กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1034.1 ตรวจทานต าราในโลกมนุษย์
กินดื่มอิ่มหน า จ้าวซู่เซี่ยก็เก็บตะเกียบและชาม หนิงจี๋ย้ายโต๊ะ เล็กออกไปให้
ดวงจันทร ์ลอยอยู่กลางนภา แสงจันทร ์สาดส่องทั่วโลกมนุษย์ สว่างไสวราวกับโลกแห่งแก้วใส อากาศยามค่าคืนเย็นสบายปลอด โปร่ง สายลมพัดผ่านเสื้อผ้านาพาความเย็นชุ่มฉ่า เวลานี้ อารมณ์ เช่นนี้ อากาศเช่นนี้ ใครที่ได้ปลีกตัวว่างจากความวุ่นวายก็คือเทพ เซียน
ใต้ชายคามีเก้าอี้วางเรียงกันสามตัว ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่ตรงกลาง ยกขานั่งไขว่ห้าง ยื่นมือไปตบเข่าเบาๆ ร ้องเพลงของบ้านเกิด สาย ลมเย็นพัดเฉื่อยๆ ผ่านจอนผมสีขาวหิมะของผู้เฒ่า
เฉินผิงอันโบกพัดใบลานเบาๆ เวลาอยู่กับอาจารย์ ไม่ว่าจะดื่ม เหล้าหรือคุยเล่น เฉินผิงอันล้วนไม่เคยนั่งตัวตรงอย่างสารวมเหมือน ศิษย์พี่จั่วโย่ว แล้วก็ไม่เงียบงันเป็ นน้าเต้าตัน เหมือนศิษย์พี่จวินเชี่ยน
ลู่เฉินสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ยื่น ขาสองข้างออกมาท่วงท่าเกียจคร ้าน เรื่องราวในใต้หล้าและเรื่องใน บ้าน เรื่องที่อยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้ าและเรื่องข้างมือ บุญคุณความแค้น ทุกอย่างล้วนถูกวางพักไว้ก่อนชั่วคราว
พวกเขาพูดคุยกันไปถึงเรื่องที่ศาลบุ๋นแต่งตั้งซานจวินห้ามหา บรรพตของแจกันสมบัติทวีปและมอบฉายาเทพให้อย่างเป็ นทางการ ตามคากล่าวของซิ่วไฉเฒ่า ค่อนข้างจะเป็ นปัญหาอยู่บ้างเล็กน้อย เนื่องจากระดับขั้นตาแหน่งเทพของซานจวินในหนึ่งทวีปไม่ได้มีการ แบ่งสูงต่า หากจะพูดว่าทางฝั่งศาลบุ๋นส่งตัวอริยะบางท่านให้ไป ดาเนินพิธีการแต่งตั้งทีละคน ถ้าอย่างนั้นลาดับขั้นตอนก่อนหลังของ พิธีการแต่งตั้งห้ามหาบรรพตก็จะกลายเป็ นปัญหาที่ไม่เล็กแล้ว แต่ หากจะพูดว่าให้ดาเนินการไปพร ้อมกัน ทางฝั่งของศาลบุ๋นส่งตัว อริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปออกไปถึงห้าท่านก็ยากเหมือนกัน เพราะถึง อย่างไรทุกวันนี้แต่ละคนก็มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะ ทาง ฝั่งศาลบุ๋นเองก็ไม่อาจดึงตัวอริยะลัทธิขงจื๊อออกมาได้มากขนาดนั้น อีกทั้งยังต้องให้พวกเขามาเยือนแจกันสมบัติทวีปในเวลาเดียวกัน ด้วย
ถึงอย่างไรก็เป็ นวงการขุนนาง บนภูเขากับล่างภูเขาไม่ เหมือนกัน
ล่างภูเขา ทางราชส านักมอบจีวรสีม่วงให้กับมังกรคชสารลัทธิ พุทธ แต่งตั้งฉายาทางธรรมให้กับเจินเหรินลัทธิเต๋า หรือฮ่องเต้ไม่ก็ กรมพิธีการแต่งตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าล้วนจะต้องมีพิธีการ ที่เป็ นแบบแผนเป็ นขั้นเป็ นตอน
