กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1032.2 เสี่ยงดวงแพ้ไปครึ่งหนึ่ง
ตอนแรกก็มีเผยเฉียน ภายหลังมีหนิงจี๋ ฮ่าๆ ลู่เฉินคีบบะหมี่คา ใหญ่เข้าปากจนแก้มพองโป่ง อารมณ์เปลี่ยนมาเป็ นรื่นเริงสุดขีด สูด อากาศเข้าปอดแรงๆ หลายเฮือก
ลู่เฉินกินบะหมี่พลางพูดเสนอแนะด้วยน้าเสียงอู้อี้ไปด้วยว่า “อยู่ กับภูเขากินจากภูเขาอยู่กับน้ากินจากน้า ผักป่ าบนภูเขามากมาย ขนาดนี้ ในลาธารก็มีปลาเยอะแยะ คราวหน้าทาอาหารมื้อดึกเป็ น อาหารตุ๋นหม้อดินก็ดีมากเลยนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเข้าหน้า หนาวอากาศด้านนอกหนาวเหน็บ ด้านหน้ามีไอร ้อนๆ โชยมาปะทะ ใบหน้า รสชาตินั้นสุดยอดไปเลยล่ะ หากข้างเท้ายังมีกระถางไฟอีก ใบหนึ่งเอาไว้ต้มเหล้าเหลืองหรือไม่ก็เหล้าข้าวเหนียวจุ๊ๆ แค่คิดก็ น้าลายสอแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยากแล้วล่ะ”
แน่นอนว่าไม่ใช่อาหารหม้อดินที่ทายาก แต่เป็ นเจ้าสู่เฉินที่ยาก จะได้กินแล้วในเมื่อจัดการเรื่องนี้ในใต้หล้าไพศาลเสร็จแล้ว ทางฝั่ง ของใต้หล้ามืดสลัวก็ยังมีคลื่นใต้น้ารออยู่เจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี้จิงอย่าง ลู่เฉินไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้นานนัก ก่อนหน้านี้ชุยตงซานส่งจดหมายลับ ฉบับหนึ่งมาที่ภูเขาลั่วพั่ว ด้านบนเขียนรายชื่อของสิบคนและตัว
ส ารองใหม่ล่าสุดของใต้หล้ามืดสลัวเอาไว้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ป๋ า ยอวี้จิงก็ต้องไม่กล้าประมาทแน่
ลู่เฉินถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะเงยหน้าถามชวนคุย “เฉินผิงอัน ยังจาได้ไหมว่าครั้งแรกที่เจ้าดื่มเหล้าคือตอนไหน?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “เมื่อก่อนตอนเรียนวิชาหมัด มิอาจ ทนรับความยากลาบากได้ ดูเหมือนว่าจะขอเหล้าจากเว่ยป้ อมาดื่ม หลังจากนั้นมาก็มิอาจหยุดยั้งได้อีก คิดจะเลิกเหล้าก็ไม่ได้แล้ว”
ลู่เฉินยิ้มถาม “ข้าสงสัยเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด เจ้าชอบดื่มเหล้า จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนที่ถามคาถามแบบนี้ได้ แค่มองก็รู ้แล้วว่า เป็ นคนที่ไม่ชอบดื่มเหล้า”
