กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1033.1 เรื่องนอกประเด็น
นักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวรีบคารวะขอบคุณ เอ่ยอย่างน่า สงสารว่า “ขอซิ่วไฉเฒ่าโปรดรักษาค าพูดด้วย อย่าได้ไม่ทันระวัง หลุดปากพูดออกไปเด็ดขาด”
คืนนี้ในห้องของโรงเรียนมีคนอยู่แค่ไม่กี่คน เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้แม้ จะเป็ นลูกศิษย์ปิดสานักของซิ่วไฉเฒ่า แต่ปากนับว่าปิดแน่นสนิทดี ไม่ชอบพูดนินทาใครลับหลัง ส่วนจ้าวซู่เซี่ยกับหนิงจี๋ คนหนึ่งมีนิสัย หนักแน่นมั่นคง อีกคนหนึ่งมีความสัมพันธ ์ที่ไม่เลวกับตน คิดดูแล้วก็ คงไม่น่าจะเอาเรื่องแบบนี้ไปพูดคุยกับใคร แต่ซิ่วไฉเฒ่ามีอะไรบ้างที่ เขาท าไม่ได้ ไม่ใช่ว่าพอกลับไปถึงศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก็ตีฆ้องตี กลองจุดประทัดชูป้ ายเข้าล่ะ หรือไม่อย่างนั้นก็เอาไปคุยเล่นกับสหาย รักอย่างพวกอวี๋เสวียน โจวโหยวแห่งภูเขาสุ้ยซาน แล้วบอกว่าค าพูด บนโต๊ะสุราเชื่อถือไม่ได้ ไม่ทันระวังเลยหลุดปากพูดไปหรอกนะ? ถึง เวลานั้นหากแพร่ไปถึงใต้หล้ามืดสลัวแล้วผ่านการส่งต่อกันอย่าง ก าเริบเสิบสานของอารามเสวียนตู คาดว่าลู่เฉินคงจะต้องมีฉายาว่า “แพ้ครึ่งหนึ่ง” เพิ่มมาเป็ นแน่
อาจารย์ผู้เฒ่ายากจนสวมชุดลัทธิขงจื๊อกลับคารวะกลับคืนด้วย ขนบของลัทธิเต๋า “ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน ก็แค่เจ้าลัทธิลู่ไม่สนใจ ชื่อเสียงจอมปลอมก็เท่านั้น ข้าคนนี้ไม่รู ้จักพูดจาหากตั้งใจทะเลาะ
กันขึ้นมาจริงๆ เจ้าลัทธิลู่ยอมให้ข้าหนึ่งมือหนึ่งเท้า ข้าก็ยังมิอาจ ต่อกรกับเจ้าลัทธิลู่ได้อยู่ดี”
นี่คือได้เปรียบแล้วยังแสร ้งทาเป็ นไร ้เดียงสาอีกหรือ?
ซิ่วไฉเฒ่าขยิบตาให้ลู่เฉิน ก่อนจะหันไปบอกกับพวกเฉินผิงอัน ว่าตนมีเรื่องจะคุยกับเจ้าลัทธิลู่เป็ นการส่วนตัว แล้วจึงกอดไหล่อีก ฝ่ ายพาเดินออกไปข้างนอก ซิ่วไฉเฒ่าตัวไม่สูงแต่ลู่เฉินกลับสูง เพรียว น่าสงสารเจ้าลัทธิลู่ที่ถูกซิ่วไฉเฒ่าลากออกไปหัวเอนตัวเอียง
นักพรตนิสัยดีกับอาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่ยี่หระเรื่องใด ลาดับของแต่ ละฝ่ายในระบบของตัวเอง ดูเหมือนจะเป็ นอันดับสี่กันทั้งคู่
หนิงจี๋มีนงงอยู่บ้าง เพียงแค่เพราะชื่อของลู่เฉินกับสถานะเจ้า ลัทธิของป๋ ายอวี้จิง ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียน “นักพรตอู๋ตี” ได้อธิบายให้เด็กหนุ่ มฟังมาก่อนเนื่องจากเคย ยกตัวอย่างอย่างหนึ่งที่หนิงจี๋ฟังเข้าใจ ดังนั้นตอนนี้หนิงจี๋จึงพอจะรู ้ ถึงน้าหนัก “บนภูเขา” ของลู่เฉินอย่างชัดเจนแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือลู่ เฉินคือบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้บนโลกมนุษย์ เพียงแต่ไม่รู ้ ว่าเหตุใด นักพรตลู่ที่บ้านเกิดอยู่ที่นี่กลับมีพื้นที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ ที่นครหนันหัวแห่งป๋ ายอวี้จิง สูงศักดิ์เป็ นถึงหนึ่งในเจ้าลัทธิของลัทธิ เต๋า
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ปู่ บ้านตนที่เพิ่งพบเจอหน้ากันครั้งนี้กลับดู เหมือนว่าจะยึดครองความได้เปรียบนักพรตลู่ไปเสียทุกเรื่อง?
