กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1029.2 ดอกท้อดอกหลีท่ามกลางสายลมวสันต์และ สุราหนึ่งจอก
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1029.2 ดอกท้อดอกหลีท่ามกลางสายลมวสันต์และ สุราหนึ่งจอก
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างปลงอนิจจังด้วยเสียงแผ่วเบา “สิบปี ปลูก ต้นไม้งอกใหญ่ ร ้อยปี อบรมบ่มเพาะคนให้เติบโต ภาระหน้าที่หนัก หน่วงยาวไกล”
จ้าวซู่เซี่ยกล่าวอย่างเขินอาย “อาจารย์พ่อพูดเรื่องพวกนี้กับข้า จะเป็ นการสีซอให้ควายฟังหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “รู ้สึกราคาญหรือ?”
จ้าวซู่เซี่ย “ไม่มีทาง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เมื่อพวกเราเข้าใจว่าคาว่า “ทาไม” มากขึ้น ก็จะยิ่งทาให้พวกเรามีความอดทนและจิตใจที่สงบเป็ นกลางมากขึ้น คนผู้หนึ่งที่สามารถทาจิตใจให้สงบปล่อยวางได้ก็แสดงว่าฝึ กฝน จิตใจประสพความสาเร็จ วันหน้าเมื่อเจอกับเรื่องใดก็ไม่พูดจาด้วย อารมณ์ พูดจารุนแรงกับคนอื่นง่ายๆ อีก”
ความรู ้ของสามลัทธิร ้อยส านักเหมือนว่าจะลงแรงอยู่กับค าว่า “ใจ” ถึงขั้นที่ว่ายังทุ่มแรงอย่างสุดก าลัง
จ้าวซู่เซี่ยเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างลึกล้า
่
ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วเป็ นทั้งที่พักและเป็ นทั้งห้อง หนังสือ เฉินผิงอันชุดเขียวที่เป็ นหนึ่งในร่างแยกกาลังจุดตะเกียงอ่าน ตารายามค่าคืน เขาพลิกเปิดตาราเล่มหนึ่ง ซ้าไปซ้ามา เนื้อหาก็คือ การสรุปรวมเรื่องที่พูดคุยกับเวินอวี้เมื่อคราวก่อน ข้างมือบนโต๊ะยังมี ตาราเหลืออีกแปดเล่ม หนาบางไม่เท่ากัน เนื้อหาก็แตกต่างกัน ออกไป มีทั้งจารึกภูมิศาสตร ์ที่คล้ายกับบันทึกท่องเที่ยวภูเขาสายน้า แล้วก็มีทั้งการคัดลอกและสรุปความเข้าใจจากการ อ่านต าราของ ลัทธิเต๋าและศีลวินัยของลัทธิพุทธ และยังมีบุคคลเรื่องราวกับสิ่งที่ได้ ประสบ พบเจอมาจากภูเขาไฉอวี้พรรคกิ่งไผ่ มีเรื่องที่คล้ายคลึงกันนี้ อีกมากมายที่ต่างก็ถูกนามาเรียบเรียงเย็บเข้าเล่ม
หากมองยันต์ร่างแยกเจ็ดสาแดงสองอาพรางซึ่งมีดวงจิตเก้าดวง สิงอยู่เป็ นต าราเล่มหนึ่งที่เรียบเรียงขึ้นพร ้อมกัน ถ้าอย่างนั้นเฉินผิง อันที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วไม่ได้ไปไหนก็จะค่อนข้างคล้ายคลึงกับขุนนาง ผู้คุมการตรวจสอบโดยรวมหรือไม่ก็ขุนนางหลักในด้านการ ตรวจสอบเรียบเรียง
เฉินผิงอันผู้นี้เดินออกมาจากห้อง ห้อยยันต์กระบี่ไว้ที่เอวแล้ว ทะยานลมไปที่อาเภอไหวหวง
