กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1035.2 ฟ้ าหลังฝน
“เวลาผ่านมานาน หวนนึกถึงปี นั้น ช่วงแรกที่ราชามังกรใน ท้องถิ่นถูกลดตาแหน่งปราณมังกรยังคงเข้มข้นอยู่ ทุกครั้งที่ลมฟ้ า ลมฝนจะมาเยือนก็จะมีเมฆขาวลอยอบอวลแผ่มาปกคลุมภูเขาลูกนี้ เหมือนคนสวมงอบ ราชสานักของแคว้นหลายแห่งที่อยู่ใกล้เคียง อาศัยสิ่งนี้มาทานายทายทักก็ไม่เคยมีครั้งใดที่ไม่แม่นยา ยามที่เจอ กับหน้าแล้ง ทุกๆ ปีชาวบ้านก็จะมาขอฝนที่นี่ ขอแค่ได้เห็นจิ้งเหลน คลานออกจากสระน้าขึ้นมาบนบกก็สามารถกลับบ้านกันได้แล้ว ผ่านไปแค่ครู่เดียวเดี๋ยวฝนก็จะตกลงมา หากเป็ นช่วงที่เจอกับ อุทกภัยก็จะมาขอพรให้ราชามังกรหยุดประทานฝนที่นี่ ขอแค่บนฝั่ง มีงูตัวเล็กเลื้อยลงไปในน้า ฝนใหญ่ก็จะหยุดตกได้อย่างแน่นอน”
“ทุกๆ วันที่หกเดือนหก นอกจากชาวบ้านจะเอาเสื้อผ้าออกมา ตากแดด ตระกูลปัญญาชนเอาหนังสือมาตากแดดแล้วก็ยังมีการตาก ชุดคลุมมังกรด้วย ดังนั้นขอแค่เป็ นวันนี้จานวนรวมของงูดินหรือพวก จิ้งเหลนที่มา “อาบแสงอาทิตย์” ริมสระน้าคือสามถึงห้าตัวซึ่งนับนิ้ว ได้ หรือจะมากถึงสิบกว่าตัว ทุกครั้งก็จะสามารถคาดการณ์ได้ถึง ปริมาณน้าฝนในแต่ละปีว่าจะตกกี่มากน้อย ในเมื่อรู ้แล้วว่าในหนึ่งปี ข้างหน้าจะแล้งหรือจะน้าท่วมก็จะสามารถเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้า ได้”
ลู่เฉินยิ้มถาม “ต้องการเข้าไปดูในคฤหาสน์ของวังมังกรแห่งนั้น สักหน่อยไหม?”
นับตั้งแต่ยุคบรรพกาลเป็ นต้นมา จนกระทั่งถึงเมื่อสามพันปีก่อน ระหว่างภูเขาสายน้าของใต้หล้าไพศาล ขอแค่เป็ นเผ่าพันธ ์เจียวและ มังกรที่ฝึ กตนประสบความสาเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชามังกรที่ สามารถบุกเบิกจวนได้ด้วยตัวเองก็ล้วนชอบออกไปค้นหาและเก็บ สะสมทรัพย์สมบัติล้าค่าหลากหลายชนิดบนโลก และคฤหาสน์ของวัง มังกรบนพื้นดินแห่งนี้ก็สามารถมองเป็ นคลังสมบัติลับแห่งหนึ่งได้เลย ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ “เงินเก็บส่วนตัว” ของมังกรเฒ่าตัวนั้น
ไม่ใช่ว่าลู่เฉินดูแคลนกองโหราศาสตร ์และอาจารย์ฮวงจุ้ยของ ราชส านักต้าหลีจริงๆ แต่เป็ นเพราะในอาณาเขตสู่โบราณมีเซียน กระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ เอะอะก็ชอบจับเผ่าพันธุ์เจียวหลงมาหลอม กระบี่และเช่นกระบี่ ดังนั้นราชามังกรทุกตนที่สามารถสร ้างวังมังกร อยู่ในแม่น้าทะเลสาบและหยัดยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงล้วนเป็ นพวกมี ความสามารถกันทั้งนั้นไม่ใช่พวกที่กินหญ้าอย่างแน่นอน ดังนั้นขอ แค่เฉินผิงอันไม่แพร่งพรายความลับสวรรค์ฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยของ สกุลซ่งต้าหลีอาศัยแค่แววตาและวิธีการของตี้ชื่อทั้งหลาย ก็ถูก กาหนดมาแล้วว่าจะเปิดตราผนึกของวังแห่งนี้ไม่ได้ ไม่แน่ว่าการเปิด ตราผนึกโดยพลการโดยที่ไม่มียอดฝี มือคอยบัญชาการณ์ ยกตัวอย่างเช่นร่างทองที่บริสุทธิ์ของเว่ยป้ อยังไม่ถึงระดับความสูง ของขอบเขตบินทะยานก็มีแต่จะก่อให้เกิดภาพเหตุการณ์วิปริตดั่ง
