กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1032.4 เสี่ยงดวงแพ้ไปครึ่งหนึ่ง
“ปี นี้เจ้ามองหนิงจื๋อย่างไร ปี นั้นพวกเราก็มองเจ้าเฉินผิงอัน เช่นนั้น”
ลู่เฉินกล่าว “หากตอนที่ข้าตั้งแผงดูดวงอยู่ในเมืองเล็กแล้วบอก กับเจ้าว่า เจ้าจะมีสภาพการณ์อย่างในทุกวันนี้ เจ้าจะกล้าเชื่อไหม?”
ในความเป็ นจริงแล้วคนรุ่นเยาว์ของถ้าสวรรค์หลีจู มีหลายคนที่ ได้นั่งลงบนโต๊ะเดิมพันมานานแล้ว ถึงขั้นที่ว่ายังมีลูกรักแห่งสวรรค์ หลายคนที่จนถึงนาทีสุดท้ายถึงจะเดิมพันแพ้ทั้งหมด
เฉินผิงอันเอ่ย “ประสบผลสาเร็จอย่างในวันนี้ได้ เดินทีละก้าวจน มาถึงขั้นนี้ ความโชคดีมีส่วนมากที่สุด”
ลู่เฉินหัวเราะ “ในหลายใต้หล้าของทุกวันนี้ บางทีในคนร ้อยคน อาจมีคนเก้าสิบเก้าคนที่คิดเช่นนี้ คนที่เหลืออยู่หากไม่ใช่คนรู ้จักเก่า อย่างข้า ก็เป็ นคนที่ใกล้ชิดกับภูเขาลั่วพั่วเพราะถึงอย่างไรสุภาษิตก็ บอกไว้ว่า ในชะตาควรมีข้าวแค่แปดเซิง เดินไปทั่วใต้หล้าก็ไม่เต็ม โต่ว” (ภาชนะส าหรับใส่ข้าวสาร)
เฉินผิงอันพยักหน้า
ลู่เฉินยกตะเกียบขึ้น เหลือบตามองเกาเนี่ยง ยิ้มเอ่ยว่า “วันหน้า เจ้าก็เตือนเขาสักหน่อยว่า นิสัยเสียๆ อย่างตอนคีบกับข้าวออกจาก
จานแล้วต้องสะบัดกลางอากาศสามทีควรจะปรับปรุงได้แล้ว คนนั่ง ร่วมโต๊ะเห็นบ่อยเข้าจะรังเกียจเอาได้”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ก็แค่ดื่มจนเมาเท่านั้น”
ลู่เฉินวางตะเกียบลง เคี้ยวอาหารที่อยู่ในปากอย่างละเอียด “ชีวิต คนเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีดอกไม้นับพันเบ่งบานพร ้อมกัน เพียงแค่ ว่าเมื่อหล่นร่วงไปตามสายลม แต่ละดอกก็จะมีที่ให้ร่วงหล่นลงไป มี ทั้งที่พอหล่นลงพื้นแล้วก็ถูกเหยียบย่ากลายเป็ นฝุ่ นใต้ต้นไม้ เหมือน คนตายที่ต้องกลับสู่บ้านเกิด แล้วก็มีทั้งที่ลอยไปตามน้ากระทั่งลอย ไปห่างไกลเหมือนนักเดินทางที่ไม่ได้กลับบ้านเกิด มีทั้งที่พัดผ่าน หน้าต่างหล่นลงบนเตียงนอน แล้วก็มีทั้งข้ามกาแพงรั้วไปหล่นอยู่ใน กองน้าครา มีไกลมีใกล้ มีสูงศักดิ์มีต่าต้อย อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ของพวกเจ้ากล่าวไม่ว่านี่ไม่ใช่ผลกรรม แต่อันที่จริงตามความเห็น ของข้า ไยจะไม่ใช่รูปแบบตายตัวอย่างหนึ่งเล่า แม้กระทั่งอริยะสมัย โบราณที่ใช ้มหามรรคาบ่มเพาะหมื่นสรรพสิ่งก็ยังมิอาจหลุดพ้น”
เกาเนี่ยงคล้ายจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากะทันหัน อยู่ดีๆ ก็ตะเบ็งเสียงดัง ลั่น “หากโชคชะตามาเยือน ก็จงพร ้อมรับและควบคุมมัน!”