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันดื่มน้าชากราบอาจารย์ไปแล้ว หากนับ ตามล าดับอาวุโส อาจารย์ผู้เฒ่าที่อาจารย์เรียกว่าอาจารย์ ถูกเจ้า ลัทธิลู่เรียกว่าซิ่วไฉเฒ่าผู้นี้ก็คืออาจารย์ปู่ของหนิงจี๋แล้ว
หนิงจี๋กดเสียงต่าถามอย่างประหลาดใจ “ทะเลาะ?”
เฉินผิงอันอธิบายด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์จงใจพูดให้สบายๆ อันที่ จริงคือการโต้วาทีที่จริงจังครั้งหนึ่ง อาจารย์กับลู่เฉินต่างก็เคยเข้า ร่วมการโต้วาทีของสามลัทธิขงจื้อพุทธเต๋าที่จะจัดขึ้นทุกร ้อยปี แต่ กลับไม่ใช่การโต้วาทีครั้งเดียวกัน พวกเขาคนหนึ่งปิดท้าย อีกคน หนึ่งเปิ ดฉาก ล้วนชนะได้ใจผู้คน เพียงแต่ภายหลังขอบเขตและ สถานะของพวกเขาล้วนสูงขึ้นแล้ว ตามกฎจะไม่อาจเข้าร่วมการ โต้วาทีได้อีก ดังนั้นจึงไม่เคยได้เจอกันเสียที”
หนิงจี๋ถามต่อ “อาจารย์ ผลลัพธ ์จากการที่อาจารย์ปู่กับนักพรต ลู่โต้วาทีกันจะเป็ นอย่างไร?”
เฉินผิงอันหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยคาพูดเป็ นธรรมที่ไม่เข้าข้าง ใคร “ไม่แน่เสมอไป แพ้ชนะบอกได้ยาก ค าพูดของลู่เฉินมีพลังเต็ม ไปด้วยอิสระ เชี่ยวชาญการเอ่ยคาพูดที่แฝงไปด้วยความหมายมาก ที่สุด ไม่มีหนึ่งใน พลังอานาจยิ่งใหญ่ไร ้คนทัดเทียมได้อย่างแท้จริง ก็ เหมือนฝนที่ตกกระหน่าลงมาจากฟากฟ้ า หากมนุษย์ธรรมดาอยู่ข้าง นอกก็คือไม่มีที่ให้หลบเลี่ยง แต่หากเป็ นศัตรูกับเขาจะเหมือน เผชิญหน้ากับน้าท่วมทานบ คนที่ยอมรับนับถือจากใจจริงจะเหมือน ได้เจอกับฝนรสหวานหลังจากที่เผชิญความแห้งแล้งมาเนิ่นนาน ทา
ให้ปลาที่อยู่บนพื้นดินแห้งขอดได้กลับสู่สายน้าอีกครั้ง อาจารย์ถก มรรคาอธิบายเหตุผลมีเส้นสายชัดเจน ลาดับขั้นตอนมั่นคง อีกทั้ง ความเฉียบแหลมทางด้านวรรณคดีก็ยอดเยี่ยมอย่างมากแต่กลับ ไม่ใช่ว่าใช ้ถ้อยค าได้อย่างสวยหรูงดงาม เหมือนว่าเขาได้ปูทางไว้อยู่ แล้วเบื้องหน้าคนรุ่นหลังก็แค่ต้องเดินตามไปอย่างมั่นคงเป็ นพอ”
หนิงจี๋ฟังมาถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจโล่งอก ทั้งหวังให้อาจารย์ปู่ มี ความรู ้ยิ่งใหญ่ โต้วาทีได้อย่างเก่งกาจ แต่ก็ไม่อยากให้เจ้าลัทธิลู่ต้อง แพ้ หากเสมอกันได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าไม่ทะเลาะกันเลยกลับดียิ่งกว่า