จากมติประชุมในศาลบุ๋นคราวก่อน เจ้ากรมพิธีการของแต่ละ แคว้นในอนาคตจะต้องมีชาติก าเนิดมาจากลูกศิษย์ของเจ็ดสิบสอง สานักศึกษา ตามความเห็นของเวินอวี้ บัณฑิตที่สอบติดเป็ นขุนนาง น อ กจากจะ ต้อ งมีวิชาความ รู ้ติดตัวที่จริงแท้แน่ น อนแล้ว
่
ขณะเดียวกันยังจะต้องเชี่ยวชาญในเรื่องของกฎหมายและศาสตร ์ การค านวณ เข้าใจศาสตร ์ของการสร ้างประโยชน์ต่อโลกและต่อ ประชาชนที่ปฏิบัติได้จริง ทั้งต้องมีความซื่อสัตย์จริงใจมากพอคอย เพิ่มพูนวิชาความรู ้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ต้องเชี่ยวชาญการ แก้ไขปัญหา หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องเข้าใจหลักการดาเนินงานที่ เกี่ยวข้องกับเรื่องของเงินทอง เสบียงอาหารคดีความ ฯลฯ อย่างเป็ น รูปธรรม ตอนนั้นเวินอวี้ได้ยกตัวอย่างหนึ่งให้เฉินผิงอันฟัง ขุนนาง ของกรมพิธีการกับกรมคลังในราชส านักทะเลาะกัน จะปล่อยให้คน หนึ่งเอาแต่พูดถึงเรื่องมารยาทพิธีการ ส่วนอีกคนหนึ่งก็เอาแต่พูดถึง ถุงเงินของตัวเองไม่ได้ นี่ไม่ต่างจากเป็ ดคุยกับไก่ที่ไม่มีทางคุยกันรู ้ เรื่อง
ในเมื่อเป็ นบัณฑิตที่เข้ามาอยู่ในสานักศึกษา ต่างก็เป็ นเมล็ด พันธ ์บัณฑิตของแต่ละแคว้นอย่างสมศักดิ์ศรี ถ้าอย่างนั้นสานักศึกษา ก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในการอบรมปลูกฝังเมล็ดพันธ ์ทั้งหลาย ส านักศึกษาต้องให้ความส าคัญกับการศึกษาวิจัยหัวข้อต่างๆ หลาย สิบหัวข้อ เปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ให้ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสามารถเข้าร่วมและอภิปรายเป็ นวงกว้าง ยกตัวอย่างเช่นอะไรคือจักรพรรดิปกครองโดยไม่ต้องลงมือเองตาม ความหมายที่แท้จริง ทางฝ่ ายสานักศึกษาต้องพยายามทาให้ลูกศิษย์ ลัทธิขงจื๊อที่พอเข้ามาอยู่ในสานักศึกษาก็มีความเข้าใจต่อหัวข้อซึ่ง แขวนค้างเติ่ง หรือไม่ก็มีคาตอบแต่ค่อนข้างคลุมเครือพวกนี้ให้
่
ได้มากที่สุด ไม่ใช่ว่าให้พวกเขาเอาแต่มุ่งมั่นอ่านตาราก้มหน้าก้มตา ศึกษาหาความรู ้ของตัวเองไปถ่ายเดียว กฎหมายและจารีตที่สืบทอด มาจากบรรพบุรุษของแคว้น หรือแม้กระทั่งมารยาทพิธีการของ ศาลปุ่ นลัทธิขงจื๊อ สรุปแล้วมิอาจเปลี่ยนแปลงได้หรือสามารถแก้ไข ให้ดีขึ้นได้ มีโอกาสที่จะปรับแก้ให้สมบูรณ์แบบหรือไม่และจะปรับแก้ ให้สมบูรณ์แบบได้อย่างไร ล้วนเป็ นสิ่งที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อต้องท า