นับแต่โบราณมาชื่อเสียงและผลประโยชน์ก็ไม่แยกบ้านกัน ไม่ กังวลถึงความยากจนแต่กังวลว่าจะแบ่งสรรอย่างไม่เท่าเทียม ดังนั้น
ทางฝั่งศาลบุ๋นอยากจะปฏิบัติต่อทุกฝ่ ายอย่างเสมอภาคก็ต้องให้ เกียรติที่เพียงพอต่อซานจวินทุกท่าน ไม่ทาให้ใครต้องอับอายเสีย หน้า นี่ก็เป็ นเรื่องที่ลาบากใจมากแล้ว
หากจะบอกว่าให้เจ้าขุนเขาของสานักศึกษาลัทธิขงจื๊อห้าท่าน เป็ นผู้ด าเนินงานพิธี น้าหนักก็ดูจะไม่เหมาะสม พิธีการก็จะยิ่งดูบาง เบาไม่ส าคัญมากพอ
แต่หากจะบอกว่าให้อริยะบางท่านใช ้วิธีแยกร่าง ถึงอย่างไรก็ไม่ เหมาะสม แล้วก็แสดงให้เห็นว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นไม่ให้ความส าคัญ มากพอเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรการที่ซานจวินได้รับ “ฉายาเทพ” ก็ เหมือนที่ก่อนหน้านี้ซิ่วไฉเฒ่าสัพยอกอวี๋เสวียนอยู่นอกฟ้ าบอกว่า เรื่องน่ายินดีบางอย่างเกิดขึ้นได้ยากยิ่งกว่าการเป็ นเจ้าบ่าวเสียอีก ถูกลิขิตมาแล้วว่าจะมีแค่หนเดียว ไม่ว่าใครก็อยากจะจัดให้ยิ่งใหญ่ อลังการ ลองถามเว่ยป้ อและพวกจิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลางดู เถอะว่า สมมติได้ยินว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์จะมาเยือนด้วยตัวเอง พวกเขาจะพูดจาเกรงใจตามมารยาทกับศาลบุ๋นสักครึ่งคาหรือไม่?
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “รองเจ้าลัทธิสองท่านของศาลบุ๋น บวกกับ ผู้อ านวยการใหญ่ของสถานศึกษาสามแห่ง ให้พวกเขาหาเวลาว่าง ไปเยือนแจกันสมบัติทวีปสักรอบเถอะ”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดกล่าว “รองเจ้าลัทธิกับผู้อ านวยการ สถานศึกษาก็ยังมีระดับขั้นขุนนางใหญ่เล็กอยู่ดีไม่ใช่หรือ คนที่เป็ น นายท่านเทพเซียนบนภูเขา แต่ละคนล้วนเป็ นพวกเจ้าเล่ห์ที่อยู่ใน
วงการขุนนางมานับร ้อยนับพันปี มีความแตกต่างในเรื่องนี้ ภายนอก แม้พวกเขาจะไม่พูดอะไร แต่ในใจต้องแอบนินทาแน่”
ลู่เฉินเหมือนเป็ นกุนซือหัวสุนัขให้กับสายเหวินเซิ่งชั่วคราวจึง เริ่มช่วยออกความคิดอีกครั้ง “ถึงอย่างไรเรื่องของการมอบฉายาเทพ ให้กับซานจวิน เจ้าซิ่วไฉเฒ่าก็เป็ นผู้นา หากไม่ได้จริงๆ ก็ให้ทางฝั่ง ของศาลบุ๋นออกคาสั่งมา บอกไปว่าให้ซานจวินทั้งห้าเลือกวันฤกษ์ งามยามดีกันเอาเอง ให้สอดคล้องกับห้าธาตุ ไม่ขัดแย้งกันเอง เจ้าซิ่ว ไฉเฒ่าเป็ นคนมากความสามารถก็ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นมากหน่อย ภายในหนึ่งปีก็แวะเยือนภูเขาทุกลูกก็ได้แล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ผายลมน่ะสิ ข้าเป็ นผู้น าอะไรกัน เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็ นรองผู้อ านวยการของสถานศึกษาในแจกันสมบัติ ทวีปบางคนที่รู ้สึกว่าห้ามหาบรรพตของแจกันสมบัติทวีปแสดงออก ได้ยอดเยี่ยมในสงครามใหญ่ครั้งนั้น ศาลบุ๋นจึงต้องแสดงท่าทีแก่พวก เขาหน่อย”
