กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1028.2 อย่าหวังว่าจะท าให้จิตแห่งมรรคาของข้า วุ่นวาย
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1028.2 อย่าหวังว่าจะท าให้จิตแห่งมรรคาของข้า วุ่นวาย
ในลานบ้าน เฉินผิงอันเขียนตารับยาสามสี่ตารับนั้นให้เด็กหนุ่ม เสร็จ สุดท้ายก็หาข้ออ้างลวกๆ ข้อหนึ่งเขียนตารับยาเสริมอีกฉบับ และวิธีการต้มยาสมุนไพรเพิ่มให้อีก สรุปก็คือมีกระดาษเพิ่มมาอีก สามแผ่น
สาหรับลู่เฉินที่สะพายห่อสัมภาระเอียงๆ ตรงเอวห้อยถุงดา เฉิน ผิงอันไม่แม้แต่จะชายตามอง
ส่วนเรื่องที่ว่าลู่เฉินมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ และคุยอะไรกับเซวียหรูอี้ ในตรอกไปบ้าง เฉินผิงอันก็ไม่อาจรู ้ได้
ลู่เฉินวิ่งเหยาะๆ มากดกระดาษสามแผ่นนั้นไว้ เอ่ยอย่างร ้อนใจ ว่า “สหายอู๋ เก็บไปเก็บไป แบบนี้เหมาะสมที่ไหน นักพรตอย่างเราๆ คือลูกผู้ชายที่ค้าฟ้ ายันดิน จะใช ้ความรู ้ของผู้อื่นมาแสดงเป็ นน้าใจ ของตัวเองได้อย่างไร”
จุดประสงค์ของเฉินผิงอันชัดเจนไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว จะ ช่วยนักพรตลู่สักครั้งถือว่าได้ชดใช ้หนี้น้าใจที่ติดค้างในปีนั้นให้หมด สิ้นแล้ว
เด็กหนุ่มมึนงง ไม่รู ้ว่านักพรตที่ปืนกาแพงเข้ามาตรงหน้าผู้นี้คือ เทพเซียนจากที่ใด
แต่ดูจากสถานการณ์แล้วคล้ายจะเป็ นคนรู ้จักเก่าของนักพรตอู๋? ถ้าอย่างนั้นก็ต้อง ไม่ใช่คนเลวแน่
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าหนุ่ม รบกวนเจ้าไปตักน้ามาอีก กระบวย จ าไว้ว่าต้องตักถ้วยขาวให้เต็ม”
หนิงจี๋พยักหน้ารับแล้วไปที่ห้องครัว ใช ้กระบวยตักน้า
เฉินผิงอันตรวจสอบตารับยาทั้งหมดนอกเหนือจากกระดาษสาม แผ่นนั้นเรียบร ้อยแล้วก็พับซ ้อนกันไว้ วางลงบนม้านั่งที่เอามาใช ้แทน โต๊ะชั่วคราวเบาๆ
ลู่เฉินนั่งลงบนขั้นบันได รับถ้วยขาวมาจากมือของเด็กหนุ่ม ยิ้ม บางๆ เอ่ยว่า “ใช ้ยาประกอบอาชีพหมอก็ดี ขึ้นเขาฝึกตนก็ช่าง ล้วน หนีไม่พ้นการทุ่มเทกับการวางแผนในสองขั้ววิธีการมีเป็ นพันเป็ น หมื่น แต่สรุปแล้วก็หนีไม่พ้นหยินและหยางเท่านั้น”
หนิงจี๋รู ้สึกอึดอัดอยู่บ้าง มองนักพรตอู๋ที่อยู่ด้านข้าง นักพรตอู๋ ผงกศีรษะยิ้มให้ บอกเป็ นนัยแก่เด็กหนุ่มว่าไม่ต้องเกร็ง
ลู่เฉินแกว่งถ้วยขาวในมือ ยิ้มกล่าว “ผินเต้าลู่เฉิน ฉายา “หนัน หัว” คือหนึ่งในเจ้าลัทธิของป๋ ายอวี่จิง คืนนี้มาที่นี่เพราะต้องการรับตัว เจ้าเป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอด หนิงจี๋ เจ้ายินดีกราบลู่เฉินเป็ นอาจารย์ หรือไม่?”