ความเข้าใจให้ชัดเจนในระหว่างที่ศึกษาเล่าเรียน เข้าใจจนถึงขั้นที่ ทุกคนกระจ่างชัดในใจดี ต่อให้ค าตอบจะยังมีความแตกต่าง ถ้าอย่าง นั้นก็ให้หาความเห็นร่วมและยอมรับความเห็นต่างกันไปก่อน รอ กระทั่งพวกเขาออกไปจากสานักศึกษา ในอนาคตเมื่อพวกเขาได้เจอ กับบุคคลและ เรื่องราวอย่างเป็ นรูปธรรมจากในตระกูล ในราชส านัก ค่อยมาพิสูจน์หรือไม่ก็โค่นล้มความ คิดเห็นของตัวเองในช่วงแรกเริ่ม สุดไป…ไม่ว่าจะเป็ นหลักการเหตุผลแบบใดก็ล้วนต้องมีขั้น ตอนของ การวิเคราะห์อนุมานที่เข้มงวดและละเอียดรอบคอบ ไม่ว่าจะโยน ความคิดเห็นใดออกมาก็ต้องมีหลักการเหตุผลที่เพียงพอมา สนับสนุน เวินอวี้บอกว่าบัณฑิตในใต้หล้าต้องใช ้เหตุผลเหมือนการ แต่งตารา หัวข้อที่เป็ นประเด็นก็คือชื่อหนังสือและคานา ข้อมูล สนับสนุนคือสารบัญ คือหัวข้อของเนื้อหาหลักที่มีการไล่อธิบายไป ตามลาดับขั้นตอน ทุกๆ ขั้นตอนล้วนต้องผ่านการกลั่นกรองทบทวน อย่างรอบคอบ
่
ตั้งปณิธานไว้ในใจ เป็ นเรื่องของความรู ้สึก เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ สามารถตั้งให้สูงและไร ้ขีดจากัดได้ แต่การทาเรื่องใกล้มือ เป็ นเรื่อง ของเหตุผล ต้องมีลาดับขั้นตอน โครงสร ้างทั้งหลาายต้องแบ่งแยกให้ ชัดเจน
นอกจากนี้เวินอวี้ยังบอกด้วยว่าตัวเองคิดจะให้สานักศึกษาเป็ น ผู้น า ร่วมมือกับราชส านักของแต่ละแคว้น ใช ้สถานะของทางการมา เรียบเรียงตาราแพทย์ที่ใช ้ได้ทั่วกัน และยังต้องยกระดับของส านัก แพทย์ในบรรดาร ้อยสานักให้สูงขึ้นด้วย
เขายังต้องการนาคาวิจารณ์ ความเห็นที่แตกต่างของในเวลานั้น และของโลกยุคหลังที่มีต่อการปฏิวัติซึ่งมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร ์ ของไพศาล ซึ่งไม่ว่าจะสาเร็จก็ดีหรือล้มเหลวก็ช่าง มาเรียบเรียงเป็ น ตาราเล่มหนึ่งเอาไว้ให้บัณฑิตของโลกยุคหลังได้ใช ้อ้างอิง
นี่เหมือนความคิดมากมายของเฉินผิงอันโดยไม่ได้นัดหมาย
อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าเวินอวี้คิดได้ลึกล้ายาวไกลและวางขั้นตอน ได้รอบคอบกว่าเฉินผิงอันมากนัก
นี่ก็น่าจะเป็ นดั่งคากล่าวที่ว่าแค่พบเจอก็เหมือนรู ้จักกันมานาน กลายเป็ นคนรู ้ใจได้ในเสี้ยววินาที
นอกจากเวินอวี้จะเป็ นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงของลัทธิขงจื๊อซึ่งรับ หน้าที่เป็ นรองเจ้าขุนเขาแล้ว อันที่จริงเขายังเป็ นผู้ฝึกกระบี่ที่สมชื่อ คนหนึ่งด้วย
่
ก็เหมือนอย่างผู้ฝึกตนทาเนียบของใต้หล้ามืดสลัวที่หากสืบเสาะ กันไปถึงรากฐานแน่นอนว่าทุกคนล้วนต้องเป็ นนักพรต