ปลาอ๋าวพลิกกลับตัว เป็ นเหตุให้ภูเขาสายน้าของฉู่โจวพังถล่ม ชาวบ้านในพื้นที่จะบาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วน ต่อจากนั้นก็จะ ส่งผลกระทบต่อโชคชะตาภูเขาสายน้าทั่วทั้งอาณาเขตของขุนเขา เหนือ
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถอะ”
บัณฑิตอย่างข้า ท าอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมา ต้องรักษาหน้าตา ไว้หน่อย
เดิมทีมาเปิดโรงเรียนสอนหนังสืออยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มาเพื่อซากปรัก วังมังกรอยู่แล้ว หาไม่แล้วด้วยตบะและขอบเขตของเฉินผิงอัน หากมี ความคิดต่อพื้นที่ลับแห่งนี้จริงๆ ต่อให้ตนจะ ไม่สามารถเปิดตราผนึก ลับทั้งหมดออกได้ก็ยังมีเสี่ยวโม่ มีคนโลภอย่างเซี่ยโก๋วอยู่ด้วยไม่ใช่ หรือ?
ลู่เฉินกล่าว “หากได้อะไรมาก็มาแบ่งกันห้าต่อห้าดีไหม?”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า
ลู่เฉินกล่าว “สามต่อเจ็ด ข้าสามเจ้าเจ็ด?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างหนักแน่น “ไป!”
ร ้านผ้าห่อบุญอย่างข้าจ าเป็ นต้องเรียนรู ้วิธีการหาเงินจากเว่ย ซานจวินให้มากสักหน่อย อย่าว่าแต่จัดงานเลี้ยงท่องราตรีหลายครั้ง
เลย ขอแค่ไก่ขนเหล็ก (เปรียบเปรยถึงคนขี้เหนียว) เดินทางผ่าน อาณาเขตของขุนเขาเหนือก็ยังต้องถูกถอนขนออกมาหลายเส้น
ลู่เฉินยืนอยู่ข้างบ่อน้า ยกสองนิ้วตั้งขึ้น หลับตาแล้วเริ่มท่อง คาถา ฟังดูคล้ายคาถาหลบเลี่ยงสายน้าบทหนึ่ง
ไอน้าลอยอวลขึ้น บนผิวน้าในสระเริ่มปรากฏเป็ นประตูบานใหญ่ สีชาดที่บนบานประตูฝังเลื่อมปุ่ มเรียงเป็ นแถว มองแล้วโอ่อ่ายิ่งใหญ่ นอกประตูมีป้ ายหินหยกขาวและเสาผูกม้าเนื้อหาของป้ ายศิลาคร่าวๆ คือเป็ นการตักเตือนคนที่มาเยือนที่นี่ คนที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้าไป ด้านใน คนที่ถือเทียบเชิญมาเยี่ยมเยือน ฮ่องเต้แม่ทัพอัครเสนาบดี ของโลกมนุษย์ต้องลงจากม้าเดินเท้า เซียนจวินบนภูเขาต้องปลด กระบี่อยู่นอกประตู ห้ามขี่เมฆทะยานหมอกหากบุ่มบ่ามบุกเข้ามา ต้องโขกหัวก่อนค่อยกลับออกไป แล้วจะละเว้นโทษตายให้
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เจ้าของศาลแห่งนี้พูดจาวางโตยิ่งนัก”
เฉินผิงอันถาม “พอจะเห็นทิวทัศน์ข้างในคร่าวๆ ไหม?”
