กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1031.2 พบเจอในยุทธภพบอกกล่าวถึงความ ยากล าบาก
คนพายเรือเฒ่าบอกลาซิ่วไฉเฒ่าแล้วหันหัวเรือกลับ ร ้องเพ้ย อย่างดัง “ข้าผู้อาวุโสหวังดีวิ่งมาอวยพรเจ้าถึงที่นี่ ผลคือดวงตาเจ้า กลับไปงอกอยู่บนหัวกบาล น่าหงุดหงิดนักเจ้ามันไม่ใช่คน”
ใบหน้าอวี๋เสวียนเต็มไปด้วยรอยยิ้มจืดเขื่อน ไม่กล้าด่ากลับ
ซิ่วไฉเฒ่าตามองจมูก จมูกมองใจ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
กู้ชิงซงพลันหันหน้ากลับมา “ซิ่วไฉเฒ่า เจ้าเป็ นคนดีมาก เมื่อ เทียบกับคนบางคนแล้วตาแหน่งของพวกเจ้าสองคน อันที่จริงต้อง สลับกัน นี่ต่างหากจึงจะเรียกว่าหนึ่งคือฟ้ าหนึ่งคือดินอย่างสมชื่อ หากว่าไม่มีคนบางคนเป็ นสหายก็จะดียิ่งกว่านี้ วันหน้าไปหาข้า พวก เราสองพี่น้องดื่มสุราดีๆ ด้วยกันสักมื้อ ไม่เมาไม่เลิกรา ไม่แน่ว่าอาจ ได้ดื่มสุรามงคลของข้าก็ได้”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบกล่าว “ได้เลยๆ แน่นอนๆ”
รอกระทั่งกู้ชิงซงถ่อเรือกลับไปยังโลกมนุษย์แล้วก็ตรงดิ่งไปที่เรือ ข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาลานั้น
ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้กลับมาอยู่ข้างกายอวี๋เสวียน ยิ้มถาม “เกิดอะไร ขึ้น เมื่อก่อนท่านเคยมีเรื่องกับสหายเซียนฉาหรือ?”
ใบหน้าของอวี๋เสวียนเต็มไปด้วยความอัดอั้น “ปัญหาคือจนถึง ตอนนี้ผินเต้าก็ยังไม่รู ้ว่าทาไมปีนั้นเจ้าหมอนี่ถึงต้องไปดักหน้าประตู รอด่าข้าด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่าถามอย่างประหลาดใจ “ด่าอะไรท่าน?”
อวี๋เสวียนกล่าว “ความหมายคร่าวๆ ก็คือด่าว่าผินเต้าคานบนไม่ ตรงคานล่างเอียง”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “ใครให้พี่ใหญ่อวี๋มีศิษย์ลูกศิษย์หลานมากมาย ขนาดนั้นกันเล่า ถูกสหายเซียนฉาด่าแบบนี้ ก็คงรู ้สึกใจฝ่ ออยู่บ้าง จริงๆ สินะ”
อวี๋เสวียนทอดถอนใจ
คนที่สามที่มาแสดงความยินดีคือจื้อเซิ่งแห่งเส้าหลิง อาจารย์ผู้ เฒ่าสวี่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า แม้ว่าผู้เฒ่าจะไม่ติดอันดับ อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปของศาลบุ๋น แล้วก็ไม่อยู่ในระบบสืบทอดสายบุ๋ นของลัทธิขงจื๊อ แต่อาจารย์ผู้เฒ่าสวี่กลับเป็ นบัณฑิตที่มีคุณูปการ ยิ่งใหญ่อย่างมาก ไม่ต่างจากผู้เฒ่าคนที่นั่งบัญชาการณ์อยู่ในป๋ า ยอวี้จิงจ าลองของแจกันสมบัติทวีปทุกวันนี้ ต่างก็ถือว่าเป็ นคนที่เก็บ ตัวสันโดษอย่างแท้จริง
รอกระทั่งอาจารย์สวี่ทักทายปราศรัยกับอวี๋เสวียนเสร็จแล้ว ใน ที่สุดซิ่วไฉเฒ่าก็มีโอกาสเปิดปาก เขายกนิ้วโป้ งเอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “อาจารย์สวี่ ท่านไม่รู ้อะไร ทุกครั้งที่ลูกศิษย์ปิดส านักของข้าพูดถึง
ท่าน ความนับถือเลื่อมใสนั้นก็เอ่อล้นออกมาจากทั้งคาพูดและสีหน้า คืออย่างนี้เลยนะ!”