แต่นี่ไม่ขัดต่อการมีสถานะเพิ่มเติมบนเส้นทางการฝึ กตนของ พวกเขาแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่นอารามเสวียนตูก็คือสายเซียนกระบี่ ลัทธิเต๋า ตาหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ ยก็มีสสายรองสายหนึ่งที่เป็ นผู้ฝึก กระบี่เช่นกัน
ก่อนหน้านี้เวินอวี้เคยเอ่ยหยอกล้อกับหวังไข่สหายรักที่ไปเป็ น แขกในห้องหนังสือของตัวเองว่า หากตนได้ไปเยือนก าแพงเมือง ปราณกระบี่ก็ต้องได้เข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลบร ้อนอย่างแน่นอน
นี่ไม่ใช่คาพูดที่เวินอวี้จงใจกดสหายให้ต่า ยกยอตัวเองให้สูง
เฉินผิงอันผู้นี้มาถึงถนนหลักของเมืองเล็กอย่างเงียบเชียบ เหลา สุราที่มีเฟิงอี๋เป็ นเถ้าแก่อยู่เบื้องหลัง เวลานี้ยังคงจุดไฟสว่างไสว เสียง คนดังจอแจ
เดินไปทางตรอกหนีผิง เฉินผิงอันหยุดชะงักอยู่หน้าตรอกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทอดฝีเท้าเดินเข้าไปในตรอกอย่างเนิบช ้า เดินไปถึงหน้า ประตูเรือนที่อยู่ติดกับบ้านบรรพบุรุษ หันหน้าเข้าหาบ้านที่ดู เหมือนว่านับตั้งแต่ที่ตนจาความได้ก็ถูกทิ้งร ้างมาโดยตลอด มองไป ยังมุมหนึ่งทางซ ้ายมือของตรอก เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง สอดสอง มือไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วกลิ้งไปบนพื้นเหมือนตอนที่ยังเป็ นเด็กน้อย
่
จากนั้นเหลือบตามองไปทางขวา บนพื้นดินนอกบ้านบรรพบุรุษของ ตน ด้านใต้กลับมีชาดกล่องหนึ่งฝังอยู่
ก็เหมือนคาถามที่ “นักพรตอู๋ตี” ถามลู่เฉิน เรื่องราวในใต้หล้ามี มากมายหลากหลายสรุปแล้วเป็ นเพราะคนกระท าหรือเป็ นเพราะ สวรรค์ลิขิตกันแน่?
หากสวรรค์เป็ นผู้ลิขิตเรื่องราวทั้งหลาย นั่นก็คือชะตากรรมที่มิ อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่หากไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นบนเส้นทางชีวิตคนก็ ต้องมีความบังเอิญมากมายอย่างเลี่ยงไม่ได้ จะได้หรือเสียล้วนอยู่ที่ ตัวเอง
ฟังจากน้าเสียงของลู่เฉินแล้ว ดูเหมือนว่าอย่างหลังจะมีมากกว่า
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะปืนก าแพงเข้าไปเอาอย่างลู่เฉิน หันหลังให้ประตูบ้าน เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็คิดอยากจะผลักประตู เรือนที่อยู่ตรงหน้า เข้าไปดูในห้องให้รู ้ชัดว่ามีเบาะแสอะไรหรือไม่ เพียงแต่เพิ่งจะยื่นมือออกไปเขาก็ชะงัก คิดๆ แล้วก็ล้มเลิกไป ใช ้มือ ข้างเดียวปื นก าแพงพลิกตัวเข้าไปในบ้านของตัวเอง หยิบกุญแจ ออกมาเปิดประตูห้องแล้วก็ไปนั่งลงข้างโต๊ะ หยิบตะบันไฟออกมาจาก ชายแขนเสื้อ จุดตะเกียงดวงหนึ่ง
