กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1034.2 ตรวจทานต าราในโลกมนุษย์
ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “คากล่าวที่ว่าสรรพสิ่ง คือหนึ่งเดียวของเจ้าลัทธิลู่ ตามความเห็นของข้านั่นต่างหากจึงจะ เป็ นความรู ้ที่สูงส่งลึกล้าที่สุดอย่างแท้จริง”
ลู่เฉินหัวเราะร่า “เหวินเซิ่งไม่เพิ่มคาว่า “หนึ่งใน” เข้าไปด้วย หรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า เงียบงันไม่เอ่ยต่อคา
อริยะปราชญ์ทั้งหลายล้วนแตกต่างกันเพราะอสังขตธรรม
ความรู ้ของลู่เฉินยิ่งใหญ่มาก มิใช่แค่ยิ่งใหญ่ธรรมดา
พูดถึงแค่สหายรักป๋ ายเหย่ เขาเป็ นคนที่หยิ่งทระนงถึงเพียงใด เมื่อหลายปี ก่อนซิ่วไฉเฒ่าเคยไปหาเขาแล้วขอเหล้าดื่ม เคยได้ ถามป๋ ายเหย่ว่าหากไปยังใต้หล้ามืดสลัว คนที่อยากไปพบเจอมาก ที่สุดคือใคร
ตอนนั้นป๋ ายเหย่ตอบอย่างไม่ลังเลว่าอยากไปเยี่ยมหาลู่เฉินที่ นครหนันหัว
ก็ไม่แปลกที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของไพศาลบางคนและเต้ากวาน ของป๋ ายอวี้จิงบางคนจะมีความคิดเห็นที่พ้องต้องกัน ป๋ ายเหย่แต่งกวี
นับพันหมื่นบท ต่อให้เขียนดีแค่ไหนก็น่าเสียดายที่ไม่เคยหลุดพ้น จากกรอบความคิดเก่าๆ
ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าอาศัยฤทธิ์สุราร ้อนแรงเอ่ยถ้อยคาที่มี ความหมายในเชิงลบนี้ให้ป๋ ายเหย่ฟัง เพราะถึงอย่างไรเรื่องประเภทนี้ ซิ่วไฉเฒ่าก็ทาออกมาได้จริงๆ และแน่นอนว่ามีเพียงซิ่วไฉเฒ่าเท่านั้น ที่ทาได้
ป๋ ายเหย่ได้ยินแล้วก็เงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่ง ว่า ก็ไม่ได้พูดผิดตรงไหน
แน่นอนว่าสามารถคิดได้ว่า ป๋ ายเหย่เองก็คิดว่าคากล่าวนี้ สามารถเข้าใจได้ว่า ไม่ได้พูดผิด แต่ก็ไม่ได้พูดถูก
ลู่เฉินยกชายแขนเสื้อขึ้น กุมหมัดเขย่าอยู่หลายที “สามารถถูก เหวินเซิ่งชื่นชมนอกโต๊ะสุราแบบนี้ได้ การเดินทางกลับบ้านเกิดครั้งนี้ ต่อให้ไม่มีคุณความชอบก็ไม่ได้มาเสียเที่ยวแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือ “ข้าไม่เคยชมใครส่งเดช”
เฉินหลิงจวินบอกว่าพฤติกรรมในการดื่มเหล้าของใครบางคนดี นั่นก็แสดงว่าพฤติกรรมในการดื่มเหล้าต้องยอดเยี่ยมมากจริงๆ ไม่ เคยเลอะเลือนบนโต๊ะสุรา
อย่างหลิวจิ่งหลงที่เฉินผิงอันซึ่งเป็ นคนที่ยึดมั่นว่าควรจะ “ใช ้ เหตุผลให้ดีๆ มองว่าเป็ นคนที่เชี่ยวชาญในการอธิบายเหตุผลที่สุด
หลักการเหตุผลของหลิวจิ่งหลงทั้งพูดได้ดี แล้วไม่ท าให้คนร าคาญ อีกด้วย
หรือยกตัวอย่างเช่นใครเล่าจะถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสชมว่า เวทกระบี่ไม่เลว?