อาจารย์ผู้เฒ่าสวี่ยิ้มเอ่ยเรียบๆ ว่า “เหวินเซิ่งเรียกชื่อข้าก็พอ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าเองก็ไม่คู่ควรกับค าชมของเฉินอิ่นกวาน ด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ พูดด้วยสายตาฉายแววไม่พอใจว่า “อิ่นก วานอะไรกัน ห่างเหินเกินไปแล้ว ในเมื่อพวกเราสองคนที่นับ ตามลาดับอาวุโสแล้วก็เป็ นพี่น้องกันได้ ท่านก็คิดเสียว่าเฉินผิงอันคือ เด็กในตระกูลแล้วกัน วันหน้าเจอหน้ากันเรียกเขาว่าหลานชายก็ได้ แล้ว”
พอคาพูดนี้หลุดออกมา อาจารย์สวี่ก็ไม่รู ้แล้วว่าควรจะตอบ อย่างไรดี
คนทั้งใต้หล้าล้วนรู ้จักนิสัยและการเข้าข้างคนกันเองของเหวิน เซิ่งเป็ นอย่างดี หากเจ้าเกรงใจเขา เขาจะไม่เกรงใจเจ้าแน่นอน
จากนั้นก็เป็ นเจ้าขุนเขาคนปัจจุบันของสานักต้าผู้ใบถงทวีป มี ชาติก าเนิดเป็ นเจียวเฒ่าหมื่นปี เฉิงหลงโจว
เคยเป็ นแขกประจ าของนอกฟ้ า
แล้วพวกเขาก็พูดคุยกันไปถึงเรื่องของการขุดเจาะลาน้าใหญ่ใน ใบถงทวีปอย่างเป็ นธรรมชาติ
ซิ่วไฉเฒ่าปลาบปลื้มอย่างยิ่ง “หากจะพูดถึงคาพูดห้าวเหิม วีรกรรมยิ่งใหญ่ ลูกศิษย์ปิดสานักของข้าคนนี้พูดไม่เยอะ แต่กลับลง มือท าเยอะกว่า”
เฉิงหลงโจวยิ้มเอ่ย “เรื่องชดเชยความเสียหายให้กับใบถงทวีป เฉินอิ่นกวานช่างท าให้คนนับถือยิ่งนัก”
ซิ่วไฉเฒ่าเงียบไปพักใหญ่ ก่อนยิ้มเอ่ย “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน เป็ นภาระหน้าที่ที่มิควรเกี่ยงงอน ครามเกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่า คราม”
จากนั้นก็เป็ นเหวยเซ่อแห่งธวัลทวีป ผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์คนหนึ่ง ที่เคยถูกมองว่าขอบเขตสิบสี่คือของในกระเป๋ าของเขา
หลังจากที่เจ้าแห่งยอดเขาเจ็ดสิบสองแห่งจากไปก็มีผู้ฝึ กตน ใหญ่ทยอยมาแสดงความยินดีที่นี่อีกเรื่อยๆ แม้กระทั่งขอบเขตบิน ทะยานลัทธิเต๋าของใต้หล้ามืดสลัวก็ยังมากันหลายคน
คนสุดท้ายที่มาร่วมแสดงความยินดีคือภิกษุเสินชิงที่มีฉายาว่า หลวงจีนน้าแกงไก่
“ท่านภิกษุใหญ่ ในใจของพวกเราต้องมีใช่กับไม่ใช่ ต้องมีถูกผิด ก่อน ใช่ไหม?”
