กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1030.3 เขียนอย่างใจเย็น
ภายหลังยังมีความคิดที่สุดท้ายก็ถูกอาจารย์เฉินละทิ้งไป ก็คือ สอนให้เด็กนักเรียนประถมเขียนตัวอักษร ไม่ใช่เริ่มจากการเขียน แบบบรรจง (อักษรข่ายซู่) ที่อยู่ในกฏในระเบียบแต่อิงตามต้นก าเนิด ของตัวอักษร นั่นคือเริ่มเรียนจากอักษรเสี่ยวจ้วน จากนั้นก็เป็ นอักษร ลี่ซูสุดท้ายถึงเป็ นอักษรแบบข่ายซู ส่วนการเขียนอักษรสิงซูกับอักษร ฉ่าวซู ร่วมไปถึงอักษรฉงเหนี่ยวจ้วนที่มีประวัติศาสตร ์ยาวไกลยิ่งกว่า ก็ได้ถูกอาจารย์เฉินใช ้ค าว่า “ไม่เหมาะ” ปฏิเสธไปก่อน จากนั้นน่าจะ คิดถึงวิธีพลิกแพลงบางอย่างได้ ยกตัวอย่างเช่นว่าสามารถสอน ตัวอักษรแค่ไม่กี่ตัวไปก่อน เพื่อให้เด็กๆ รู ้ว่าบนโลกใบนี้ยังมีตัวอักษร ประเภทนี้อยู่ด้วย….ผลคือก็ยังถูกพู่กันสีแดงขีดฆ่าทิ้ง อาจารย์เฉินยัง เขียนกากับไว้ด้านข้างประโยคหนึ่งว่า “คิดแล้วก็ยังไม่เหมาะสม
และยังมีกระดาษอีกปึกหนึ่งที่วางแยกไว้บนโต๊ะต่างหาก ด้านบน เขียนเรื่องที่ต้องระบุเอาไว้มากมาย
ยกตัวอย่างเช่นเกี่ยวกับการ “รู ้คุณ” และ “กตัญญูกตเวที” อาจารย์เฉินได้เขียนเตือนเองไว้หลายประโยค อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่า เป็ นลายมือและความเข้าใจในช่วงเวลาที่แตกต่างกันอีกด้วย
“ควรจะพูดหรือไม่?” “จาเป็ นต้องระวังเรื่องการอธิบายความต่าง ของสองอย่างนี้ ระวังแล้วระวังอีก” “หากไม่มีความมั่นใจที่แน่นอนและ โอกาสที่เหมาะสม ไม่ควรพูดถึง
หรือยกตัวอย่างเช่น “เรื่องราวในใต้หล้า การตั้งปณิธานมาเป็ น อันดับหนึ่ง แต่ต่อมาอาจารย์เฉินก็เกิดคาถามอีกว่า นักเรียนที่เป็ น เด็กเล็กตั้งปณิธาน มีสูงมีต่า มีใหญ่มีเล็ก มีก่อนมีหลังหรือไม่?