ถ้าอย่างนั้นในด้านของวิชาความรู ้ ถูกซิ่วไฉเฒ่าชื่นชมเช่นนี้ก็ แสดงว่าต้องเป็ นคนที่มีความรู ้จริงๆ
ลู่เฉินยิ้มเอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “ในแคว้นหูของพื้นที่มงคลรากบัว พวกเจ้ามีแม่นางน้อยอยู่คนหนึ่ง สรุปแล้วนางคือใครและจะเผยตัว เมื่อไหร่ ผินเต้าคงไม่แพร่งพรายความลับสวรรค์แล้ว ไปหาเอาเอง วันใดหาเจอแล้วตอนที่นางเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตกลางก็ไม่สู้มอบ ฉายาให้นางว่า “ชุ่ยป๋ าย” เชื่อว่าผลสาเร็จในวันหน้าของนางต้องไม่ มีทางต่าแน่นอน หากเจ้าขุนเขาอย่างเจ้าใจกล้าอีกสักหน่อย หรือ โชคของภูเขาลั่วพั่วดีมากหน่อย สามารถหานางเจอได้เร็วกว่า กาหนด ระหว่างที่สติปัญญาของนางได้เปิดออก ยังไม่ได้ครอบครอง ชื่อจริงก็ช่วยถ่ายทอดมรรคาให้กับนาง ตั้งชื่อให้กับนาง ผลประโยชน์ ที่พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายจะได้รับก็จะยิ่งมีมากกว่าเดิม”
เรื่องนี้เป็ นข้อมูลที่ลู่เฉินได้มาจากการคุยเล่นเรื่อยเปื่ อยกับ “อาจารย์อา”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ผ่านพิธีถือศีลในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมดวง จันทร ์ นกกระสาอยู่ในกรงสูงถูกปล่อยให้บินไปยังกองเมฆขาว เจ้า
อารามผู้เฒ่าได้รับลูกศิษย์อยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัวของพวกเจ้าบ้าง หรือไม่?”
ลู่เฉินตอบ “รับลูกศิษย์แล้ว ดูจากท่าทางก็น่าจะเป็ นทั้งลูกศิษย์ เปิดภูเขาและลูกศิษย์ปิดภูเขาด้วย อาจารย์อาเห็นดีในตัวหวังหยวนลู่ อย่างมาก บางทีวันหน้าอาจารย์อาอาจจะยังรับลูกศิษย์อีก และ จานวนก็จะไม่น้อย แต่เกินครึ่งก็ไม่น่าจะมีศักดิ์เป็ นอาจารย์และศิษย์ อะไรกัน น่าจะกึ่งๆ อาจารย์กึ่งๆ สหายเสียมากกว่า ถึงอย่างไรอาราม เต๋าของอาจารย์อาก็ต้องหล่นลงพื้นอยู่แล้ว ทางฝั่งของป๋ ายอวี้จิงก็ ยินดีที่จะได้เห็นเช่นนี้”
ซิ่วไฉเฒ่จุ๊ปากเอ่ย “ทุกวันนี้มีมรรคาจารย์เต๋าออกหน้า ถึง อย่างไรความมั่นใจของป๋ ายอวี้จิงก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ตอนที่ผินเต้านั่งบัญชาการณ์ป๋ ายอวี้จิง ท าอะไรก็ใจกว้างมากนะ”
ปล่อยทุกอย่างไปตามธรรมชาติ ไม่เคยควบคุมดูแล เต้ากวาน จานวนนับไม่ถ้วนทั้งบนและล่างภูเขาล้วนพากันกล่าวขานถึง!
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ในฐานะเผ่าจิ้งจอก ตั้งฉายานี้ให้นาง จะไม่ยิ่งใหญ่ไปหน่อยหรือ?”