ลู่เฉินส่ายหน้าเป็ นกลองป๋ องแป๋ ง พูดบ่นว่า “ขึ้นเขาไปผจญภัย ยังไม่ทันขึ้นเขาก็เห็นทัศนียภาพข้างในก่อนแล้ว แบบนั้นจะน่าสนใจ ตรงไหน”
เฉินผิงอันกล่าว “ขอแก้หน่อย พวกเราไม่ได้ขึ้นเขาไปเยี่ยม เยือนเซียน แต่มาเพื่อหาสมบัติต่างหาก”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ไม่ต่างกันมากนัก พวกเราสองคน จับมือกันท่องใต้หล้า แม้แต่พื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร ้างและภูเขาทัว เยว่ก็ยังเคยไปเยือนมาแล้ว แล้วยังมีที่ใดในใต้หล้าที่จะไปเยือนไม่ได้ อีก ต่อให้มีเรื่องไม่คาดฝันก็เป็ นเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดี จะต้องกลัว อะไรเล่า”
เฉินผิงอันจนคาพูดไปทันที เหตุผลข้อนี้ของลู่เฉินก็ไม่ถือว่าบิด เบี้ยวสักเท่าไร
รอกระทั่งคนทั้งสองก้าวเข้าไปข้างใน พริบตานั้นเบื้องหน้าก็มีแต่ หิมะขาวโพลนที่ล้วนเกิดจากแสงกระบี่ปกคลุมไปทั่วฟ้ าดินซึ่งพุ่ง มาถึงตัวพวกเขาในชั่วพริบตา
เฉินผิงอันหยุดเท้า ยืนนิ่งไม่ขยับ
ดูจากเส้นสายโครงสร ้างของแสงกระบี่แล้วเป็ นมาดของผู้ฝึ ก กระบี่ซึ่งต้องเริ่มต้นที่ห้าขอบเขตบนขึ้นไปจริงๆ
เพียงแต่ว่ามีเจ้าลัทธิลู่อยู่ข้างกาย เฉินผิงอันกลับดูเหมือนจะ สัมผัสอะไรไม่ได้ มองดูคล้ายคนที่อยู่เฉยรอความตายเสียมากกว่า
ลู่เฉินคล้ายห่านตัวหนึ่งที่ยืนนิ่งอึ้ง และยิ่งเหมือนยืดคอรอให้อีก ฝ่ายมาตัดเอาไป
แสงกระบี่จ้าตาที่แผ่ไปทั่วฟ้ าดินพุ่งมาวูบเดียวก็จางหาย เพียงแต่ ว่าแม้แสงกระบี่จะเหมือนน้าลงที่ถอยร่นกลับไป แต่ปราณกระบี่กลับ ไม่ได้หายตามไปด้วย ปราณสังหารยังคงเข้มข้นอยู่เหมือนเดิม
ประหนึ่งตกไปอยู่ในหลุมน้าแข็ง ทั่วร่างเยียบเย็น ลู่เฉินตัวสั่นสะท้าน ยื่นมือมาขยี้ตาอีกครั้งก็เห็นเพียงว่าจุดสิ้นสุดการมองเห็นของคนทั้ง สองมีบุรุษเปลือยเท้าปล่อยผมสยายผู้หนึ่งปรากฏตัว ใบหน้าของเขา งดงามดุจหยก ในมือถือจอกเหล้า เอนกายนอนอยู่บนเก้าอี้มังกร สาหรับแขกไม่ได้รับเชิญสองคนที่อยู่ตรงหน้าประตู เจ้าบ้านท่านนี้ คล้ายจะทั้งสงสัยว่าผู้ฝึกลมปราณที่เข้ามายังที่แห่งนี้ได้ ไฉนฝีมือถึง ไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้? ทั้งยังผิดหวัง อุตส่าห์ได้เห็นคนตัวเป็ นๆ ทั้งที กลับเป็ นแค่คนมีวาสนาที่จับผลัดจับผลูเข้ามาที่นี่เท่านั้นหรือ?