ลู่เฉินหยิบไข่เค็มสามสี่ลูกออกมาจากชายแขนเสื้อ วางลงบน โต๊ะ “เป็ นผลผลิตพิเศษจากสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเกาโหยว มี ชื่อเสียงมากเลยล่ะ เป็ ดของทะเลสาบหว่าพี่ หว่าพี่ (กระเบื้องและอิฐ) จากประโยคที่ว่าเต๋าอยู่ในกระเบื้องและอิฐ”
พวกเฉินผิงอันพากันหยิบไข่เป็ ดมา เคาะเปลือกให้แตกเบาๆ ไม่ได้เกรงใจเจ้าลัทธิลู่
อยู่ดีๆ ลู่เฉินก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ปรมาจารย์เดินอยู่ ทั่วทุกหนแห่ง เจินเหรินบินเต็มผืนฟ้ า ทัศนียภาพในอีกพันปีข้างหน้า
เจ้าและข้าไม่เดินไปบนเส้นทางอับแสงของบนภูเขา ยังจะท าอย่างไร ได้อีก”
เฉินผิงอันพยักหน้าคล้อยตาม “มากมายจนมองตามแทบไม่ทัน”
ลู่เฉินกล่าว “กู้ช่านหวนกลับคืนมายังสถานที่เดิมแล้ว ตอนนี้อยู่ ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน”
เฉินผิงอันพยักหน้า
ลู่เฉินเหมือนเทพรายงานข่าวที่ข่าวสารว่องไวอย่างยิ่ง “ตอนอยู่ ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างเพียงแค่เพราะผู้ฝึกตนอิสระที่มีฉายาว่าชิงมี่ผู้นั้น คนสองกลุ่มจึงมาพบเจอกันบนทางแคบหนึ่งสังหารหนึ่งช่วยเหลือ ต่างฝ่ ายต่างไม่ยอมกัน เพียงแค่เพราะอยู่ในเปลี่ยวร ้าง สิบคนของ แผนภูมิฟ้ าจึงได้ยึดครองฟ้ าอานวยดินอวยพรไปทั้งหมด เป็ นเหตุให้ ครั้งนี้ที่หลุดพ้นจากวงล้อมมาได้ คนสองคนที่มีคุณความชอบใหญ่ ที่สุดคือเฉาสือที่เลื่อนเป็ นชั้นเทพมาเยือนแล้ว แน่นอนว่านี่เป็ นเรื่องที่ ไม่มีอะไรให้ลุ้น อีกคนหนึ่งก็คือกู้ช่าน การแสดงออกของเขาตั้งแต่ ต้นจนจบล้วนท าให้คนต้องหันมามองเขาเสียใหม่ สุดท้ายสามารถ เอาชนะมาได้ก็ต้องยกคุณความชอบให้กู้ช่าน หากไม่ใช่เพราะ กู้ช่าน การต่อสู้ครั้งนี้ยังยืดยาวไปได้อีก ไม่มีทางที่จะแบ่งแพ้ชนะเร็ว ขนาดนั้น คิดดูแล้วทุกวันนี้พวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่อายุน้อยๆ อย่าง พวกฉุนชิงและสวี่ป๋ ายก็คงทั้งรู ้สึกซาบซึ้งใจทั้งกริ่งเกรงในตัวกู้ช่านที่ อายุเท่ากัน ความรู ้สึกจะต้องซับซ ้อนมากแน่”