ลู่เฉินท าหน้ากระจ่างแจ้งก่อน แต่จากนั้นสีหน้าก็เต็มไปด้วยแวว กังขา “หรือว่าข้าฟังผิดไป ทุกวันนี้โลกภายนอกไม่ได้พูดกันว่าพี่ ใหญ่อันดับสองของสถานศึกษาหลี่จื้อย่างเหมาเสี่ยวตงตัวอยู่สายหลี่ เซิ่งแต่ใจอยู่กับสายเหวินเซิ่งไม่ใช่หรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่ารีบยื่นมือมาดึงชายแขนเสื้อของเจ้าลัทธิลู่เอาไว้ ผิน ตัวเบี่ยงข้าง กระซิบกระซาบเสียงเบา “ค าพูดเหลวไหลไร ้หลักฐาน ประเภทนี้จะพูดส่งเดชไม่ได้นะ แพร่ออกไปแล้วจะท าให้คนเข้าใจผิด
กันได้ง่าย หากผู้อานวยการของสถานศึกษาหลี่จี้ที่นิสัยคร่าครึผู้นั้น ได้ยินเข้า ด้วยนิสัยดื้อดึงของเขาคงต้องถกเถียงกับเจ้าลัทธิลู่ให้ได้ ถึงเวลานั้นหากข้าไม่ช่วยพูดแทนเจ้า ก็จะผิดต่อในด้านน้าใจของ สหาย ช่วยเจ้าพูด กลับจะยิ่งเป็ นการกระพือไฟให้โหมแรงขึ้นไปอีก”
ลู่เฉินรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันใด ยิ้มเอ่ยว่า “หากอยู่ที่ใต้หล้ามืด สลัวก็จะจัดการได้ง่ายแล้ว”
ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ ายอวี้จิงที่แม้สิบเจ็ดนครและหอ เรือนจะมีสูงมีต่า เพียงแต่ว่าลาดับขั้นบนทาเนียบของลัทธิเต๋ากลับไม่ มีการแบ่งสูงต่าใดๆ หากเจอเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงนี้ เจ้าลัทธิเรียก เจ้านครหรือเจ้าหอคนใดออกมาก็ได้ อย่าว่าแต่งานพิธีแต่งตั้งห้าครั้ง เลย ต่อให้เจ้านวนเพิ่มมากกว่านี้เป็ นเท่าตัว ป๋ ายอวี่จิงก็ไม่ถึงขั้นรู ้สึก รับมือล าบาก
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ไม่ว่าศาลบุ๋นจะจัดการอย่างไร สถานที่แห่งอื่นนั้น ก็ช่างเถิด ผินเต้าไม่มีความสัมพันธ ์ควันธูปอะไรกับซานจวินพวกนั้น มีเพียงภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้ อที่ผินเต้าอยากจะไปร่วมความครึกครื้น อย่างมาก ซิ่วไฉเฒ่า ต้องการให้ข้าโผล่หน้าไปช่วยส่งเสียงให้ ก าลังใจอยู่ข้างๆ หรือไม่ ถือว่าช่วยสนับสนุนเว่ยซานจวินของพวก เรา?”
เฉินผิงอันเปิดปากถาม “อาจารย์ ฉายาเทพของซานจวินทั้งห้า ท่าน ทางศาลบุ๋นมีการตัดสินใจไว้นานแล้ว รอแค่ป่าวประกาศในงาน
พิธี หรือว่าเหมือนการยื่นเสนอชื่อของสานักตัวสารองที่สามารถตั้ง เองได้ มอบให้ศาลบุ๋นตรวจสอบ เมื่อผ่านแล้วก็สามารถใช ้ได้เลย?”