ขงจื๊อกล่าวว่าเมื่อพ่อแม่ยังอยู่ไม่ควรออกเดินทางไกล จะไปไหน ต้องบอกกล่าว ต้องจดจาอายุของพ่อแม่ หนึ่งดีใจที่ท่านมีอายุยืน นาน หนึ่งต้องกังวลที่พวกท่านอายุเพิ่มมากขึ้น สองประโยคนี้ สามารถอธิบายไปพร ้อมกันได้
และยังมีข้อสงสัยกับความคิดบางอย่างที่ใช ้ตัวอักษรแบบบรรจง เล็กเท่าหัวแมลงวันหรือไม่ก็อักษรแบบหวัดเขียนเต็มหน้ากระดาษ อย่างเต็มอารมณ์ ด้านหน้าและด้านหลังมีแต่ตัวอักษรที่มีความ เกี่ยวข้องกันแน่นขนัด
และยังมีสมุดต้นฉบับอีกเล่มหนึ่งที่ยังไม่ได้เอามาใช ้ในโรงเรียน ยังคงเขียนด้วยลายมือของเฉินผิงอันเหมือนเดิม
รวบรวมเอาคติพจน์ คาคมของคนที่มีชื่อเสียงนับแต่โบราณจวบ จนปัจจุบัน ถ้อยค าเรียบง่ายของคนโบราณ ถ้อยค าอันไพเราะและ ความประพฤติที่ดีงาม ดึงเอาบทกวีที่เป็ นวลีติดปากผู้คนมา เป็ นต้น
และยังมีตาราฉบับย่อเล่มบางอีกเล่มหนึ่งที่เนื่องจากสัมผัสคล้อง จอง พูดได้อย่างลื่นไหล ดังนั้นเวลานามาอ่านจะจาได้ง่ายและท่องได้ คล่อง
ในอดีตเฉินผิงอันออกจากบ้านเดินทางไกลเพียงล าพัง ภายหลัง ระหว่างที่พาถ่านด าน้อยเดินทางยามค่าคืนอยู่ในใบถงทวีปด้วยกันก็
ได้ถูกน ามาใช ้
ล้วนเอามาจากต้นฉบับของหลี่สือหลางเจ้านครเถียวมู่ของเรือ ราตรี คัดเลือกมาแล้วน ามาเรียบเรียงเป็ นสัมผัสคล้องจอง
เลือกร ้อยแก้วชั้นยอดที่เหล่านักประพันธ ์ใหญ่ในประวัติศาสตร ์ เขียนบรรยายเกี่ยวกับทัศนียภาพภูเขาสายน้ามาสามสิบหกบท จาก นั้นเฉินผิงอันก็นามาแบ่งเป็ นสามเล่มคือบนกลางล่าง ทุกเล่มจะใช ้ ส านวนเรียบง่าย ภาษาสละสลวยงดงาม
คาบฝึกเขียนตัวอักษรของโรงเรียน เฉินผิงอันจะสอนให้เด็กๆ เขียนชื่อของตัวเองก่อนเด็กที่ก่อนหน้านี้เคยเรียนหนังสือในโรงเรียน มาบ้างแล้วก็จะเขียนประโยคท านองว่า “เรียนรู ้และทบทวนอยู่เสมอ” หรือไม่ก็ให้เขียนกรอบป้ ายในศาลบรรพชนของหมู่บ้านและเนื้อหา ของกลอนคู่
นอกจากนี้ถึงจะเป็ นบทกวีที่ติดปากผู้คนแต่กลับเข้าใจได้ง่าย ยกตัวอย่างเช่นเงยหน้ามองแสงจันทร ์ พฤกษานานาพรรณเต็มเมือง ตะวันลับหายไปหลังภูเขา วสันต์ฤดูมาถึงอย่างเชื่องช ้า ยามมาพืช
พรรณเขียวชอุ่ม…ตอนที่เด็กๆ ก้มหน้าก้มตาเขียนตัวอักษร อาจารย์ สอนหนังสือที่สวมชุดกว้าตัวยาวของลัทธิขงจื๊อสวมรองเท้าผ้าก็จะ เอามือสองข้างไพล่หลังเดินตรวจไปตามโต๊ะ บางครั้งก็จะยื่นมือ ออกมา ใช ้สองนิ้วคีบ “ด้ามพู่กัน” ของเด็กน้อย ยกขึ้นเบาๆ หากเฉิน ผิงอันยกพู่กันขึ้นก็จะต้องเตือนพวกเขาว่าให้ระวังเวลาจับพู่กันเขียน ตัวอักษร ต้องมีสมาธิ ต้องตั้งใจเรียน หรือบางครั้งก็จะหยุดเดิน ชี้ให้ เด็กๆ เห็นว่าตอนที่จรดพู่กันเขียนมีตรงไหนไม่ถูกต้อง