“ส่วนเรื่องที่ว่ากู้ช่านสร ้างคุณความชอบนี้ได้อย่างไร ก็คืออาศัย ใบไหวเก่าแก่กาหนึ่งที่เก็บรักษามานานหลายปี เหมือนซี่โครงไก่ พวกเทียนซือน้อย “จ้าว” “สวี่” ป๋ าย “เฉา” สือ จึงเหมือนมีเทพช่วย ส่วนพวกอวี้เจวี้ยนฟู ฉุนชิง แม้จะบอกว่าแซ่ของพวกนางหายาก จึง ไม่ได้รับบุญคุณจากใบไหว แต่ก็ถือว่าได้พึ่งใบบุญไปด้วย เพราะ กู้ช่านเก็บซ่อนไว้อย่างลึกล้าและเอาออกมาใช ้กะทันหัน เมื่อเป็ น เช่นนี้สถานการณ์ที่เดิมทีสูสีกันจึงเกิดการเอนเอียง และเฉาสือก็หา โอกาสได้พบ อาศัยโชคชะตาบู๊ที่มีติดกายปล่อยหมัดที่เทียบเท่า ขอบเขตสิบเอ็ดไปหมัดหนึ่ง ต่อยให้ค่ายกลใหญ่แตกสลายได้อย่าง สิ้นเชิง”
“กู้ช่านยังหลอกเอาผู้ฝึ กตนหญิงหนึ่งในสิบแผนภูมิฟ้ าของ เปลี่ยวร ้างมาได้ด้วย นางชื่อว่าจื่ออู่เมิ่ง ฉายา “ซุนเซียว”
“หึ อาจารย์เป็ นอย่างไรศิษย์ก็เป็ นอย่างนั้นจริงๆ อาจารย์เจิ้ง หลอกเอานครจินชุ่ยทั้งแห่งมาได้ คนที่เป็ นลูกศิษย์ก็เลยเอาอย่าง”
เฉินผิงอันฟังมาถึงตรงนี้ก็หยุดตะเกียบในมือลง ขมวดคิ้วน้อยๆ ถามว่า “เขาไปท าอะไรที่ทะเลสาบซูเจี่ยน”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน เขาทั้งไม่ได้ไปเกาะชิงเสีย ของหลิวจื้อเม่า แล้วก็ไม่ได้ไปพรรคห้าเกาะของเจิงเย่ แค่ทยอยไป พบศิษย์พี่หญิงเถียนหูจวิน จ้งซู่แห่งเกาะหวงหลี คนสุดท้ายที่ไปพบ คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งในนครริมทะเลสาบ เด็กหนุ่มหัวทึบเรื่อง การเล่าเรียน อาศัยก าลังเท้าและก าลังเอวเป็ นคนลากรถรับจ้าง ทุก
วันได้เงินอย่างเหนื่อยยากมาจากพวกขุนนางชั้นสูงและเหล่า ปัญญาชนที่ชอบไปเที่ยวเล่นกันที่ทะเลสาบซูเจี่ยน กู้ช่านเห็นแก่ ความสัมพันธ ์ในวันวาน หลังจากได้พบเด็กหนุ่มที่เคยเป็ นเพื่อนบ้าน และมักจะคุยเล่นกันบ่อยๆ คนนี้แล้วก็ร่วมกันวางแผน แล้วให้เด็ก หนุ่มยืมเงินก้อนหนึ่ง เตรียมจะร่วมมือกันเปิดร ้าน กู้ช่านแค่ออกเงิน ไม่ออกแรง เอ๊ะ พูดแบบนี้ทาไมฟังแล้วเหมือนกู้ช่านก็เป็ น…เถ้าแก่ รองเหมือนกันเล่า?”
เฉินผิงอันฟังมาถึงตรงนี้ ในดวงตาก็ปรากฏรอยยิ้ม
ลู่เฉินมือหนึ่งถือตะเกียบ อีกมือหนึ่งสะบัดชายแขนเสื้อแสร ้ง ทาท่านับนิ้วคานวณ “ตามหลักแล้วหลังหลุดพ้นจากวงล้อมมาได้ก็ ควรจะดื่มเหล้าฉลองกันถึงจะถูก แต่กู้ช่านกลับเปลี่ยนสีหน้าไม่จาคน วิ่งไปต่อยตีกับเฉาสือมารอบหนึ่ง ตามตอแยเฉาสือไม่เลิกรา ยิ่งตีกัน กู้ช่านก็ยิ่งโมโห เฉาสือก็เลยต้องเพิ่มแรงบนหมัดอีกเล็กน้อย กู้ช่าน บาดเจ็บไม่เบาเลยล่ะ”
เฉินผิงอันกล่าว “เหลวไหล!”