หนิงจี๋อึ้งตะลึง มึนงงอยู่บ้าง นี่คืออะไรกับอะไรกัน คาศัพท์ที่หลุด ออกมาจากปากของนักพรตหนุ่มล้วนเป็ นคาที่เด็กหนุ่มไม่เคยได้ยิน มาก่อน
ฟังเข้าใจแค่เรื่องเดียวก็คืออีกฝ่ายต้องการรับตนเป็ นลูกศิษย์
หนิงจี๋ใบหน้าแดงก่า มองไปยังนักพรตอู๋อีกครั้ง
เพียงแต่ว่าครั้งนี้นักพรตอู๋กลับทั้งไม่ได้พยักหน้าแล้วก็ไม่ได้ส่าย หน้า สรุปก็คือไม่มีการบอกเป็ นนัยใดๆ
ลู่เฉินหัวเราะ วางถ้วยขาวในมือลงก่อน ยกมือสองข้างขึ้นกา หลวมๆ “หนิงจี๋ เดาซ ้าย เดาขวา เดาได้ตามใจเจ้า”
หางตาของหนิงจี๋เหลือบมองไปทางนักพรตอู๋อีกครั้งตามจิตใต้ ส านึก ฝ่ายหลังพยักหน้าเบาๆ
เด็กหนุ่มมองซ ้ายมองขวา แล้วจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “เดาขวา”
ลู่เฉินเบี่ยงตัวหันข้าง หันหลังให้เฉินผิงอัน ขณะเดียวกันก็คลาย มือสองข้างออก บนมือแต่ละข้างมีตราประทับอยู่หนึ่งชิ้น ด้านใต้ตรา ประทับหันเข้าหาตัวลู่เฉินเอง เด็กหนุ่มจึงมองเห็นแค่ตัวอักษรริมขอบ สองแถว ต่างกันแค่ตัวอักษรเดียว
ท่องอยู่ภายใน ท่องไปภายนอก
ลู่เฉินกามือสองข้างอีกครั้ง ยกชายแขนเสื้อขึ้นแล้วปล่อยมือ ออก ตราประทับสองข้างก็ไถลเข้าไปในชายแขนเสื้อ เขายิ้มเอ่ย
“หนิงจี๋เอ๋ย เจ้าดูนักพรตอู๋ของพวกเราสิ เขาปรับตัวให้เข้ากับ สถานการณ์ได้ดีมากเลยนะ แม้ว่าจะขยับตัวอยู่ทั้งวัน มองดูเหมือน ยุ่งวุ่นวาย แล้วแท้จริงแล้วสภาพจิตใจกลับไม่เคยแปรเปลี่ยน นี่ก็คือ ยอดฝีมือผู้บรรลุมรรคาอย่างที่กล่าวในตาราเรื่องเล่าเทพเซียน เรือน กายท่องอยู่ภายใน จิตแห่งมรรคาท่องไปภายนอก”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มรับ
เมื่อสามพันปีก่อน ก่อนที่ลู่เฉินจะออกเดินทางไกลไปจากใต้หล้า มืดสลัวได้เขียนประโยคหนึ่งไว้ในต าราก่อนแล้วว่า อะไรคือ ปรมาจารย์ใหญ่ ก็คือผู้ที่ท่องไปภายนอก
เป็ นทั้งถ้อยคาของลัทธิเต๋าที่ถูกต้องลึกล้า อาจจะ แค่อาจจะ แฝง ความหมายไว้อีกชั้นหนึ่งก็คือ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกลายเป็ นเทพก็คือ ปรมาจารย์ใหญ่
เฉินผิงอันพลันสังเกตเห็นว่าแม่น้าแห่งกาลเวลาคล้ายจะเข้าสู่ สภาวะหยุดนิ่ง
ร่างของเด็กหนุ่มหนิงจี๋แน่นิ่งไม่ขยับไปแล้ว
ย่อมต้องเป็ นฝีมือของลู่เฉิน
