กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1029.3 ดอกท้อดอกหลีท่ามกลางสายลมวสันต์และ สุราหนึ่งจอก
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1029.3 ดอกท้อดอกหลีท่ามกลางสายลมวสันต์และ สุราหนึ่งจอก
ลู่เฉินสะอึกอึ้งไปทันที รู ้สึกน้อยเนื้อต่าใจอย่างถึงที่สุด
หรือว่าจะให้พูดความจริงกับเด็กหนุ่มอย่างเปิดเผย บอกว่าชาติ กาเนิดของเจ้าไม่เที่ยงตรง ชะตาชีวิตจะพบเจออุปสรรคมากมาย เกิด มาก็เพื่อมาทวงหนี้ ถูกลิขิตมาแล้วว่าจะเป็ นตัวก่อเรื่องที่ทางฝั่งศาลบุ๋ นต้องปวดหัวไปนานหลายต่อหลายปี? เลยต้องมีคนคอยควบคุมเจ้า? และคนผู้นี้ขอบเขตต้องสูงมากพอ ต้องมีความอดทนดีพอ ความสามารถและวิธีการในการถ่ายทอดมรรคาล้วนถูกต้องเที่ยงตรง สอดคล้องกับหลักมารยาทพิธีการ ถึงจะค่อยๆ ชักนา “ต้นไม้ที่คด เอียง” อย่างเจ้าให้เข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง หันมาฝึกตนสู่สายธรรมะ ได้? หาไม่แล้วหากไม่ผิดไปจากที่คาด เจ้าหนูเจ้าจะต้องได้เป็ นผู้ฝึก ตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่อายุน้อยมาก และจะนาพาสิ่งที่มิอาจล่วงรู ้อีก มหาศาลมาให้แก่ใต้หล้าไพศาลและใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง?
สายตาของลู่เฉินฉายแววไม่พอใจ ผงกปลายคางไปทางเฉินผิง อัน “หนิงจี๋ เจ้าไม่มีอะไรอยากถามนักพรตอู๋บ้างหรือ?”
เด็กหนุ่มจึงถามเฉินผิงอัน “นักพรตอู๋ ท่านยินดีรับข้าเป็ นลูก ศิษย์หรือไม่?”
ลู่เฉินเกือบจะกระอักเลือดออกมาโดยตรง
่
เหมือนกับว่ามีคนผู้หนึ่งถามคนข้างๆ ก่อนว่าอากาศในวันนี้ของ ปี หน้าจะเป็ นเช่นไรแล้วค่อยหันไปถามอีกคนหนึ่งว่าวันนี้ท้องฟ้ า แจ่มใส อากาศดีหรือไม่
คาถามสองข้อนี้ความยากจะเหมือนกันได้หรือ? แบบนี้ถือว่าเท่า เทียมกันแล้วหรือไร?
ลู่เฉินโมโหจนเกือบจะรับลูกศิษย์ผู้นี้ไว้โดยตรง
ท่ามกลางม่านราตรี บนเส้นทางชนบทสายหนึ่ง นักพรตหนุ่มพา เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนของเฉินผิงอัน
ก่อนหน้านี้นัดหมายกันไว้เรียบร ้อยแล้วว่าจะให้หนิงจี๋ได้คิด พิจารณาก่อนสักสองสามวัน ลู่เฉินรู ้สึกว่าไม่สู้พาเด็กหนุ่มมาพบกับ “นักพรตอู๋ตี” ตัวจริงก่อนดีกว่า จึงพาหนิงจี๋ร่ายเวทหดย่อพื้นที่มา
เพียงชั่วพริบตา หนิงจี๋ที่เพิ่งย่างเท้าออกจากบ้านเข้าไปในตรอก ก็พบว่าตัวเองเดินอยู่บนถนนดินเหลืองที่ไม่คุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง จึง ถามว่า “เจ้าลัทธิลู่ นักพรตอู๋ไม่ใช่นักพรตหรือท าไมถึงเป็ นอาจารย์ สอนหนังสือได้ล่ะ”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ชอบเป็ นครูสอนผู้อื่นคือนิสัยเสียที่แก้ อย่างไรก็แก้ไม่หายนอกจากจะอยากเป็ นคนดีแล้วยังต้องการให้ วิถีทางโลกเปลี่ยนมาเป็ นดีขึ้นกว่าเดิมด้วย ต่อให้จะดีขึ้นเพียงแค่ เล็กน้อยก็ตาม”
่
หนิงจี๋ถาม “เจ้าลัทธิลู่อยากให้วิถีทางโลกเปลี่ยนมาเป็ นดีขึ้น กว่าเดิมด้วยไหม?”
