กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1035.1 ฟ้ าหลังฝน
เฉินผิงอันกับลู่เฉินเดินเคียงบ่ากันอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ กลางหมู่บ้าน คนหนึ่งสวมรองเท้าผ้าพื้นหนา อีกคนสวมรองเท้าสื อฟาง (รองเท้าของนักพรตเต๋า ลักษณะเป็ นผ้าแนบเท้ามีสีขาวและ ดาสลับกัน) ทาจากผ้าฝ้ าย ฝีเท้าของคนทั้งสองย่าลงไปบนพื้นที่เต็ม ไปด้วยใบไม้ร่วงส่งเสียงดังสวบสาบ
เดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง หมาที่อยู่ในบ้านได้ยินเสียงฝีเท้าก็สะดุ้ง ตื่น เห่าเสียงดังมาทางนอกประตู เสียงหมาของบ้านใกล้เคียงพากัน ดังขานรับ เพียงแต่ไม่นานก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ระหว่างนั้นลู่เฉินไปนอนคว่าอยู่บนหัวกาแพง เลียนแบบเสียง หมาร ้องสองสามทียกมือทาท่าเหมือนจะปาก้อนหิน หมาที่อยู่ในบ้าน ร ้องหงิง หางม้วนขดตัวหนีทันที
ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ เดินก้าวเร็วๆ ตามเฉินผิงอันที่เดินด้วย ฝีเท้าเนิบช ้าไปหยุดอยู่หน้าตรอกไป ถูมือเอ่ยว่า “แม้จะบอกว่าการ ป้ องกันความหิวโหยในแต่ละปีและการป้ องกันขโมยยามค่าคืนเป็ น เรื่องปกติของมนุษย์ แต่พวกเจ้าจะมาป้ องกันผินเต้ากับเจ้าขุนเขา เฉินท าไม ไม่เห็นจ าเป็ นเลยสักนิด เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าลัทธิลู่เชิญแปะทองบนใบหน้าตัวเองได้ตาม สบาย ส่วนข้าไม่จ าเป็ นเลยสักนิด”
ลู่เฉินพลันหัวเราะร่าเอ่ยว่า “เรื่องราวบนโลกมนุษย์ หมาตัวหนึ่ง เห่าเพราะเห็นเงาหมาร ้อยตัวได้ยินเสียงก็พากันเห่าตาม”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คนบนโลกมนุษย์ คนหนึ่งพูดเรื่องโกหก คนพันคนพากันเล่าปากต่อปากจนกลายเป็ นเรื่องจริง”
ลู่เฉินตบมือร ้องว่าดี “ยอดเยี่ยม สามารถเอาไปเขียนเป็ นกลอนคู่ พื้นสีดาตัวอักษรสีทองแปะล้อมเสาไม้ได้ คราวหน้าผินเต้าจะต้องเอา ไปใส่กรอบไว้ให้ดี แล้วเอาไปไว้ในเรือนพิศพันกระบี่ก็แล้วกัน ลงนาม ไว้ด้วยชื่อของพวกเราสองคนแยกกันคนละแผ่น น่าสนใจชวนให้ขบ คิดอย่างยิ่งเลยล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเจ้าทนขายหน้าได้ ข้าก็ไม่คิดมาก”
ลู่เฉินถูมือทอดถอนใจ “คนเดินทางยามค่าคืนรับรองว่าตัวเอง ไม่ได้ทาเรื่องชั่วร ้าย แต่ก็มิอาจห้ามไม่ให้หมาส่งเสียงเห่าได้”
เฉินผิงอันไม่ต่อคา นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยว่า “ในอาณา เขตของอวี๋โจว ภูเขาที่ตั้งของวัดนิกายวินัยแห่งนั้นมีซานจวินอยู่ท่าน หนึ่งที่ได้รับฟังเสียงระฆังยามเช ้าและเสียงระฆังยามเย็นมานานหลาย ปี แต่กลับมิอาจหลอมเรือนกายได้เสียที คงต้องรบกวนให้เจ้าลัทธิลู่ ช่วยชี้แนะให้สักหน่อยแล้ว?”