“ใช่กระมัง”
……
ภูเขาลั่วพั่ว โต๊ะหินริมหน้าผานอกเรือนไม้ไผ่
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกับแม่นางน้อยชุดดาที่สะพายกระเป๋ า ผ้าฝ้ ายกาลังนั่งชมดวงจันทร ์ด้วยกัน พวกนางกระซิบพูดคุยกันราว กับมีเรื่องให้คุยไม่จบสิ้น
ของกินเล่นในคืนนี้ไม่ใช่ขนมกับเมล็ดแตง แต่เป็ นกลีบดอกไม้ ที่มาจากดอกชบาแดงล้วนเป็ นของรางวัลที่ผู้พิทักษ์ฝ่ ายขวาได้มา จากการออกลาดตระเวนภูเขาเพียงล าพังในค่าคืนนี้
ม้านั่งหินข้างโต๊ะไม่เตี้ย หน่วนซู่สามารถวางสองเท้าแนบพื้นได้ พอดี แต่แม่นางน้อยที่ตัวเตี้ยกว่าหน่อยกลับต้องนั่งเท้าลอยพื้น
หมี่ลี่น้อยพลันฟุบกายลงบนโต๊ะ บอกให้พี่หญิงหน่วนซู่ยื่นมือ ออกมา หน่วนซู่ไม่เข้าใจแต่ก็ยังยื่นมือออกไป หมี่ลี่น้อยยกฝ่ ามือขึ้น เป่ าลมใส่เบาๆ ก าเป็ นหมัดแล้วแกว่งแรงๆ สองสามที จากนั้นตบลง บนมือของพี่หญิงหน่วนซู่ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เผยเฉียนบอกว่า ยอดฝี มือทั้งหลายที่เดินบนหลังคาไต่กาแพงได้ สามารถถ่ายทอด ก าลังภายในหกสิบร ้อยปีให้คนอื่นได้อย่างง่ายดาย ข้าน่ะเรียนวรยุทธ ไม่เก่ง แต่ว่า! ฝ่ามือนี้ของข้ามีกลิ่นอายเซียนนะ พี่หญิงหน่วนซู่ มอบ ให้ท่านแล้ว รับไว้ให้ดี รับไว้ให้ดี!”
หน่วนซู่ยังคงมึนงงอยู่เหมือนเดิม แต่กระนั้นก็ยังกาฝ่ ามือเป็ น หมัด ยิ้มพูดด้วยน้าเสียงอ่อนโยนว่า “รับไว้แล้ว”
แม่นางน้อยพยักหน้า ยกสองแขนกอดอก ผินตัวเบี่ยงข้าง หัน หน้าไปนอกหน้าผาแกว่งเท้าทั้งสอง ส้นเท้าเคาะกับม้านั่งหินครั้งแล้ว ครั้งเล่า พูดอย่างใส่อารมณ์ว่า “อันที่จริงน่ะ เดิมทีคิดจะมอบให้เผย เฉียน แต่นางไม่ลับบ้านนานขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็จะโทษข้าไม่ได้ แล้วนะ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ แม่นางน้อยก็หันหน้ามาอธิบายว่า “เพราะเผย เขียนไปเรียนที่โรงเรียนได้แค่ไม่กี่วัน แล้วยังชอบโดดเรียนตั้งแต่เข้า ไม่เหมือนพี่หญิงหน่วนซู่ ท่านอ่านหนังสือทุกวันจึงไม่ต้องใช ้พลัง เซียนน้อยนิดที่ข้าขอมาจากเทียบอักษร”
ที่แท้คราวก่อนเจ้าขุนเขาคนดีได้คลี่กางเทียบอักษรสองชิ้นของ ซูจื่อกับหลิ่วชีลงบนโต๊ะต่อหน้าหมี่ลี่น้อย แน่นอนว่าเป็ นผลงาน แท้จริงอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว
เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ของตนก็ไปขอจากพวกเขามาด้วย ตัวเอง หากนี่ยังเป็ นของปลอมได้ ใต้หล้านี้ก็ไม่มีของจริงแล้ว
ตอนนั้นหมี่ลี่น้อยยื่นมือไปแตะเทียบอักษรสองชิ้นนั้นก็รู ้สึกว่า ตัวเองได้สัมผัสกับกลิ่นอายเซียนมาแล้ว
ดึกมากแล้ว คนหนึ่งต้องตื่นแต่เช ้ามาเก็บกวาดเรือน คนหนึ่ง ต้องลาดตระเวนภูเขาพวกนางจึงกลับที่พักด้วยกัน
ก่อนพวกนางจะออกมาจากโต๊ะหินก็สังเกตเห็นว่าชั้นหนึ่งของ เรือนไม้ไผ่ยังมีแสงตะเกียงลอดออกมา เจ้าขุนเขาคนดียังจุดตะเกียง
อ่านต าราอยู่เลยนะ หน่วนซู่ยกนิ้วไว้บนริมฝีปาก หมี่ลิ่น้อยพยักหน้า รับแรงๆ ทราบแล้ว
หน่วนซู่พาหมี่ลี่น้อยไปส่งที่หน้าประตูเรือนก่อน เอ่ยลาพี่หญิง หน่วนซู่แล้ว หมี่ลี่น้อยก็ไม่รีบเดินไป รอให้พี่หญิงหน่วนซู่จากไปไกล แล้ว นางถึงได้เดินขยับไปใกล้หน้าประตู ย่อสองเข่าลงเล็กน้อยคล้าย ยืนท่าม้า สองมือท าท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน ค่อยๆ ผายฝ่ า มือข้างหนึ่งออกมา ฝ่ ามือแนบติดกับประตูใหญ่ ตวาดเบาๆ หนึ่งที ประตูเรือนที่ไม่ได้ลงกลอนก็ถูก “กระแทกเปิด” ได้ยินเสียงประตูเปิด ออกดังแอด แม่นางน้อยชุดด าเก็บฝ่ ามือมา ยืดเอวตรงยืนนิ่งอีกครั้ง ก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูไปด้วยความพึงพอใจ พยักหน้ากับตัวเอง ตามค ากล่าวที่เผยเฉียนอ่านเจอมาจากนิยายยุทธภพในปีนั้น ฝ่ ามือ นี้ของตน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องก าลังภายในสามสิบปีแล้ว
ผู้พิทักษ์ขวากลับเรือนไม่ลงกลอนประตู ออกจากบ้านก็ไม่ใส่ กลอน กลอนประตูมีไว้แค่ให้พอเป็ นพิธีอย่างนั้นเอง เมื่อก่อนสะดวก ให้เผยเฉียนแวะมาหา ภายหลังก็กลายเป็ นความเคยชินไปแล้ว
หมี่ลี่น้อยมาถึงที่พัก ห้องที่นางใช ้พักผ่อนก็เป็ นห้องหนังสือ เหมือนกัน นางโคลงศีรษะเดินไปไปข้างโต๊ะหนังสือ จุดตะเกียงน้ามัน นั่งแปะลงบนเก้าอี้ ฮ่า สองเท้าเหยียบลงบนพื้นแรงๆ
โต๊ะและม้านั่งในห้องล้วนเป็ นพ่อครัวเฒ่าที่ทาขึ้นกับมือตัวเอง ดังนั้นจึงมีขนาดเล็กน่ารัก
ต าราบนโต๊ะมีไม่มาก วางทับซ ้อนกันไว้อย่างเป็ นระเบียบ ส่วน ใหญ่ล้วนเป็ นต าราที่เผยเฉียนเคยอ่านตอนเด็กแล้วมอบต่อให้กับหมี่ ลี่น้อย
หมี่ลี่น้อยเอียงศีรษะ ปลดกระเป๋ าผ้าฝ้ ายที่ตัวเองรักมาก ทุกวัน ไม่เคยห่างจากกายลงมา วางลงบนโต๊ะ ตบลงบนกระเป๋ าเบาๆ ยิ้ม ปากกว้าง “หรูหรา!”
ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือเก่าของต้าหลี ยอดเขาโหยวอี้ สานักกระบี่หลงเฉวียน
หลิวเสี้ยนหยางกาลังปิดด่าน
บอกว่าปิดด่าน แต่อันที่จริงก็คือปิดประตูนอนหลับ เพียงแต่ว่าไม่ เหมือนการงีบหลับของเมื่อก่อน
เซอเยว่ที่ใช ้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่รู ้ดีถึงความไม่ธรรมดาและ ความร ้ายแรงของการปิดด่านครั้งนี้ของหลิวเสี้ยนหยาง นางจึงรออยู่ นอกห้องของหลิวเสี้ยนหยาง ไม่ห่างไปแม้แต่ก้าวเดียว
ถึงอย่างไรด้วยรากฐานมหามรรคาและตบะขอบเขตของนาง ไม่ หลับตานอนปีครึ่งปีก็ไม่รู ้สึกเหนื่อยล้า
เด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าหลี่หยวนเซิน สุดท้ายก็ยังเลือกกราบสวีเสี่ยว เฉียวเป็ นอาจารย์ ฝึก ตนอยู่บนยอดเขาจูไห่
ก่อนหน้านี้หลิวเสี้ยนหยางเคยบอกว่า หลังออกจากด่านจะไป เยือนหงโจวรอบหนึ่งนอกจากที่นั่นคือสถานที่ที่เซียนกระบี่ของสู่ โบราณจับมือกันบินทะยานทิ้งคราบร่างเซียนเอาไว้แล้ว ในอาณา เขตของเขตอวี้จางหงโจวยังมีเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับพิธีสืบทอด พิธี สร ้างความส าราญใจของยุคโบราณอยู่ด้วย
เซอเยว่ได้ยินเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งก็หันหน้าไปมอง ชายฉกรรจ์ เงียบขรึมคนหนึ่งเดินเท้าขึ้นเขามายังยอดเขาโหยวอี๋แห่งนี้ เห็นแม่ นางหน้ากลมที่สวมชุดผ้าฝ้ ายตลอดทั้งปีก็ผงกศีรษะให้ กับเซอเยว่ แล้ว บุรุษที่ถูกหลิวเสี้ยนหยางเรียกว่าช่างตีเหล็กหร่วนก็มักจะมี รอยยิ้มให้เสมอ
หร่วนฉงเอาสองมือไพล่หลัง ฝีเท้าของเขาเบามาก พอมาถึงก็ แค่ใช ้เสียงในใจถามว่า เขาก าลังปิดด่านหรือ?”
เซอเยว่พยักหน้า อธิบายว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ บางที อาจจะมีอันตราย”
หร่วนฉงเองก็พยักหน้า หากไม่เป็ นเช่นนี้เขาก็ไม่มีทางมาเยือน ยอดเขาโหยวอี๋ แต่บุรุษก็ยังพูดด้วยน้าเสียงเรียบเรื่อยสบายๆ ว่า “เสี้ยนหยางคือคนที่อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ วันหน้าต้องรบกวนแม่นางอวี๋ให้ ช่วยดูแลแล้ว”
เซอเยว่นึกถึงบทสนทนาระหว่างพวกเขาก่อนที่หลิวเสี้ยนหยาง จะปิดด่านขึ้นมาได้นางหน้าแดงเล็กน้อย เขินอายอย่างที่หาได้ยาก
แต่นางก็ไม่ใช่สตรีที่เคอะเขินอะไร จึงเอ่ยว่า “อาจารย์หร่วน หากว่า ข้าผูกสมัครเป็ นคู่บาเพ็ญเพียรกับหลิวเสี้ยนหยางจริงๆ จะสร ้าง ปัญหาที่ไม่จาเป็ นให้กับสานักกระบี่หลงเฉวียนหรือไม่?”
