กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1036.2 ย่อมต้องมีเส้นทางที่กว้างขวาง
เฉินผิงอันขนลุกชันอยู่ในใจ
ลู่เฉินเอ่ยประโยคพวกนี้จบก็อดด่ามารดาไปคาหนึ่งไม่ได้ ยื่นนิ้ว ออกมาเช็ดจมูก เขาถึงกับเลือดกาเดาไหล ลู่เฉินเงยหน้าขึ้นนวด คลึงจมูกเบาๆ หยุดเลือดก่อน แล้วคราวนี้ก็สบถด่าอย่างเต็มที่ ด่า ว่าโจวมี่คือวิญญาณสุนัขตามติดไม่ยอมไปไหน โจวมี่เจ้าแน่จริงก็มา สู้กับผินเต้าที่โลกมนุษย์สักครั้งสิ เจ้าตะพาบเอ้ย อาศัยว่ามีสรวง สวรรค์บรรพกาลเป็ นพื้นที่ประกอบพิธีกรรม รังแกลู่เฉินที่ทั้งจิตหยิน และจิตหยางต่างก็ยังไม่กลับสู่ต าแหน่งจะถือว่ามีความสามารถได้ อย่างไร…
เฉินผิงอันหันหน้ามามองลู่เฉิน ลู่เฉินโบกมือ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ไม่เป็ นไร ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างกันไกลมาก เจ้าสุนัขโจวมี่ผู้นี้ออกแรง เต็มกาลังไม่ได้ เพียงแค่การโจมตีอย่างเต็มที่ของผู้ฝึกตนบนยอดเขา ขอบเขตสิบสี่เท่านั้น เหมือนฝนโปรยๆ ไม่เจ็บไม่คัน…..
เฉินผิงอันเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเตือนว่า “นักพรตลู่ เลือด ก าเดาไหลอีกแล้วเช็ดหน่อยเถอะ”
ลู่เฉินยกมือเช็ดเลือดกาเดาอีกครั้งอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็ร่าย ยาวเหมือนสตรีปากร ้ายที่ชอบไปยืนด่าอยู่ริมถนน สาปแช่งให้ลูก
ชายของโจวมี่ไม่ได้พกไอ้จ้อนมาด้วย เดินบนถนนขอให้ถูกฟ้ าผ่า ตายไปแล้วก็ไม่มีเงินซื้อโลงศพ…
เฉินผิงอันก าลังจะพูด
ลู่เฉินพลันเปลี่ยนจากท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงมาเป็ นเปี่ยมไป ด้วยชีวิตชีวา พละกาลังเปี่ยมล้น “คิดอะไรน่ะ หากเปลี่ยนลู่เฉินใน สภาพจิตใจของเจ้าให้เป็ นโจวมี่ ยังเร็วเกินไปนัก เจ้าจะเอาโอกาส ชนะมาจากไหน อยู่บนสนามรบ หากทาอะไรใช ้แต่อารมณ์ เรื่อง อย่างการเอาหัวคนไปมอบเป็ นคุณความชอบทางการสู้รบให้ผู้อื่น เช่นนี้ ห้ามทาเด็ดขาดเลยเจ้าเคยเป็ นอิ่นกวานมาก่อน หลักการ เหตุผลที่ตื้นเขินแคนี้คงไม่ต้องให้ข้ามาคอยพูดให้ฟังกระมัง”
เฉินผิงอันถาม “อาการบาดเจ็บเป็ นอย่างไร
ลู่เฉินเดินอาดๆ พลางกล่าวว่า “ต่อให้จะสนิทกันแค่ไหน จะเป็ น มิตรสหายกันอย่างไรวันหน้าพวกเราสองพี่น้องก็ยังเลี่ยงที่จะไม่ ประลองมรรคกถากันไม่ได้ มีหรือจะปล่อยให้เจ้าได้รู ้ความตื้นลึกด้าน ความสามารถในการทนรับการทุบตีของผินเต้าแต่เนิ่นๆ”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ในเมื่อนักพรตสู่พูดแบบนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้า ก็จะเชื่อตามนี้แล้วกัน”
ลู่เฉินพยักหน้ารับอย่างแรง “เป็ นห่วงใครก็ไม่ต้องเป็ นห่วงผินเต้า วันนี้ผินเต้าขอคุยโวไว้ตรงนี้เลย!”