ลู่เฉินตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นกล่าว “เรื่องเล็กน้อย เรื่อง เล็กน้อย เหมือนอย่างนี้ไงล่ะ”
เรื่องเล็กน้อยเหมือนยกมือ
เดินออกจากหมู่บ้าน เดินไปบนเส้นทางสายใหญ่ที่เชื่อมสาม หมู่บ้านเข้าด้วยกัน ลู่เฉินไปยืนอยู่ริมฝั่ง มองไปที่ผืนน้าก็เห็นเงาที่ สะท้อนกลับหัวอยู่ในน้า ลู่เฉินถอนหายใจ ประหนึ่งคนถือกระจกส่อง ตัวเอง นั่นใช่ตัวเองจริงหรือ ใช่รูปโฉมดั่งเดิมจริงหรือ
ก่อนหน้านี้คาว่า “ตรวจทานตารา” ของเฉินผิงอัน แม้ตอนนั้นสี หน้าท่าทางของลู่เฉินจะเกินจริงไปสักหน่อย แต่อันที่จริงกลับพูดได้ ตรงจุดอ่อนในใจของลู่เฉินเข้าอย่างจัง ท าให้เขารู ้สึกสะเทือนใจ
แต่ในนี้ก็ได้ซ่อนปัญหาที่จะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็กไว้ข้อ หนึ่ง คนรุ่นหลังที่พลิกเปิดหนังสือ ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดคิดว่า ตาราที่ผ่านการตรวจทานมาอย่างละเอียดก็คือต้นฉบับที่ไม่มี ตัวอักษรคลาดเคลื่อนแม้แต่ตัวเดียว แล้วส่งต่อความเข้าใจผิดนี้ไป ต่อๆ กันเมื่อเวลาเลยผ่าน สุดท้ายก็อยู่ห่างจากความหมายที่แท้จริง ไปไกลมาก
บนเส้นทางการเดินขึ้นเขาของผู้ฝึ กตนต้องรู ้จักมรรคา บรรลุ มรรคา พิสูจน์มรรคา ก็หนีไม่พ้นแสวงหาการ “รู ้เหตุผลและเข้าใจ ที่มา” ครั้งแล้วครั้งเล่า ค้นพบเส้นทางของตนและก้าวเดินไปแม้อยู่ใน ความมืดมิด ทัศนียภาพตลอดเส้นทางสอดคล้องกับสภาพจิตใจของ ตัวเอง
ลู่เฉินเอ่ยเสียงเบาที่แฝงไว้ด้วยความเสียใจ “ข้าเคยไปพบศิษย์ น้องคนนั้นของเจ้าอารามซุน รวมไปถึงลูกศิษย์ของศิษย์น้องเขาข้าก็ เคยเจอมาก่อน แล้วก็เคยคุยด้วย คุยจบข้าก็ค้นพบเรื่องหนึ่ง
ความคิดของพวกเขามีความขัดแย้งกับความคิดของพวกเต้ากวาน แห่งป๋ ายอวี้จิง”
เฉินผิงอันนั่งยองลงข้างทาง หยิบหินสองสามก้อนขึ้นมาแล้วโยน ลงน้าไปเบาๆ กล่าวว่า “เป็ นเพราะว่าเต้ากวานส่วนใหญ่ของป๋ ายอวี้ จิงรู ้สึกว่าการฝึ กตนก็คือการฝึ กในด้านมรรคกถา คือความยอด เยี่ยมเลิศล้า แต่อาจารย์และศิษย์ของอารามเสวียนตูคู่นั้นกลับรู ้สึกว่า การฝึกตนคือการฝึกบนมรรคา คือสิ่งที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา?”