พูดจบก็ทิ้งหัวนอนหลับไปอีกครั้ง นายท่านเทพลาคลองไม่ลืม ยื่นมือไปคลากาเหล้าตรงเอวแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า รวยแล้ว รวยแล้ว
เฉินผิงอันตกใจสะดุ้งโหยง เมาจริงหรือไม่จริง? หลับจริงหรือ แกล้งหลับ?
ลู่เฉินกลั้นขาไม่ไหว ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าก็ว่าแล้วเชียว พี่ใหญ่เกาคือ คนที่มีความสามารถที่แท้จริง พูดจาจากใจจริงหลังเมามายก็หนีไม่ พ้นเช่นนี้เอง”
ภูเขาลั่วพั่วแห่งหนึ่งที่เป็ นดั่ง “น้าลดหินผุด” คนเฝ้ าประตูสองรุ่น เจิ้งต้าเฟิง นักพรตเซียนเว่ย
เสี่ยวโม่ ป๋ ายจิ่งแห่งเปลี่ยวร ้างที่ใช ้นามแฝงว่าเซี่ยโก่ว ผู้ฝึกกระบี่ ขอบเขตบินทะยานสองคน คนหนึ่งยอดเขาคนหนึ่งขั้นสมบูรณ์แบบ
ยังมีเด็กชายผมขาว คงโหวที่รับหน้าที่เป็ นขุนนางผู้เรียบเรียง ต ารา คือเทวบุตรมารนอกโลกขอบเขตบินทะยานตนหนึ่ง
บวกกับคนหนุ่มสาวและพวกเด็กๆ ที่ทยอยกันเข้ามาสู่ภูเขาถั่ว ทั่ว ล้วนเป็ นดั่งพืชพรรณที่แตกหน่ องอกงามรับฤดูใบไม้ผลิ เจริญรุ่งเรืองอย่างมีชีวิตชีวา คือช่วงเวลาอันดีงามของหมื่นสรรพสิ่ง
ลู่เฉินกล่าว “ก่อนหน้านี้อยู่ที่ยอดเขาโพโม่ เฉาหรงถามคาถาม ข้อหนึ่งกับข้าว่าศึกตรีจตุภายในของศาลบุ๋นครั้งนั้น ข้าโน้มเอียงไป ทางเหวินเซิ่งใช่หรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ความจริงเป็ นเช่นไร”
ลู่เฉินพึมพ ากับตัวเอง “เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาล ในสายตา ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีการแบ่งแยกกลางวันกับกลางคืน”
“เวลาหมื่นปีในยุคหลัง บนภูเขาของทุกวันนี้ต่างก็รู ้กันแค่ว่าจอม ปราชญ์น้อยที่สร ้างตัวอักษร หลี่เซิ่งแห่งไพศาลผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ เป็ นผู้แยกฟ้ าและดินออกจากกัน ถึงได้สะบั้นการเชื่อมติดกันของฟ้ า ดิน”
“ในความเป็ นจริงแล้วการกระทานี้ของหลี่เซิ่งได้สะบั้นโอกาสที่ผู้ ฝึกตนบนโลกมนุษย์จะเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบหกไปอย่างสิ้นเชิง”
“สาหรับเรื่องนี้บรรพจารย์สามลัทธิต่างก็รู ้กันดีอยู่แก่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์ของข้า เมื่อหมื่นปีก่อน ก่อนที่จะมี การประชุมริมล าคลองครั้งนั้น เขาก็อนุมานได้ผลลัพธ ์นี้แล้ว”
“เมื่อโลกมนุษย์และจิตใจคนมีการแบ่งแยกความดีความเลว ก็มี ความต่างระหว่างฟ้ าและดินอย่างแท้จริงแล้ว”
“ดังนั้นการที่เหวินเซิ่งบอกว่าสันดานเดิมของมนุษย์นั้นชั่วร ้าย มองดูเหมือนคุมเชิงอยู่กับหย่าเซิ่งที่บอกว่าสันดานเดิมของมนุษย์ดี งาม แต่แท้จริงแล้วกลับอาศัยสิ่งนี้มาร่วมแรงกับหย่าเพิ่งยันฟ้ าดินให้ ออกห่างจากกันไปอีกครั้ง”
ฟังมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หยิบเหล้า ออกมา
ในโรงเรียนแห่งนี้ ตนได้ตั้งกฎข้อหนึ่งไว้ให้กับตัวเอง นั่นคือจะไม่ ใช ้เวทคาถา
ลู่เฉินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “รู ้หรือไม่ว่าทาไมเหวินเซิ่งถึงลาเอียงรัก ลูกศิษย์ปิดส านักอย่างเจ้ามากที่สุด?”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ
ลู่เฉินเอ่ยเนิบช ้าว่า “ชุยฉานฉลาดเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่มีความ อดทนต่อคนโง่บนโลกบวกกับที่เขามองการณ์ไกลมาก ดังนั้นจึงเต็ม ไปด้วยความกังวลต่อวิถีทางโลก เขาเคยต้องการอยากสะสางกับโลก ใบนี้ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะจับมือพูดคุยกันอย่างปรองดองกับโลกที่ ทาให้เขาผิดหวังอย่างถึงที่สุดใบนี้ ไปจากคนทุกคนที่เขาใส่ใจโดย ไม่บอกลา”
“ซุยฉานควรจะมุ่งมั่นศึกษาพระธรรม ปฏิบัติต่อสรรพชีวิตด้วย จิตใจที่เท่าเทียมกันจากนั้นก็ข้ามผ่านอุปสรรคด้านตัวอักษร หลุด พ้นจากกรงขังฟ้ าดินไปอย่างสิ้นเชิง สาหรับเขาแล้วนี่เป็ นเรื่องที่ง่าย มาก”
“จั่วโย่วใจกว้างกับมนุษย์ล่างภูเขามาโดยตลอด หาไม่แล้วก็ไม่มี ทางออกทะเลไปเยี่ยมเยือนเซียนเพียงลาพังเพียงแค่เพราะกังวลว่า ปราณกระบี่บินร่างจะไปส่งผลกระทบต่อโชคชะตาแห่งภูเขาสายน้า ของสถานที่ต่างๆ แต่เขากลับนิสัยไม่ดีต่อผู้ฝึ กลมปราณบนภูเขา เพราะส่วนลึกในจิตใจของเขารู ้สึกมาโดยตลอดว่าผู้ฝึกลมปราณควร มีจิตแห่งมรรคาที่คู่ควรกัน พูดง่ายๆ ก็คือการกระทาของคนคนหนึ่ง ต้องเท่าเทียมกับวิชาความรู ้ ดังนั้นจั่วโย่วที่หลังจากได้เรียนกระบี่ ยิ่ง เวทกระบี่สูงเท่าไร กลับยิ่งกลายเป็ นว่าเขามีชีวิตอย่างคิดไม่ตกมาก
เท่านั้น เพราะเขารู ้สึกว่าต่อให้เวทกระบี่จะสูงแค่ไหนก็มิอาจช่วยเหลือ อะไรใครได้”
“เดิมจั่วโย่วควรฝึกบาเพ็ญตนอยู่ในภูเขาลึก ทิ้งคาว่าความรัก เพื่อนมนุษย์ ความถูกต้อง พิธีกรรมความเคารพ สติปัญญาความรู ้ และความไว้เนื้อเชื่อใจ (หลักคุณธรรมห้าประการของลัทธิขงจื๊อ) แสวงหาเพียงมรรคาและคุณธรรมเท่านั้น”
“หลิวสือลิ่วนั้นเนื่องจากชาติกาเนิดและอายุขัย เขาจึงเป็ นคนที่ มองโลกมนุษย์อย่างไม่มีการแบ่งแยกดีเลวมากที่สุด ต่อให้ปีนั้นเขา จะกราบซิ่วไฉเฒ่าเป็ นอาจารย์ ก็แค่ยอมรับคนอย่างซิ่วไฉเฒ่า เพียงแค่นี้เท่านั้น”
“ดังนั้นอันที่จริงศิษย์พี่จวินเชี่ยนคนนี้ของเจ้าจึงกลายเป็ นเทพ เจ้าได้ อย่างน้อยที่สุดก็มีระดับสูงได้ถึงสิบสองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงของ ยุคบรรพกาล”
“ฉีจิ้งชุน น่าเสียดายที่สุด”
