กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1034.3 ตรวจทานต าราในโลกมนุษย์
เฉินผิงอันกล่าวด้วยน้าเสียงเรียบเฉย “ไม่ใช่เพราะว่าข้าคือใคร ดังนั้นจะต้องทาอย่างไรได้หรือทาเรื่องอะไรได้สาเร็จเสมอไป แต่เป็ น เพราะข้าคือข้า เป็ นเพราะข้าจะต้องทาเรื่องบางอย่างอย่างแน่นอน ทั้ง สองอย่างนี้เป็ นเหตุและผลของกันและกัน ส่วนเรื่องบางเรื่องนั้น ไม่ว่า จะเล็กหรือใหญ่ สุดท้ายแล้วจะส าเร็จหรือไม่ก็หนีไม่พ้นคนท าอย่าง สุดความสามารถผลสาเร็จอยู่ที่สวรรค์ลิขิต”
ลู่เฉินอืมรับด้วยรอยยิ้ม สอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เดินเคียง บ่าไปกับเฉินผิงอัน “เข้าใจ เข้าใจได้ทั้งหมด เจ้าเป็ นแบบนี้เสมอ ใน เรื่องนี้เจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย”
หากจะพูดถึงบุคคลที่รับมือได้ยากซึ่งลูเฉินคิดว่าได้แต่เคารพอยู่ ไกลๆ จริงๆ เจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาวต้องถือเป็ นคนหนึ่งในนั้น อย่างแน่นอน อีกทั้งระดับรายชื่อยังอยู่สูงมาก ต้องติดสามอันดับแรก แน่
คราวก่อนที่กลับจากภูเขาทั่วเยว่มายังกาแพงเมืองปราณกระบี่ ลู่ เฉินเกือบจะตกอยู่ในวงล้อมสังหารอันตรายที่ซิ่วหูตั้งใจวางแผน เอาไว้ บอกตามตรง สิ่งที่ทาให้ลู่เฉินหวาดผวาไม่คลายอย่างแท้จริง ยังคงเป็ นเจิ้งจวีจงที่ส่งสายตาไปมากับอู๋ซวงเจี้ยง หากเจิ้งจวีจงรับช่วง ต่อเรื่องนี้ไปจากมือของเฉินผิงอันหรือควรจะพูดให้ถูกก็คือจากมือ
ของชุยฉาน ถ้าอย่างนั้นด้วยนิสัยการกระทาของเจิ้งจวีจงแล้ว หาก ไม่บรรลุเป้ าหมายเขาต้องไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอน
ก็เหมือนการเล่นหมากล้อมครั้งหนึ่งกับลู่เฉิน ขนาดของกระดาน หมากก็คือใต้หล้าทั้งแห่ง คือโลกมนุษย์ทั้งใบ ก่อนที่จะแบ่งแพ้ชนะ กับลู่เฉินสามารถใช ้เวลาได้นานนับร ้อยปีหรือถึงขั้นหลายพันปี ชุย ฉานแค่รับผิดชอบสร ้างกระดานหมากกระดานหนึ่งขึ้นมาเท่านั้น อย่างมากสุดก็ให้ศิษย์น้องอย่างเฉินผิงอันเข้ามาเล่นด้วย “ช่วยเขา ชุยฉาน” วางหมากก่อน หลังจากนั้นก็เป็ นอู๋ซวงเจี้ยงแห่งต าหนัก ลุ้ยฉูและกลุ่มของผู้ฝึ กกระบี่จากกาแพงเมืองปราณกระบี่ นครบิน ทะยานของหนิงเหยา นอกจากนี้ก็ยังมีทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เซี่ยซงฮวา แห่งธวัลทวีป ฯลฯ มองดูเหมือนเป็ นคนนอกสถานการณ์ แต่บางที พวกเขาอาจเดินไปจนถึงกลางกระดาน ยกตัวอย่างเช่นฉีถิงจี้และ สานักกระบี่หลงเซี่ยงที่ได้รับคนเก่าของกาแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่ง แฝงตัวอยู่ในเปลี่ยวร ้างนานหลายปีไปไว้แล้วหลายคน ลู่จือ สิงกวาน หาวซูก็ต้องไม่มีทางไปฝึกกระบี่ที่นครเสินเซียวแห่งป๋ ายอวี้จิงแน่นอน ….แต่คนที่ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดและเป็ นผู้เก็บกระดานหมากที่ แท้จริงกลับยังคงเป็ นเจิ้งจวีจง