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นับแต่โบราณมาคนที่มีความสามารถด้าน วรรณกรรมมักจะมีชะตาชีวิตยากล าบาก เมื่อก่อนอาจารย์สอน หนังสืออยู่ในตรอกเก่าโทรมนานหลายปียากจนข้นแค้น ทุกครั้งที่ซื้อ หนังสือหรือกระดาษพู่กันจะต้องคิดค านวณอย่างรอบคอบ ส่วนเจ้า ลัทธิลู่ตอนที่รับหน้าที่เป็ นชีหยวนลี่ก็เคยยากจนจนแทบไม่มีข้าวสาร กรอกปากหม้อ เคยขอยืมอาหารจากขุนนางเจียนเหอโหวในท้องถิ่น มาก่อน
แม้จะพูดให้ฟังดูเรียบง่าย แต่อันที่จริงเมื่อครู่นี้เฉินผิงอันพูดด้วย ความรู ้สึกเคร่งเครียดอย่างมาก ไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย เพียงแค่ เพราะหากอาจารย์กับลู่เฉินถกมรรคากันอย่างเป็ นทางการขึ้นมา สาหรับสองใต้หล้าแล้วจะต้องเกิดผลลัพธ ์ที่ยากเกินกว่าจะประมาณ การณ์ได้ ความบังเอิญเล็กๆ อย่างหนึ่งที่มองดูเหมือนว่าเหวินเซิ่งแห่ง ศาลบุ๋นกับเจ้าลัทธิลู่เฉินมาเจอกันโดยบังเอิญในโรงเรียนชนบทแห่ง
หนึ่ง แต่กลับจะนาพาความ “แน่นอน” นับไม่ถ้วนที่ส่งผลกระทบลึก ล้ายาวไกลมาให้กับเวลาพันปีข้างหน้า
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ต้องการให้อาจารย์ต้องมาทะเลาะกับลู่ เฉินเพราะตัวเอง
ในช่วงเวลาสาคัญที่ภูเขาสายน้าของสามลัทธิกาลังจะแตกแยก ออกไปนับไม่ถ้วน ลู่เฉินก็ยิ่งไม่ยินดีจะมีการถกมรรคากับเหวินเซิ่ง เพราะทั้งสองฝ่ ายต่างถูกลิขิตมาแล้วว่าจะไม่มีใครเป็ นผู้ชนะ มีแต่จะ บาดเจ็บกันทั้งคู่
หากซิ่วไฉเฒ่าตัดสินใจอามหิตขึ้นมา อย่างน้อยก็สามารถถ่วง รั้งหรือถึงขั้นขัดขวางการผสานมรรคาขอบเขตสิบห้าของลู่เฉินได้ เลย แน่นอนว่าตัวเหวินเซิ่งเองก็ต้องจ่ายด้วยราคาที่เจ็บปวดสุดขีด
สามารถทาเรื่องนี้ได้ มองไปทั่วหลายใต้หล้าก็ไม่ได้มีจานวนคน หนึ่งมือนับอะไรด้วยซ้า อย่างมากก็มีแค่คนสองคนเท่านั้น และบังเอิญ ที่ซิ่วไฉเฒ่าก็อยู่ในจานวนคนที่ว่านี้พอดี
ดังนั้นนับตั้งแต่คราวก่อนที่รีบร ้อนกลับจากนอกฟ้ ามายังใต้หล้า ไพศาลก็เป็ นการแสดงท่าทีที่แข็งกระด้างอย่างถึงที่สุดอย่างหนึ่งของ ซิ่วไฉเฒ่าที่มีเจ้าลัทธิลู่เฉิน หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือมีต่อป๋ ายอวี้ จิงทั้งแห่ง หรือมีต่อมรรคาจารย์เต๋าท่านนั้น อย่างมากข้าก็แค่ถูกย้าย เทวรูปออกไปจากศาลบุ๋น สูญเสียสถานะของผู้ที่ถูกตั้งบูชาอีกครั้ง
แต่ก็ต้องปกป้ องมรรคาให้กับลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ยังเดินไปไม่ถึงยอด เขา ยังอยู่ระหว่างเส้นทางบนภูเขาให้จงได้
เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรอีกฝ่ ายก็คือลู่เฉินที่มีเรื่องเพิ่มมากหนึ่งเรื่อง ไม่สู้มีเรื่องน้อยลงหนึ่งเรื่อง นี่จึงเป็ นเหตุให้ซิ่วไฉเฒ่ากะน้าหนัก กะ แรงไฟได้อย่างดีเยี่ยม เจ้าไว้หน้าข้า ข้าก็จะไว้หน้าเจ้า นี่ถึงจะเรียกว่า เป็ นคนที่คลุกคลีอยู่ในยุทธภพ