อริยะเคยกล่าวไว้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีจิ้งจอกที่ขาวบริสุทธิ์ (ชุ่ยป๋ าย) แต่กลับตั้งชื่อให้ว่าชุ่ยป๋ าย โดยทั่วไปแล้วนี่ต้องไม่เหมาะสมอย่าง แน่นอน
เพียงแต่ว่าค าพูดของลู่เฉินมักจะมีเป้ าหมายเสมอ ต้องไม่ใช่ ความคิดชั่วร ้ายที่เขาจงใจหลอกลวงกันแน่
ฉายาของผู้ฝึ กลมปราณบนภูเขาก็ไม่ต่างจากชื่อของมนุษย์ ธรรมดาล่างภูเขาสักเท่าไรตั้งยิ่งใหญ่เกินไปก็ยากที่จะ ‘รับได้ไหว
ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ “บ้านเรือนของผู้สูงศักดิ์ภูตผีมักจ้องมอง ไม่มีเรื่องใดที่ตายตัวแน่นอนว่าไม่ได้พูดว่าตั้งชื่อและตั้งฉายาเช่นนี้ จะต้องไม่ดีเสมอไป เพียงแต่ว่าการฝึกตนบนภูเขา มีใจหวังว่าจะโชค ดีก็ไม่ใช่ความเคยชินที่ดีอะไร
ลู่เฉินหัวเราะร่าเอ่ยว่า “มีเจ้าคอยแบกรับไว้ให้อยู่ ยังต้องกลัว เรื่องพวกนี้ด้วยหรือ?”
ยกตัวอย่างเช่นการประทับตราประทับเทียนซือลงเหนือผิว จิ้งจอกสามารถต้านทานหายนะได้ นี่คือเรื่องจริงที่บนภูเขาให้การ ยอมรับ
หลักการเหตุผลที่คล้ายคลึงกันนี้ ภูตจิ้งจอกที่บางทีตอนนี้อาจจะ ยังไม่เกิด ในอนาคตเนื่องจากเจ้าขุนเขาหนุ่มประทานชื่อจริงของเผ่า ปีศาจให้ ก็ถือเป็ นโชควาสนาที่ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลใจภายหลัง เลยจริงๆ
ไม่แน่ว่าวันหน้าที่นางฝึ กตนอยู่บนภูเขาแล้วฝ่ าทะลุขอบเขต ตอนที่เลื่อนเป็ นโอสถทองและห้าขอบเขตบน เฉินผิงอันยังสามารถ
ช่วยแบ่งเบาทัณฑ์สวรรค์ให้ได้อีกด้วย การปกป้ องมรรคาเช่นนี้เรียก ได้ว่ามั่นคงอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันเหลือบมองลู่เฉิน
ลู่เฉินรีบแก้ตัวทันใด “นี่ไม่ใช่การจับคู่ยวนยางอะไรส่งเดชนะ การฝึกตนบนภูเขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องความรักชายหญิงอยู่เสมอได้ อย่างไร แบบนั้นก็เป็ นคนที่วิสัยทัศน์คับแคบเกินไปหน่อยแล้ว!”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “เจ้าต้องไปพบเฟิ งอี๋ที่ เมืองหลวงต้าหลีสักครั้ง ใช่ไหม?”