ลู่เฉินถึงขั้นสงสัยว่าในอดีตซุยฉานเคยมีการประชุมลับ ร่วมกับเจิ้งจวีจง เขาน่าจะเคยยุยงเจิ้งจวีจงหรือไม่ว่า ขอแค่กาจัดลู่ เฉิน มหามรรคาของเขานับแต่นี้ก็จะกว้างขวาง จะสามารถใช ้วิธีการ
ผสานมรรคาบางอย่างที่ไม่เหมือนกับบรรพจารย์ของสามลัทธิมา เลื่อนเป็ นขอบเขตสิบห้าได้
ในดวงจันทร ์พื้นที่ประกอบพิธีกรรมใหม่เอี่ยมของใต้หล้ามืดสลัว เจ้าอารามผู้เฒ่าที่ลู่เฉินเรียกว่า “อาจารย์อา’ เคยใช ้โลกมนุษย์เป็ น กระดานมาก จาแลงเส้นสายออกมานับพันนับหมื่นเส้นให้ลู่เฉินดู
หากจะพูดถึงจุดที่ร ้ายกาจที่สุดของลู่เฉิน สืบสาวราวเรื่องกัน แล้วก็ยังคงเป็ นค าวิจารณ์ที่เปิดโปงความลับสวรรค์ในประโยคเดียว ของนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูที่ว่า “สู้ใครก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็สู้ ไม่ได้
หากจะพูดให้ถูกก็ต้องเพิ่มคาไว้ข้างหน้าและคาต่อท้าย ลู่เฉินสู้ ใครก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครก็สู้ลู่เฉินไม่ได้
ขณะเดียวกันเมื่อมีสองประโยคนี้แล้วก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความ “แตกต่าง” ไปจากทุกคนในโลกมนุษย์ของลู่เฉิน
ในใต้หล้ามืดสลัว ต่อให้จะเป็ นนอกป๋ ายอวี้จิง ลู่เฉินก็แทบจะไม่ เคยเกิดข้อพิพาทกับนักพรตคนใด มีคนที่ขวัญกล้าเทียมฟ้ า กล้ามา ถามมรรคาประลองคาถากับลู่เฉิน ลู่เฉินก็จะยอมแพ้หรือไม่ก็เผ่นหนี ไปโดยตรง
พูดง่ายๆ ก็คือสามพันกว่าปีที่ผ่านมา ไม่ว่าสู่เฉินจะอยู่ในใต้หล้า ไพศาลหรือใต้หล้ามืดสลัว เขาไม่เคยมีศัตรูหรือคู่แค้นตาม ความหมายทั่วไปเลยสักคนเดียว
ก็เหมือนอย่างอารามเสวียนตูแห่งนั้นที่นอกจากลู่เฉินแล้ว ใคร เล่าจะกล้าวิ่งแจ้นไปที่นั้นทุกๆ สามวันห้าวัน? พูดถึงแค่นักพรตหญิง คนเฝ้ าประตู แม้มองดูเหมือนว่าแค่เห็นเจ้าลัทธิลู่ก็ร าคาญ แต่ส่วนลึก ในใจของนางกลับไม่เคยเห็นลู่เฉินเป็ นศัตรู ต่อให้อีกฝ่ ายจะมา จากป๋ ายอวี้จิง และยังเป็ นเจ้านครและเจ้าลัทธิคนหนึ่งด้วย
ดังนั้นคากล่าวที่ว่า “ตรวจทานตารา” ของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ ก็เรียกได้ว่าเป็ นหนึ่งคาสองความหมาย และยังพูดเข้าเป้ าในค าเดียว