“ส่วนเจ้า”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่เฉินก็หยิบกาเหล้าว่างเปล่าบางใบบนโต๊ะ ขึ้นมา แหงนหน้าขึ้นเขย่าอย่างแรง ขยับปากจุ๊บจั๊บ ยิ้มตาหยี “เฉิน ผิงอัน เจ้าน่าสงสารมากจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลู่เฉิน เป็ นสหายกันมานานหลายปีแล้ว อย่า หวังว่าจะท าให้จิตแห่งมรรคาของข้าวุ่นวาย”
“เยาว์วัยไม่เคยตามกระแสประเพณี นิสัยดั้งเดิมก็คือรักใน ธรรมชาติ วัยกลางคนสนใจในมรรคา ยามถึงวัยชราจึงตั้งรกรากอยู่ ชายแดนจงหนัน แม้อายุมากแล้วจะขี้หลงขี้ลืมแต่ไม่เคยลืมความรัก ความผูกพัน”
ลู่เฉินหยิบตะเกียบขึ้นมาเคาะชามเหล้า ขับขานบทเพลงอย่าง นุ่มนวล “ผู้ที่ทอดทิ้งข้าวันวานมิอาจรั้ง ผู้ที่ทาให้ใจข้าวุ่นวาย วันนี้ มากด้วยความกังวล”
“มัวอวี๋เอ๋อร ์(ชื่อบทกวีหนึ่งของจีน) ลมใบไม้ผลิพัดม่านปักม้วน ตลบ มองพุดตานเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ฟังเสียงเพลงขับขานต่อ เทพภูเขา เวลาค่อยๆ เลยผ่าน รั้งคนไว้ข้างสุราท าให้ท่านและโลก มนุษย์เมามาย ดอกเหมยเบ่งบานที่อื่น”
เพราะเฉินผิงอันไม่ได้เปิ ดปากพูดอะไร ข้างโต๊ะสุรานอกจาก เสียงของลู่เฉินแล้วจึงมีแค่เสียงกรนดังลั่นของเกาเนี่ยงที่ดังขึ้นๆ ลงๆ
ห่างไปไม่ไกล จ้าวซู่เซี่ยกับหนิงจี๋กาลังเดินย้อนกลับมาที่ โรงเรียนกันแล้ว ริมฝั่งมีต้นไม้โบราณอยู่ต้นหนึ่ง กิ่งใบเป็ นพุ่มเขียว ขจีราวกับจะคั้นน้าได้
ตลอดทางมานี้คนสองคนที่พอจะมั่นใจในสถานะศิษย์พี่ศิษย์น้อง กันได้แล้ว แม้ว่าจะพูดคุยกันไม่มาก แต่ก็คุยกันถูกคออย่างยิ่ง คง เป็ นเพราะชาติกาเนิดของทั้งสองต่างกันเล็กน้อย แต่กลับประสบพบ เจอในเรื่องที่คล้ายคลึงกัน
สรุปก็คือตอนอายุน้อยต่างก็เคยเจอกับความยากล าบากมาก่อน อีกทั้งยังเป็ นความล าบากของแท้แน่นอน ก็เหมือนกับกินขนมแป้ ง แห้งแผ่นใหญ่ไปหลายแผ่นโดยที่ไม่ได้ดื่มน้าตาม
พวกเขามาหยุดเท้ากันอยู่ตรงนี้ ตรงลาธารมีแอ่งน้าเล็กๆ สีเขียว มรกตอยู่แอ่งหนึ่งหนิงจี๋ที่ท่องอยู่ในม้วนภาพแห่งกาลเวลาเคยได้เห็น กับตาตัวเองอยู่หลายครั้งว่ามีเด็กหนุ่มของชนบทที่กาลังแขนดีลงไป ในน้า ในมือถือค้อนเหล็กที่ด้ามทาจากไม้ไผ่สาน ยกแขนขึ้นสูงแล้ว เหวี่ยงค้อนทุบลงไปบนก้อนหินน้อยใหญ่อย่างแรง กระเทือนให้ปลาที่ ซ่อนอยู่ใต้หินมึนหัว คิดดูแล้วน่าจะรู ้สึกเหมือนโดนฟ้ าผ่าพวกปลาจึง พากันลอยขึ้นมาบนน้าแทบทั้งหมดปล่อยให้คนเก็บโยนเข้าข้องจับ ปลาได้อย่างสบายๆ
และยิ่งมีคนเลือกจุดที่มีปลามารวมตัวกันก่อน จากนั้นเอาก้อน หินไปเรียงคล้ายกั้นท านบอยู่ตอนบนของล าธาร สุดท้ายก็กลายเป็ น การล้อมสระน้าตื้นๆ ได้
หนิงจี๋ยิ้มเอ่ย “นักพรตลู่บอกว่าบัณฑิตศึกษาหาความรู ้ต้องระวัง ไม่ให้เป็ นการวิดบ่อน้าให้แห้งเพื่อจับปลา การลงน้าไปจับปลา อันที่ จริงก็เป็ นหลักการเหตุผลเดียวกัน”
จ้าวซู่เซี่ยหัวเราะไม่ได้ร ้องไห้ไม่ออก เจ้าลัทธิลู่ผู้นั้นพูดลาดับผิด ไปหรือไม่?