พูดถึงแค่เรื่องที่ซิ่วไฉเฒ่าช่วยให้อวี่เสวียนผสานมรรคากับธาร ดวงดาวสาเร็จ จากนั้นงมเอาภาพลาธารนั้นมา ลัทธิเต๋าก็ดี ศาสนา เต๋าก็ช่าง สรุปก็คือตลอดทั้งสานักเต๋ล้วนต้องรับน้าใจครั้งนี้ นักพรต เต๋าทั่วไปที่ได้รับธรรมโองการสามารถนิ่งเฉยได้ เรื่องไม่เกี่ยวกับตนก็ วางตัวไว้สูงเหนือใคร แต่ลู่เฉินกับมรรคาจารย์เต๋าอาจารย์ของเขา สถานะวางอยู่ตรงนั้นแน่นอนว่ามิอาจไม่สนใจได้
โต๊ะสุราเล็กๆ ตัวหนึ่ง ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่ตรงข้ามกับลู่เฉิน ซิ่วไฉ เฒ่าหยิบเอาจอกเหล้าสองใบออกมาวางบนโต๊ะ หัวเราะร่าบอกให้เจ้า ลัทธิลู่เอาสุราดีของใต้หล้ามืดสลัวออกมาสองกา ลู่เฉินจึงหยิบสุรา เซียนสองกาที่มาจากหอป้ อวิ๋นและต าหนักหัวหยางภูเขาตี้เฝ่ยของป๋ า ยอวี้จิงออกมา รินใส่จอกทั้งสองจนเต็ม ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยชื่นชมอีกฝ่ าย ว่าจิตแห่งมรรคาดุจภูเขาที่ซุกซ่อนหยก ลู่เฉินจึงตอบกลับด้วย มารยาทอันดี แต่ไม่ได้พูดคาพูดดีๆ ถึงซิ่วไฉเฒ่าแต่พูดไปถึงเฉินผิง อันที่อยู่ในห้อง บอกว่าในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของตารา กลิ่น ต าราเหนือกว่าน้าใสใช ้เลี้ยงปลา
ปีนั้นหย่าเซิ่งเคยเดินทางไปเที่ยวเยือนใต้หล้ามืดสลัว นอกจาก ไปเพื่อเจรจาเรื่องที่เจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงจะ “สลายมรรคา” อยู่ในใต้ หล้าไพศาลแล้ว อันที่จริงหย่าเซิ่งก็มีความตั้งใจที่จะถ่ายทอดมรรคา เปิดส านักศึกษาอยู่ในต่างบ้านต่างเมืองเช่นกัน เพียงแต่ว่าตอนนั้น คนที่นั่งบัญชาการณ์ป๋ ายอวี้จิงร ้อยปีคือเจ้าลัทธิอวี๋โต้ว และอวี๋โต้วก็ ไม่ชอบจัดการกิจธุระใดๆ เวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่นอกฟ้ า คอยคุม เชิงอยู่กับพวกเทวบุตรมาร เดิมก็คร ้านจะมาพบหย่าเพิ่งอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็ นเต้ากวานหลายท่านที่มีคุณธรรมมีชื่อเสียงสูงส่งที่มาร่วม ประชุมกับหย่าเซิ่งอย่างลับๆ จึงเจรจากันไม่สาเร็จ แต่ในความเป็ น จริงแล้วหากปีนั้นเต้ากวานของป๋ ายอวี้จิงสามารถอนุมานได้ถึงเรื่อง การสลายมรรคาของบรรพจารย์สามลัทธิจะต้องไม่มีทางปฏิเสธเรื่อง นี้อย่างแน่นอน ทุกวันนี้คนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดแน่นอนว่า ต้องเป็ นใต้หล้าไพศาลที่ร ้อยสานักร ้องประชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมี วัดของลัทธิพุทธและอารามของลัทธิเต๋าอยู่ทั่วทุกหนแห่งดุจดอกไม้ เบ่งบานทั่วใต้หล้า