สมมติให้ฟ้ าดินทั้งแห่งคือหนังสือเล่มหนึ่ง ลู่เฉินกับมันกลับไม่ เห็นกันและกันเป็ นศัตรูอยู่ในฐานะน้าบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้าคลองไปตลอด กาล
ดังนั้นในดวงจันทร ์ดวงนั้น เจ้าอารามผู้เฒ่าได้ชี้ไปที่กระดาน หมาก เอ่ยสัพยอกลู่เฉินว่า “เป็ นเช่นนี้จริง ถึงไม่ตายแต่ก็เสียชีวิตไป ครึ่งหนึ่ง
ที่แท้บนกระดานหมากนั้น “หมาก” ทุกเม็ดที่มีเส้นสายผลกรรม เกี่ยวพันกับเฉินผิงอันรวมไปถึงภูเขาลั่วพั่วด้วย ก็เหมือนมีตรงนี้หนึ่ง เม็ดตรงนั้นหนึ่งเม็ด บวกกับจวนเซียนส านัก ของพวกเขาแต่ละคน สหายสนิทที่อยู่ข้างกาย ที่ยิ่งทาให้ตะวันออกมีหนึ่งแถบตะวันตกมี หนึ่งแถบ เป็ นการ….ตัดแบ่งใต้หล้าอย่างต่อเนื่อง ระหว่างเม็ดทุกสอง ตัวบนกระดานหมากเส้นสายต่างๆ เชื่อมโยงกันและกันเอาไว้ เป็ น เหตุให้เม็ดหมากหลายตัว มองดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเฉินผิง อันเลย ยกตัวอย่างเช่นนักพรตหญิงหยางชิงแห่งหอซานไห่ที่เดินทาง
ไปนอกฟ้ าครั้งนี้ และยังมีสวีเหมียนที่ขอตราประทับและพัดพับจากเห วินเซิ่ง ฯลฯ ยังมีพวกหวังหยวนลู่ จางเฟิงไห่ ฯลฯ…สุดท้ายเจ้าอาราม ผู้เฒ่าไม่ปกปิดท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่นของตัวเองด้วย การหยิบ ‘กระดานหมาก” ซึ่งวางหมากสองชนิดคือชื่อคนและชื่อ สานักของผู้ฝึกตนไว้จนเต็มตั้งขึ้น ทาให้กระดานหมากกลายมาเป็ น เหมือนกาแพงผืนหนึ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าลู่เฉิน เจ้าอารามผู้เฒ่ายังมี อารมณ์สุนทรีถามลู่เฉินด้วยว่าเหมือน “ตะปุ่มตะป่ ” บนกาแพงที่เต็ม ไปด้วยบทกวี ทาให้คนที่เห็นรู ้สึกชิงชังมากเลยใช่ไหม?
ดังนั้นลู่เฉินจึงเอ่ยประโยคที่ตอนนี้เฉินผิงอันยังมิอาจไปสืบ เสาะหาต้นสายปลายเหตุได้ “หากเจ้าเดินตามแผนการของศิษย์พี่ชุย ฉาน เดิมทีเจ้าสามารถฝึกเวทกระบี่บทหนึ่งให้ถึงขั้นสูงสุดได้ เส้นทาง สายนี้อาจเป็ นเส้นทางของการผสานมรรคาให้เจ้าได้เลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบสี่”
เฉินผิงอันกล่าว “คิดดูแล้วไม่ว่าจะทาเรื่องอะไรก็ล้วนต้องมีสิ่ง ตอบแทนและราคาที่ต้องจ่ายเสมอ”
“เป็ นคนไม่ควรให้อภัยตัวเองง่ายๆ”
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แล้วก็ไม่ควรขอให้คนอื่นอภัยให้ตัวเอง”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าออกมาจากทะเลสาบซู เจี่ยนนานมากแล้ว”