ลู่เฉินถอนหายใจ พยักหน้าตอบ “ต้องไป ส่วนจะได้ดื่มเหล้า หรือไม่ก็ต้องเสี่ยงดวงแล้ว”
เพราะเรื่องเก่าแก่ของวังมังกรที่ถูกปิดตายไปเนิ่นนานทาให้เฟิงอี๋ แค้นเคืองเจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี้จิงที่ปัดกันเดินหนีผู้นี้ไม่น้อย นางรู ้สึกอ ยุติธรรมแทนมังกรหญิงผู้นั้น
เพราะถึงอย่างไรหากลู่เฉินยินดีลงมือก็จะไม่มีศึกพิฆาตมังกร ครานั้นเกิดขึ้นแล้ว
ยุคบรรพกาลมีเทพพิรุณอยู่สองท่าน ล้วนไม่อยู่ในอันดับสิบสอง เทพชั้นสูง คล้ายคลึงกับเฟิงอี๋นั่นคือมีตาแหน่งเทพและภาระงานที่เท่า เทียมกัน
ภายหลังพวกเขาก็คุยกันไปถึงประวัติศาสตร ์ลับและเรื่องลับ บางอย่างของใต้หล้ามืดสลัว ยกตัวอย่างเช่นบุญคุณความแค้นของ ทะเลสาบคงโหวที่ไม่มีใครรู ้ หรือยกตัวอย่างเข่นเหตุใดหลงชินผู่ถึงมี ใจ ถึงได้รักและเลื่อมใสศิษย์พี่หญิง “หวังซุน” ของเจ้าอารามซุน บน ภูเขาเล่าลือกันว่าอย่างไร เรื่องทานองนี้ซิ่วไฉเฒ่ากับเจ้าลัทธิลู่คุยกัน ไปคุยกันมาก็มักจะหันมามองสบตากันแล้วพากันหัวเราะหึหึ
คืนนี้ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าจนเมา บวกกับที่เฉินผิงอันรั้งตัวเอาไว้จึง นอนพักอยู่ในห้องของลูกศิษย์ปิดส านักตัวเองเสียเลย ผู้เฒ่าไม่นอน กรน หลับสนิทนิ่งมาก
ผู้ฝึกลมปราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่บรรลุมรรคา การนอนหลับ ฝันหวานอย่างแท้จริงก็คือไม่มีความฝัน
และนี่ก็เป็ นปัญหายากข้อหนึ่งที่ทาให้คนบนโลกสงสัยหา ค าอธิบายไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้
ดูเหมือนว่ายิ่งผู้ฝึกตนขอบเขตสูงเท่าไรก็จะยิ่งไร ้ความฝันมาก เท่านั้น
ลู่เฉินสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เงยหน้ามองดวงจันทร ์
นับแต่โบราณมาคนส่วนใหญ่มักจะใช ้เหล้าดับทุกข์ ไม่เหมือน พวกเขาสามคนในคืนนี้ที่ใช ้ทัศนียภาพมาดับสุรา นอนหลับไปตื่น หนึ่ง พรุ่งนี้ดวงอาทิตย์ขึ้น ต่างคนก็ต่างยุ่งกับภาระหน้าที่ของตัวเอง ต่อ
ลู่เฉินพลันลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ย “ไปเดินเล่นกันหน่อยดีไหม?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นตาม เดินเล่นไปพร ้อมกับลู่เฉิน คนทั้งสองเดิน ไปบนทางเส้นเล็กริมล าธาร ดินบนเส้นทางอ่อนนุ่ม ยามก้าวเดินจึงไร ้ เสียง
อยู่ดีๆ ลู่เฉินก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “หากเป็ นแค่การวางแผน กลยุทธบนหน้ากระดาษ ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างมิอาจยึดครองแจกันสมบัติ ทวีปได้ในรวดเดียว ช่างน่าเสียดายเกินไปแล้ว”
หลายปี มานี้ป๋ ายอวี้จิงท าการอนุมานทบทวนกระดานของ สงครามครั้งนี้อยู่ตลอดสุดท้ายได้ข้อสรุปบางอย่างที่บางทีอาจไม่ เหมือนกับความเห็นของผู้ฝึกตนบนยอดเขาใหญ่ของไพศาล ถึงขั้น ที่ว่ายังตรงกันข้าม
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “นาทั้งฟ้ าอานวยดินอวยพรและคนสามัคคีมาแบ่ง ให้เป็ นจ านวน หากบอกว่าศักยภาพของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างคือหนึ่ง ร ้อย เฉินผิงอันเจ้าคิดว่าจ านวนตัวเลขของใต้หล้าไพศาลคือเท่าไร?”