การที่ปี นั้นเต้ากวานพวกนั้นไม่ได้ตอบตกลงกับหย่าเชิง นอกจากกังวลว่ากองกาลัง ของลัทธิขงจื๊อจะไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ ในใต้หล้าของตัวเอง พอลุกลามแล้วก็มิอาจควบคุมได้อีก อันที่จริงยัง มีสาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่ผู้ฝึกตนใหญ่คิดไปโน้นไปนี่ ยิ่งนานก็จะยิ่งอยู่ ไกลจากความจริง บางทีหากเปลี่ยนมาเป็ นคนอย่างเทพลาคลองเกา เนี่ยงที่เคยใช ้ชีวิตในวงการขุนนาง เคยฝึกปรือฝีมืออยู่ในที่ว่าการ
ของทางการมาแล้ว ก็อาจจะกลายเป็ นว่าสามารถมองทะลุความจริง ได้ในปราดเดียว นั่นก็คือเพียงเพราะเจ้าลัทธิอวี๋โต้วไม่ได้ปรากฏตัว ทางฝั่งของป๋ ายอวี้จิงจึงคิดว่านี่ก็คือท่าทีของเจ้าลัทธิอวี๋แล้ว ใน เมื่ออวี๋โต้วไม่พยักหน้าตอบตกลง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรให้ปรึกษา กันแล้วไม่ใช่หรือ?
ลู่เฉินที่เป็ นหนึ่งในสองเจ้าลัทธิของป๋ ายอวี้จิงที่เหลืออยู่ แน่นอน ว่าสามารถกระตุ้นเรื่องนี้ให้สาเร็จได้ อย่างมากก็แค่ไปพูดเรื่องนี้กับ ศิษย์พี่อวี๋ที่นอกฟ้ าสักสองสามคา แล้วค่อยน าความไปบอกต่อกับห้า นครสิบสองหอเรือนของป๋ ายอวี้จิง ก็หนีไม่พ้นว่าต้องเดินทางเพิ่มอีก รอบหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู ้ว่าเหตุใดลู่เฉินถึงได้แสร ้งทาเป็ นไม่รู ้เรื่องนี้ เอา แต่ออกไปเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอก ไปหาเรื่องให้อารามเสวียนตูด่า หรือไม่ก็ไปขอกินขอดื่มจากพวกผู้ฝึกตนใหญ่อย่างเกากู อู๋ซวงเจี้ยง
“ไม่ว่าใครก็ไม่สบายใจ เดินทางได้อย่างเอ้อระเหยลอยชาย ไป มาไร่ร่องรอย ไร ้เรื่องราวให้กล่าวถึงได้อย่างเจ้าลัทธิลู่”
พูดถึงแค่หลังจากที่รับหน้าที่เป็ นเจ้าลัทธิของป๋ ายอวี้จิง ลู่เฉินที่ อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยสร ้างวีรกรรมที่มี ความหมายอะไรต่อโลกมาก่อนจริงๆ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับศิษย์ พี่เจ้าลัทธิสองคนของเขาได้ติด
บางครั้งก็มีเรื่องเล่าแพร่ออกไปข้างนอกบ้าง แต่ก็มีแค่เรื่องตลก ที่ไร ้สาระไม่สลักส าคัญ
“อาจารย์เหวินเซิ่งเคยใช ้เวลาหมดไปอย่างว่างเปล่าเสียที่ไหน อ่านคนและเรื่องราวได้เหมือนชมภูเขาสายน้า ทุกที่ที่ฝีเท้าของท่าน เหยียบย่างไป เรื่องราวก็บังเกิดอยู่ที่นั่น บัณฑิตคนหนึ่งสามารถสร ้าง อิทธิพลให้กับบัณฑิตอีกนับไม่ถ้วน หากนี่ไม่ใช่วีรกรรมยิ่งใหญ่ แล้ว แบบไหนถึงจะใช่”