ลู่เฉินหัวเราะ “ลัทธิเต๋าพูดถึงฟ้ าดิน ลัทธิพุทธพูดถึงโลก ค าว่า โลกประกอบจากค าว่าซื่อที่แปลว่ายุคสมัยและเจี้ยที่แปลว่าขอบเขต หนึ่งคือเวลาหนึ่งคือสถานที่ หากเจ้าพูดเช่นนี้ก็หมายความว่ายังอยู่ ห่างจากทะเลสาบซูเจี่ยนมาได้ไม่ไกล บางทีเวลาผ่านไปนานแล้ว เดินห่างไปไกลแล้ว แต่ก็อาจกลับกลายเป็ นว่าเดินขยับเข้าไปใกล้ ใครจะรู ้ได้เล่า และก็เป็ นไปได้ว่าอยู่ๆ ก็ห่างไปไกลมาก แต่แล้วอยู่ๆ ก็ ขยับมาใกล้มาก…”
ใบหน้าของเฉินผิงอันประดับรอยยิ้มบางๆ “ในเมื่อเจ้าลัทธิลู่พูด เองว่าพวกเราสองคนเป็ นสหายกัน ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ช่วยเห็นความดี ของข้าหน่อยเถอะ”
ลู่เฉินพยักหน้ารับอย่างแรง ประนมสองมือเข้าด้วยกัน พูดด้วยสี หน้าเคร่งขรึมว่า “ขอให้ใจคนบนโลกใบนี้ล้วนเป็ นดั่งทะเลสาบซู เจี่ยนในวันนี้เวลานี้”
แล้วลู่เฉินก็พูดพึมพ ากับตัวเองว่า “คาดว่าเจ้าต าหนักอู๋ก็น่าจะ ไม่ต่างจากอาจารย์อาของข้าเท่าไร เส้นทางในการผสานมรรคา ไม่ได้มีแค่เส้นเดียว”
เฉินผิงอันกลั้นหายใจทาสมาธิ ไม่พูดต่อคา
ลู่เฉินกับป๋ ายอวี้จิง พวกเจ้าอยากเดาอะไรก็เดาไปเถอะ ข้าเฉิน ผิงอันกับภูเขาลั่วพั่วก็จะแค่ปกป้ องรักษาเส้นทางสายนั้นไว้ให้ดี
โดยไม่ทันรู ้ตัว เด็กหนุ่มรองเท้าสานจากตรอกหนีผิงก็ค่อยๆ กลายมาเป็ นเจ้าขุนเขา ผู้อาวุโสและอิ่นกวานในใจของคนมากมาย แล้ว
ปี นั้นเดินทางจากกาแพงเมืองปราณกระบี่ไปยังภูเขาห้อยหัว เด็กๆ ที่กระจายกันไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ ของไพศาล นอกจากที่อิ่นก วานหนุ่มจะช่วยตั้งใจเลือกหาอาจารย์และสานักให้พวกเขาแล้ว เถ้า แก่รองที่ได้ครอบครองสานักสองแห่งหนึ่งบนภูเขาหนึ่งสานักเบื้อง ล่าง ก็คือที่พึ่งที่มองไม่เห็นของเด็กๆ เหล่านี้ คาเรียกขานว่ากาแพง เมืองปราณกระบี่นี้ก็คือยันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา
เกรงว่านี่ก็คือสาเหตุที่ทาไมเฉินผิงอันผสานมรรคากับกาแพง เมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งมานานแล้วแต่กลับไม่ยอมหล่อหลอมมัน เสียที
มีลูกศิษย์ปิดสานักของสายเหวินเซิ่งอย่างเฉินผิงอันอยู่ที่นี่ วัน หน้าหากนครบินทะยานแห่งใต้หล้าห้าสีเจอกับเรื่องใหญ่เทียมฟ้ า จริงๆ ศาลบุ๋นก็จะถือเป็ นบ้านเดิมของพวกเขาครึ่งตัว สถานการณ์ บางอย่างที่ต่อให้หนิงเหยาจะไม่สามารถคลี่คลายได้ ศาลบุ๋นก็ สามารถปะทะงัดข้อกับป๋ ายอวี้จิงให้แทนได้
ส่วนราชส านักด้าหลี อิ่นกวานคนสุดท้ายของก าแพงเมืองปราณ กระบี่ก็คือที่พึ่งที่มองไม่เห็น
นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทาไมฮ่องเต้ซ่งเหอถึงต้องปรากฏตัวในงาน เลี้ยงแต่งงานครั้งนั้นเพื่อเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันมารับหน้าที่เป็ นราชครู ที่ถูกเว้นว่างไว้ชั่วคราวด้วยตัวเอง