ลู่เฉินอิ่มรับหนึ่งที แล้วก็ไม่รู ้สึกว่าการที่เฉินผิงอันเดาคาตอบได้ มีอะไรแปลก เขาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะขยี้ซีกหน้าด้านข้างของ ตัวเอง “ควรจะเป็ นอย่างไรก็เป็ นไป ข้าคงไม่เป็ นคนโง่ที่คิดมากเกิน เหตุแล้ว”
ต่อให้ฟ้ าถล่มลงมาก็ยังมีศิษย์พี่อวี่โต้วที่เคยเห็นสถานการณ์ ใหญ่มาก่อนช่วยแบกรับไว้ให้อยู่นี่นา
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน คนทั้งสองจึงเดินต่อไปยังหมู่บ้านที่อยู่ด้าน ล่างสุด ลู่เฉินหัวเราะอย่างลาพองใจ “ก่อนหน้านี้อยู่ในม้วนภาพแห่ง กาลเวลา อันที่จริงหนิงจี๋เคยเปลี่ยนใจอยู่สองครั้ง ไม่อยากเป็ นลูก ศิษย์ของเจ้าแล้ว คิดจะจากไปให้จบเรื่อง ไปฝึกตนอยู่กับข้าที่ป๋ ายอวี้ จิง ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ที่หนิงจี๋พูดถึงคนที่เขาจะจดจาบุญคุณไว้ขึ้นใจ แล้วจะตอบแทนในวันหน้าก็คงเป็ นเจ้าไม่ใช่ผินเต้าแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ครั้งหนึ่งในนั้นเป็ นเพราะหนิงจี๋รู ้ภูมิหลังชาติ ก าเนิดของตัวเอง ก็เลยไม่อยากสร ้างปัญหาให้ข้า?” ไว้ให้อยู่นี่นา
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน คนทั้งสองจึงเดินต่อไปยังหมู่บ้านที่อยู่ด้าน ล่างสุด ลู่เฉินหัวเราะอย่างลาพองใจ “ก่อนหน้านี้อยู่ในม้วนภาพแห่ง กาลเวลา อันที่จริงหนิงจี๋เคยเปลี่ยนใจอยู่สองครั้ง ไม่อยากเป็ นลูก ศิษย์ของเจ้าแล้ว คิดจะจากไปให้จบเรื่อง ไปฝึกตนอยู่กับข้าที่ป๋ ายอวี้ จิง ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ที่หนิงจี๋พูดถึงคนที่เขาจะจดจาบุญคุณไว้ขึ้นใจ แล้วจะตอบแทนในวันหน้าก็คงเป็ นเจ้าไม่ใช่ผินเต้าแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ครั้งหนึ่งในนั้นเป็ นเพราะหนิงจี๋รู ้ภูมิหลังชาติ ก าเนิดของตัวเอง ก็เลยไม่อยากสร ้างปัญหาให้ข้า?”
ลู่เฉินพยักหน้า
คงเป็ นเพราะบนโลกนี้มีการหาเรื่องลาบากใส่ตัวอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าการพาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ คิดแทนคนอื่นไปเสียทุก เรื่อง
ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันคาดเดา หลังจากที่เจ้าลัทธิลู่บอก ความจริงกับหนิงจี๋อย่าง ตรงไปตรงมา เด็กหนุ่มที่ชาติกาเนิดน่า สงสารทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว ใบหน้าของเขาซีดขาวไร ้สีเลือด จมสู่ ความหวาดกลัวอันลึกล้า เด็กหนุ่มเงียบไปนาน คงจะรู ้สึกว่าตัวเองก็ คือตัวปัญหาที่ผีรังเกียจเทพชิงชัง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็เป็ นดาวหายนะ ที่ไม่เป็ นที่ชื่นชอบของผู้อื่นดังนั้นนักพรตอู๋ตีก็ดี เฉินจี้อาจารย์สอน
หนังสือก็ช่าง หากทั้งสองฝ่ ายเป็ นอาจารย์และศิษย์กันเขาก็จะต้อง สร ้างปัญหาที่ไม่จาเป็ นมากมายให้กับฝ่ ายหลัง สรุปแล้วก็คืออีกฝ่ าย ต้องไม่อาจแบกรับเรื่องราว…ได้เก่งเท่าเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี้จิง แน่นอน