ลู่เฉินยื่นมือออกมา ยกเหล้าสองกาออกมาอีกครั้ง ก็คือเหล้า อีกาครวญของนครฉือสุยทะเลสาบซูเจี่ยน และเหล้าขุนคุ้นของยอด เขาเกิงอวิ๋นภูเขาเมฆาเรื่อง
ขณะเดียวกันในลานบ้านก็มีม้วนภาพตั้งวางขึ้นมาสามภาพ ล้วนเป็ นภาพเหมือนของเฉินผิงอัน เพียงแต่ว่ามีความแตกต่างกันอยู่ บ้าง แบ่งออกเป็ นท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู สองนิ้วคีบยันต์ และสะพายกระบี่
เด็กหนุ่มตรอกหนีผิงในอดีต ยามช่วงเวลาในอนาคตที่ออกจาก บ้านเกิดเดินทางไกลล าดับต้นทุนในการหยัดยืนของเขาก็ได้แก่ ฝึกวรยุทธ ยันต์ เวทกระบี่
เรียนวิชาหมัดเพื่อรักษาชีวิตรอดก่อน จากนั้นก็ฝึกวิชายันต์ติด ตัว แล้วจึงฝึกกระบี่เดินขึ้นสู่ที่สูง
“หนิงจี๋ผู้นี้เกิดมาก็เหมาะกับการฝึกวิชายันต์ ในความเป็ นจริง แล้วเขาจะฝึกอะไรก็ได้แทบไม่มีธรณีประตูกั้นขวางเลย เพราะขอแค่ เขาต้องการเรียน โชควาสนาก็จะเดินมาตรงหน้า เหมือนอย่างคืนนี้ที่ เจ้ามาที่นี่ ข้าก็ได้แต่ติดตามมาด้วยแล้ว”
ใช ้ประโยคนี้เปิดบทสนทนาแล้ว ลู่เฉินก็หยุดพักไปครู่หนึ่ง ชี้ไป ยังม้วนภาพแนวตั้งที่เฉินผิงอันคีบยันต์แล้วยิ้มกล่าวว่า “คือยันต์ถือ โคม ประหนึ่งเดินถือเทียนเดินทางไกลยามราตรี เหมาะสมกับ…คน อย่างพวกเราจริงๆ”
หลังจากนั้นก็เหมือนขี่ม้าชมบุปผา สิ่งที่เห็นอยู่ในสายตาล้วน เป็ นภาพเหตุการณ์ที่เฉินผิงอันใช ้ยันต์แต่ละชนิดในสถานการณ์และ วันเวลาต่างกัน
ปีนั้นอยู่บนเรือข้ามฟากที่ล่องไปยังเส้นทางมังกรเดินของลาน้า ใต้ดินสายนั้น ขณะที่ฉินผิงอันฝึกหมัดก็จะวาดยันต์สงบจิตใจแผ่น หนึ่งที่สามารถรวบรวมสมาธิไว้ได้กับยันต์ชาระล้างสิ่งสกปรกซึ่งมา จากหน้าแรกๆ ของ “มหัศจรรย์ที่แท้จริงตาราสีชาด” เช่นกัน ทุกคน ที่เป็ นช่วงกลางคืนราตรีมืดดา เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานที่เดินเท้า เปล่าขึ้นเขาลงห้วยจะเรียกยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาใช ้ เพื่อ ยืนยันให้แน่ใจว่าภูเขาสายน้ารอบด้านมีภูตผีสิ่งชั่วร ้ายอยู่หรือไม่ เอา มาใช ้หลีกเลี่ยงเคราะห์ภัย บนเส้นทางของการท่องเที่ยว ภูเขาสายน้า ยาวไกล ถามหมัดเข่นฆ่ากับศัตรู หรือไม่ก็ใช ้ยันต์ฟางชุ่นที่หดย่อ พื้นที่ได้ ประสานกับท่าตีกลองสายฟ้ า หรือไม่หากเจอกับผีก็จะเรียก ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจออกมา
จากนั้นในม้วนภาพก็มีผู้ฝึกลมปราณที่กลัวความสูงผู้หนึ่งโผล่ มา รูปโฉมของเขาหล่อเหลางดงาม ยากจะแยกแยะได้ว่าเป็ นเพศใด
ลู่เฉินเอ่ยอย่างเกียจคร ้านว่า “ลู่ไถ สหายรักของเจ้า หลังจาก แยกจากกับเจ้าแล้วก็เลี้ยงหมาไว้ตัวหนึ่งที่ภูเขาฝูหรงที่อยู่ในพื้นที่ หนึ่งในสี่ส่วนของพื้นที่มงคลดอกบัว ตั้งชื่อให้ว่าลู่เฉิน”
เฉินผิงอันมองภาพเหตุการณ์และ “ตนเอง” ที่ผลัดเปลี่ยนไป เรื่อยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากแค่รู ้สึกว่าที่แท้ตนก็เคยเดินทางผ่านสถาน ที่มามากมายขนาดนี้แล้ว
ครั้งแรกที่ไปเยือนกาแพงเมืองปราณกระบี่ หลังออกจากภูเขา ห้อยหัวมาแล้ว เฉินผิงอันก็นั่งโดยสารเรือปลาวาฬกลืนสมบัติข้าม
ทวีป ระหว่างที่ย้อนกลับไปยังนครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีป นอกจากจะถูกลู่ไถตามมา “พัวพัน” ด้วยแล้ว ตอนที่อยู่บ้านในภูเขา ของอวี๋อิน เฉินผิงอันพบว่าตัวเองเลื่อนเป็ นขอบเขตหลอมลมปราณ ของผู้ฝึกยุทธแล้วก็สามารถวาด “ยันต์คาสั่งกระบี่ภูเขาสายน้า’ และ ‘ยันต์ขอฝน’ ได้แล้ว แม้ว่าจะยังเป็ นยันต์ระดับล่างในมหัศจรรย์ที่ แท้จริงต าราสีชาด แต่จากบันทึกในต าราก็มีความมหัศจรรย์อย่าง มาก มีประโยชน์สารพัดอย่าง แต่เฉินผิงอันที่วาดยันต์สองแผ่นนี้ เป็ นมานานแล้วกลับเอาพวกมันออกมาใช ้น้อยครั้งคล้ายตั้งใจคล้าย ไม่ได้เจตนา กระทั่งตอนที่อยู่ในหอสยบปีศาจท่ามกลางฟ้ าดินที่เป็ น ภาพจ าลองจากใบอู๋ถง อากาศร ้อนแห้งแล้งรุนแรง เพื่อขอฝน เฉินผิง อันถึงได้ใช ้ยันต์ขอฝนที่เป็ นหนึ่งในยันต์ซึ่งวางอยู่บนแท่นบูชาของ ลัทธิเต๋า สามารถทาให้ “ฟ้ าดินมืดครึ้ม ฝนกระหน่าลงมาเป็ นสาย” แผ่นนี้
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “อันที่จริงยันต์สองแผ่นนี้เจ้าแทบจะไม่เคยเอา ออกมาใช ้เลย แต่บังเอิญเป็ นยันต์ที่เจ้าเก็บรวบรวมไว้มากที่สุด วาสนาบนภูเขาก็ค่อนข้างลึกล้าที่สุด”
เตาเผามังกรของบ้านเกิดที่เฉินผิงอันเคยเป็ นลูกศิษย์เคยมีเทพ พิรุณจุดไฟ
หรือก็คือชาดประทินโฉมตลับหนึ่งที่คนบางคนเอามาฝังซ่อนไว้ ในตรอกหนีผิงที่ทาให้เฉินผิงอันคล้ายว่าเกิดมาก็มีมหามรรคา ใกล้ชิดกับสายน้า