รอกระทั่งคาบฝึกเขียนตัวอักษรเสร็จสิ้น ถึงตอนเที่ยงก็เตรียม เลิกเรียน พวกนักเรียนสามารถกลับไปกินข้าวกลางวันที่บ้านได้ มี เวลาพักผ่อนครึ่งชั่วยาม
หากหนึ่งวันมีอาหารแค่สองมื้อคือเช ้ากับค่า ก็ให้พวกเขาไปเล่น สนุกกัน ปืนต้นไม้จับนก ลงน้าไปจับปลาได้ตามใจ
ลู่เฉินกับหนิงจี้สองคนเป็ นเหมือน “คนนอก” อยู่ตลอดเวลา คอย มองดูความครึกครื้นที่ลานตากธัญพืชนอกโรงเรียน
ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ จ้าวซู่เซี่ยที่มองดูแล้วเรือนกายสูงใหญ่ ร่างกายแข็งแรงก าย าก็จะได้แสดงฝี มือแล้ว เพราะอาจารย์พ่อจะ ขอให้เขาช่วยแสดงวิชาหมัดชุดหนึ่งให้พวกเด็กๆ ดู
จ้าวซู่เซี่ยหน้าบาง อันที่จริงตอนแรกเขายังกระอักกระอ่วนอยู่ บ้าง ประเด็นส าคัญคืออาจารย์พ่อยังก าชับเขาว่าต้องให้เกิดความ
เคลื่อนไหวรุนแรงสักหน่อย เอาแบบที่ฝุ่ นตลบคลุ้ง ชายแขนเสื้อสอง ข้างสะบัดดังพึ่บพั่บ
สาหรับเด็กผู้ชายที่ชอบเล่นสนุกแล้ว การดูจ้าวซู่เซี่ยแสดงวิชา หมัด ก็ไม่ต่างจากการตามผู้ปกครองที่บ้านไปงานวัด ไปตลาดนัด หรือไม่ก็ซื้อของในวันสิ้นปี
ส่วนตัวเฉินผิงอันเองก็จะไปทาอาหารที่ห้องครัว ถือชามเอนกาย พิงหน้าประตู มองดูเรื่องตลกของจ้าวซู่เซี่ย
ในโรงเรียนมีเด็กหญิงอยู่สามคน พวกนางชอบเล่นเตะลูกขนไก่ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงทาลูกขนไก่ติดเหรียญทองแดงหลายลูกให้พวก นาง แล้วก็ถือโอกาสท าไม้ปัดขนไก่ไปด้วย
บางครั้งเฉินผิงอันก็จะเรียกเด็กนักเรียนประถมที่ใบหน้าเหลือง แห้งตอบให้มากินข้าวกลางวันด้วยกัน เด็กคนนั้นนั่งอยู่แถวกลาง ของห้องเรียน มองดูแล้วตัวเล็กผอมแห้งกว่าเด็กห้าหกขวบที่เพิ่งเข้า เรียนเสียอีก เพียงแต่ว่าเรียกไปแล้วสองครั้ง เด็กน้อยหน้าแดงแต่ไม่ พยักหน้าตอบตกลง เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ไม่ยืนกรานอีกต่อไป
เพราะรับค่าเรียนมาในราคาถูก จ านวนเด็กนักเรียนก็มีไม่มาก ดังนั้นเฉินผิงอันจึงทาแปลงผักใกล้กับโรงเรียนขึ้นมาแปลงหนึ่ง ล้อม รั้วไม้ไผ่แล้วเลี้ยงเปิดไก่เอาไว้ ไปขอเช่าป่าไผ่และไร่ชาเล็กๆ จากคน ในหมู่บ้านมาในราคาถูก ขึ้นเขาไปบุกเบิกพื้นที่รกร ้างว่างเปล่าพร ้อม กับจ้าวซู่เซี่ย ปลูกผลผลิตทางการเกษตรจ าพวกข้าวโพด รวมไปถึง