อันที่จริง “เฉินผิงอัน” ผู้นี้ก็คือบัณฑิตที่เขาเคยคิดไว้ในใจเมื่อ ครั้งอดีต อายุน้อยๆ ก็ได้เล่าเรียนศึกษาวิชา พอออกจากโรงเรียนก็
่
ได้ผ่านความมานะพยายามในการหาเลี้ยงชีพอายุมากขึ้นก็มีห้อง หนังสือเป็ นของตัวเอง
น่าจะเป็ นชีวิตที่พ่อแม่วาดหวังให้เฉินผิงอันมี เป็ นชีวิตที่สงบสุข ไม่ต้องกังวลกับเรื่องการกินการอยู่ ได้สร ้างครอบครัวเป็ นของตัวเอง
หลักการเหตุผลที่เรียบง่ายบางอย่าง อันที่จริงพ่อแม่ไม่ จาเป็ นต้องพูดซ้าไปซ้ามาให้เด็กคนหนึ่งฟัง ต้องทาดีกับผู้อื่น ต้องมี มารยาท เจอกับผู้ใหญ่ระหว่างทางจะเป็ นคนใบ้ตัวน้อยไม่ได้ ต้องเอ่ย เรียกชื่อเขา ต้องเป็ นคนซื่อสัตย์ ทางานอย่างซื่อสัตย์และตั้งใจ… เพราะพ่อแม่และผู้ใหญ่ท าอย่างไร เด็กน้อยที่อยู่ด้านข้างก็จะเห็น อย่างชัดเจนเสมอ นี่ก็น่าจะเป็ นการสั่งสอนของทางตระกูลที่แท้จริง แล้ว
ทางฝั่งของโรงเรียน จ้าวซู่เซี่ยถามว่า “อาจารย์พ่อ ท าไมท่าน ต้องจงใจเป็ น…..คนธรรมดาด้วย?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เปิดโรงเรียนสอนวิชาอยู่ล่างภูเขาก็คือสอน หนังสืออบรมคน จะต้องใช ้วิชาอภินิหารบนภูเขาไปท าไม”
จ้าวซู่เซี่ยบื้อใบ้ไปทันที
เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง พึมพาว่า “สอนหนังสืออบรมคน มิอาจแยก จากกันได้”
่
หากวันใดทางโรงเรียนแค่สอนหนังสืออย่างเดียว ทั้งพ่อแม่ ผู้ปกครองที่ส่งเด็กๆ มาเข้าเรียนและพวกอาจารย์ต่างก็คิดกันเช่นนี้ จะเกิดปัญหาเอาได้
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าเองก็มี ใจที่เห็นแก่ตัว อยากลองเอาอย่างอาจารย์ฉีดูบ้าง”
ได้ยินคากล่าวซึ่งเป็ นคาพูดในใจประโยคนี้ของอาจารย์พ่อ ทีนี้ จ้าวซู่เซี่ยสามารถเข้าใจได้ทันที
ดูเหมือนว่าอาจารย์พ่อจะเรียกศิษย์พี่เล็กของสายเหวินเซิ่งว่า “อาจารย์ฉี” มาโดยตลอด ไม่ได้เรียก “ศิษย์พี่ฉี” เมื่อก่อนใช่ ตอนนี้ ก็ยังใช่ บางทีวันหน้าก็น่าจะยังเป็ นเช่นนี้
เฉินผิงอันพลันยิ้มเอ่ยว่า “ซู่เซี่ย บางทีเจ้าอาจจะกาลังมีศิษย์น้อง ผู้ชายแล้วล่ะ อายุสิบสี่ แซ่หนิงนามจี๋ บอกได้แค่ว่าอาจจะ ไม่แน่เสมอ ไปว่าจะต้องเป็ นเช่นนี้ เพราะหนิงจี๋ยังต้องเจอกับขั้นตอนที่ลูกศิษย์ เลือกอาจารย์ก่อน จะเป็ นลู่เฉินหรือเป็ นข้า รอให้จิตใจของเขาสงบ ลง ได้ใช ้เวลาคิดหลายๆ วันค่อยตัดสินใจอีกที”