หร่วนฉงส่ายหน้า “ไม่มีทาง”
เซอเยว่อืมรับเบาๆ หนึ่งที
หร่วนฉงมองเข้าไปในห้องแวบหนึ่ง เพิ่งจะมาได้แค่ครู่เดียวก็ หมุนตัวจากไปแล้วเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นได้ มือทั้งสองข้างยังคง ไพล่หลัง ไม่ได้หันกลับมา เพียงแค่ชะลอฝีเท้าให้ช ้าลง กล่าวว่า “ถ้า หาก ข้าแค่พูดว่าถ้าหาก วันหน้าเจ้าเด็กเสี้ยนหยางผู้นี้ทาอะไรไม่ ถูกต้อง อีกทั้งเขายังเคยอ่านตาราเล่าเรียนมาก่อน มีหลักการเหตุผล บิดเบี้ยวมากมายเจ้าทะะเลาะกับเขาแล้วเถียงสู้ไม่ได้ หรือเขาดื้อดึง ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมเสียหน้า ไม่ยอมรับผิดกับเจ้า เจ้าก็มาบอก ข้าสักคา ข้าไม่ได้เป็ นเจ้าสานักแล้ว แต่จะดีจะชั่วก็ยังเป็ นอาจารย์ ของเขา ด่าเขาสองสามค ายังพอท าได้”
เซอเยว่ยิ้มกว้าง “จาไว้แล้ว”
ในความทรงจ าของเซอเยว่ ดูเหมือนว่าช่างหร่วนจะไม่เคยพูดกับ ใครเยอะขนาดนี้มาก่อน
หร่วนฉงเพิ่งจะเพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็รู ้สึก ลังเลขึ้นมาอีก บุรุษหยุดเดิน เอ่ยว่า “ตามขนบธรรมเนียมของเมือง เล็ก โดยทั่วไปแล้วงานเลี้ยงจะต้องจัดขึ้นสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือที่บ้าน
เกิดฝ่ ายชาย อีกครั้งหนึ่งจัดในบ้านฝ่ ายหญิง ดังนั้นถึงเวลานั้นจะจัด งานเลี้ยงสุราขึ้นที่อาเภอไหวหวงรอบหนึ่ง ส่วนอีกครั้งหนึ่ง หากแม่ นางอวี๋ไม่รังเกียจก็จัดงานเลี้ยงที่สานักกระบี่หลงเฉวียนของพวกเรานี่ แหละ นอกจากยอดเขาโหยวอี๋แล้วจะเลือกภูเขาลูกไหนก็ได้ ดื่มสุรา มงคลแล้ว ภูเขาลูกนั้นก็จะเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของแม่นางอวี๋ ถือเสียว่าเป็ นน้าใจจากผู้ใหญ่อย่างข้า ส่วนเพื่อนเจ้าบ่าวของหลิว เสี้ยนหยาง ตามกฎแล้วก็ต้องติดตามเจ้าบ่าวมาร่วมงานมงคลทั้งสอง ครั้ง สามารถช่วยปฏิเสธการดื่มสุราให้แทนหลิวเสี้ยนหยางได้”
เซอเยว่ฟังมาถึงตรงนี้ มองแผ่นหลังของคนที่ดูเหมือนว่าต้องใช ้ เรี่ยวแรงมหาศาลกว่าจะพูดถ้อยคาปกติทั่วไปพวกนี้ออกมาได้ นางก็ รู ้สึกเสียใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
……
เถียนหูจวินที่เป็ นเจ้าเกาะซู่หลินทะเลสาบซูเจี่ยน หลังจากที่ผู้ฝึก ตนหนุ่มซึ่งทุกวันนี้ไม่รู ้ว่าจะนับเป็ นศิษย์น้องของตัวเองได้หรือไม่จาก ไปแล้ว สีหน้าของนางก็ยังเลื่อนลอยไม่หาย ยังหวาดผวาอยู่ไม่คลาย
ทางฝั่งของเกาะกงกลิ่ว โจวไฉ่เจินผู้ฝึกตนหญิงที่ออกมาเดินเล่น ท่ามกลางแสงจันทร ์พอรู ้ว่าคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่มีสีหน้า อ่อนโยนตรงหน้าก็คือกู้ช่านที่ทาเรื่องชั่วช ้าสามานย์มานับไม่ถ้วน ชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาใช ้ถ้อยคา สบายๆ เอ่ยประโยคที่น่าตะลึงพรึงเพริดนั้นออกมา เอาบัญชีใหม่ บัญชีเก่ามารวมกัน สังหารเจ้าเกาะผู้เฒ่าหลิว? โจวไฉ่เจินก็ตกใจจน
หน้าซีดขาว ลางสังหรณ์บอกกับนางว่าอีกฝ่ ายไม่ได้ล้อเล่นแต่ ประโยคสุดท้ายหลังจากที่อีกฝ่ ายบอกกล่าวตัวตนของตัวเองแล้ว กลับเป็ นประโยคที่ว่าข้าล้อเล่น เจ้าอย่าได้คิดเป็ นจริงเป็ นจัง