เพราะเคยเข้าไปในหัวใจของเฉินผิงอันมาก่อน และลู่เฉินก็ยิ่ง เคยเผชิญหน้ากับบุคคลผู้นั้นมาแล้ว
เขารู ้ดีว่ากุญแจสาคัญในการกักขังตัวเองของเฉินผิงอัน การที่ เขาสร ้างนครแห่งต าราขึ้นมาแห่งแล้วแห่งเล่า ภูเขาหนังสือทอดยาว หลายต่อหลายสาย ล้วนยังเป็ นเรื่องรองลงมาแต่เค้าโครงเส้นสายของ “ราวรั้ว” ที่ตัดสลับกันอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่านั่นต่างหากจึงจะเป็ นกุญแจ สาคัญที่ล้อมขังบุคคลผู้นั้นเอาไว้ เพราะเส้นสายทุกเส้นล้วนเป็ นการ “หลงลืม” ที่เฉินผิงอันจงใจ
อาศัยสิ่งนี้ทาให้ลู่เฉินรู ้ว่าเหตุใดสองครั้งที่เฉินผิงอันพยายามจะ หวนกลับไปยังขอบเขตหยกดิบถึงได้ล้มเหลวทุกครั้ง
ลู่เฉินเคยเอ่ยประโยคไร ้เจตนาประโยคหนึ่งว่า ความเคยชินที่ เกิดขึ้นใหม่ทุกอย่างล้วนเป็ นการหลงลืม เป็ นการทรยศตัวเองอย่าง หนึ่ง
อีกทั้ง “จิตมาร” ของเฉินผิงอันก็ยิ่งอยู่ลึกลงไปอีกขั้น การที่เป็ น ศัตรูกับมันก็ต้องให้เฉินผิงอันเป็ นฝ่ ายหลงลืมบุคคลและเรื่องราวอันดี งามทั้งหลายที่อยู่บนเส้นทางชีวิตไปด้วยตัวเอง
จิตมารนี้สามารถพูดได้ว่าเบาเหมือนขนห่าน ขอแค่ตัวเฉินผิง อันเองยินดีข้ามก้าวนั้นออกไป ผ่านด่านในใจนี้ไปได้ ทุกอย่างก็จะ ง่ายดายดุจน้ามาคูคลองก่อเกิด
แต่เฉินผิงอันท าได้หรือไม่?
นี่ก็น่าจะเป็ นจุดที่รับมือได้ยากและน่ากลัวอย่างแท้จริงของจิต มารที่ผู้ฝึกตนทุกคนต้องเผชิญแล้ว
ก็เหมือนอย่างปีนั้นที่โจวจื่อไปตั้งแผงขายของอยู่ในตรอกซิ่งฮวา ถังหูลู่ไม้ที่มอบให้เปล่าไม่คิดเงิน บางทีเด็กทั่วทั้งถ้าสวรรค์หลีจูอาจ กินได้ไม่เป็ นอะไร มีเพียงเด็กก าพร ้าของตรอกหนีผิงคนเดียวเท่านั้น ที่กินไม่ได้
พูดง่ายๆ ก็คือ บางทีพวกเราอาจเดินออกไปจากทะเลสาบชูเงี่ยน ที่รายล้อมไปด้วยความล าบากยากเข็ญได้ แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่า จะเดินออกไปจากภูเขาลั่วทั่วที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันดีงามได้
เรื่องในอดีตไม่อยากจะหันกลับไปมอง เดินหันหลังให้กับมัน ทุก ก้าวที่เดินไปบนเส้นทางของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็แค่ไม่หันกลับไปมอง เท่านั้น สุดท้ายจะยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกลกระทั่งปล่อยวางได้อย่าง แท้จริง
ลู่เฉินพลันกล่าวว่า “มนุษย์ธรรมดา ใครจะกล้าพูดว่าพรุ่งนี้ จะต้องมีฝนตกหรือฝนไม่ตกอย่างแน่นอน? ออกไปนอกบ้าน จะมีสัก กี่คนที่จะพกร่มติดตัวไว้ตลอดเวลา?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในซากปรักวังมังกร ฝนภูเขาที่ตกลงมาอย่าง กะทันหันนั้น แน่นอนว่าเป็ นความตั้งใจของลู่เฉิน