ลู่เฉินยิ้มอย่างรู ้ทัน เพื่อสหายแล้วก็ทุ่มสุดชีวิตเลยจริงๆ ฟังจาก ความนัยในประโยคนี้ของเฉินผิงอัน เกินครึ่งคงอยากจะช่วยเหลือเว่ ยป้ อและภูเขาพีอวิ๋นเล็กๆ น้อยๆ แล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โดยทั่วไปแล้วฉายาเทพของซานจวิ นห้ามหาบรรพตกับสุ่ยจวินของลาน้าใหญ่ล้วนเป็ นศาลบุ๋นที่คิดกัน ขึ้นเองแล้วค่อยประกาศออกไป แต่ว่าในเรื่องนี้ศาลบุ๋นไม่มีกฎตายตัว แน่นอนที่เป็ นลายลักษณ์อักษร ในเมื่อไม่มีกฎห้ามก็แสดงว่าทาได้ ดังนั้นก็ใช่ว่าจะพูดคุยปรึกษากันไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าใน ประวัติศาสตร ์ของไพศาล นับแต่โบราณมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขา สายน้าของแต่ละฝ่ายล้วนต้องทาตามคาสั่งของศาลบุ๋น ให้อะไรก็ต้อง รับอย่างนั้น อีกทั้งโดยทั่วไปแล้วทุกคนล้วนค่อนข้างพึงพอใจ”
สถานการณ์เช่นนี้ก็คล้ายคลึงกับการตั้งชื่อให้กับลูกหลานใน บ้านตัวเองหรือเด็กรุ่นหลังของตระกูลอื่น ส่วนใหญ่จะมีความหมาย แฝงที่งดงาม แทบไม่มีใครที่รู ้สึกว่าไม่เหมาะสม นับแต่นี้ทั้งแซ่และ นามอยู่เคียงคู่กัน ใช ้ร่วมกันไปตลอดทั้งชีวิต
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซิ่วไฉเฒ่าก็หันหน้ามาถามว่า “ทาไม เว่ย ซานจวินของพวกเรามี ฉายาเทพที่ชื่นชอบอยู่ก่อนแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีฉายาเทพที่ทุกคนช่วยกันตั้งให้อยู่หรอก เพียงแต่ไม่รู ้ว่าเว่ยซานจวินจะถูกใจหรือไม่ถูกใจ”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า “หากได้ครอบครองฉายาเทพว่า “ท่อง ราตรี” ไปเพียงล าพังจริงๆ ส าหรับเว่ยป้ อและภูเขาพีอวิ๋นแล้วถือเป็ น เรื่องดีงามที่ยิ่งใหญ่ ผิงอัน กลับไปเจ้าลองไปโน้มน้าวเว่ยป้ อดูได้ ขอ แค่ไม่รู ้สึกว่าฉายาเทพนี้ค่อนข้างจะ…แสลงใจ ก็ลองพิจารณาดูเถอะ แน่นอนว่าไม่บังคับกัน การเลือกตัวอักษรดีๆ มาผสมรวมกันเป็ น ฉายาเทพที่น่าฟังไม่ใช่เรื่องยากอะไรสาหรับทางฝั่งของศาลบุ๋นอยู่ แล้ว”
ทุกครั้งที่มีงานพิธี เนื่องจากต้องคอยดูแลวิญญาณวีรบุรุษบุ๋นบู๊ และเสมียนขุนนางในศาลเทพอภิบาลเมือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขา สายน้าของใต้หล้าไพศาลจึงมักจะชอบจัดงานเลี้ยงกันยามค่าคืน จึง กลายมาเป็ นงานเลี้ยงที่เรียกรวมๆ ว่างานเลี้ยงท่องราตรี
ลู่เฉินพยักหน้าเอ่ยคล้อยตาม “ก็เหมือนอย่างที่อวี๋เสวียนได้ ครอบครองค าว่าฝูลู่ไปเพียงลาพัง อีกทั้งผู้คนยังให้การยอมรับ จึงท า ให้เขาได้รับผลประโยชน์มากมายที่คาดคิดไม่ถึง ความลี้ลับของเรื่อง นี้มิอาจบอกกล่าวให้คนนอกทราบได้”