ปลูกผลไม้อย่างลูกท้อผีผา เดิมทีเฉินผิงอันยังคิดว่าควรจะท าเล้าหมู ซื้อลูกหมูสองตัวมาเลี้ยงดีหรือไม่ แล้วยังเคยคิดที่จะปลูกต้นหม่อน ด้วย เพียงแต่ไม่ว่าจะเลี้ยงหมูหรือเลี้ยงไหม กลิ่นก็ค่อนข้างแรง คิด แล้วจึงล้มเลิกไป
หากคิดจะเปลี่ยนแปลงเรื่องอาหารการกินให้ดีขึ้นก็สามารถขึ้น เขาไปท ากับดักสัตว์ไว้บนภูเขา หากไม่ได้จริงๆ ก็ให้จ้าวซู่เซี่ยไปจับ กวางหรือไม่ก็หมูป่ามาสักตัว
ลู่เฉินเอนกายพิงนาฬิกาแดด ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาด ตัวอักษร “ข่าว” กลางอากาศตัวอักษรเหมือนเขียนด้วยน้าหมึก เข้มข้นจึงลอยค้างอยู่กลางอากาศเนิ่นนานไม่สลายหายไปไหน
นักพรตอธิบายให้เด็กหนุ่ มที่อยู่ข้างกายฟังด้วยรอยยิ้ม “ตัวอักษรนี้ ภายหลังกลายมาเป็ นอักษร “อวี๋’ ความหมายสมัย โบราณคือผ่อนคลายสบายอารมณ์ ผ่านไปอีกสองวันก็จะมีเทพ เซียนผู้เฒ่าลัทธิเต๋าคนหนึ่งสร ้างวีรกรรมในการผสานมรรคาได้ ส าเร็จ เจินเหรินผู้เฒ่าก็แซ่นี้ บนภูเขาชินที่จะเรียกเขาด้วยความ เคารพว่าฝูลู่อวี๋เสวียน ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ “โจวพูดถึงฟ้ า ลู่พูดถึง ดิน” ของสายหยินหยาง แน่นอนว่ายังมีเผยหมิ่นแห่งเวทกระบี่หนึ่งใน สามสุดยอดของไพศาลด้วย”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ในมือก็มีไม้เท้าเดิน ป่ าที่ทาจากไม้ไผ่สีเขียวเพิ่มมาสองอัน เขาโยนให้เด็กหนุ่มหนึ่งอัน ยิ้มเอ่ยว่า “ไป จะพาเจ้าไปเดินเที่ยวภูเขาสายน้าแถวนี้ด้วยกัน”
หนิงจี๋ยื่นมือมารับไม้เท้าสีเขียวมรกต กล่าวว่า “นักพรตลู่ ฝีเท้า ข้ายังถือว่าดี”
ลู่เฉินก้าวน าไปก่อน เดินออกจากลานตากธัญพืชของโรงเรียน เดินเลียบไปบนทางเส้นเล็กริมลาธาร มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านที่อยู่ติดกัน ยิ้มพูดชวนคุยว่า “ไม่ว่าจะเป็ นการเที่อวเล่นไปตามภูเขาสายน้าของ ปัญญาชน หรือการขึ้นเขาลงห้วยเพื่อหาเลี้ยงชีพ ต้องมีช่วงเวลาที่ เรี่ยวแรงไม่มากพอ ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้กาลังเท้าของคนคน หนึ่งจะดีแค่ไหนแต่หัวใจล่ะ รับเอาไว้เถอะ”
นักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวไว้บนศีรษะ ตรงเอวห้อยถุงสีดา หนึ่งใบใช ้ไม้เท้าเดินป่ าจิ้มลงไปบนพื้นดินอย่างสบายอารมณ์ “ช่วงเวลาที่คนอายุยังน้อย นอกจากเล่าเรียนเพิ่มพูนความรู ้แล้ว ยัง ต้องพิถีพิถันในเรื่องของการอบรมบ่มเพาะพลังต้นกาเนิดหล่อเลี้ยง จิตวิญญาณ เสริมสร ้างร่างกายให้แข็งแกร่ง สร ้างความมั่นคงให้กับ จิตใจ”