บุรุษรูปงามที่สวมมงกุฎสวมชุดคลุมมังกรถามด้วยน้าเสียงเรียบ เฉย “ฟ้ าดินด้านนอกทุกวันนี้เป็ นปีอะไรแล้ว?”
นักพรตหนุ่มถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เขาพูดว่าอะไรนะ?”
บุรุษชุดเขียวตอบอย่างระมัดระวัง “น่าจะเป็ นภาษาถิ่นของสู่ โบราณ ฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก”
“เจอพวกรับมือยาก จะท าอย่างไร?”
“ไม่สู้เจ้าโขกหัวให้ผู้อาวุโสท่านนี้ก่อนสักสองสามที?”
“ไม่ดีกระมัง?”
“มีอะไรไม่ดีกัน มากมารยาทไม่มีใครรังเกียจหรอก”
“หากว่าใช ้ได้ผลก็ไม่เท่าไรหรอก กลัวก็แต่ว่าจะได้ผลตรงกัน ข้ามน่ะสิ”
ก่อนหน้านี้บุรุษที่อยู่บนเก้าอี้มังกรได้เก็บปราณกระบี่มหาศาลที่ แผ่ปกคลุมไปทั่ว ประดุจสายฝนกลับมาในช่วงเวลาส าคัญพอดี เวลา นี้ยังคงไม่ลุกขึ้นนั่ง เพียงแค่เหลือบตามองเจ้าคนสองคนที่บุกเข้ามา ในพื้นที่ลับ ความสูงต่าของขอบเขต ภาพบรรยากาศภายในร่างกาย ของคนทั้งสอง แค่มองก็เห็นกระจ่างชัด
ส่วนคาพูดซุบซิบของตัวตลกสองคนนั้น บุรุษสวมชุดคลุมมังกร ไม่ได้ถือสา เขาแกว่งจอกเหล้าที่อยู่ในมือ หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ฟังค า ของกว่าเหริน (ค าเรียกแทนตัวของจักรพรรดิยุคโบราณ) ไม่เข้าใจ แม้แต่อักษรที่อยู่บนป้ ายหินด้านนอกก็ยังอ่านไม่ออกด้วยหรือ?”
มองดูเหมือนเฉินผิงอันตามองจมูกจมูกมองใจ แสร ้งท าตัวเป็ น คนโง่ แต่อันที่จริงกลับไม่ถ่วงรั้งการใช ้ “เสียงในใจพูดคุย” กับลู่เฉิน แต่วิธีที่เขาใช ้ไม่ใช่วิธีของผู้ฝึกลมปราณจึงไม่ก่อให้เกิดริ้วกระเพื่อม ของปราณวิญญาณในฟ้ าดิน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ทะเลสาบหัวใจก็ไม่มี ริ้วน้าเป็ นเพียงแค่ “ความคิด” บางอย่างของเขากับลู่เฉินเท่านั้น เมื่อ มีมรรคกถาของลู่เฉินคอยช่วยประคับประคอง สองฝ่ ายก็แทบไม่ต่าง จากเปิดปากพูดคุยกัน ความคิดเหล่านี้ประหนึ่งปลาแต่ละตัวที่แหวก ว่ายอยู่ใต้น้าในทะเลสาบหัวใจของพวกเขาอย่างว่องไว คนที่อยู่บน ฝั่งย่อมไม่มีทางมองเห็น
“เขาก็คือเจ้าของวังมังกรหรือ? ยังเป็ นเซียนกระบี่ที่มีชาติกาเนิด จากเจียวหลงด้วย?”