ลู่เฉินรู ้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “ข้าคนนี้ค่อนข้างเกียจคร ้าน ไม่ค่อยให้ความสนใจกับความขรุขระของเส้นทางที่เดินอยู่ใต้ฝ่ าเท้า มากนัก ก่อนหน้านี้เมื่อนานมากมาแล้วเคยเขียนตาราเล่มหนึ่ง สิ่งที่ ข้าต้องการจะพูดกับวิถีทางโลกใบนี้ล้วนอยู่ในตาราเล่มนี้หมดแล้ว”
หนิงจี๋กล่าว “เมื่อก่อนระหว่างที่เดินทาง ข้าเคยได้ยินคาโบราณ ประโยคหนึ่งบอกว่าควรตายอยู่ในน้า ไม่ควรตายอยู่บนบก เทพเซียน ผู้เฒ่าอย่างเจ้าลัทธิลู่ เป็ นเพราะพบเจอเรื่องราวมามากมายก็เลยไม่ ค่อยอยากช่วยเหลือคน จึงแค่มองดูความเป็ นความตายของมนุษย์ ธรรมดาของพวกเราแล้วรู ้สึกว่าล้วนเป็ นสิ่งที่พวกเรารนหาที่เอง หรือไม่ก็คร ้านจะมองดูด้วยซ้า?”
ลู่เฉินหัวเราะ ไม่ได้เอ่ยอะไร
ไม่เสียแรงที่เป็ นหนิงจี๋ มองดูเหมือนเป็ นน้าเต้าตัน แต่พอเปิ ด ปากถามเมื่อไหร่ คาถามมักจะสร ้างความล าบากใจและเป็ นค าถาม ใหญ่เสมอ
ลู่เฉินสัมผัสได้ถึงอารมณ์หดหู่ของเด็กหนุ่มจึงถามว่า “เจ้าล่ะ ก่อนจะเจอนักพรตอู๋กับข้า เคยคิดจะใช ้ชีวิตอย่างไร?”
หนิงจี๋กล่าวเสียงเบา “มีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตอยู่ให้ดี มีแค้นต้อง ช าระ มีบุญคุณต้องตอบแทน”
่
ลู่เฉินถาม “เจ้ากับนักพรตอู๋เพิ่งจะเจอหน้ากันแค่สองครั้ง ทาไม ถึงรู ้สึกสนิทใจกับเขาขนาดนี้? ไม่กลัวว่าตัวเองมาเจอกับคนชั่วที่มี เจตนาร ้ายหรอกหรือ?”
นี่ก็เป็ นครั้งแรกเหมือนกันที่เด็กหนุ่มพิจารณาถึงปัญหาข้อนี้ เขาตั้งใจคิดอยู่พักหนึ่งก็ตอบตามสัตย์จริงว่า “ไม่กลัว”
เด็กหนุ่มลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามเสียงเบา “นักพรตอู๋เองก็ ตั้งใจมาหาข้าตั้งแต่แรกเหมือนกับเจ้าลัทธิลู่หรือ?”