ตอนนั้นเฉินผิงอันไปหาโจวไห่จิ้งปรมาจารย์หญิงด้านการฝึกวร ยุทธในตรอกเก่าโทรมของเมืองหลวงต้าหลี ตอนนั้นเขาเองก็สวม รองเท้าผ้าเหมือนกัน ทว่าเดินทางไปกลับรองเท้าผ้าของเฉินผิงอัน กลับไม่เปื้อนดินโคลนแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้โจวไห่จิ้งที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมถึงได้เข้าใจผิด คิดว่าเฉินผิงอันเป็ นผู้ฝึ กตนบนภูเขาที่ทุกครั้งที่ลงจากภูเขา หาก ไม่ใช่เพื่อมาหาประสบการณ์โดยมองคนอื่นอย่างคนที่อยู่สูงกว่า ก็ เป็ นพวกคนที่ชอบออกมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์ตามภาพจาของ ตัวเอง
ตามความเห็นของลู่เฉิน เจ้าเฉินผิงอันก็แค่ต้องเก็บรักษารองเท้า ผ้าคู่หนึ่งที่มิอาจนามาสวมใส่ให้ดีไปนานๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
รองเท้าผ้าคู่อื่น ควรสวมก็สวม ไม่ว่าฟ้ าจะใสฝนจะตกก็ควรสวม ออกมาจากบ้าน เดินอยู่บนเส้นทางน้อยใหญ่ สกปรกก็สกปรกไป สกปรกก็แค่ชัก หากทะนุถนอมเห็นค่ามากเกินไปกลับจะกลายเป็ น ผิดต่อความตั้งใจเดิมของคนที่มอบรองเท้าให้
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากความงดงามทุกอย่างในใจล้วน กลายเป็ นภาระอย่างหนึ่งถ้าอย่างนั้นความหมายของความงดงามจะ อยู่ตรงไหน หากเป็ นเช่นนี้จะต้องเป็ นพวกเราที่ท าอะไรไม่ถูกอย่าง แน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าเจ้าลัทธิลู่คือมือดีใน การใช ้หลักการเหตุผลเหมือนกัน”
ลู่เฉินหัวเราะร่า “เพิ่งจะรู ้หรือ”
หลังจากนั้นก็เดินพลางคุยเล่นกันไป
คุยกันไปถึงเงินเทพเซียนสามชนิดบนภูเขาที่รวบรวมปราณ วิญญาณฟ้ าดินเอาไว้ว่าเคยเป็ นโครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ ล่องลอยอยู่ในแม่น้าแห่งกาลเวลา ก่อนจะมารวมตัวกันกลายเป็ นของ ที่จับต้องได้จริง
ภูเขาลั่วพั่วสร ้างสานักเบื้องล่างเป็ นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ใน ความเห็นของลู่เฉิน ใบถงทวีปมีสานักกระบี่ชิงผิง การกระทาเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ฉุกละหุก กลับกันยังคว้าโอกาสเหมาะไว้ได้พอดี ไม่อย่างนั้นหากทุกคนไปเบียดกันอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้ที่นั่นจะมี ภูเขาใต้อาณัติอยู่หลายลูกก็จริง แต่ลาพังแค่พวกเสี่ยวโม่ ป๋ ายจึง ต่อ ให้พวกเขาไม่ดึงเอาปราณวิญญาณในพื้นที่มาใช ้แต่เจ้าและข้าล้วน รู ้ชัดเจนดีว่า ผู้ฝึกตนใหญ่ก็คือผู้ฝึกตนใหญ่ ต่อให้พวกเขาอยู่นิ่งๆ ไม่ทาอะไร ไม่ฉกฉวยสิ่งที่อยู่นอกกายมาสักเศษสักเสี้ยว แต่ก็ยัง ส่งผลกระทบต่อโชคชะตาภูเขาสายน้าอย่างลึกล้ายาวไกลและ ยิ่งใหญ่น่าดูชมอยู่ดี หากภูเขาลั่วพั่วไม่แยกสานักเบื้องล่างออกไป ถ้าอย่างนั้นบวกกับพวกชุยตงซาน หมื่ออวี้ที่อยู่บนภูเขา สานักแห่งนี้ ก็จะอึดบวมเกินไป ยึดครองความเป็ นใหญ่เพียงล าพังเกินไป จะเป็ น