“ต้องทาให้จิตสานึกและจิตวิญญาณดั้งเดิมกลับคืนสู่ตาแหน่งอยู่ เสมอ นี่ก็คือค าของลัททธิเต๋าที่บอกว่า “รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์อยู่ เสมอ” ส่วนอะไรคือจิตส านึก อะไรคือจิตวิญญาณดั้งเดิม ในอนาคต หากเจ้ามีโอกาสได้ฝึกตนก็จะเข้าใจได้เอง จ าไว้ว่าให้ถามอาจารย์ผู้ ถ่ายทอดมรรคาของเจ้าเกี่ยวกับที่มาของจิตวิญญาณดั้งเดิมและ ก่อก าเนิดด้วย
วันหน้าบนเส้นทางของการศึกษาหาความรู ้ ระหว่างการฝึกตน ของเจ้าจะต้องเจอคนที่ตามพัวพัน ไม่เกี่ยวข้องกับดีเลว ก็แค่ว่าจิตใจ ไม่สงบเท่านั้น”
รู ้ว่าตัวเองทาผิด ยินดีจะขอโทษคนอื่น เจอกับข้อเรียกร ้องที่มาก เกินพอดีของคนอื่นก็ต้องกล้าพูดว่าไม่ได้ เมื่อเป็ นเช่นนี้การเป็ นคนก็ จะผ่อนคลายและสบายใจได้มากขึ้น ไม่ต้องมีชีวิตอย่างอึดอัด นี่จึง เป็ นเหตุให้จิตวิญญาณดั้งเดิมมีอิสระเสรี ข้ายังคงเป็ นข้า วัตถุแปร เปลี่ยนไปตามใจ ข้าก็คือข้า”
มาถึงริมลาธาร ลู่เฉินวักน้าล้างหน้า บนริมฝั่งมีต้นการบูรเก่าแก่ ที่พุ่มใบเขียวขจี ลู่เฉินนั่งพักอยู่บนก้อนหินครู่หนึ่ง หยิบตาราเล่ม หนึ่งที่เฉินผิงอันเขียนคาอธิบายตัวเล็กๆ ไว้เต็มพื้นที่ว่างเปล่าออกมา ยิ้มเอ่ยว่า “จะเอาแต่เลื่อมใสคนโบราณ ประเมินตาราโบราณไว้สูง อย่างตามืดบอดอย่างเดียวไม่ได้ ไม่ควรเอาแต่มุ่งมั่นทุ่มเทความคิด อยู่ในกองกระดาษเก่าโดยที่พาตัวเองออกมาไม่ได้”
“เหมือนอย่างเฉินผิงอันที่อ่านหนังสือจะเลือกอ่านหนังสือเล่ม หนาก่อน แล้วค่อยอ่านหนังสือเล่มบาง สุดท้ายเก็บประโยคหรือ หลักการเหตุผลสองสามข้อในตาราที่ประทับใจเอาไว้ไม่ว่าต าราเล่ม ใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็ นคัมภีร ์ที่ถูกเรียกขานว่ากี่ร ้อยปีก็ไม่มีเสื่อมสูญ หรือเป็ นหนังสือเบ็ดเตล็ดที่ไม่ถูกหลักเกณฑ์ ถึงขั้นที่ว่าถูกมองเป็ น หนังสือปลายแถว ได้หลักการเหตุผลที่เป็ นของตัวเองอย่างแท้จริงข้อ