หนิงจี๋ไม่ใช่คนโง่ ในเมื่อตนสามารถทาให้เจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี้จิง มาเยือนตรอกเล็กด้วยตัวเองได้ ก็ต้องมีเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู ้อย่าง แน่นอน
ลู่เฉินส่ายหน้า “ไม่เหมือนกับข้า เขาไม่ได้ตั้งใจ แค่เจอเจ้าโดย บังเอิญ เป็ นการพบกันอย่างผิวเผินที่บังเอิญมาก นักพรตอู๋เองก็มี นิสัยคล้ายกับเจ้า การที่เขามาปรากฏตัวในเมืองหลวงแคว้นอวี้เซ วียนก็เหมือนประโยคที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ มีบุญคุณต้องตอบแทน มี ความแค้นต้องช าระ”
อารมณ์ของเด็กหนุ่มดีขึ้นได้ในชั่วพริบตา
ฮ่า ตนเดาถูกอีกครั้งแล้ว นักพรตอู๋ไม่เหมือนกับเจ้าลัทธิลู่จริงๆ
ลู่เฉินโมโหยิ่งนัก
่
นักพรตอู๋ตีเป็ นแค่ร่างแยกของเฉินผิงอันเท่านั้น ผลคือเด็กหนุ่ม กลับท าเหมือนว่าหากอีกฝ่ ายผายลมก็ยังหอม คนเปรียบกับคนชวน ให้คนโมโหตาย ผินเต้าบอกกล่าวตัวตนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า นี่ยัง ไม่จริงใจตรงไหน? ไหนบอกว่าในโลกมนุษย์ยังมีความจริงใจอยู่ อย่างไรล่ะ
ดังนั้นลู่เฉินจึงหัวเราะร่าถามว่า “แล้วถ้าความตั้งใจเดิมของ นักพรตอู๋เหมือนกับข้าล่ะหลังจากเจ้ารู ้ความจิรงแล้วจะรู ้สึกผิดหวัง หรือไม่?”
หนิงจี๋คิดอยู่พักหนึ่งก็ส่ายหน้า “ไม่ผิดหวัง”
บางทีอาจกลับกลายเป็ นรู ้สึกว่าคือความโชคดีที่ต้องทะนุถนอม ให้ดี เหมือนแมลงน่าสงสารตัวหนึ่งที่ยากจนจนหวาดกลัว มีวันหนึ่ง หิวโหยท้องร ้องโครกคราก หิวจนตาสองข้างเปล่งแสงได้ แล้วจู่ๆ ก็ เก็บเงินก้อนหนึ่งได้จากบนพื้น?
ลู่เฉิ นกลอกตามองบน เอาเหล้าของอาร ามชิงเห มย ทะเลสาบหนันถังออกมาหนึ่งกาดื่มเหล้าชิงเหมยไปหนึ่งอีก ลู่เฉิน ถึงกับรู ้สึกว่ารสเปรี้ยวฝาดติดอยู่ตามซอกฟัน
เด็กหนุ่มตกตะลึงระคนประหลาดใจ
ลู่เฉินถาม “วิชาตระกูลเซียนเช่นนี้ อยากเรียนหรือไม่ เรียน เป็ นได้ง่ายมากนะ วันหน้าดื่มเหล้าก็ไม่ต้องจ่ายเงิน”
่
เด็กหนุ่มส่ายหน้า ค าพูดมาถึงริมฝีปากแล้วแต่เขากลับกลืนลง ท้องไป
ต่อให้เจ้าจะเป็ นลู่เฉินที่นักพรตอู๋บอกว่า “บัณฑิตในใต้หล้าล้วน ไม่อาจมองข้าม” คือเจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี่จิง แต่การปืนกาแพงเข้าบ้าน ผู้อื่นส่งเดชเป็ นเรื่องที่ไม่ดี ขโมยของไม่จ่ายเงินก็ยิ่งไม่ดี
ลู่เฉินยิ้มถาม “หนิงจี๋ หนีเอาชีวิตรอดตลอดเส้นทางมานี้ เจ้าไม่ เคยขโมยของบ้างเลยหรือ?”
หนิงจี๋ตอบตามตรง “เคยขโมย ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง แต่เป็ น เพราะแทบเอาชีวิตไม่รอดแล้วจริงๆ”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “มิน่าเล่าเจ้าถึงได้ถูกชะตากับ นักพรตอู๋นัก”
หนิงจี๋ถามอย่างสงสัย “นักพรตอู๋ก็มีชีวิตยากล าบาก…เคยขโมย ของเหมือนกันหรือ?”