การลดทอนโชคชะตาของภูเขาลั่วพั่วหรือแม้กระทั่งภูเขาพือวิ๋นและ ตลอดทั้งอาณาเขตของขุนเขาเหนือให้เจือจางลงอย่างที่มองไม่เห็น คิดถึงใครบางคนมากๆ ความคิดถึงก็คือบ้านเกิดแห่งความเมามายที่ไม่จาเป็ นต้องดื่ม เหล้า ทางสายเดียวที่จะออกไปจากบ้านเกิดแห่งความเมามายนี้ได้ก็มี เพียงดื่มเหล้า
คนหนุ่มสาวเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต ชอบและก็กล้าที่จะปฏิเสธ ความไม่สมเหตุสมผลมากมายของโลกใบนี้
ความใจกว้างของพวกอาจารย์ผู้เฒ่าบางคนล้วนถูก ประวัติศาสตร ์และความยากลาบากดันให้อ้ากว้าง ดังนั้นเมื่ออยู่กับ พวกคนหนุ่มสาวหลากหลายรูปแบบ คนแก่เหล่านี้จึงเต็มใจที่จะพูด ว่าดี ยินดีที่จะให้การยอมรับต่อค าพูดและการกระท าของคนหนุ่มสาว
ลู่เฉินพลันถามว่า “มีหรือไม่มีหยวนฮว่าจิ้ง เจ้าก็จะยังไปอยู่ที่วัด นิกายวินัยแห่งนั้นอยู่ดี เพียงแค่ว่าอาจเปลี่ยนสถานะอย่างใหม่ แต่ก็ จะยังกินอาหารเจ คัดคัมภีร ์บางครั้งก็ถือไม้เท้าเดินขึ้นเขาไปดูก้อน เมฆลอยขึ้นกับเณรน้อยอยู่ดี ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า
ลู่เฉินกล่าว “แต่ไม่มีการลงจากภูเขามาพูดคุยกับเจ้าอย่างเปิด อกซึ่งเป็ นความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหันของหยวนฮว่าจิ้ง ไม่มีคาเตือน ของเขา บางทีต่อให้เจ้าจะคัดคัมภีร ์อยู่ที่นั่นไปมากแค่ไหนก็คงไม่มี
ทางรู ้เรื่องราวนั้น ไม่รู ้ว่าในวัดได้ซุกซ่อนตราประทับที่ปีนั้นลิ่วจู่ใช ้ เป็ นหินต าข้าวห้อยเอวเอาไว้”
เฉินผิงอันพยักหน้า “แน่นอน”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “นี่ก็คือบุญสัมพันธ ์กับพุทธศาสนา”
เฉินผิงอันสงสัย “เจ้าอยากจะพูดอะไร?”
ลู่เฉินกล่าว “อรหันต์ของลัทธิพุทธ สิบหกอิงเงินคอยเฝ้ าประจ า การณ์อยู่ในโลกมนุษย์เพื่อรักษาพระธรรม”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “นักพรตลู่เลิกอ้อมค้อมได้แล้ว”
ลู่เฉินกล่าว “พรรคกิ่งไผ่มีภูเขาอยู่สองลูก ทุกวันนี้สายของภูเขา ไฉอวี้เป็ นใหญ่ อันที่จริงภูเขาบรรพบุรุษในตอนแรกสุดคือภูเขาจีจู๋ และในประวัติศาสตร ์ของภูเขาจีจู๋แห่งนั้นก็เคยมีอรหันต์องค์หนึ่งที่มา ประจาการณ์อยู่บนโลก ส่วนที่มาที่ไปของหลักธรรมทางพุทธศาสนา เนื่องจากผ่านมานานจนไม่มีหลักฐานให้สืบเสาะแล้ว แล้วก็ไม่มี โอกาสที่จะถามต่อหน้า ผินเต้าจึงได้แต่ทาการอนุมานที่สมเหตุสมผล ยกตัวอย่างเช่นในคติแปด (คือเหล่าธรรมบาลทั้งแปดของศาสนา พุทธได้แก่เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหราค) ของ ลัทธิพุทธ หนึ่งในนั้นก็มีมังกร (หรือพญานาค) และในอาณาเขตของ สู่โบราณก็มีเจียวหลงเข้าออกมากที่สุดในหลายใต้หล้าไม่มีหนึ่งใน”
“ศิษย์พี่จวินเชี่ยนของเจ้า และยังมีเฉินชิงตูที่สร ้างศึกพิฆาต มังกรขึ้นมา อาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาให้กับอาจารย์เจิ้ง เซียนจวิน