ดังนั้นลู่เฉินที่หัวเราะไม่ได้ร ้องไห้ไม่ออก ด้วยความโมโหจึงร่าย สถานะทั้งหลายของเฉินผิงอันให้หนิงจี๋ฟังพรวดเดียวเหมือนเทถั่ว ออกจากกระบอก นี่ถึงได้ทาให้เด็กหนุ่มที่ตกใจขวัญหายคล้ายได้กิน ยาสงบใจเข้าไป ยอมเปลี่ยนใจกลับมาดังเก่า ที่แท้อาจารย์เฉินอายุ น้อยแค่นี้ก็ทาได้ถึงขนาดนี้แล้ว
ดังนั้นเจ้าลัทธิลู่จึงโมโหยิ่งกว่าเดิม เดินออกมาจากภาพม้าวิ่ง แห่งกาลเวลา พาเด็กหนุ่มหดย่อพื้นที่เดินทางไกลข้ามผ่านดินแดน ของสามทวีปไปพบบุคคลอีกสิบกว่าคน คนแรกคือเผยเฉียนที่เป็ น ลูกศิษย์เปิดภูเขาของเฉินผิงอัน หลังจากนั้นก็เป็ นสกัดคงคาเจินจวิน แห่งทะเลสาบซูเจี่ยน เซียนกระบี่ผู้เฒ่าบางคนของภูเขาตะวันเที่ยง และยังมีเหนียงเนียงเทพวารีแม่น้าอวี้เจียงที่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า จะต้องเปลี่ยนที่ตั้งศาลเทพวารีให้จงได้ ผีสาวสวมชุดแต่งงานตนหนึ่ง เจียวน้อยตนหนึ่งที่กินหินดีงูเข้าไปสติปัญญาถึงได้เปิ ดและหล่อ หลอมเรือนกายได้ สุดท้ายไปพึ่งพิงสกุลเจียงอวิ๋นหลิน และยังมี สานักสั่วอวิ๋นที่อยู่อุตรกุรุทวีป…สุดท้ายคือเปิงเลอะเจินจวินที่เพิ่งจะ กลับบ้านเกิดมาได้ไม่นานเท่าไร
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ครั้งที่สองที่หนิงจี๋เปลี่ยนใจคือหลังจากรู ้ ตัวตนที่แท้จริงของข้าก็เลยเห็นข้าเป็ นศัตรูไปแล้วครึ่งตัวใช่ไหม?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “แม้ว่าหนิงจี๋จะยังเห็นโลกกว้างมาไม่มาก แต่เขา มีความคิดบางอย่างที่แม้จะบริสุทธิ์แต่ไม่ไร ้เดียงสา นิสัยเช่นนี้ทั้งมี ส่วนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แล้วก็มีส่วนที่ฝึ กฝนมาในภายหลัง ก็ เหมือนกับสมุนไพรที่เอามาต้มเป็ นยา”
นิสัยของคนผู้หนึ่งที่มีจุดยืนชัดเจน อุบายลึกล้าเหมือน พระราชวังที่มีหลายชั้น ยามกลางวันที่แสงแดดสาดส่องก็มีเงามืดอยู่ นับไม่ถ้วนได้เช่นกัน
ความสามารถอันโดดเด่นที่ฉายประกายเฉียบคมคือเจดีย์เหวิ นชางหลังหนึ่ง นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นขี้ริษยาคือศาลเทพอภิบาลเมือง แห่งหนึ่ง เปิดเผยใจกว้างคือศาลาลมที่ลมพัดเข้าได้สี่ทิศ
อัดอั้นหดหู่เหมือนบ่อน้าลึกมองไม่เห็นก้นบึง มืดจนมองไม่เห็น แสงตะวัน ข้าอยู่กับข้าเพียงล าพัง ตัดขาดจากโลกภายนอก มิอาจดึง ตัวเองขึ้นมาได้
อันที่จริงยังมีประโยคหนึ่งที่ลู่เฉินไม่ได้พูดออกมา ก็เหมือน ทรัพย์สินเงินทองบางอย่างในใต้หล้าที่ควรจะเป็ นคนบางคนที่หามา ได้ หลักการเหตุผลเดียวกัน เจ้าเฉินผิงอันรับหนิงจี๋ไว้เป็ นลูกศิษย์ หนิงจี๋กราบเจ้าเป็ นอาจารย์ก็คือเรื่องที่น้ามาคูคลองก่อเกิด สมเหตุสมผลดีแล้ว
เฉินผิงอันไม่ถามถึงรายละเอียดที่เด็กหนุ่มเปลี่ยนใจครั้งที่สอง เพียงแค่ถามว่า “ท าไมสุดท้ายแล้วหนิงจี๋ถึงยังตัดสินใจเลือกจะกราบ ข้าเป็ นอาจารย์ขอเรียนวิชา?”