ลู่เฉินตอบไม่ตรงค าถาม “หลายๆ ครั้งที่ทาผิดแต่รู ้ว่าตัวเองทา ผิด มีความเป็ นไปได้แค่สองอย่าง อย่างหนึ่งคือเกิดเป็ นความเคยชิน จนกลายเป็ นธรรมชาติ คร ้านจะโกหกคนอื่นและโกหกตัวเอง เพียง แค่เรียนรู ้ที่จะใช ้ข้ออ้างทั้งหลายมาปูเส้นทางในหัวใจ ส่วนอีกอย่าง หนึ่งก็เหมือนการสร ้างเขื่อนขึ้นมาในใจคน ไม่ปล่อยให้น้าล้นไหล หลาก ใช ้วิธีการแบบสุดโต่ง ดังนั้นปรมาจารย์มหาปราชญ์ถึงได้ กล่าวว่า เมื่อทาผิดก็อย่าลังเลที่จะแก้ไข”
่
หนิงจี๋กล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเคยขโมยมาก่อน?”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ตอนเด็กนักพรตอู๋ ต้องล าบากมากแน่”
ลู่เฉินเพียงแค่เงยหน้ายกมือขึ้นกรอกเหล้าชิงเหมยใส่ปากอึก ใหญ่
เหลือบตามองเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกาย หลายปีมานี้มีบางครั้งที่ลู่ เฉินเกิดเสียใจภายหลังขึ้นมาเล็กน้อย เสียใจที่ปีนั้นไม่ได้เอากระสอบ ป่ านครอบหัวเฉินผิงอันตีให้สลบแล้วโยนไปไว้ที่ป๋ ายอวี้จิง ไม่ว่าจะ โยนไปไว้ที่นครหนันหัวหรือเอาอย่างศิษย์พี่ รับลูกศิษย์แทนอาจารย์ บางทีก็คงไม่ต้องมีเรื่องวุ่นวายราคาญใจมากอย่างทุกวันนี้แล้ว
สัมผัสได้ว่าลู่เฉินมีสายตาแปลกไป หนิงจี๋ก็ชะลอฝีเท้าให้ช ้าลง คล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา เพียงแต่ว่าไม่นานก็กลับคืนเป็ นปกติ นี่ เป็ นแค่ลางสังหรณ์ที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่งเท่านั้น
ใจคิดทาร ้ายคนอื่นไม่ควรมี แต่ใจที่ป้ องกันคนอื่นไม่ควรขาด
อีกทั้งเด็กหนุ่มก็กาลังใช ้วิธีการของตัวเองสังเกตการณ์ “เจ้า ลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี้จิง” ผู้นี้อย่างละเอียดจริงๆ
ลู่เฉินแอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง ค าว่าตัวอ่อนในการฝึ กตน วัตถุดิบแห่งฟ้ าดินก็หนีไม่ พันเช่นนี้เอง
ลู่เฉินถาม “ตอนเด็กเคยเรียนหนังสือที่โรงเรียนมาก่อนไหม?”
่
หนิงจี๋กล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง “เคยไปเรียนในโรงเรียนของที่ บ้านแค่ไม่กี่วัน รู ้ตัวอักษรแค่ไม่กี่สิบตัวเท่านั้น”
ลู่เฉินถามอีกว่า “ในเมื่อที่บ้านมีโรงเรียนก็แสดงว่าฐานะทางบ้าน ไม่เลว วันแรกที่เข้าเรียนเคยกราบภาพเหมือนของปรมาจารย์มหา ปราชญ์ เคยโขกหัวค านับอาจารย์ในโรงเรียนหรือไม่?”