“บนเรือข้ามฟาก ครั้งแรกที่เจ้าสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือ ค าว่า “จิตวิญญาณสงบมั่นคง” อย่างแท้จริง เพราะในที่สุดเจ้าก็ สามารถได้ยินเสียงน้าหยดยามที่สามจิตเดินทางผ่านทะเลสาบหัวใจ ได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นเจ้ามัวแต่ดีใจจึงไม่รู ้ว่าไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ทุกคน ซึ่งต่อให้จะเป็ นเซียนดินก็ตาม ที่จะสามารถสัมผัสได้ถึงสาม จิตที่เดินทางผ่านไปได้การที่เป็ นเช่นนี้แน่นอนว่าต้องขอบคุณของที่ ชายใจหญิงผู้นั้นทิ้งเอาไว้ให้”
เฉินผิงอันยื่นมือมารับเหล้าอีกาครวญที่ลอยอยู่กลางอากาศไป แล้วเริ่มดื่มเหล้าเงียบๆ
ลู่เฉินจึงหยิบเหล้าชุนคู่นกานั้นมา พูดกับตัวเองต่อไปว่า “ยันต์ คาสั่งกระบี่ภูเขา สายน้า ปีนั้นเจ้ายังมีประสบการณ์ตื้นเขิน จึงไม่เคย เข้าใจคาว่าสามภูเขาอย่างถ่องแท้ อีกทั้งยังกึ่งเชื่อกิ่งกังขามาโดย ตลอดว่าเหตุใดผู้ฝึกลมปราณถือยันต์นี้ไว้ในมือแล้วถึงสามารถท าให้ เทพผีให้ความเคารพ เป็ นฝ่ายยอมหลีกทางให้ได้”
คราวก่อนที่อยู่นอกฟ้ า ระหว่างที่หวนกลับมายังไพศาล หลี่ซีเซิ่ง ได้เผยกาย ช่วยไขข้อข้องใจให้ ทาให้ในที่สุดเฉินผิงอันก็มั่นใจแล้ว ว่าตัวเองกับอาจารย์ซานซานจิ่วโหวท่านนั้นทั้งมีความเกี่ยวข้องกัน บางส่วน แล้วก็ไม่มีวาสนาบนมหามรรคาตามความหมายทั่วไป ที่แท้ หนึ่งในสี่ตัวสารองสิบผู้กล้าแห่งใต้หล้ายุคบรรพกาลท่านนี้ ในอดีต ได้เคยไปลงหลักปักฐานอยู่ที่ถ้าสวรรค์หลีจู ซึ่งก็คือในตรอกหนีผิง
แห่งนั้น เพียงแต่ว่าแทบไม่เคยไปมาหาสู่ใดๆ กับสกุลเฉินทั้งหลาย ของเมืองเล็ก
“ต่อให้เป็ นตอนนี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจ จะพูดให้ถูกก็คือไม่แน่ใจว่า คาว่า “สายน้า” ในยันต์แผ่นนี้หมายถึงอะไรกันแน่ ศิษย์พี่ได้อธิบาย ไว้ในต าราคร่าวๆ ว่ายุคบรรพกาลเคยมีเทพเป็ นผู้ครองแม่น้าลา คลอง มีหน้าที่กาจัดสิ่งชั่วร ้าย ชอบกลืนกินผีทั้งหลาย แน่นอนว่าเจ้า ต้องเดาได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับจงขุยวิญญูชนแห่งสานักศึกษาต้าฝู ก็แค่ว่าไม่กล้าเชื่อก็เท่านั้นหรือควรจะบอกว่าไม่ยินดีจะเชื่อเรื่องนี้ มากนัก”
“เหอะ สานักศึกษาต้าฝู ต้าฟู วันซานฝู (วันที่ร ้อนที่สุดของปี) แน่นอนว่าต้องขอฝนบ่อยๆ จงขุยกลับมาจากสานักศึกษาลัทธิขงจื๊อ แห่งนี้พอดี เจ้าว่าบังเอิญหรือไม่เล่า?”