ลู่เฉินพยักหน้า “สมองไม่ค่อยดีจริงๆ มีเรื่องกับใครไม่มี ดันไปมี เรื่องกับเฉาสือ”
ในขณะที่เจ้าลัทธิลู่พูดคุยกับอาจารย์พ่อ จ้าวซู่เซี่ยแค่กินอาหาร มื้อดึกของตัวเองไปเงียบๆ
หนิงจี๋ได้ยินชื่อกู้ช่านและเฉาสือเป็ นครั้งแรกจึงรู ้สึกสงสัยใคร่รู ้อยู่ บ้าง ลู่เฉินหันหน้ามายิ้มเอ่ย “เฉาลือผู้นี้ร ้ายกาจนักล่ะ คือศัตรูตัว ฉกาจของอาจารย์พ่อเจ้า และยิ่งเป็ นจุดอ่อนบนเส้นทางการเรียนวร ยุทธของอาจารย์พ่อเจ้า ทุกวันนี้ศึกเขียวขาวระหว่างเฉาสือและ อาจารย์พ่อเจ้ายังมีคนเดิมพันกันอยู่เลย ไม่รู ้ว่าเทพเซียนบนภูเขากี่ มากน้อยที่พากันทุ่มทองพันชั่งในการเดิมพัน”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่เคยชนะเฉาสือเลยสักครั้ง คาว่าถามหมัด ล้วนแพ้ทั้งหมด แต่นิสัยใจคอของเฉาสือ ไม่ว่าใครก็หาข้อบกพร่อง ของเขาไม่ได้ ความสัมพันธ ์ระหว่างข้ากับเฉาลือไม่ถือเป็ นทั้งสหาย และศัตรูด้วยซ้า ไม่มีความแค้นความอาฆาตอะไรต่อกัน เป็ นแค่เพื่อน กันเท่านั้น”
หนิงจี๋พยักหน้า “อาจารย์คือบัณฑิตที่มีปณิธานอยู่กับสามอมตะ การตีรันฟันแทงกันในยุทธภพก็ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน”
คราวก่อนติดตามเจ้าลัทธิลู่เดินทางประหลาด ถือว่าไม่เสียเปล่า เด็กหนุ่มได้เรียนรู ้ค ากล่าวจากในต ารามาไม่น้อยแล้ว
ความนัยในประโยคนี้ของเด็กหนุ่มก็คือหากอาจารย์เฉินมุ่งมั่น แต่การเรียนวรยุทธฝึกหมัดต้องเอาชนะเฉาสือได้แน่นอน
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ก็จริงนะ”
จ้าวซู่เซี่ยหลุดหัวเราะพรืด
ต่อให้จะเคารพอาจารย์พ่อของตนแค่ไหน จ้าวซู่เซี่ยก็ไม่คิดว่า หากอาจารย์พ่อมุ่งมั่นอยู่กับวิชาหมัดแล้วจะต้องเอาชนะเฉาสือผู้นั้น ได้
จูเหลี่ยนเคยยิ้มเอ่ยกับจ้าวซู่เซี่ยเป็ นการส่วนตัวประโยคหนึ่งว่า ในอนาคตร ้อยปี เฉาสือที่อยู่บนเส้นทางวรยุทธ บางทีหากตัวเขา เรียกตัวเองว่าเป็ นที่สองก็ไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าเป็ นที่หนึ่งแล้ว
ตอนนั้นจ้าวซู่เซี่ยย่อมรู ้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง หากเฉาสืออยู่บน ยอดสูงสุดของวิถีวรยุทธเขาไร ้ศัตรูทัดทานถึงเพียงนี้ อาจารย์พ่อของ ตนควรจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ?
จูเหลี่ยนจึงพูดกึ่งๆ ล้อเล่นว่า ทาไมเฉาสือต้องเรียกตัวเองว่าเป็ น ที่สองในใต้หล้า?