ซิ่วไฉเฒ่าเกาหัว จากนั้นใช ้มือหนึ่งถือจอก อีกมือหนึ่งลูบหนวด เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ไม่รู ้ว่าความชราได้มาเยือน เพียงพริบตาก็ ผมขาว โอ้หนอข้าช่างแก่ชรา”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มองย้อนไปในชีวิตนี้ที่แสวงหามรรคา ครุ่นคิดดีแล้วแก่ชรามีข้อดี”
“คาพูดประเภทนี้ก็มีแต่เจ้าลัทธิลู่ที่พูดได้ คนอื่นพูดไม่ได้”
“ตื่นนอนตอนเช ้าอย่าได้ขุ่นเคือง ถึงยามสายัณห์อย่าได้ด่า ภรรยา อ่านต าราอริยะปราชญ์ให้มาก เจอเรื่องใดก็ให้ยิ้มรับ ฝึกอบรมบ่มเพาะกายใจ เข้าใจวิถีการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เท่านี้ ก็เพียงพอ”
ซิ่วไฉเฒ่าหลุดหัวเราะพรืดทันใด
คงเป็ นเพราะเฉินผิงอันเห็นว่าคนที่โต๊ะสุราแค่คุยเล่นกันเท่านั้น จริงๆ จึงเดินมาที่หน้าประตูถามอาจารย์ว่าจะกินอาหารมื้อดึกหรือไม่ ซิ่วไฉเฒ่าตบพุง พยักหน้ารับติดๆ กัน ยิ้มเอ่ยว่าดีเลย หากยังไม่กิน อีก อวัยวะภายในจะก่อกบฏแล้ว เฉินผิงอันยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
ซิ่วไฉเฒ่าจึงบอกให้เขานั่งลงคุยกัน หากดื่มเหล้าได้ก็ดื่มสักเล็กน้อย ดื่มไม่ได้ก็ดื่มชาเฉินผิงอันพยักหน้านั่งลงข้างโต๊ะ จ้าวขู่เซี่ยกับหนิงจี๋ ไปช่วยกันทาอาหารมื้อดึกที่ห้องครัวพวกเขาคิดว่าจะท ากับแกล้ม แกล้มเหล้าเพิ่มอีกสักหน่อย เพราะดูจากท่าทางแล้วคงต้องได้ดื่ม เหล้ามื้อที่สองกันแน่
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เจ้าไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้หรอก ข้ากับอาจารย์ ของเจ้าไม่ทะเลาะกันหรอกน่า”
โดยทั่วไปแล้วซิ่วไฉเฒ่าที่เป็ นอาจารย์ก็บอกแล้วว่ามีเรื่องจะคุย กับลู่เฉิน เฉินผิงอันที่เป็ นลูกศิษย์ ตามเหตุตามผลแล้วก็ไม่ควรเข้า มายุ่ง เพราะนี่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์
แต่นี่น่าจะเป็ นการปฏิบัติที่พิเศษสาหรับลูกศิษย์ปิดสานักกระมัง
ลู่เฉินเองก็เคยเป็ นลูกศิษย์ปิดส านักมาก่อนนานหลายพันปี เขา เข้าใจได้ดี ต้องเข้าใจเป็ นอย่างดี
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “จะทะเลาะกันหรือไม่ อ านาจ หลักอยู่ในมือของอาจารย์ข้า นักพรตสู่พูดแล้วไม่มีประโยชน์กะผาย ลมอะไรทั้งนั้น”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม ฟังสิฟัง จริงใจหรือไม่ อบอุ่นใจหรือไม่?