เผ่าพันธุ์เจียวหลงในโลกมนุษย์ เดิมทีคิดจะเปิดสติปัญญาหลอม เรือนกายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว กลายเป็ นผู้ฝึกกระบี่ก็ยิ่งมีน้อยมาก
“สรุปแล้วเป็ นเจ้าของเดิมของที่แห่งนี้หรือเป็ นนกพิราบที่มายึดรัง นกกางเขน ตอนนี้ยังบอกได้ยาก เอาเป็ นว่าสถานะผู้ฝึกกระบี่เป็ น ของจริงก็แล้วกัน อยู่ที่คอขวดหยกดิบมานานหลายปี ภูมิหลังของ เจ้าหมอนี่ค่อนข้างซับซ ้อน ดูเหมือนเขาจะเป็ นวิญญาณวีรบุรุษที่ ตายไปแล้วจิตวิญญาณไม่แหลกสลายตนหนึ่งด้วย เพียงแต่ไม่รู ้ว่าทา ได้อย่างไร ถึงกับสามารถเอาปราณมังกรมาเปลี่ยนเป็ นปราณหยางที่ บริสุทธิ์จนเขาแทบไม่ต่างจากคนมีชีวิต ใช่แล้วๆ ต้องเป็ นฝีมือของ สหายฉุนหยางแน่!”
หลวี่เหยียนที่มีฉายาว่าฉุนหยาง ก่อนจะเดินทางไปเยือนใต้หล้า มืดสลัวเคยท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์และได้ทิ้งร่องรอยเซียนเอาไว้ไม่ น้อย น่าเสียดายก็แต่ไม่เคยมีเรื่องไหนแพร่ออกมาจึงไม่ถือว่าเป็ นที่ พูดถึงของผู้คนสักเท่าไร
ยกตัวอย่างเช่นหลวี่เหยียนเคยถ่ายทอดคาถาอัคคีให้กับมังกร เฒ่ากลุ่มใหญ่ในตาหนักไท่หยาง ขี่ปลาหลีอยู่ริมแม่น้าไฉ่สือล่องเข้า สู่มหาสมุทร ขี่นกกระสาไม้อยู่นอกหอเรือนบินทะยานไปยังมืดสลัว
เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย ที่นี่ถึงกับมีผู้ฝึกกระบี่ที่เป็ นคอ ขวดขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ ปีนั้นเพื่อหลบเลี่ยงคนพิฆาต มังกรจึงต้องมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่เป็ นเวลานานอย่างนั้นหรือ?