จ้าวซู่เซี่ยนึกว่าตัวเองหูฝาดไป “ใครนะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าไม่ได้ฟังผิด ก็คือลู่เฉิน”
ก่อนหน้านี้อยู่ที่อาเภอหย่งเจีย เฉินผิงอันได้อธิบายให้เด็กหนุ่ม คนนั้นฟังถึงน้าหนักของค าว่าลู่เฉินและเจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี้จิงแล้ว ตอนนั้นเขาต้องใช ้คาเปรียบเปรยที่เด็กหนุ่มฟังเข้าใจไปมากมาย
่
แน่นอนว่าหนิงจี้ฟังด้วยความตกตะลึง แต่ลู่เฉินและเฉินผิงอัน ต่างก็สัมผัสได้ถึงเรื่องหนึ่ง เด็กหนุ่มไม่มีความปิ ติยินดีแม้แต่น้อย กลับกันยังสีหน้าซีดขาว จมเข้าสู่ความหวาดกลัวอย่างมหาศาลที่ เป็ นไปตามสัญชาตญาณ
เมื่อคนคนหนึ่งไม่มีความเชื่อใจต่อโลกใบนี้อย่างลึกล้าถึงแก่น กระดูก แน่นอนว่าความสึกนี้ต้องมาจากความทุกข์ยากลาบาก มากมายที่สร ้างความปวดร ้าวหัวใจไว้บนเส้นทางของชีวิต
เด็กหนุ่มที่อายุไม่มาก แต่กลับผ่านความร ้อนหนาวของใจคน การจากเป็ นจากตายมา หลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นสภาพจิตใจของ เขาจึงเหมือนมีฝุ่นเกาะอยู่ชั้นหนึ่ง แทบไม่มีสีสันใดๆ ให้กล่าวถึง
ลู่เฉินกลับต้องการจะเอาอย่างเฉินผิงอันด้วยการอธิบายให้หนิงจี๋ ฟังอย่างละเอียดถึง ค าเรียกขานว่าเฉินผิงอัน อิ่นกวาน เจ้าขุนเขา แห่งภูเขาลั่วพั่ว ว่าที่ราชครูแห่งราชสานักต้าหลี ลูกศิษย์ปิดส านัก สายเหวินเซิ่ง รวมไปถึงหนิงเหยาว่าที่อาจารย์แม่…
เพียงแต่เฉินผิงอันกลับไม่ปล่อยให้ลู่เฉินทาเช่นนี้ เขาใช ้สายตา บอกเตือนเจ้าลัทธิลู่ว่าอย่า…ขี้โกง
เดิมทีลู่เฉินให้เด็กหนุ่มตักน้ามาหนึ่งชาม ใช ้น้าต่างน้าชา ตาม ความหมายของลู่เฉินก็คือขอแค่ตอนนั้นหนิงจี๋พยักหน้าตอบตกลง เขาค่อยดื่มน้า
่
ก็จะถือว่าลู่เฉินดื่มน้าชากราบอาจารย์ไปแล้ว หนิงจี้ถือเป็ นลูก ศิษย์ของเขาแล้ว
การเดินทางมาเยือนไพศาลครั้งนี้ คุณูปการเต็มเปี่ยม แน่นอนว่า ลู่เฉินย่อมสามารถกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัวและป๋ ายอวี้จิงได้แล้ว
การที่ลู่เฉินเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมากะทันหัน เอาบทละครเก่ามา แสดงใหม่ ต้องการให้หนิงจี๋เปลี่ยนไปเป็ นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันแทน แน่นอนว่าเจ้าลัทธิลู่ย่อมมีแผนการเป็ นของตัวเอง