“เจ้ากับจงขุยพบกันครั้งแรกคือที่เมืองหูเอ๋อร ์ชายแดนต้าเฉวียน แต่ครั้งแรกที่จงขุยใช ้อภินิหารนอกเหนือจากของลัทธิขงจื๊อ ดูเหมือน จะเป็ นที่ลาคลองม่ายเหอกระมัง?”
“ตอนนั้นเจ้าไม่ได้คิดอะไรมากกับยันต์ขอฝน ในระดับใหญ่แล้ว ก็เพราะยังหลอมชะตาชีวิตห้าธาตุออกมาไม่ได้ ภายหลังก็ได้เตาตู้ ทองห้าสีในราคาที่ถูกมากมาจากลู่ยงนักพรตแห่งต าหนักพยัคฆ์ เขียวซึ่งสาหรับเขาแล้วเป็ นสมบัติที่เหมือนซี่โครงไก่ส าหรับเจ้ากลับมิ อาจประเมินค่าได้ หึหึ ห้าสี นี่ก็ไม่ยิ่งเป็ นเรื่องบังเอิญเข้าไปอีกหรอก หรือใช่ไหม?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็คล้ายจะเริ่มคอแห้งบ้างแล้วจึงรีบเงย หน้ากระดกดื่มสุราเสียงดังอึกๆๆ กรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากถามด้วยรอยยิ้ม “ความหมายของ เจ้าลัทธิลู่ คืออยากพูดว่าเรื่องพวกนี้กาลังรอคน หรือเป็ นคนที่กาลัง ทาเรื่องพวกนี้กันแน่?”
ลู่เฉินกล่าว “ถามได้ดี ถามได้ดี หากเปลี่ยนไปเป็ นเฉาหรง ให้ ตายอย่างไรก็ไม่มีทางถามคาถามประเภทนี้ได้แน่ ก่อนหน้านี้เขาอยู่ บนยอดเขาโพโม่ พร่าพูดว่าศิษย์โง่เขลาคาแล้วค าเล่า ข้าก็ได้แต่ใช ้ สายตาปลอบเขาไปครั้งแล้วครั้งเล่าว่าที่ไหนกัน ที่ไหนกัน แต่ความ จริงก็คือ ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
เฉินผิงอันมองตรงไปเบื้องหน้า ขยับกาเหล้าไปทางลู่เฉิน เล็กน้อย ลู่เฉินจึงเอากาเหล้าที่ถืออยู่ในมือชนกับกาของเฉินผิงอัน เบาๆ แล้วต่างคนก็ต่างดื่ม
ลู่เฉินดื่มเหล้าไปแล้วก็ใช ้หลังมือเช็ดริมฝี ปาก ครุ่นคิดอยู่พัก หนึ่งก็เอ่ยว่า “หากจะคิดกันขึ้นมาจริงๆ ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะ เปลี่ยนเป็ นใครก็ล้วนเป็ นเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่มีค่าพอให้ต้องตกอกตกใจ เจ้า ข้า เฉาหรง เซวียหรูอี้ในเรือนผีของอาเภอฉางหนิง เด็กหนุ่มที่ เล่าเรียนหนังสือบ้านติดกันกับนาง และยังมีอาเภอหย่งเจียแห่งนี้ หนิง จี๋ของที่นี่”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็เก็บวิชาอภินิหารกลับมา ภาพวาดใน แนวตั้งสามภาพในลานบ้านสลายหายไป แม่น้าแห่งกาลเวลากลับมา ไหลรินอีกครั้ง
ลู่เฉินใช ้สองนิ้วคีบถ้วยน้าใบนั้นขึ้นมา แต่กลับไม่ได้ดื่มเอง กลับกันคือยื่นส่งไปให้เฉินผิงอันอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ยิ้มถามว่า “ไม่สู้เจ้าเป็ นคนรับลูกศิษย์เอง?”