หนิงจี๋ส่ายหน้า “ตอนนั้นข้าอายุน้อยมาก เพราะท่านอาใน ตระกูลรับหน้าที่เป็ นอาจารย์สอนหนังสือชั่วคราว จึงไม่ถือว่าได้เข้า เรียนอย่างเป็ นทางการ เลยไม่มีข้อพิถีพิถันพวกนี้”
โรงเรียนประจาตระกูลในโลกมนุษย์ล่างภูเขา โดยทั่วไปแล้วจะ ถูกสร ้างขึ้นในศาลบรรพชนประจ าตระกูล ไม่รับเด็กต่างแซ่ ทว่า โรงเรียนส่วนตัวอย่างที่เฉินผิงอันเปิดกลับไม่จ ากัดแซ่ของผู้ที่ได้เข้า เรียน หลักๆ แล้วคือจะสอนให้เด็กๆ อ่านออกเขียนได้ ส่วนใหญ่จะ เป็ นการเรียนในระยะยาว เริ่มสอนหลังจากที่เทศกาลหยวนเซียวของ เดือนหนึ่งผ่านพ้นไปหยุดเรียนช่วงฤดูหนาว ข้อเรียกร ้องด้านความรู ้ ของอาจารย์ไม่สูงมากนัก แค่พอจะเชี่ยวชาญบทประพันธ ์บ้างก็ พอแล้ว แน่นอนว่าก็มีอาจารย์สอนหนังสือที่ปณิธานอยู่ที่การสอบรับ ราชการเช่นกัน ความรู ้ยิ่งมากน้าหมึกก็ยิ่งมาก จะสอนหนังสือพลาง พยายามสอบช่วงชิงต าแหน่งมาให้ได้ ส่วนใหญ่มักจะสอนหนังสืออยู่ ในโรงเรียนของตระกูลคนรวยหรือไม่ก็สถานเรียนรู ้ ส่วนใหญ่จะเป็ น บัณฑิตที่มีความรู ้มีประสบการณ์ มีทั้งการสอนในระยะยาวและสอน ในระยะสั้น
่
โดยทั่วไปแล้ววันแรกที่เด็กนักเรียนเข้าเรียน ตระกูลปัญญาชนที่ ฐานะทางบ้านดี หรือไม่ก็สถานที่ที่ขนบธรรมเนียมในด้านการสั่งสอน กล่อมเกลาค่อนข้างเข้มข้นก็มักจะ “อัญเชิญ” ป้ ายหรือไม่ก็ ภาพเหมือนของปรมาจารย์มหาปราชญ์มาจากในห้องพิธีการของ ที่ว่าการอาเภอหรือไม่ก็จากเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาประจาอาเภอ ให้พวกเด็กโขกศีรษะคารวะต่อปรมาจารย์มหาปราชญ์ รวมไปถึง อาจารย์ผู้รับหน้าที่สอนหนังสือ ก็จะถือว่าได้เข้าเรียนแล้ว
ลู่เฉินยื่นนิ้วออกมาทามือต่างพู่กัน เขียนอักษรสองตัวเร็วๆ อยู่ กลางอากาศ “รู ้จักหรือไม่?”
หนิงจี๋พยักหน้า “สู เซียน”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “อักษรเหริน (คน) บวกกับอักษรกู่ (หุบเขา) ก็คือ ค าว่าสู (ธรรมดาสามัญ หรือในที่นี้หมายถึงมนุษย์ธรรมดา) คนอยู่ใน ภูเขา ก็คือเซียน เข้าใจได้ง่ายมากเลยไหม? มนุษย์กินห้าธัญพืช เซียนหลอมลมปราณอยู่ในภูเขา จึงมีความต่าง ระหว่างเซียนกับ มนุษย์ธรรมดาจึงต่างกัน”
หนิงจี๋จดจาตัวอักษรสองตัวนี้และคากล่าวนี้ไว้เงียบๆ
ลู่เฉินกล่าว “บอกไว้ก่อนว่า ข้าไม่ได้คิดจะขุดมุมก าแพงบ้านใคร แล้วก็ไม่ได้ชมตัวเองหากเจ้ากราบข้าเป็ นอาจารย์จะค่อนข้างมีอิสระ หากยอมรับนักพรตอู๋เป็ นอาจารย์ สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องค้นพบว่า
่
ตัวเอง อย่างน้อยก็คือตัวเองส่วนหนึ่งจาเป็ นต้องคอยหลบเลี่ยงคนผู้ หนึ่งเป็ นระยะเวลายาวนาน”
หนิงจี๋ถามอย่างประหลาดใจ “ใคร?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “วันหน้าเจ้าก็ค่อยๆ ไปหาคาตอบเองแล้วกัน”
หนิงจี๋จดจาไว้ขึ้นใจ เงยหน้าถาม “ใกล้ถึงโรงเรียนที่นักพรตอู๋ สอนหนังสือแล้วหรือ?”