ไม่ได้บอกว่าราชสานักต้าหลีที่กองก าลังแคว้นยังคงแข็งแกร่ง ยิ่งใหญ่ในดินแดนของ หนึ่งทวีปไม่มีหนทางจะจัดการกับแคว้น มากมายทางทิศใต้ที่ทาท่ากระเหี้ยนกระหือรือพร ้อม ลงมือกันเต็มที่ จริงๆ แต่ก็เหมือนอย่างที่พอเฉินผิงอันกลับไปถึงภูเขาถั่วทั่ว ไม่ จาเป็ นต้องให้ สกุลซึ่งต้าหลีป่าวประกาศใดๆ พวกแคว้นทั้งหลายทาง ทิศใต้ที่พยายามจะถอนป้ ายศิลาบน ยอดเขาออกก็ยอมหยุดสงบ เสงี่ยมกันไปด้วยตัวเอง
“ล้วนพูดกันว่าเคราะห์กับโชคมักจะมาพร้อมกัน เป็ นและตายคือ เพื่อนบ้าน นับแต่โบราณมาผู้ที่บรรลุมรรคาล้วนมองโชคและเคราะห์ ความเป็ นความตายอย่างเปิ ดกว้างมนุษย์ธรรมดาเมื่อโกรธเคือง เลือดยังกระเด็นสามฉื่อ ยังยอมใช ้หัวโขกพื้น เชื่อว่าเจ้าตาหนักอู๋ที่ เก่งกาจมากความสามารถน่าจะมีความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่กว่านี้”
ลู่เฉินกล่าวต่ออีกว่า “ส่วนทางถอยที่อู๋ซวงเจี้ยงปูไว้ให้ตัวเองจะ เป็ นอะไร ตอนนี้ผินเต้ายังเดาไม่ออก แล้วก็คร ้านจะคาดเดา ถึง อย่างไรก็ต้องมีวันที่น้าลดหินผุดอยู่ดี และแผนการที่ยอดฝีมือสานัก การทหารอย่างอู๋ซวงเจี้ยงวางไว้ก็ไม่ได้ซับซ ้อนอะไร คนบนเส้นทาง เดียวกันกับต าหนักสุ่ยฉูที่ต่างก็เคยทิ้งชื่อเสียงไว้ในประวัติศาสตร ์ เหล่านั้นได้เปิดสงครามครั้งแล้วครั้งเล่าขึ้นมาในใต้หล้ามืดสลัว สิ่ง
สุดท้ายที่พวกเขาปรารถนาก็หนีไม่พ้นเปลี่ยนศิษย์พี่อวี๋ของผินเต้า ให้กลายเป็ น…ปลากลืนเรือตัวหนึ่งที่อยู่บนบก”
ใต้หล้าไพศาลและใต้หล้ามืดสลัวต่างก็มีภัยภายในภัยภายนอก ของตัวเอง ภัยภายนอกของฝ่ ายหลังแน่นอนว่าต้องเป็ นเทวบุตรมาร นอกโลกที่อยู่ฟ้ านอกฟ้ าซึ่งสังหารอย่างไรก็ไม่มีวันหมดสิ้น
ก่อนหน้านี้ไม่นานมรรคาจารย์เต๋าออกหน้าด้วยตัวเอง ดู เหมือนว่าจะได้ข้อตกลงบางอย่างร่วมกับเทวบุตรมารของฟ้ านอกฟ้ า เมื่อเป็ นเช่นนี้ป๋ ายอวี้จิงก็จะเหลือแค่ภัยภายในแล้ว
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ที่มีความปรารถนาความต้องการแบบ เดียวกันเคียดแค้นชิงชังกันเอง ผู้ที่มีความกังวลมีเหตุผลเดียวกันรัก ใคร่ปรองดองกัน”
“แน่นอนว่าเจ้าต าหนักอู๋เจอตัวยอดฝี มือลัทธิเต๋าหลายคนที่มี ปณิธานร่วมกันแล้ว คนหนึ่งในนั้น เขาเก่งกาจด้านการวางแผนทา สงครามอย่างสุดๆ เลยล่ะ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ลู่เฉินก็ยื่นฝ่ ามือข้างหนึ่งออกมาส่าย “หมื่นปีที่ ผ่านมา ไม่สนว่าตาแหน่งเทพที่ตั้งเทวรูปในศาลบู๊จะเป็ นอย่างไร จะ ว่าด้วยคุณความชอบทางการสู้รบ หรือการวางแผนท าสงคราม ไม่ว่า โลกยุคหลังจะแย่งชิงลาดับในสานักการทหารอย่างไร คนผู้นี้ก็ต้อง ติดห้าอันดับแรกอย่างแน่นอน เขาเชี่ยวชาญการใช ้น้อยเอาชนะมาก