เฉินผิงอันเองก็คาดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะทาเช่นนี้ เขาจึงจนคาพูดไป ทันที
เด็กหนุ่มได้ยิน ดวงตาก็เป็ นประกายวาบ
ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายมีชีวิตชีวาอยู่ในม่านราตรี เหมือนแสง เทียนที่ถูกจุดขึ้น คือความคาดฝันและวาดหวังของเด็กหนุ่มที่ใน หัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง
ลู่เฉินหัวเราะชั่วร ้าย
เฉินผิงอันเหลือบมองลู่เฉิน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าลัทธิลู่อารมณ์ดี ขนาดนี้เชียว?”
ลู่เฉินหุบยิ้มทันใด วางถ้วยขาวกลับไปบนขั้นบันไดระหว่างคน ทั้งสองอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ลูกศิษย์ผู้นั้นของข้าได้เอ่ยถ้อยคาที่มา จากใจจริง บอกว่าเจ้าขุนเขาเฉินกับอาจารย์ของเจ้าขุนเขาเฉิน อาจารย์และลูกศิษย์สองคนต่างก็เชี่ยวชาญในการเป็ นครูของผู้อื่น
เขาเฉาหรงแสดงให้เห็นถึงความเคารพเลื่อมใสจากใจจริง ไม่คิด ว่าผินเต้าจะมีลูกศิษย์ดีที่พูดจาตรงไปตรงมากับเขาด้วย”
ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย นับตั้งแต่ชุยตงซานที่พยายามมาเป็ น ลูกศิษย์ของเขาคนแรกสุด กระทั่งถึงจ้าวซู่เซี่ยที่ถูกเฉินผิงอันมอง เป็ นลูกศิษย์ปิดส านักในด้านวิชาหมัดของตัวเอง
แน่นอนว่าเฉินผิงอันพึงพอใจทุกคนมาก ขณะเดียวกันก็ไม่ ปิดบังความลาเอียงที่เขาต่อลูกศิษย์แต่ละคน
จะว่าไปแล้ว ในบางความหมาย ดูเหมือนตอนนี้เฉินผิงอันจะยัง ไม่เคยรับลูกศิษย์ที่ “คล้ายคลึงตัวเองที่สุด” มาเลย
เพราะถึงอย่างไรธรณีประตูก็ไม่ต่า ต้องเป็ นทั้งผู้ฝึกกระบี่ แล้วก็ ต้องฝึกวิชาหมัดได้ขณะเดียวกันยังต้องเป็ นอาจารย์หล่อหลอมของ สายยันต์ด้วย
ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันที่เรียนรู ้หลายอย่าง อีกทั้งแต่ละวิชาล้วน ถือว่าได้เดินเข้าห้องแล้วทั้งนั้น ในเรื่องของการถ่ายทอดมรรคาก็จะ สามารถทุ่มให้หมดหน้าตัก โดยเฉพาะกับค าว่า “ถ่ายทอดโดยตรง” ก็จะทาได้สมดังใจปรารถนาอย่างเต็มที่แท้จริงแล้ว
ลูกศิษย์แต่ละคนดีเกินไป จนเป็ นเหตุให้อาจารย์อย่างเฉินผิงอัน เหมือนเถ้าแก่สะบัดมือทิ้งร ้านยิ่งกว่าการเป็ นเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่ว พั่วเสียอีก
เป็ นเหตุให้ในเรื่องของการสั่งสอนถ่ายทอดวิชาให้กับลูกศิษย์ ด้วยตัวเอง เฉินผิงอันมีความเสียดายเล็กๆ อยู่ตลอด ชุยตงชานนั้น ไม่ต้องสอน อาจารย์คนแรกของเฉาฉิงหล่างอันที่จริงคือจังชิวกับลู่ไถ นอกจากนี้อย่างการสอนวิชาหมัดให้กับเผยเฉียน? สอนเวทกระบี่ ให้กับกวอจู๋จิ่วที่ตอนพบเจอกันอีกฝ่ ายก็เป็ นผู้ฝึ กกระบี่โอสถทอง แล้ว? ต่อให้เป็ นจ้าวซู่เซี่ยที่ติดตามอยู่ข้างกายในทุกวันนี้ จุดเริ่มต้น ของการเรียนหมัดของเขาก็เหมือนคนที่เรียนรู ้ด้วยตัวเองมากกว่า กว่าจะได้เจอแม่นางน้อยคนหนึ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เฉินผิงอันอยากจะ ลองอวดภูมิตัวเองดูบ้าง ผลคืออยู่กับไฉอู๋เขาต้องมีสภาพเป็ นเช่นไร?