ลู่เฉินกล่าว “ถึงแล้ว”
เด็กหนุ่มก้าวออกไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้นม่านราตรีก็เปลี่ยนเป็ น ทิวากาล ตัวเขามาอยู่ในสถานที่อีกแห่งหนึ่งแล้ว
หนิงจี๋กวาดตามองรอบด้าน ถึงกับอยู่นอกประตูของห้องเรียน แห่งหนึ่ง?
ในห้องมีอาจารย์สอนหนังสืออยู่คนหนึ่ง คือบุรุษแปลกหน้าที่ สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว
แต่เด็กหนุ่มกลับสามารถจดจาได้ตั้งแต่ปราดแรกที่มองเห็นว่า คนผู้นั้นก็คือนักพรตอู๋ที่ไม่สวมชุดคลุมเต๋า
ลู่เฉินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เหนือใต้ล้วนรายล้อมด้วยน้าแห่งวสันต์ ต้นหลิ่วต้นหยางเขียวขจีอ่อนละมุนเป็ นที่สุด เป็ นสถานที่ที่ดี ภูเขา เขียวน้าใส คือสถานที่ที่ดีที่เหมาะสาหรับอบรมบ่มเพาะกายใจและ ถ่ายทอดวิชาความรู ้ได้พร ้อมกันโดยไม่ถ่วงรั้งกันและกัน!”
่
ข้างโรงเรียนมีลาธารไหลริกๆ ลู่เฉินทาท่าเงี่ยหูตั้งใจฟัง พยัก หน้าเอ่ยว่า “ภาพวาดที่มีชื่อเสียงต้องมีบทกวีขับขาน เสียงอ่านตารา ควบเสียงน้าไหล”
ลู่เฉินพาเด็กหนุ่มที่ยังมึนงงเดินเข้าไปในห้อง ตรงดิ่งไปยังด้าน หลังสุด ยิ้มเอ่ยอธิบายว่า “วางใจเถอะ นักพรตอู๋มองไม่เห็นพวกเรา พวกเราเองก็ไม่รบกวนการสอนหนังสือของเขา ตามค ากล่าวของบน ยอดเขา นี่เรียกว่าเหมือนเข้ามาในดินแดนไร ้ผู้คน”
หนิงจี๋ยืนแทบจะชิดผนัง ยังมีท่าทีระมัดระวังตัวอยู่บ้าง
ส่วนลู่เฉินเอนกายพิงกรอบหน้าต่าง ท่วงท่าเกียจคร ้าน ยิ้มกล่าว ว่า “ใช่แล้ว ชื่อจริงของนักพรตอู๋คือเฉินผิงอัน เฉินที่ประกอบจาก อักษรเอ่อและอักษรตง ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย”
หนิงจี๋พยักหน้ารับ
เด็กหนุ่มชาวบ้านคนนี้ยังไม่เคยมีโอกาสได้รู ้ว่าชื่อที่ธรรมดา อย่างมากนี้ไม่ธรรมดาถึงเพียงใด
ในโรงเรียน บุรุษชุดเขียวกล่าวว่า “ข้าชื่อเฉินจี้ เฉินที่ประกอบ จากอักษรเอ่อและอักษรตง จี้ที่แปลว่าฝีเท้ารอยเท้า นับแต่วันนี้ไปข้า ก็คืออาจารย์สอนหนังสือของพวกเจ้าแล้ว”
“ประโยคแรกที่ข้าจะสอนพวกเจ้า มีตัวอักษรห้าคา คือ “เรียน แล้วหมั่นฝึกฝนทบทวน”
่
อาจารย์สอนหนังสือผู้นั้นหยุดชะงักที่คาว่า “เรียน” อยู่นานมาก เขาเอ่ยเนิบช ้าว่า “อักษร “เรียน” อธิบายให้แปลว่าอ่านต าราไปก่อน ชั่วคราว”
ลู่เฉินฟุบตัวลงบนกรอบหน้าต่างพลางดื่มเหล้า ไม่รู ้ว่าเมื่อไหร่ที่ ในมือมีจอกเหล้ากระเบื้องเคลือบใบหนึ่งเพิ่มมา เขาวางกาเหล้าไว้ ด้านข้าง ในมือถือจอกเหล้า ดื่มอยู่กับตัวเอง ดอกท้อดอกหลี ท่ามกลางสายลมวสันต์และสุราหนึ่งจอก