ลู่เฉินถามหยั่งเชิง “เจ้ารับปากข้าก่อนได้ไหมว่ามีอะไรจะพูดกัน ดีๆ วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ ต่อให้ขยับมือก็อย่า…ตบหน้ากัน”
เฉินอิ่นกวานถามหมัดกับคนอื่นใช ้วิธีการที่ต่าช ้าอย่างยิ่ง ชอบ ต่อยหน้าคนเขา นับตั้งแต่ที่มีศึกเขียวขาวในศาลบุ๋นครั้งนั้น ทุกวันนี้ ชื่อเสียงก็ได้เลื่องระบือไกลไปแล้ว คาดว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาของหลาย ใต้หล้าก็น่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว บางทีเต้ากวานที่อยู่ในใต้หล้า มืดสลัวอาจจะรู ้สึกคลางแคลงใจอยู่บ้าง เป็ นถึงปรมาจารย์ใหญ่วิถีวร ยุทธแล้ว ถามหมัดเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ? แต่ทางฝั่งของนครบิน ทะยานใต้หล้าห้าสีกับทางฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง คาดว่าน่าจะพา กันเอ่ยชื่นชมทานองว่า ไม่เสียแรงที่เป็ นเถ้าแก่รองซึ่งทาการค้าไม่ เคยขาดทุน ไม่เสียแรงที่เป็ นเฉินอิ่นกวาน ลูกพี่ใหญ่แห่งคฤหาสน์ หลบร ้อน
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ระหว่างสหาย เดินไปคุยเรื่อง สัพเพเหระกันไป พูดไปถึงเรื่องไหนก็ถึงเรื่องนั้น ไม่มีอะไรให้ต้อง โกรธเคืองกัน อีกอย่างข้าก็สู้เจ้าลัทธิลู่ไม่ได้เสียหน่อย”
หากไม่มีประโยคที่สอง ลู่เฉินก็คงจะเชื่อจริงๆ
ลู่เฉินขยับเท้าออกห่างจากเฉินผิงอันก่อน แล้วจึงเอ่ยอย่างรีรอ ไม่แน่ใจว่า “ข้าให้หนิงจี๋ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าในทุกวันนี้”
ยามที่อยู่ในหมู่บ้านชนบทแห่งนี้ อาจารย์เฉินจี้ก็ได้สอนคัมภีร ์ กตัญญูเหมือนกัน และจุดประสงค์ของตาราเล่มนี้ก็มีอยู่ประโยคหนึ่ง นั่นคือ ร่างกายของเรา อวัยวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ นผิวหนัง เส้นขนหรือ เส้นผมต่างก็มาจากบิดามารดา เมื่อบิดามารดามอบให้จึงไม่ควร ทาลายหรือทาให้เสียหาย นี่คือขั้นแรกของการกตัญญู
ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันกาลังอธิบายคาพูดประโยคนี้ ลู่เฉินก็ได้ ใช ้นิ้วแตะไปที่หน้าผากของเด็กหนุ่ม ทาให้หนิงจี๋ได้เปิดเนตรสวรรค์ มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเฉินผิงอัน
คนก็ไม่ใช่คน ผีก็ไม่ใช่ผี ก่อนที่จะเลื่อนเป็ นขอบเขตเซียนเหริน เฉินผิงอันจะมิอาจกลับคืนสู่รูปโฉมปกติที่เป็ นร่างจริง เป็ นมนุษย์ที่ แท้จริงได้
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่จะมีอะไรกัน ให้หนิงจี๋ดูก็ดูไปเถอะ”
ลู่เฉินถอนหายใจโล่งอก “ถึงอย่างไรก็เป็ นเรื่องส่วนตัวของเจ้า ต้องบอกกับเจ้าสักค า”
แต่ลู่เฉินพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว
สาเหตุที่แท้จริงที่ทาให้หนิงจี๋ตัดสินใจติดตามเฉินผิงอันเล่าเรียน วิชาเป็ นเพราะหลังจากลู่เฉินพาเด็กหนุ่มไปพบเจอกับกลุ่มคนที่ “หลบเลี่ยง” เฉินผิงอันแล้ว ก็ยังได้พาหนิงจี๋ไปพบคนและเรื่องราวที่