ลู่เฉินได้ยินเฉินผิงอันเรียกตัวเองว่านักพรตลู่ ไม่ใช่เจ้าลัทธิลู่ เนื้อหาที่พูดคุยก็ไม่ห่างเหินจึงไม่ถือสาอะไรแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่านึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงลูบชายแขนเสื้อ แต่ไม่ได้เอา อะไรออกมา เพียงแค่เงยหน้ามองไปทางเจ้าลัทธิลู่
ลู่เฉินยิ้มพลางยื่นนิ้วข้างหนึ่งมาวางไว้ข้างริมฝีปาก บอกเป็ นนัย ว่าผินเต้าเข้าใจกฎดีจะปิดปากให้แน่นสนิทอย่างแน่นอน
ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้หยิบส าเนาของภาพล าธารออกมา ถึงอย่างไรก็ เป็ นการกระทาที่ฉุกละหุก สัจธรรมแท้จริงของศาสตร ์การคานวณที่ ซุกซ่อนอยู่ภายในอาจจะเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ
ซิ่วไฉเฒ่าเตือนเฉินผิงอันว่าอย่าเพิ่งรีบร ้อนเปิดดู รอวันใดหวน กลับไปเป็ นห้าขอบเขตบนแล้วค่อยดูก็ยังไม่สาย ตอนนี้หากเปิดม้วน ภาพออกดูเนื้อหา จิตแห่งมรรคาก็มีแต่จะจมลึกอยู่กับมัน
แล้วก็เพราะลูกศิษย์ปิดส านักของตนฝึกบ่มเพาะจิตใจได้ประสบ ผลส าเร็จ ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้เชื่อใจ หาไม่แล้วหากเปลี่ยนเป็ นผู้ฝึ ก ลมปราณทั่วไป ต่อให้เจ้าจะเป็ นเซียนเหรินคนหนึ่งก็มีอาจรับภาพลา ธารที่เป็ นแค่ฉบับสาเนานี้ไว้ได้ การมอบของชิ้นนี้ให้จะยิ่งกลายเป็ น การท าร ้ายคน
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อเงียบๆ คิดแค่ว่า บนโต๊ะสุราไม่มีอะไรพันธนาการจึงยอมแหกกฎร่ายเวทคาถาหนึ่งครั้ง หดย่อพื้นที่ในชายแขนเสื้อ ประหนึ่งภูเขาบรรพบุรุษที่ปล่อยเส้นใย คดเคี้ยวเส้นหนึ่งออกมาชักนา เอามันไปวางไว้บนโต๊ะหนังสือของ ชั้นหนึ่งเรือนไม้ไผ่
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “ชอบศึกษาเรื่องศาสตร ์การคานวณเป็ นเรื่องที่ ดี วันหน้าไปเที่ยวเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็สามารถไปขอ ความรู ้จากพวกบรรพจารย์ส านักค านวณทั้งหลายดูได้ ปีนั้นพวกเขา คิดค้างน้าใจศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าไว้นิดหน่อย มีค าถามอะไรก็ท าใจ กล้าถามได้เลย หากถามจนพวกเขาตอบไม่ได้ก็จะเป็ นการเพิ่ม ความสัมพันธ ์ควันธูปครั้งใหม่แล้ว พวกเด็กๆ อย่างเป่ าผิงน้อย โย่ วเฉียนและหนิงจี๋ วันหน้าก็จะสามารถขอวิชาความรู ้จากพวกอาจารย์ ผู้เฒ่าทั้งหลายได้อย่างมีเหตุมีผลแล้ว”