เพียงแต่ไม่นานจ้าวซู่เซี่ยก็ขมวดคิ้วเป็ นปม
เห็นว่าจ้าวซู่เซี่ยยังไม่คิดจะขยับเท้า หนิงจี๋ที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทาก็ ทรุดตัวนั่งยองอยู่ริมฝั่ง หยิบก้อนหินข้างมือขึ้นมาโยนเล่นลงไปใน แอ่งน้าเล็ก
ก่อนหน้านี้นักพรตลู่ผ่านทางมายังที่แห่งนี้ได้ยิ้มพูดชวนคุยว่า วันหน้าพอถึงช่วงท้ายของฤดูใบไม้ผลิ ร ้อยบุปผานอกภูเขาพากัน ร่วงโรย มีเพียงต้นไม้ต้นนี้ที่ยังงอกงาม
จ้าวซู่เซี่ยได้ยินค าว่าวิดบ่อน้าให้แห้งเพื่อจับปลา แม้เขาจะเป็ น แค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว แต่จู่ๆ กลับคิดถึงภาพเหตุการณ์หนึ่งบนภูเขา
หากมองปลาที่แหวกว่ายในลาธารเป็ นผู้ฝึ กลมปราณบนโลก มนุษย์ น้าไหลที่ออกจากภูเขามารวมตัวกันตรงนี้มองเป็ นปราณ วิญญาณในฟ้ าดินล่ะ?
ปลาว่ายอยู่ในน้า คือเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้ าดิน บางที คงไม่รู ้ด้วยซ้าว่าน้าคือน้า ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกลมปราณอยู่ในฟ้ าดินก็ มองเรื่องการฝึกตนหลอมลมปราณเป็ นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้ าดิน ด้วยหรือไม่?
สายตาของจ้าวซู่เซี่ยขยับขึ้นด้านบน เลื่อนจากลาธารไปยัง กลางภูเขา ยอดเขาสุดท้ายจึงเป็ นบนฟ้ า
ในที่สุดหนิงจี๋ก็เปิดปากถาม “ศิษย์พี่จ้าว คิดอะไรอยู่หรือ?”
จ้าวซู่เซี่ยคืนสติกลับมา ถอนสายตากลับคืน ยิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่ม ว่า “ไม่มีอะไร”
พวกเขากลับไปที่โรงเรียนด้วยกัน จากนั้นก็จัดพิธีที่เรียบง่าย มากครั้งหนึ่ง
ก็หนีไม่พ้นว่าเฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ ดื่มน้าชาชามหนึ่งที่หนิงจี๋ ยกมาให้
การกราบอาจารย์รับเป็ นลูกศิษย์ครั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานพิธี นอกจากศิษย์พี่จ้าวซู่เซี่ยของเด็กหนุ่มแล้วก็มีแค่ลู่เฉินที่เอาสองมือ สอดกันไว้ในชายแขนเสื้อเท่านั้น
หนิงจี๋โขกศีรษะ เฉินผิงอันประคองเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน
และเวลานี้เอง ผู้เฒ่าลักษณะยากจนท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการ เดินทางก็ก้าวเร็วๆ ข้ามผ่านธรณีประตูมา ยิ้มเอ่ยว่า “ยังดี ยังดี”
ลู่เฉินเห็นท่าไม่ดีเตรียมจะเผ่นหนี แต่กลับถูกซิ่วไฉเฒ่าเขย่ง ปลายเท้ายื่นแขนมากอดคอเอาไว้ บังคับกอดไหล่อีกฝ่ าย ร ้องเฮ้อ ด้วยน้าเสียงไม่พอใจ มืออีกข้างทาท่ายกจอกเหล้าดื่มเหล้า “จะไป ไหนเล่า ยากนักที่พวกเราสองพี่น้องจะได้เจอกัน ไม่ควรต้อง หืม?”