เฉินผิงอันเก็บความคิดกลับคืน หันหน้าไปมองลู่เฉิน ใช ้เสียงใน ใจสอบถามเขา
“ตอนที่พวกเราอายุน้อย เคยต้องอดทนให้ผ่านพ้นวันใดในฤดู หนาวไปหรือไม่ ได้แข็งตายไปอย่างเฉียบพลันยามค่าคืนแล้วหรือ เปล่า?”
พวกเรา?
หมายความว่าไง?
ลู่เฉินอึ้งงันเป็ นไก่ไม้ เงียบไปนาน ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา ยาวเหยียด เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เฉินผิงอัน อย่าเอาอย่างเจิ้งจวีจง จริงๆ นะ ฟังข้าสักค า!”
เจิ้งจวีจงคือเจิ้งจวีจง เป็ นเอกลักษณ์เฉพาะของเขาแค่คนเดียว เขาคิดอยากจะพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่มรรคาจารย์เต๋า เรื่องครึกครื้น ประเภทนี้ เจ้าเฉินผิงอันจะมายุ่งด้วยทาไม
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูด ลู่เฉินก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ประกบสองนิ้ว เอ่ยอย่างรวดร ้าวปานจะขาดใจว่า “ระหว่างสหายจะต้องท าตัวห่าง เหินเช่นนี้ด้วยหรือ? หรือยังต้องให้ผินเต้าเอ่ยค าสาบานร ้ายแรง ด้วย?!”
เฉินผิงอันกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
ดวงตาสองข้างกลายเป็ นสีทอง ทว่าภาพเหตุการณ์ผิดปกตินี้ กลับหายวับไปในทันที
เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอก พยักหน้ารับ สามารถก าจัด ความเป็ นไปได้ที่เป็ นไปไม่ได้ดีมากที่สุดก็คือมีความเป็ นไปได้มาก ที่สุดนี้ทิ้งไปได้แล้ว
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันกลัวว่าตัวเองก็คือหนึ่งฝันอันเป็ นกุญแจ ส าคัญของห้าฝันเจ็ดจิตธรรมของลู่เฉิน ฝันว่าเป็ นผีเสื้อ
“เป็ นสหายกันมาตั้งนานหลายปีแล้ว อย่าทาให้จิตแห่งมรรคา ของข้าวุ่นวาย”
ลู่เฉินปาดหน้าผากที่ไม่มีเหงื่อ เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “อันที่จริง”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก รับค าต่อว่า “อันที่จริงเคยมีความคิด ทานองนี้มาก่อน?”
ลู่เฉินกะพริบตาปริบๆ
เฉินผิงอันถาม “ในเมื่อคิดได้แล้ว ทาไมถึงไม่ทา?”
ลู่เฉินยิ้มกว้างสดใส “เจ้าไม่สงสัยหรือว่า ทาไมอาจารย์ของข้า เดินไปในเมืองเล็กพร ้อมกับเจ้า แล้วไฉนสุดท้ายถึงหยุดอยู่ที่หน้า ตรอกหนีผิง?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ ย้อนถามว่า “ข้างบ้านบรรพบุรุษใน ตรอกหนีผิงของข้า เคยมีใครมาพักอาศัย?”
ลู่เฉินหัวเราะฮ่าๆ เพียงแค่ใช ้มือเคาะตรงหัวใจเบาๆ ปากพูดว่า ตึงๆๆ