“ช่างเถิด ในบ่อน้าแห่งหนึ่งจะมีปลาใหญ่มาจากไหนได้ ภูเขาลูก เล็กก็ยากจะมีต้นไม้ยักษ์สูงเสียดฟ้ าได้เช่นกัน ถึงอย่างไรที่นี่ก็มีวัง มังกรบนพื้นดินอยู่แค่แห่งเดียว ยอดฝีมือคนมหัศจรรย์จะมีเวทกระบี่ มรรคกถาสูงได้แค่ไหนกันเชียว ต่อให้น่าประหลาดใจก็ไม่น่ า ประหลาดใจมากนัก เอ๊ะ จอกเหล้าใบนี้ดูคุ้นตาอยู่บ้างนะ? ไม่เสีย เที่ยวที่มา ไม่เสียเที่ยวที่มาจริงๆ”
“วิญญูชนไม่แย่งชิงของรักของผู้อื่น แนะนาเจ้าว่าอย่าทาตัวไร ้ คุณธรรมขนาดนี้จะดีกว่า”
ในประวัติศาสตร ์ของกาแพงเมืองปราณกระบี่เคยมี “จอกน้าพุ สุรา” ปรากฏขึ้นแค่ห้าใบเท่านั้น ซุนจวี่เฉวียน เยี่ยนหมิงและฉีถึงจี้มี กันคนละหนึ่งใบ ของชิ้นนี้เป็ นของรักของพวกคนรักสุราในใต้หล้า
ในเมื่อมีผู้ฝึกกระบี่ฝึกตนอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็ นเจ้าของคนเดิมที่อยู่ มานานไม่เคยย้ายไปไหนหรือจะเป็ นคนต่างถิ่นที่ชิงตัดหน้ามาอยู่ ก่อนใคร เฉินผิงอันก็ไม่มีความสนใจที่จะไปค้นหาสมบัติในวังมังกร ต่อแล้ว
เพียงแต่ว่าคาพูดประโยคถัดมาของผู้ฝึกกระบี่ที่เป็ นผีไปแล้วตน นั้นกลับทาให้เฉินผิงอันไม่ได้หันตัวจากไปทันที
“เจ้าคือลูกศิษย์ส านักศึกษาของศาลบุ๋นหรือ? ลัทธิขงจื๊อของ พวกเจ้ากล่าวว่าวิถีแห่งความรู ้อันยิ่งใหญ่อยู่ที่คุณธรรม ในเมื่อมี “ความรู ้อันยิ่งใหญ่” ก็ย่อมต้องมี “ความรู ้อันเล็กน้อย” อ่านตาราต้อง
รู ้จักตัวอักษรก่อน รู ้รูปร่างของตัวอักษร เสียงอ่านและความหมาย ล้วนเป็ นความรู ้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อสามารถเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ ก็ต้องไม่ใช่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อบ้านๆ ที่แค่พอจะมีน้าหมึกอยู่ในท้อง นิดหน่อยเท่านั้น ในเมื่อรู ้ตัวอักษรบนป้ ายศิลานอกประตู ไยต้องแสร ้ง โง่ต่อหน้ากว่าเหริน? หรือเห็นกว่าเหรินเป็ นคนโง่?”
ลู่เฉินรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นตัดความสัมพันธ ์ทันที “ผู้อาวุโสท่าน นี้ คิดดูแล้วท่านคงจะมองออกว่าข้าเป็ นนักพรตคนหนึ่ง”
บุรุษลุกขึ้นนั่ง บิดหมุนจอกสุราที่มีมูลค่าควรเมืองในมือชิ้นนั้น โน้มกายมาเบื้องหน้ายิ้มตาหยี “นักพรตน้อย ทีนี้ฟังภาษาคนเข้าใจ แล้วหรือ?”