ซิ่วไฉเฒ่าใช ้สองมือกอดหัวเข่า พยักหน้ายิ้มเอ่ย “ตาแหน่งใหญ่ และชื่อเสียงโด่งดังสามารถควบคู่กันได้ คุณูปการและคุณธรรมสม กับต าแหน่งก็จะถูกต้องสมเหตุสมผล สมเกียรติสมศักดิ์ศรี สามารถ รับไว้ได้อย่างผึ่งผาย”
ยกตัวอย่างเช่นสหายเก่าแก่ของทักษินาตยทวีปอย่างผู้รอบรู ้เฉิน ฉุนอัน
แน่นอนว่าก็ยังมีคาว่าเหวินใน “เหวินเซิ่ง” ของซิ่วไฉเฒ่าด้วย
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นกลับไปข้าจะไปลองปรึกษาไปโน้ม น้าวเว่ยป้ อดู”
ไม่แน่ว่าเรื่องฉายาเทพอาจเป็ นโอกาสสาคัญที่จะทาให้ร่างทอง ของเว่ยป้ อพัฒนารุดหน้าไปอีกก้าวก็ได้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าคิดจะยกระดับความสูงของเทวรู ปร่างทองที่ตั้งวางอยู่ในศาล ไม่ได้เหมือนผู้ฝึกลมปราณที่ใต้ฝ่ าเท้ามี เส้นทางให้เดินขึ้นเขาหลายเส้น มีเพียงเส้นทางเดียวอย่างการสั่งสม คุณความชอบและหล่อหลอมควันธูปเท่านั้น
ลู่เฉินหัวเราะร่าเอ่ยว่า “นี่เรียกว่าเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมฟ้ าดินก็ ร่วมแรงร่วมใจกัน”
ในอดีตเว่ยป้ อเคยเป็ นซานจวินอันดับหนึ่งของแคว้นเสินสุ่ย หลังจากแคว้นล่มสลายก็ถูกทุบร่างทองทิ้งลงไปในก้นแม่น้าสามสาย ที่อยู่ใกล้กับเมืองหงจู๋ ภายหลังมีสตรีผู้หนึ่งงมร่างทองส่วนหนึ่งขึ้นมา นับแต่นั้นมาเว่ยป้ อก็ได้มีชีวิตรอดอยู่ไปวันๆ กลายเป็ นผีเร่ร่อนที่ ป้ วนเปี้ยนอยู่แถวที่ตั้งเก่าของศาล รอกระทั่งสกุลซ่งต้าหลีขยับขยาย ก าลังแคว้นออกไปทางทิศใต้อย่างต่อเนื่อง เก็บเอาพื้นที่ของแม่น้า สามสายอย่างซิ่วฮวา อวี้เย่และชงต้นมาเป็ นของ ในกระเป๋ าตัวเอง
ราชสานักต้าหลีก็แค่ให้เว่ยป้ อที่พวกเขารู ้สถานะและประวัติความ เป็ นมาเป็ นอย่างดีรับหน้าที่เป็ นเทพแห่งผืนดินของภูเขาฉีตุนเท่านั้น ทุกวันนี้ลองมองย้อนไปนี่กลับคล้ายเป็ นการกระทาที่สกุลซึ่งต้าหลี ตั้งใจเสียมากกว่า
อันดับแรกก็เดินขึ้นฟ้ าด้วยก้าวเดียว กลายเป็ นนายแห่งภูเขา พีอวิ๋น กลายเป็ นซานจวินขุนเขาเหนือคนใหม่ของต้าหลี ก่อนจะ กลายเป็ นหนึ่งในซานจวินของทวีป ระดับความสูงของร่างทองที่ บริสุทธิ์ก็เลื่อนจากขอบเขตหยกดิบเป็ นขอบเขตเซียนเหริน
ทุกวันนี้ก็มีหนิงเหยาจากใต้หล้าห้าสีที่มอบของขวัญให้ แล้วจึงมี การแต่งตั้งตาแหน่งและฉายาเทพจากศาลบุ๋น รวมไปถึงการผลักดัน อย่างลับๆ ของราชสานักต้าหลี ถ้าอย่างนั้นเว่ยป้ อก็ต้องเป็ น “สาม หยวนติดต่อกัน (หมายถึงคนที่สอบติดอันดับหนึ่งได้ติดต่อกันทั้งสาม สนาม) ในประวัติศาสตร ์ของแจกันสมบัติทวีปอย่างแน่นอน
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้มเอ่ย “สมบัติมีชีวิต สหายหลิงจวินของ พวกเราผู้นี้คือสมบัติที่มีชีวิตจริงๆ”