จ้าวซู่เซี่ยไม่ใช่คนที่ความคิดว่องไว เชี่ยวชาญการวิเคราะห์ จึง ไม่รู ้ว่าควรจะตอบอย่างไร
จูเหลี่ยนจึงถามเองตอบเองว่า บางทีอาจเป็ นเพราะเฉาสือร ้าย กาจเกินไปจนไม่มีใครสามารถแบ่งแพ้ชนะกับเขาได้ แต่เฉาสือกลับ รู ้สึกอยู่ตลอดว่ามีคนคนหนึ่งที่สามารถช่วงชิงอันดับหนึ่งกับเขาได้
ทว่าการต่อสู้ครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ ายจะต้องมีคนตายถึงจะสามารถ ตัดสินแพ้ชนะได้อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงมีเพียงใครคนใดคนหนึ่งที่มา ในภายหลังเท่านั้นที่จะช่วงชิงกับอันดับหนึ่งกับเฉาสือในอดีตได้
จ้าวซู่เซี่ยพยักหน้า ตอนนั้นในหัวสมองของเขามีแต่อาจารย์พ่อ ที่เขาเคารพนับถือดุจเทพเจ้าเท่านั้น แน่นอนว่าต้องรู ้สึกว่าผู้ฝึกยุทธ บนโลกก็มีเพียงอาจารย์พ่อเท่านั้นที่ถึงจะสามารถวัดสูงต่ากับเฉาสือ ได้
แต่จูเหลี่ยนกลับยิ้มกล่าวว่า คนคนนั้นต้องเป็ นเจ้าขุนเขาที่ จะต้องฝึกตนอยู่บนภูเขาเป็ นเวลานานเท่านั้นหรือ? เจ้าจ้าวซู่เซี่ยล่ะ? เจ้าเองก็เป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ลู่เฉินยิ่งนับถือหนิงจี๋เข้าไปใหญ่ เจ้าเด็กคนนี้ ตอนนี้ยังไม่ได้ กราบอาจารย์อย่างเป็ นทางการ ยังไม่เคยไปอยู่ภูเขาลั่วพั่วเลยนะ
ไปอยู่แล้ว รอกระทั่งหนิงจี๋ได้เจอกับพ่อครัวเฒ่าจูเหลี่ยน ศิษย์พี่ เล็กชุยตงซาน ศิษย์พี่ หญิงใหญ่เผยเฉียน โดยเฉพาะพวกเทพเซียน ผู้เฒ่าเจี่ย ถูกกล่อมเกลาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะไม่ยิ่งร ้ายกาจหรอก หรือ?
ขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วมักจะแปลกเช่นนี้เสมอ
สมกับคาที่ว่าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เดินเข้าประตูบานเดียวกัน จริงๆ
เฉินผิงอันพลันถามลู่เฉินว่า “เจ้าคิดว่าลาน้าใหญ่ของใบถงทวีป เส้นนั้นจะสามารถขุดเจาะได้สาเร็จอย่างราบรื่นหรือไม่?”
ลู่เฉินยิ้มตอบอย่างไม่ลังเล “เมื่อถึงเวลาเหมาะสมฟ้ าดินล้วนให้ การช่วยเหลือ จะไม่สาเร็จได้อย่างไร เพียงแต่ว่าวีรกรรมยิ่งใหญ่นี้
ย่อมต้องเจออุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็ถือเสียว่าเรื่องดี ต้องผ่านการขัดเกลาเยอะหน่อยก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันยกชามขาวในมือส่งไปทางสู่เฉิน “ขอให้สมพรปาก เจ้า ชนกันหน่อย”
ลู่เฉินยกชามขาวชนด้วยเบาๆ “พวกเราสองพี่น้องชนกันหน่อย ชนกันหน่อย”
เฉินผิงอันมาเปิดโรงเรียนเป็ นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่นี่ เขา ทุ่มเทความคิดจิตใจ การหวนกลับสู่ห้าขอบเขตบนมากจริงๆ
ลู่เฉินจึงใช ้เสียงในใจถามว่า “มั่นใจหรือว่ามีจิตมารอยู่ที่คอขวด ขอบเขตก่อก าเนิด?”
มองดูเหมือนเป็ นประโยคไร ้สาระ แต่ในเมื่อเฉินผิงอันเคยทดลอง ฝ่ าทะลุขอบเขตในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมยอดเขามี่เซวี่ยมาแล้ว ทั้ง ยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว จะไม่เจอจิตมารได้อย่างไร?