เฉินผิงอันคล้ายจะเคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อนนานแล้ว จึงตอบ ว่า “อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งร ้อยห้าสิบ หากฝังเลื่อม…หลักการเหตุผล บางอย่างเข้าไปด้วย อย่างเช่นว่านับรวมใจคนเข้าไปด้วย ทางฝั่งของ ใต้หล้าไพศาลก็ต้องลดไปแบบครึ่งต่อครึ่ง ส่วนทางฝั่งของใต้หล้า เปลี่ยวร ้างกลับกลายเป็ นว่าลดลงไปไม่มาก ดังนั้นสงครามครั้งนั้นถึง ได้รบอย่างเหน็ดเหนื่อยและน่าสังเวชถึงเพียงนั้น”
ลู่เฉินพยักหน้า “ดังนั้นข้าถึงได้พูดแค่ประโยคเดียวกับพวกเต้า กวานเฒ่าทั้งหลายของป๋ ายอวี้จิงที่คิดเป็ นร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจว่า คนรุ่นเยาว์ของใต้หล้าไพศาลก็คือตัวแปรที่ใหญ่ที่สุด”
หยุดชะงักไปพักหนึ่ง ลู่เฉินก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “พวกโจว เสินจือ ป๋ ายเหย่ อวี๋เสวียน เฉินฉุนอัน ในบางช่วงเวลาก็ถือเป็ นคนรุ่น เยาว์เหมือนกัน ทางฝั่งของกาแพงเมืองปราณกระบี่ พวกต่งซานเกิง โฉวเหมียวและยังมีผู้ฝึ กกระบี่ต่างถิ่นที่ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะได้หวน กลับคืนมายังไพศาลหรือไม่ แน่นอนว่าก็เป็ นเช่นเดียวกัน”
เอ่ยคาพูดที่คล้ายกับเป็ นประโยคสรุปแบบตอกปิดฝาโลงพวกนี้ จบ ลู่เฉินก็เอ่ยอีกประโยคหนึ่งที่คล้ายกับคาทานายว่า “แต่เจ้าต้องรู ้ ว่ามีหนี้ต้องใช ้คืนก็ดี ลมและน้า หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนก็ช่าง ใน อนาคตใต้หล้าเปลี่ยวร ้างก็จะต้องมี…คนรุ่นเยาว์เป็ นของตัวเอง เหมือนกัน หากศาลบุ๋นไม่มีการตัดสินใจที่เหมาะสมกับเวลาและมี ความกล้าหาญมากพอ สองใต้หล้าก็จะพากันจมลึกสู่บ่อโคลน เหมือนกับ…”
เฉินผิงอันรับค าต่อ “การตรวจทานต ารา”
ลู่เฉินตบมือฉาด “คาเปรียบเปรยนี้ดี”
การตรวจทานเรียกอีกอย่างว่าการพิสูจน์อักษร ใช ้บรรยายถึง คนคนหนึ่งที่เขียนตาราอีกคนหนึ่งอ่านตารา หากสองฝ่ายเผชิญหน้า
กันดั่งศัตรูคู่แค้นก็จะเหมือนศัตรูที่พบเจอกันต่างฝ่ ายต่างเกลียดแค้น กัน
ลู่เฉินกล่าว “อีกเดี๋ยวนครจักรพรรดิขาวก็จะกระโดดข้ามบันได สองขั้นติด เลื่อนเป็ นส านักดั้งเดิมโดยตรง”
ในเมื่อกลายเป็ น “ศาลบรรพชน สานักดั้งเดิมแล้วก็ย่อม หมายความว่านครจักรพรรดิขาวกาลังจะได้ครอบครองทั้งสานักเบื้อง บนและสานักเบื้องล่างในเวลาเดียวกัน
ด้วยคุณความชอบที่เจิ้งจวีจงสะสมไว้ติดๆ กันก็ไม่ถือว่าศาลปุ่น เปิดประตูหลังให้กับนครจักรพรรดิขาวโดยเฉพาะ พูดถึงแค่ระหว่างที่ สองใต้หล้าคุมเชิงกัน เจิ้งจวีจงก็สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเห รินบนภูเขาทั่วเยว่ภายใต้การจับตามองของคนมากมาย ภายหลังยัง ย้ายนครจินชุ่ยทั้งแห่งออกมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง แล้วก็เกือบจะ สังหาร “หูถู’ ปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร ้างที่มีคุณสมบัติเป็ นราชาบน บัลลังก ์ใต้เปลือกตาของป๋ ายเหย่ได้ และนี่ยังเป็ นเรื่องที่เปิ ดเผย ภายนอกเท่านั้น เจิ้งจวีจงที่เลือกจะผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่อยู่ใน ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างอย่างลับๆ สวรรค์เท่านั้นที่รู ้ว่าเขาวางแผนจะทาเรื่อง อีกกี่มากน้อย ปูพื้นผูกปมเงื่อนเอาไว้กี่เงื่อนแล้ว?