หนึ่งเพราะการเลือกหนิงจี๋เป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดมีผลกรรม เกี่ยวพันกันมากเกินไปไม่ใช่ว่าลู่เฉินจะแบกรับไม่ไหว เพียงแต่เขา เกียจคร ้านมาจนชิน ลูกศิษย์อย่างเฉาหรง เฮ้อเสี่ยวเหลียง ในเรื่อง ของการถ่ายทอดวิชาคาถาให้ด้วยตัวเอง ลู่เฉินล้วนท าตามใจอย่าง ยิ่งหลังจากที่รับลูกศิษย์มาแล้วเขาก็โยนตาราลับไปให้อีกฝ่ ายสอง สามเล่ม สอนวิชาสองสามบทแล้วก็สะบัดมือไม่สนใจอีก แล้ว นับประสาอะไรกับที่ชาติกาเนิดของหนิงจี้ได้เป็ นตัวตัดสินแล้วว่าเด็ก หนุ่มจะไม่เหมือนกับลูกศิษย์ผู้สืบทอดทุกคนของลู่เฉินก่อนหน้านี้ ลู่ เฉินต้องพาเขาไปอยู่ข้างกาย จนกว่าเด็กหนุ่มจะเลื่อนเป็ นห้า ขอบเขตบนถึงจะสามารถปล่อยได้ เร็วหน่อยก็ไม่กี่สิบปี นานหน่อยก็ ภายในร ้อยปี ซึ่งช่วงเวลานี้เขาจะไม่อาจอยู่ว่างได้เลย
อีกอย่างรับเด็กหนุ่มเป็ นลูกศิษย์ อันที่จริงไม่ได้มีข้อดีมากอย่าง ที่คิด ลู่เฉินได้ทาการอนุมานอย่างหยาบๆ ตั้งแต่ตอนอยู่นอกตรอก เล็กแล้ว หากจะบอกว่าเด็กหนุ่มหนึ่งจี้เป็ นผู้ฝึกตนอิสระที่ฟ้ าไม่สน
่
ดินไม่สน ไม่มีอาจารย์คอยถ่ายทอดวิชา ไม่มีสหายบนเส้นทางการ ฝึกตน มีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็ นผู้ฝึ กตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ อายุน้อยมากได้จริง ถ้าอย่างนั้นเมื่อเขามีอาจารย์แล้ว ต่อให้ลู่เฉินจะ ถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง ผลส าเร็จบนมหามรรคาของหนิงจี๋จะกลับ กลายเป็ นว่าเริ่มลดระดับลง ในอนาคตจะได้เป็ นขอบเขตสิบสี่หรือไม่ ก็จะมีเครื่องหมายคาถามต่อท้ายแล้ว
นี่จึงเป็ นเหตุให้ลู่เฉินทั้งไม่ยินดีจะรวบเอาเรื่องเละเทะที่ต้องลงมือ เก็บกวาดด้วยตัวเองมาจัดการเพียงเพราะความเข้าใจผิดของตน แล้วก็ไม่ยินดีจะถ่วงรั้งเวลาของผู้อื่น ทาให้การฝึ กตนของหนิงจี๋ เสียเวลา
อันที่จริงในใจของลู่เฉินมีตัวเลือกอยู่สามคนที่สามารถมาเป็ น อาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาให้กับหนิงจี๋ได้อย่างสบายๆ นั่นคือศิษย์พี่ โค่วหมิง หลี่เซิ่งและเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว
แต่จนถึงตอนนี้ศิษย์พี่ก็ยังไม่ผสานมรรคา หลี่เซิ่งนั้นมีงานรัดตัว ทุกวัน ส่วนเจิ้งจวีจงถึงอย่างไรเขาก็เป็ นยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารที่ทา อะไรตามใจตัวเอง ต่อให้เขาลู่เฉินกล้าส่งตัวไปให้ ทางฝั่งศาลบุ๋นก็ไม่ แน่เสมอไปว่าจะตอบตกลง
เฉินผิงอันอยู่อันดับที่สี่
่
ผลคือเด็กหนุ่มเงียบไปนานพักใหญ่กว่าจะเปิดปากถามค าถาม หนึ่งกับลู่เฉิน ในเมื่อนักพรตสู่มีสถานะสูงศักดิ์ถึงเพียงนี้ ไยต้องรับ ตนเป็ นลูกศิษย์ด้วยเล่า