สองข้อมาจากในหนังสือก็ถือว่าเป็ นเรื่องที่ยากมากแล้ว ไม่ถือว่าอ่าน หนังสือมาอย่างเสียเปล่า”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็ยื่นมือข้างซ ้ายออกมา ประกบสองนิ้ว บิดวาดเป็ นวงกลมหลายวงเบาๆ เด็กหนุ่มค้นพบด้วยความตะลึงพรึง เพริดว่า ดูเหมือนความเขียวขจีของร่มไม้นั้นได้ถูกนักพรตรวบรวม เอามา พอลู่เฉินหันไปมองในลาธาร กระดิกนิ้วหนึ่งครั้งก็มีก้อนหิน ชุ่มชื้นก้อนหนึ่งโผล่พ้นออกมาจากผิวน้า เขาเอามือขวาคว้าจับก้อน หินแล้วขยี้เบาๆ เศษผงก็ร่วงกราวลงมา สุดท้ายกลายมาเป็ นตรา ประทับเปล่าสีเขียวทรงสี่เหลี่ยมยาวสองชิ้นนักพรตใช ้สองนิ้วคีบตรา ประทับเปล่า ใช ้นิ้วมือของมือซ ้ายต่างมีดแกะสลัก เริ่มแกะสลัก ตัวอักษรตราประทับ แบ่งออกเป็ นค าว่า “เปิดต ารามีประโยชน์” และ “หนิงจี๋อ่านแล้ว” มอบให้กับเด็กหนุ่ม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในอนาคต หากเจอตาราดีที่ถูกใจก็สามารถนาบตราประทับสองชิ้นนี้ลงไปบน หน้าหนังสือได้”
เด็กหนุ่มชื่นชอบตั้งแต่ที่ได้เห็นจริงๆ จึงไม่เกรงใจ รีบเอ่ย ขอบคุณนักพรตลู่ ลู่เฉินยิ้มพลางโบกมือ “จะต้องเกรงใจผินเต้า ท าไม หากเกรงใจจริงๆ ในอนาคตบนเส้นทางการฝึกตน นอกจากจะ บอกชื่อแซ่ของตัวเองแล้วก็สามารถเพิ่มไปอีกประโยคได้ว่า ลู่เฉินคือ อาจารย์เล็กของเจ้า แม้ว่าเจ้าและข้าจะมิอาจเป็ นอาจารย์และศิษย์กัน อย่างถูกต้องชอบธรรม แต่เป็ นคนต้องเห็นแก่ความสัมพันธ ์ในวันวาน ต้องนึกถึงความสัมพันธ ์ควันธูปในอดีตกันบ้าง”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ตามนักพรตเดินไปบนเส้นทางภูเขา เหนือ ศีรษะมีเมฆทะมึนมารวมตัวกัน เสียงฟ้ าร ้องดังครืนครั่น ดูจากท่าทาง ฝนคงใกล้จะตกลงมาแล้ว
เมื่อพวกเขามาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง คนในพื้นที่เรียกสถานที่แห่ง นี้ว่ายอดเขาน้อมส่ง
เพียงชั่วพริบตาสายฝนเม็ดใหญ่ก็เทกระหน่าลงมา ฟ้ าดินมืด สลัว
ลู่เฉินยื่นร่มกระดาษน้ามันคันหนึ่งไปให้กับหนิงจี๋
น้าฝนเทโครมลงมาเหมือนฟ้ ารั่วอย่างไรอย่างนั้น
คนทั้งสองยืนกางร่มอยู่ที่เดิม ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อะไรคือคน สมบูรณ์แบบ เปิดเผยและไร ้ข้อบกพร่องได้อย่างเป็ นธรรมชาติ”
“บัณฑิตอันดับหนึ่งที่อยู่ระหว่างฟ้ าดิน หาวิชาความรู ้บน ตัวอักษรค าว่า “มารยาทพิธีการ” บ้างก็บุกเบิกบ้างก็สร ้างความมั่นคง ให้กับเส้นทาง ทาให้เส้นทางบนโลกมนุษย์ที่ยามแห้งแล้งไม่แห้งผาก ถึงฤดูฝนไม่เฉอะแฉะ ก็เหมือนเส้นทางตอนที่พวกเราเดินมา”
“บัณฑิตอันดับหนึ่งที่สอง ทุ่มเททั้งชีวิตศึกษาคาว่า “หลักการ เหตุผล” เพื่อแสวงหาความถูกต้องดั้งเดิม เพื่อสืบทอดระบบและควัน ธูป ก็เหมือนอย่างเรือนหลังนั้น และยังมีร่มในมือของพวกเรา”