ในอดีตหรือแม้กระทั่งจนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าไป เผชิญหน้าด้วย กุญแจส าคัญก็คือประโยค “ตอบแทนความแค้นด้วย ความดี แล้วจะตอบแทนความดีด้วยอะไร? จงตอบแทนความแค้น ด้วยความตรงไปตรงมาและตอบแทนความดีด้วยความดีที่เฉินผิงอัน ยอมรับจากใจจริง
นี่ทาให้เด็กหนุ่มที่มีชาติกาเนิดน่าเวทนาโล่งใจเหมือนยกภูเขา ออกจากอก
เพียงแต่สิ่งที่หนิงจี๋ได้เห็นได้ยินและขบคิดตาม ประสบการณ์บน เส้นทางหัวใจในช่วงนี้ภายหลังลู่เฉินล้วนเก็บเอา “ความทรงจา” ทั้งหมดของเขากลับคืนไป ก็เหมือนกับว่าเด็กหนุ่มได้มอบคืนให้กับ เจ้าลัทธิลู่ไปทั้งหมด
เดินไปถึงหมู่บ้านที่อยู่ด้านล่างสุด ลู่เฉินให้คาแนะนาด้วยรอยยิ้ม ว่า “ไม่สู้พวกเราไปเยือนซากปรักวังมังกรบนพื้นดินแห่งนั้นดูหน่อยดี ไหม? ไปเงียบๆ กลับเงียบๆ แค่ชมทัศนียภาพเท่านั้น ไม่ไปรบกวน ใคร”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ได้สิ”
หลายปีมานี้เฉินผิงอันรักษานิสัยที่ต้องเขียนบันทึกการเดินทาง อยู่ตลอด
จากนั้นคนทั้งสองก็ก้าวออกไปพร ้อมกัน เพียงชั่วพริบตาก็มาอยู่ ในภูเขาเขียวน้าใสในอาณาเขตของวังมังกร โลกภายนอกเป็ นเวลา
กลางคืน แต่ที่นี่กลับเป็ นตอนกลางวันสว่างจ้าบนฟ้ าไม่มีดวงอาทิตย์ แต่กลับยังคงมีแสงสว่าง ภูเขาสูงหลายแห่งที่อยู่ในพื้นที่ลับแห่งนี้มี ป้ ายศิลาอักษรโบราณตั้งอยู่ทุกแห่ง ในนั้นมียอดเขาสองลูกที่คุมเชิง กัน ตรงตีนเขามีป้ ายศิลาที่เขียนเป็ นคาว่าอวิ๋นเกินและอวี่เจี่ยว บน ยอดเขาก็มีป้ ายศิลาเป็ นคาว่า “เมฆรวมตัวเมฆสลายประหนึ่งบุปผา ผลิบานบุปผาร่วงโรย” และ “ฝนสาดส่องภูเขาสีทอง”
ในบรรดากลุ่มยอดเขาสูงตระหง่านมีเพียงยอดเขาแห่งเดียวที่ โดดเด่น ตีนเขามีแม่น้าสายใหญ่ไหลผ่าน แต่ลู่เฉินกลับไม่ได้พาเฉิน ผิงอันไปที่นั่น กลับกันยังพาเฉินผิงอันไปที่ตีนเขาเล็กเตี้ยที่ไม่สะดุด ตาลูกหนึ่ง เขายิ้มเอ่ยว่า “เมื่อนานมากมาแล้วข้าเคยเดินทางผ่านที่นี่ เคยขึ้นเขาจากตรงนี้ แต่ไม่ได้ไปรบกวนใคร ตอนนั้นแค่รู ้สึกว่าเป็ น สถานที่ฮวงจุ้ยดีงามที่สามารถกลายเป็ นเซียน กลายเป็ นเต๋า กลายเป็ นพุทธะได้”
มาถึงกึ่งกลางภูเขาก็เห็นว่ามีสระน้าอยู่แห่งหนึ่ง น้าในสระเป็ นสี เขียวมรกต ลึกจนมองไม่เห็นกันบึง ลู่เฉินยื่นนิ้วชี้ไปที่สระน้าซึ่ง ราบเรียบเหมือนผิวกระจก อธิบายว่า “ที่นี่ก็คือทางเข้าที่แท้จริงของ ต าหนักมังกรโบราณแล้ว จนถึงทุกวันนี้ทางฝั่งของราชสานักต้าหลีก็ ยังถูกปิดหูปิดตา หากเจ้าไม่เตือนพวกเขาสักค า บางทีผ่านไปอีก หลายสิบหลายร ้อยปี หรืออาจจะนานยิ่งกว่านั้น นานจนถึงขั้นเปลี่ยน แซ่ของแคว้นแล้ว ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของสกุลซ่งต้าหลีท่านนั้นก็ยังไม่ รู ้ว่ามองดูเหมือนตัวเองและเหล่าบรรพบุรุษได้เข้ามาในภูเขาสมบัติทั้ง
ยังได้ครอบครองภูเขาสมบัติ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็ นการเก็บเมล็ดงา ทิ้งแตงโมไป”