป็ นหนึ่งกับข้า ในเมื่อหลอมรวมเป็ นหนึ่งเดียวกันแล้วก็ มีเพียงข้าที่ไปมาหาสู่กับจิตวิญญาณแห่งฟ้ าดิน แต่ก็น่าเสียดายที่ยัง ล้มเหลวเหมือนเดิม”
“ขอบเขต ขอบเขต ขอบและเขต ยังคงไม่พอ ดังนั้นตอนนั้นที่ ถกมรรคากับศาสดาพุทธ ข้าจึงพ่ายแพ้ อีกทั้งยังแพ้ให้กับหลักการ เหตุผลข้อหนึ่งที่ตัวเองรู ้มานานแล้ว ใช ้สิ่งที่มีจากัดไปแสวงหาสิ่งที่ไร ้ ขอบเขตกาจัด มีแต่จะเหน็ดเหนื่อยสิ้นแรง ในเมื่อแม้แต่วิธีการที่โง่ ที่สุดอย่างการลองผิดลองถูกทุกทางก็ยังมิอาจท าให้ส าเร็จได้ ถ้า อย่างนั้นก็ได้แต่สืบเสาะไปถึงต้นตอ ตามหาหนึ่งนั้น ก็เหมือนอย่าง อาจารย์ที่ “ปล่อยจิตใจท่องไปกับจุดเริ่มต้นของหมื่นสรรพสิ่ง” “เพียง แค่มองก็สัมผัสได้ว่ามรรคาอยู่ที่ใด” น่าเสียดายที่หนึ่งนี้ช่างหาเจอได้ ยากเย็นนัก”
เดิมที่ลู่เฉินมองศิษย์พี่โค่วหมิงเป็ นหนึ่งใหม่เอี่ยมของอนาคต
ดังนั้นจึงมีการตั้งแผงดูดวงและการปกป้ องมรรคาสิบปี ในถ้า สวรรค์หลีจูครั้งนั้น
“เฉาหรง หากเจ้ามีเวลาว่างก็ไม่สู้ลองสืบเสาะหาต้นก าเนิด มรรคาของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้าและกระบี่บินส่งข่าวดู”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ผู้คนและเรื่องราวมีดีมีร ้ายนานับปการ ทว่าทุกอย่างล้วนมีที่มา คนที่เป็ นอาจารย์ หากสอนแค่กิ่งใบ ลูกศิษย์ จะท าอะไรส าเร็จได้อย่างไร”
เฉาหรงก้มหน้าลง “ศิษย์น้อมรับคาสั่ง”
อยู่ดีๆ ลู่เฉินก็ถามว่า “ป่ายเหย่เองก็ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองคือผู้ ที่เป็ นที่ภาคภูมิใจที่สุดของโลกมนุษย์ รู ้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
เฉาหรงส่ายหน้า
ลู่เฉินทอดถอนใจ มิน่าเล่าซิ่วไฉเฒ่าถึงได้ลาเอียงรักเฉินผิงอัน นัก หัวไว รู ้จักพูด เข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็ นอย่างดี คือผ้านวมน้อยๆ ผืนหนึ่ง
เห็นลูกศิษย์ยังหัวทึบ ลู่เฉินก็ได้แต่ชมตัวเองว่า “แน่นอนว่า เพราะป๋ ายเหย่ชื่นชมเลื่อมใสในความรู ้และใจที่กว้างขวางของข้า รู ้สึกว่า ข้าต่างหากจึงจะเป็ นคนที่มีอิสระเสรีที่สุดในโลกมนุษย์”
เฉาหรงก้มหน้ากุมมือ “ศิษย์นับถือ”
ลู่เฉินพึมพา “ต่อให้จะได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ อาจารย์ก็ไม่มี ความรู ้สึกประสบความส าเร็จเลยสักนิดเดียว”
เริ่มอิจฉาขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วขึ้นมาบ้างแล้วนะเนี่ย
เฉาหรงเขินอาย
ลู่เฉินเริ่มเดินลงไปจากภูเขาโพโม่ เฉาหรงตามไปด้านหลังติดๆ
“มีคนบอกว่า คนคนหนึ่งหากไม่เคยผ่านความยากลาบากมา ก่อน บางทีแค่เห็นเรื่องที่คล้ายว่ายากลาบากเขาก็อาจจะคิดว่าตัวเอง ทนไม่ได้แล้ว นี่ต้องฟันฝ่ าขวากหนามในใจของตัวเองออกไป เสียก่อน ทาลายกาแพงในใจเพื่อสะดวกในการไปมาหาสู่กับผู้อื่น ก็ จะกลายเป็ นโลกที่มีความสุขที่สุดในใต้หล้า”
“ขวากหนามและกาแพงพวกนั้น เจ้าคิดว่าคืออะไร? คือร่างกาย ของพวกเรากับหลักการเหตุผล ขนบธรรมเนียมและกฎระเบียบในใจ พวกเรา”
“ดื่มน้าไม่ลืมคนขุดบ่อ เมื่อหมื่นปี ก่อน ความกล้าหาญที่สละ ผลประโยชน์ส่วนตนและไม่กลัวตายของเหล่าปราชญ์ผู้ล่วงลับ โลก มนุษย์ไม่มีทางมี ‘โลกมนุษย์” อย่างหมื่นปีในทุกวันนี้ได้อีกแล้ว”
แต่ละปีลมวสันต์พัดโชยอบอุ่น ซึ่งก็พัดผ่านใบหน้าคนงามที่แก่ ชรา และใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ผมขาว
สายลมภูเขาพัดผ่านเส้นผมตรงจอนหู ลู่เฉินคลี่ยิ้มบางๆ พึมพา กับตัวเองว่า “ใช่แล้วพวกเราตอนนี้ฝึกตนไปเพื่ออะไรกันนะ”
“ใต้หล้ามิอาจขาดผู้น าได้แม้แต่วันเดียว”
ลู่เฉินถามเองตอบเอง “ผู้น าคือใคร? เฉาหรง จงจ าไว้ว่า คือเจ้า คือพวกเจ้า คือทุกๆ คน”