ลู่เฉินยื่นมือมาตบแขนของซิ่วไฉเฒ่าแรงๆ พูดอย่างหนักแน่นว่า “ขอโทษด้วยจริงๆ กิจธุระรัดตัว ต้องกลับแล้ว!”
ซิ่วไฉเฒ่าผงกศีรษะให้พวกเฉินผิงอัน คลี่ยิ้มกว้างสดใส ขณะเดียวกันก็ลากเจ้าลัทธิลู่ไปที่โต๊ะเหล้านอกห้องด้วย “ดื่มเหล้าแค่ มื้อเดียวจะเสียเวลาสักเท่าไรกันเชียว พูดคุยกันสองสามประโยค เรื่องของการทะเลาะโต้เถียง เจ้าเคยเข้าร่วม ข้าเองก็เคยเข้าร่วมมา
ก่อนต่างก็ชนะกันมาแล้ว เพียงแค่หนึ่งก่อนหนึ่งหลัง น่าเสียดายที่ ไม่ได้เจอกัน วันนี้ต้องชดเชยสักหน่อย ดื่มเหล้าพลางคุยเล่นกันไป ด้วย ส่วนเรื่องแพ้ชนะ จะถือสาไปไย เจ้าลัทธิลู่แค่ปล่อยวางมองให้ กว้างหน่อยก็พอ”
ลู่เฉินชูสองมือขึ้น “ผินเต้ายอมแพ้!”
ซิ่วไฉเฒ่าปล่อยมือออก ลูบหนวดยิ้ม พยักหน้ากล่าว “เจ้าลัทธิลู่ ช่างใจกล้ายิ่งนัก ยอมแพ้เท่ากับแพ้ไปครึ่งหนึ่ง วันหน้าหากแพร่ ออกไปก็ต้องเป็ นเรื่องเล่าที่งดงามเรื่องหนึ่ง อย่างแน่นอน”
หนิงจี๋ท าหน้าเหลอหรา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คืออาจารย์ของอาจารย์”
หนิงจื๋อยากจะโขกศีรษะให้ แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับก้าวเร็วๆ มา ข้างหน้า ประคองแขนของเด็กหนุ่มไว้ “อย่า แค่ประสานมือคารวะก็ พอ แค่จริงใจก็เพียงพออย่างยิ่งแล้ว”
เด็กหนุ่มหันไปมองอาจารย์ เฉินผิงอันพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม เด็กหนุ่มจึงประสานมือคารวะอาจารย์ผู้เฒ่าอย่างนอบน้อม
ผู้เฒ่ารีบสะบัดชายแขนเสื้อ ยึดเอวขึ้นตรง ใบหน้าประดับยิ้ม บางๆ รับการคารวะครั้งนี้
ผู้เป็ นอาจารย์ถ่ายทอดวิชา ผู้ขอศึกษาเล่าเรียนรับความรู ้ ล้วน ต้องมีจิตใจที่ปรองดองต่อกัน อาจารย์ศึกษาหาความรู ้อย่างเข้มงวด
ท่วงท่าสงบเยือกเย็นสง่างาม นักเรียนขอความรู ้อย่างนอบน้อม สุภาพมีมารยาท ทั้งต้องเยือกเย็นสุขุม
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มปากกว้าง แบบนี้ดีมากเลยล่ะ
ซิ่วไฉเฒ่าที่กาลังปลาบปลื้มปิติหันไปยิ้มเอ่ยกับลู่เฉิน “วางใจได้ เลย เรื่องที่คืนนี้ยอมแพ้เองเท่ากับแพ้ไปครึ่งหนึ่งนี้จะไม่มีทางแพร่ง พรายออกไปข้างนอกเด็ดขาด!”