“อันดับที่สาม ศึกษาหาความรู ้อยู่ในห้องหนังสือ อ่านตาราจน ผมขาว วนเวียนอยู่บนค าว่า “ตัวอักษร” สามารถสร ้างประโยชน์ ให้กับสายบุ๋นได้เช่นกัน ก็เหมือนทุกๆ ระยะทางสามลี้ห้าอี้ที่จะต้องมี ศาลาพักเท้าข้างทางปรากฏขึ้นเสมอ”
“อันดับต่ากว่านั้นก็คือคนที่อ่านตาราของอริยะปราชญ์มามาก แต่กระนั้นก็ยังเป็ นเพียงน้าครึ่งถัง แสวงหาผลประโยชน์หลีกเลี่ยง เคราะห์ร ้าย แต่กลับไม่มีใจคิดทาร ้ายคนอื่นและยังยินดีที่จะทาความดี เท่าที่ความสามารถของตัวเองจะอานวย บัณฑิตในใต้หล้า มีคน ประเภทนี้อยู่แปดเก้าในสิบส่วน อันดับต่าลงมาอีกก็คือปัญญาชน คร่าครึที่สามัญเกินจะทน แสร ้งวางมาดให้ดูภูมิฐาน หัวโบราณคร่าค รีเกินไป เรียกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็ นผู้ถ่ายทอดศีลธรรม จรรยาและวิญญูชนผู้เที่ยงตรง พฤติกรรมโหดร ้ายใจดา ไม่เข้าใจ เรื่องมนุษย์สัมพันธ ์ อันดับล่างสุดก็คือวิญญูชนจอมปลอม คือคน ถ่อยที่แท้จริง ยิ่งความรู ้ของพวกเขาใหญ่แค่ไหนก็ยิ่งส่งผลร ้ายต่อวถี ทางโลกมากเท่านั้น ก็เหมือนอย่างที่คนบางคนกล่าวไว้ในคัมภีร ์พุทธ ว่า เข้ามาสู่หลักธรรมของข้า อาศัยอยู่ในวัดของข้า ท าลาย หลักธรรมที่ถูกต้องของข้า”
เม็ดฝนใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองตีกระทบร่มกระดาษน้ามันให้ สั่นสะเทือนไม่หยุด
หนิงจี๋พอจะมองเห็นได้ร าไรว่าบนทางภูเขาห่างออกไปไกล มีคน ก้าวเดินรวดเร็วราวกับบิน กาลังมุ่งหน้ามาทางนี้
เด็กหนุ่มความจาดี อีกทั้งยังเชี่ยวชาญในการจับรายละเอียด เขาสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่าจ้าวซู่เซี่ยที่ขึ้นเขามาที่นี่ไม่ใช่จ้าวซู่เซี่ย ของ “วันนี้”
ลู่เฉินกล่าว “จ้าวซู่เซี่ยมาฝึกหมัดที่นี่ ตอนอยู่ที่โรงเรียนเหมือน ถูกมัดมือมัดเท้า มิอาจร่ายกระบวนท่าหมัดนี้ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้ง
ยามออกหมัดความเคลื่อนไหวก็ต้องรุนแรงมาก”
ชุยเฉิงลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อมีวิชาหมัดอยู่วิชาหนึ่งที่เรียกว่า กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่
แล้วก็จริงดังคาด จ้าวซู่เซี่ยมาถึงยอดเขาแล้วสองเท้าก็หยุดยืน นิ่ง กดจุดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน ตั้งท่าหมัดแล้วเริ่มปล่อยหมัดใส่
แผ่นฟ้ า