ภัยแฝงที่ใหญ่ที่สุดของหูถูในทุกวันนี้ก็คือปล่อยให้เจิ้งจวีจงได้ แก่นเลือดแห่งชะตาชีวิตสองส่วนไปครอง
เพียงแต่ไม่รู ้ว่าป๋ ายเจ๋อจะสามารถช่วยคลี่คลายภัยแฝงนี้ให้ได้ หรือไม่ หากป๋ ายเจ๋อปล่อยปละไม่สนใจ ปล่อยให้หูถูหาทางแก้ปัญหา เอาเอง เฉินผิงอันก็เชื่อว่าด้วยฝีมือของเจิ้งจวีจง ไม่ช ้าก็เร็วหูถูต้อง ได้กลายไปเป็ นหุ่นเชิดของฝ่ายหลังอย่างแน่นอน
พูดถึงแค่สองเรื่องที่ไม่มีใครรู ้ก็มากพอจะมองเห็นความน่ากลัว ของเจิ้งจวีจงได้แล้ว
หนึ่งคือตอนนั้นศาลปุ่นกับหลี่เซิ่งต่างก็ยอมละเว้นกฎเพื่อเขา ให้ เจิ้งจวีจงไม่ต้องเข้าร่วมการประชุมริมลาคลองที่ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ มารวมตัวกัน
นอกจากนี้ก็คือดูเหมือนปรมาจารย์มหาปราชญ์จะเคยพูดว่า ก่อนที่เขาจะสลายมรรคาจะต้องไปพูดคุยกับเจิ้งจวีจงดีๆ สักครั้ง
เฉินผิงอันพยักหน้ากล่าว “บางทีอาจารย์เจิ้งอาจจะเตรียมการให้ นครจักรพรรดิขาวว่างเปล่า เหลือแค่ตัวเขาคนเดียว จะได้ตั้งใจฝึก ตนโดยไม่ต้องแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องอื่นอีก”
ลู่เฉินจุ๊ปากเอ่ย “คนอย่างอาจารย์เจิ้งก็ต้องตั้งใจฝึ กตนด้วย หรือ?”
คนที่เคยเล่นหมากล้อมกับเจิ้งจวีจง นอกจากชุยฉานแล้ว คน ส่วนใหญ่ก็น่าจะมีความรู ้สึกที่ส่งต่อกันไปเป็ นทอดๆ ทานองว่า
ข้าแพ้ได้อย่างไร? หมากล้อมเขาเล่นกันแบบนี้ได้ด้วยหรือ? ข้า เคยเล่นหมากล้อมกับเจิ้งจวีจงมาแล้วจริงหรือ?
ลู่เฉินยิ้มถาม “ทาไมพอถึงเวลาเข้าจริงถึงไม่ลากเขาลงน้าไป ด้วย?”
อู๋ซวงเจี้ยงและต าหนักสุ่ยฉูกับอวี๋โต้วและป๋ ายอวี้จิง นั่นคือเงื่อน ตายที่คนทั่วทั้งใต้หล้ามืดสลัวล้วนรับรู ้ ไม่ถือว่าเป็ นการลากดึงกันลง เหว แต่เจิ้งจวีจงกลับไม่เหมือนกัน
เฉินผิงอันไม่ได้ให้ค าตอบ บนทางเส้นเล็กมีก้อนหินขวางทางอยู่ ก้อนหนึ่ง ใช ้ปลายเท้าเขี่ยมันออกไปเบาๆ แล้วเดินไปบนเส้นทางต่อ อีกครั้ง
ลู่เฉินหัวเราะ เจ้าตัวดี เจ้าเชื่อมั่นขนาดนี้เลยหรือว่าอาศัยแค่ ตัวเองจะต้องเดินไปถึงป๋ ายอวี้จิง….ไปถึงบนยอดหอเรือนแห่งนั้นได้ แน่นอน?