ใหญ่เฉินที่ทุกวันนี้หวนกลับเป็ นขอบเขตสิบสี่แล้วผู้นั้น พื้นที่ในการ ฝึกตนของเขาคือที่ภูเขาชิงกงหลิวเสียทวีป ทว่าสถานที่พิสูจน์มรรคา กลับเป็ นแจกันสมบัติทวีป และเส้นทางการพิสูจน์มรรคาเลื่อนเป็ นผู้ ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ของเขาก็คล้ายคลึงกับพุทธปฏิญาณ”
“ถ้าสวรรค์ฉานทุ่ยที่ชุยตงซานคิดถึงมาตลอดแต่กลับตามหา อย่างยากล าบากเท่าไรก็ไม่เคยหาเจอ คราบร่างเซียนกระบี่และยังมี โครงกระดูกของเจียวหลงอีกมากมายที่อยู่ในนั้นเรื่องของผลกรรมยัง ไม่เคยสูญสลายหายไปไหน”
เตาเผามังกรทุกแห่งที่อยู่ในอาณาเขตของเขตการปกครองหลง เฉวียนสมัยก่อนจะต้องมีช่างอาวุโสมากประสบการณ์คอยเฝ้ าดูอยู่ เสมอ เตาเผาที่เฉินผิงอันอยู่ก็คือเหยาเหล่าโถว
ลัทธิพุทธกล่าวไว้ว่าในโลกแห่งสังสารวัฏ ทุกคนเหมือนอยู่ใน เรือนแห่งไฟ
“ราชามังกรบนทะเลและบนพื้นดินที่อยู่ใต้การปกครองของสรวง สวรรค์บรรพกาลมีหน้าที่คอยเคลื่อนเมฆโปรยฝน ถ้าอย่างนั้นหนึ่งใน หัวหน้างานที่สาคัญที่สุดของพวกเขาก็คือเทพพิรุณสองท่าน”
“ที่บ้านเกิดของเจ้ามีช่างเตาเผาคนหนึ่งชื่อว่าซูฮั่น หลานสาว ของเขา หรือก็คือซูเตี้ยนหนึ่งในลูกศิษย์ด้านวิชาหมัดที่หยางเหล่า โถวรับมาในภายหลัง นางมีชื่อเล่นว่าแยนจือหยางเหล่าโถวรับลูก ศิษย์ก็สอนแค่วิชาหมัด ไม่เคยถ่ายทอดเวทคาถาตระกูลเซียนให้”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากพูด เขาพยักหน้ากล่าวว่า “เข้าใจ แล้ว”
ในความเห็นของหยางเหล่าโถวแห่งร ้านยา หมื่นปีให้หลัง ต้อง เป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเท่านั้นถึงจะมีโอกาสเดินออกไปบนเส้นทางแห่ง การกลายเป็ นเทพที่แท้จริงได้
นี่คือเส้นทางหนึ่งของเมื่อหมื่นปีก่อนที่ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวหรือไม่ ก็แค่หนึ่งก้าวก็จะสามารถเดินทะลุไปได้ แต่ในเมื่อปฐมบรรพบุรุษ สานักการทหารยังมิอาจเดินขึ้นไปสู่ยอดสูงได้ หมื่นปีให้หลังก็ยังถือ ว่าเป็ นเส้นทางใหม่เอี่ยมเส้นหนึ่งอยู่ดี
เทพพิรุณหญิงแห่งยุคบรรพกาลกลับชาติมาเกิดอยู่ในถ้าสวรรค์ หลีจู แต่กลับมีชื่อว่าซูฮั่น ทั้งยังเป็ นบุรุษคนหนึ่งที่ถูกด่าว่าเป็ นชายใจ หญิง
โชคชะตาเล่นตลกกับคน โดยไม่ทันรู ้ตัว เทพพิรุณก็จุดไฟ
เตาเผามังกรของที่บ้านเกิดถูกเรียกกล่าวขานว่าเปลวไฟในเตา ไม่เคยมอดดับมานานเป็ นพันปี และเตาเผาที่เฉินผิงอันกับหลิว เสี้ยนหยางอยู่ สุดท้ายกลับไฟมอดดับลงเพราะซูฮั่นที่บกพร่องต่อ หน้าที่ ถึงได้มีคลื่นมรสุมทั้งหลายตามมาในภายหลัง ลมฟ้ าลมฝนจะ มาเยือน ฟ้ าดินพลันมืดสลัวอึมครึม สุดท้ายเมฆทะมึนก็ถูกแหวกออก คนรุ่นเยาว์ทุกคนในเมืองเล็กของถ้าสวรรค์หลีจูต่างก็มีอนาคตของ ใครของมัน