แต่เฉินผิงอันกลับพยักหน้า ตอบเสียงหนักว่า “พอจะมั่นใจได้ คร่าวๆ แล้ว”
ลมกลางคืนในป่าเขาเย็นสบาย ลู่เฉินยกชามเหล้าขึ้น มองไปยัง กระดิ่งใต้ชายคาของห้องเรียนที่ส่ายเบาๆ แต่กลับไร ้เสียง
ทว่าหางตาของเจ้าลัทธิลู่กลับเหลือบมองไปยังร่างของจ้าวซู่เซี่ย ผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่พอมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วไม่สะดุดตาอย่างยิ่ง
ถึงขั้นพูดได้ว่าการที่ลู่เฉินปรากฏตัวครั้งนี้ ในระดับใหญ่แล้วก็ เพื่อพูดคุยกับจ้าวซู่เซี่ยที่เหมือนเฉินผิงอันมากผู้นี้สองสามประโยค
แล้วก็เพราะเหมือนมากเกินไป จึงเป็ นเหตุให้พอตกอยู่ในสายตา ของผู้เชี่ยวชาญบางคนจึงคล้ายว่าเขาเป็ นภาพวาดเลียนแบบ อย่าง มากก็ได้แค่ค าวิจารณ์ท านองว่าเป็ นงานต้นฉบับระดับรองเท่านั้น
ทว่าลู่เฉินกลับไม่ใช่ “บางคน” ที่ว่านั้น
นั่งอยู่ข้างโต๊ะเหล้าเหมือนกัน เทียบกับผู้ฝึกยุทธหญิงที่มวยผม ทรงกลม ลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของเฉินผิงอันที่อยู่ในจวนเฝิ่นหวาน ภูเขาเหอฮวานแล้ว
ลู่เฉินกลับเป็ นห่วงลูกศิษย์ปิดส านักบนเส้นทางวิถีวรยุทธของ เฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มากกว่า
ไม่ได้บอกว่าผลสาเร็จในการเรียนวรยุทธของจ้าวซูเซี่ยจะต้องสูง กว่าเผยเฉียนเสมอไป ก่อนหน้านี้ที่จ้าวซู่เซี่ยไปฝึกหมัดที่สันเขาน้อม ส่ง ลู่เฉินได้ท าการอนุมานคร่าวๆ ไปแล้วระดับความสูงในการเรียนวร ยุทธของจ้าวซู่เซี่ยมิอาจเหนือกว่าศิษย์พี่หญิงอย่างเผยเฉียนได้จริงๆ เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้เผยเฉียนก็เป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง แล้ว จ้าวซู่เซี่ยเพิ่งจะเป็ นผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่เพิ่งฝ่ าทะลุขอบเขต ได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น คือผู้ฝึ กยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่ชีวิตนี้ถูกลิขิต มาแล้วว่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับคาว่า “แข็งแกร่งที่สุด”
ดังนั้นการที่ลู่เฉินมองจ้าวซู่เซี่ยไม่เหมือนใครจึงเป็ นเพียงลาง สังหรณ์ที่ไม่มีเหตุผลอย่างหนึ่งเท่านั้น และลางสังหรณ์ประเภทนี้ของ ผู้ฝึกตนอย่างลู่เฉิน เดิมทีก็เป็ นเหตุผลที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่งอยู่ แล้ว
กินอาหารมื้อดึกกันอิ่ม จ้าวซู่เซี่ยกับหนิงจี๋ก็ช่วยกันเก็บชามและ ตะเกียบ
เฉินผิงอันดื่มเหล้ากับลู่เฉินต่อ สุราที่ใช ้ดื่มคราวนี้กลับเป็ นเหล้า ต้มพื้นบ้านที่เฉินผิงอันขอมาจากบ้านของเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่ อาศัยอยู่บนภูเขา
มีแขกมาเยือนอีกคน คือเพื่อนบ้านใกล้เคียง
ก็คือเกาเนี่ยง เทพวารีลาคลองซี่เหมยที่เพิ่งมารับหน้าที่ใหม่และ เพิ่งจะได้สมบัติชิ้นหนึ่งไปครอง