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็หยิบเอาม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่ถูกตัดทอน มาช่วงหนึ่งออกมาเขาไม่คิดจะเก็บรักษามันไว้นาน เพราะมันถือเป็ น ภาพขี่ม้าชมบุปผาที่พอดูไปแล้วก็จะสลายหายไป
ลู่เฉินเข้าใจถึงความหวังดีของซิ่วไฉเฒ่า ผู้ฝึกตนใหญ่บนภูเขา ส่วนใหญ่ ได้ยินชื่อเสียงก็มักจะสู้เจอตัวเป็ นๆ ไม่ได้ ในเมื่อวันหน้า เฉินผิงอันจะต้องไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ ควรจะได้เห็นรูปโฉมของผู้ฝึกตนมืดสลัวบางคนกับตาตัวเอง รับฟัง ค าพูดค าจาของพวกเขาด้วยหูตัวเองเสียแต่เนิ่นๆ
ในม้วนภาพ นอกฟ้ าแห่งนั้น ธารดวงดาวกว้างใหญ่ไร ้ที่สิ้นสุด เรื่องในใจยิ่งใหญ่ไพศาล
ซิ่วไฉเฒ่านั่งยองอยู่บนน้าเต้า ทอดถอนใจเฮือกๆ ทุกครั้งที่ดื่ม เหล้าก็จะต้องถอนหายใจหนึ่งที เจินเหรินผู้เฒ่าอวี๋ที่เป็ นเจ้าบ้านซึ่ง อยู่ข้างกันจึงรู ้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
ยิ่งซิ่วไฉเฒ่าไม่พูดอะไร อวี๋เสวียนก็ยิ่งรู ้สึกละอายใจ
รอกระทั่งซิ่วไฉเฒ่ายกกาเหล้าขึ้นกลับเป็ นฝ่ ายปลอบใจอวี๋เส วียนว่า ธาราฟ้ าค่าคืนนี้บรรยากาศสดชื่น มิต้องกลัดกลุ้มว่าไร ้ สถานที่พักกายอย่างสงบ เมื่อตรึกตรองดูก็ควรติดตามท่านไป กลายเป็ นนักพรตท่ามกลางทางช ้างเผือก
อวี๋เสวียนรู ้สึกรับไม่ไหวอยู่บ้าง เพียงแค่เพราะคืนนี้คนที่มาร่วม แสดงความยินดีที่นอกฟ้ า หลิ่วชีมาด้วยสองมือว่างเปล่า ไม่ได้เอา ของขวัญร่วมแสดงความยินดีมาด้วย จากนั้นก็เป็ นกู้ชิงซงที่ล่องเรือ มาในนทีสวรรค์ ด่าอวี๋เสวียนไปสองสามประโยค นอกจากนี้ชายแขน เสื้อสองข้างของอาจารย์สวี่ก็มีแต่ลมเย็น เฉิงหลงโจวแห่งสานัก ศึกษาต้าฝูคือบัณฑิต ดังนั้นจึงยึดหลักวิญญูชนคบหากันดุจน้าเปล่า เหวยเซ่อแห่งธวัลทวีปคือเจ้าแห่งยอดเขาเจ็ดสิบสองแห่ง คือเศรษฐีที่ ใต้หล้าให้การยอมรับ ทรัพย์สมบัติย่อมมีมากมหาศาล แต่คงเป็ น เพราะคนมีเงินที่มีเงินเยอะขนาดนี้ดูแคลนที่จะพูดถึงเรื่องเงินทอง จึง เป็ นเหตุให้ซิ่วไฉเฒ่าที่รอคอยจะช่วยรับของขวัญร่วมแสดงความ ยินดีตาปริบๆ อย่าว่าแต่สมบัติอาคมบนภูเขาสักชิ้นเลย แม้กระทั่งเงา ของเงินเทพเซียนสักเหรียญ