คาโบราณกล่าวไว้ว่าในบ้านมีคนแก่ก็เหมือนมีสมบัติ ภูเขาลั่ว พั่วมีเด็กชายชุดเขียวที่ชอบตบไหล่คนอื่นอยู่เช่นนี้ก็ช่างยอดเยี่ยม มากจริงๆ
ก่อนที่เฉินผิงอันจะได้ดูม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่นอกฟ้ าของ อาจารย์ในคืนนี้ อันที่จริงเขารู ้แค่ว่าเฉินหลิงจวินเคยเจอบรรพจารย์
ของสามลัทธิมาก่อนในเมืองเล็ก เพียงแต่ว่าคุยเรื่องอะไรกันทาอะไร กันไปบ้างกลับยังเป็ นปริศนามาโดยตลอด
เพราะหลังจบเรื่องเฉินหลิงจวินเหมือนตกอยู่ในสภาวะลี้ลับอย่าง หนึ่งที่มิอาจบรรยายได้ ต่อให้อยากจะพูดค าว่า “มรรคาจารย์เต๋า” กับคนอื่นก็ยังทาไม่ได้ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่เคยรู ้รายละเอียดที่เป็ น รูปธรรม แล้วก็ไม่คิดจะไปสืบเสาะหาคาตอบ แต่ด้วยนิสัยที่คงเส้นคง วาของเฉินหลิงจวินแล้ว เฉินผิงอันก็พอจะเดาออกได้คร่าวๆ พูดถึง แค่เรื่องการ รับรองแขก’ ที่มีต่อเจ้าอารามผู้เฒ่าก็พอจะรู ้ได้แล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะร่า “เจ้าลัทธิลู่ เจ้ากล้าเรียกอาจารย์เจิ้งว่า หลานเจิ้งต่อหน้าเขาไหมล่ะ?”
ลู่เฉินรีบยื่นมือไปประคองกวานดอกบัวระงับความตกใจ
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “คนโง่ก็มีโชคของคนโง่ ต่อให้จะเป็ นคนฉลาด แค่ไหนก็เรียนรู ้อักษรค าว่าโง่ไม่เป็ น”
ลู่เฉินพยักหน้าเอ่ย “จิตใจคนไม่แน่นอน เรื่องราวทางโลก แปรปรวน คนดีก็ทาเรื่องที่ผิดพลาดได้ คนชั่วก็ทาเรื่องดีได้เช่นกัน สิ่งที่หาได้ยากที่สุดก็คือจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่ถูกโลกภายนอกท าให้แปด เปื้อน”
เฉินผิงอันพูดถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้เฉินหลิงจวินปฏิเสธที่จะไป “นั่งเสวยสุข” อยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัวกับลู่เฉิน ไม่สนใจขอบเขตบิน ทะยานที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ใช ้เหยื่องดงามหรูหราล่อปลา กลับต้อง เสียปลาไป”
ลู่เฉินพยักหน้ารัวๆ เป็ นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “นี่เรียกว่าคน ฉลาดกลับพลาดท่าเพราะความฉลาด ผินเต้าใช ้แผนผิดไปแล้ว จริงๆ”
ซิ่วไฉเฒ่าเพียงยิ้มรับ สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ยังคงเป็ นเพราะลู่ เฉินไม่คิดว่าเฉินหลิงจวินควรจะไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัวเสียมากกว่า
หากว่ากันในบางระดับแล้วยังพูดได้ด้วยว่าทางเลือกท้ายสุดของ เด็กชายชุดเขียว อันที่จริงก็คือทางเลือกที่ลู่เฉินมอบให้เขา ต่างฝ่ าย ต่างไม่ล าบากใจ แต่ละคนมีโชคชะตาเป็ นของตัวเอง ทุกคนต่างก็ได้ ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