ลู่เฉินสีหน้ากระอักกระอ่วนทันใด
เฉินผิงอันนับถือยิ่งนัก
ฝีมือการแสดงของเจ้าลัทธิลู่นี่ช่างไร ้ที่ติเสียจริง
บุรุษถาม “ประตูมังกรที่เชื่อมโยงไปยังถ้าสวรรค์หวงเหอ ทุกวันนี้ ยังมีอยู่ไหม?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับแรงๆ “ยังอยู่ๆ อยู่ริมตลิ่งของหลิงชิวโบราณ อยู่ในภูเขาว่านเริ่นแห่งนครเดียวดาย อยู่ข้างนครจักรพรรดิขาว ท่ามกลางเมฆหลากสี”
บุรุษหลุดหัวเราะพรืด “เมฆหลากสีห้อยแขวนอยู่บนหลิงชิว นักพรตขี่ม้าอยู่บนเส้นทางฝุ่นคละคลุ้ง”
เฉินผิงอันเพิ่งเคยได้ยินคากล่าวนี้เป็ นครั้งแรก ในใจก็มีเสียงใน ใจที่กล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นของลู่เฉิ นซึ่งช่วยอธิบาย ความหมายที่แท้จริงของคากล่าวนี้ดังขึ้นมา “ก่อนที่นครจักรพรรดิ ขาวจะถูกสร ้างขึ้น ที่นั่นเคยเป็ นซากปรักสนามรบโบราณแห่งหนึ่งที่ ไม่มีบันทึกไว้ในต าราประวัติศาสตร ์ สมัยโบราณเรียกว่าหลิงชิว สูง ตระหง่านอย่างมาก เมฆหลากสีที่ว่าก็คล้ายกับใบไม้ที่อยู่บนกิ่งไม้ พอดี ในยุคบรรพกาล เจินเหรินลัทธิเต๋าซึ่งอยู่ในกลุ่มของเซียนดิน พสุธามักจะไปสร ้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นั่นเป็ นประจา รอคอยโชค วาสนาตระกูลที่เป็ นมายาล่องลอยซึ่งไม่มีใครรู ้ว่าจริงหรือเท็จ ว่ากัน ว่าเพราะอาจารย์ของข้าเคยไปชมจันทร ์อยู่ที่นั่นถึงได้ทาให้กลิ่นอาย เต๋าเข้มข้นขึ้นหลายส่วน เพียงแต่ว่านักพรตที่วิ่งไปหาโชควาสนาที่ห ลิงชิวมีมากเหมือนปลาตะเพียนข้ามแม่น้า แต่กลับไม่มีใครเคยได้มา ครอง ไม่รู ้ว่านักพรตกี่มากน้อยที่ต้องกลับมามือเปล่า ไม่ก็ต้องสละ ร่างทิ้งคราบร่างเอาไว้ หรือไม่ก็กลายเป็ นโครงกระดูกกองกันอยู่ที่นั่น ภายหลังต่อมาก็เป็ นป๋ ายเหย่ที่ใช ้กระบี่ฟันเปิ ดถ้าสวรรค์หวงเห อชักนาน้าตกสายนั้นมายังโลกมนุษย์ ช่วยเพิ่มโชคชะตาน้าจานวน นับไม่ถ้วนให้กับใต้หล้าไพศาล ต่อจากนั้นมาอีกก็เป็ นอาจารย์เจิ้งที่ เก็บมันมาเป็ นของในกระเป๋ า”
ฟังเรื่องเล่านี้แล้ว เฉินผิงอันก็กระจ่างแจ้งทันที มิน่าเล่าเจิ้งจวีจง ถึงได้ถามเช่นนั้น
ลู่เฉินกุมมือเขย่า “ขอทราบฉายาของผู้อาวุโสได้หรือไม่”
บุรุษสวมชุดคลุมมังกรยิ้มเอ่ย “กว่าเหรินมีฉายาว่า “จ้าวจวิน” โลกยุคหลังของฟ้ าดินด้านนอกมีกล่าวขานถึงหรือไม่?”
ลู่เฉินพยักหน้า “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ นับแต่วันนี้ไปฉายาที่ ความหมายแฝงดีเยี่ยมอย่าง “จ้าวจวิน” นี้จะต้องแพร่หลายกว้างขวาง อยู่ในโลกด้านนอกอย่างแน่นอน!”
เซียนกระบี่จ้าวจวินหลุดหัวเราะพรืด โบกมือด้วยท่วงท่าไร ้ ชีวิตชีวา “สมบัติวิเศษแห่งฟ้ าดินของที่นี่ หากเอาไปได้ก็เอาไปเถอะ เพียงแต่ว่าเรื่องเดิมไม่ทาซ้าสาม เอาไปได้แค่สามชิ้นเท่านั้น ระดับ ขั้นสูงต่าของสมบัติก็ขึ้นอยู่กับแววตาของพวกเจ้าแล้ว”