แล้วก็ชอบทาสงครามเทพเซียนที่สามารถทาให้ฝ่ ายตรงข้ามพ่ายแพ้ ด้วยความฉงนสนเท่ห์”
“คนผู้นี้มีรูปโฉมอ่อนเยาว์ ใช ้นามแฝงว่าหวนจิ่ง ฉายา “อู๋ย่าง”
“แต่ทางฝั่ งของป๋ ายอวี้จิงก็ใช่ว่าจะไม่มียอดฝี มือเสียเลย ยกตัวอย่างเช่นในนครแห่งหนึ่งมีอารามเต๋าขนาดเล็กไม่ทราบชื่อ แห่งหนึ่งที่อยู่ใต้การปกครองของอารามฟ่ างหม่าซึ่งอยู่ใต้อาณัติของ ตาหนักจื่อเกออีกที มีชื่อว่าอารามหลิงเซี่ยน เจ้าอารามคือผู้เฒ่าคน หนึ่งเขียนตาราพิชัยยุทธมานานหลายปี มุ่งมั่นฝึกตนอยู่กับคู่บาเพ็ญ เพียรเท่านั้น ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร ไม่สนใจเรื่องทางเลือก เขาไม่ เคยออกไปจากอาณาเขตของอารามฟ่ างหม่าเลย มีแค่บางครั้งที่จะ ไปเที่ยวเล่นแถวชายแดนรอบๆ อาราม ในมือจะถือไม้เท้าที่ทาจาก ไม้หลิงโส่วภูเขากั๋วซาน มักจะเดินอยู่บนเส้นทางเมฆขาวเพียงล าพัง คนผู้นี้ตรงกันข้ามกับหวนจิ่งพอดีเป็ นคนที่เก่งกาจไร ้ศัตรูเทียมทาน ในยุคสมัยเดียวกัน เก่งกาจถึงเพียงไหน? ก็คือโลกภายหลังเปิดต ารา ประวัติศาสตร ์ช่วงนั้นอ่านแล้วจะรู ้สึกว่าเพราะในยุคเดียวกันไม่มี ขุนพลที่มีชื่อเสียงสักคนเดียว คนผู้นี้ถึงได้ชนะศึกมาได้หลายครั้งถึง เพียงนั้น อีกทั้งแต่ละครั้งยังคว้าชัยชนะมาได้อย่างง่ายดายจนน่า เหลือเชื่อ”
ลู่เฉินยืดแขนบิดขี้เกียจ หยุดเดินอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งริมลาธาร “อิจฉาคนบางคน พบเจอกันโดยบังเอิญ ไม่จาเป็ นต้องรู ้ชื่อแซ่ เคย พูดคุยกันไม่กี่คาแล้วถูกคอก็เป็ นสหายกันจนถึงวันตายได้แล้ว”
เฉินผิงอันถาม “พูดเรื่องที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้ าพวกนี้กับข้า จะมี ความหมายอะไร?”
ลู่เฉินพูดอย่างจริงจัง “ทาไมเจ้าถึงไม่รู ้ว่ามันคือเรื่องที่อยู่ใกล้ เพียงตรงหน้า?”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ใกล้เพียงตรงหน้า? แล้วตัวข้าจะไม่รู ้ได้
อย่างไร” ลู่เฉินกล่าว “ก็จริงนะ”
จากนั้นก็ไร ้คาพูดกันไปตลอดทาง เดินห่างจากโรงเรียนไปไกล แล้วก็เดินย้อนกลับไปทางเดิมอีกครั้ง
ภูเขาสายน้าในโลกมนุษย์กับนักตรวจทานตารา
ร่มใบไหวเขียวขจี แสงจันทร ์สุกสกาว ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ร ้อยบุปผาประชันกันเบ่งบาน