เฉินผิงอันกับลู่เฉินเดินช ้าๆ กลับไปที่โรงเรียนด้วยกัน จ้าวซู่เซี่ย กับหนิงจี๋ยังไม่นอน ถือเป็ นเรื่องปกติ เพราะหากนอนหลับได้นั่นแหละ ถึงจะแปลก
ซิ่วไฉเฒ่ายังหลับอยู่ในห้อง ลู่เฉินเตรียมจะขอตัวลาจากไป เหล้าก็ดื่มแล้ว อาหารมื้อดึกก็กินแล้ว หากยังโอ้เอ้ไม่ยอมกลับอาจจะ ขวางหูขวางตาคนอื่นแล้ว
ลู่เฉินปลดห่อผ้าสีดาตรงเอวลงมา ยื่นส่งให้หนิงจี๋ ยิ้มเอ่ยว่า “เป็ นของเก่าของคนรู ้จักตกอยู่ในมือผินเต้าก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร แม้แต่น้อย มีแต่จะกินฝุ่นให้สิ้นเปลืองทรัพยากรล้าค่าไปเปล่าๆ หนิงจี๋ เจ้าชอบขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรก็ขอมอบให้เจ้าแล้ว ในอนาคตหาก เจอสถานการณ์อันตราย อีกทั้งข้างกายยังไม่มีคนคอยช่วยเหลือ ไม่ มีใครปกป้ องมรรคาให้ก็สามารถอาศัยสิ่งนี้มาช่วยเหลือตัวเอง จา สัญญาณลับที่ข้ากับเจ้าตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ได้ใช่ไหม เขย่าถุงสี ดาใบนี้แล้วเอ่ยเรียกคาเดียวก็ได้แล้ว ส่วนในอนาคตจะช่วยคนอื่น อย่างไรบนเส้นทางของการขอศึกษา ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขา ไม่ ต้องรีบร ้อน เดินไปก้าวหนึ่งก็ดูกันไปก้าวหนึ่ง”
เด็กหนุ่มยังคงซื่อบริสุทธิ์ดังเดิม ไม่ได้รีบร ้อนรับของขวัญจากลา ชิ้นนั้นมา แต่ถามด้วยใบหน้าสงสัยว่า “เจ้าลัทธิลู่ สัญญาณลับอะไร หรือ?”
ลู่เฉินยิ้มหน้าทะเล้น ยัดถุงผ้าสีดาใบนั้นใส่มือหนิงจี๋แล้วยื่นมือไป ตบไหล่เด็กหนุ่ม “ก็คือคาเรียกขานสามคานั้น เกี่ยวพันกับ…
มิตรภาพส่วนตัวของพวกเรา ก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าไปแล้ว เจ้าลอง คิดดูให้ดีๆ”
หนิงจี๋นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็คล้ายจะนึกถึงคาเรียกขานนั้นขึ้นมาได้ อาจารย์น้อย? แม้หนิงจี๋จะไม่เข้าใจเรื่องกฎระเบียบของลัทธิบุ๋นและ เรื่องการฝึกตนบนภูเขาเลย แต่ลางสังหรณ์บอกกับเด็กหนุ่มว่าเรื่องนี้ อาจจะไม่ถูกหลักมารยาท ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงหันหน้าไปมองเฉินผิงอัน ตามจิตใต้ส านึก
เฉินผิงอันไม่เข้าใจเรื่องราว แต่ก็เชื่อในนิสัยใจคอของเด็กหนุ่ม แล้วก็เชื่อใจลู่เฉินจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อยู่กับนักพรตล์ไม่จ าเป็ นต้อง คร่าเคร่งเกินไปนัก ทาตัวตามสบายได้”
และนี่ก็คือวาสนาของตัวหนิงจี่เอง ผู้ที่เป็ นอาจารย์ถ่ายทอดวิชา ความรู ้ไขข้อข้องใจจะเอาแต่คิดอยากให้ลูกศิษย์เปลี่ยนมาเป็ น เหมือนตัวเองก็คงไม่ดี นั่นต่างหากจึงจะเป็ นข้อห้ามใหญ่
ก่อนหน้านี้ลู่เฉินยังเคยมอบตราประทับคู่หนึ่งให้หนิงจี่ แบ่ง ออกเป็ นค าว่า “เปิดต ารามีประโยชน์” กับ “หนิงจี๋เคยอ่านแล้ว
รวมไปถึงของขวัญที่มีน้าหนักมากที่สุดในถุงดา แน่นอนว่ายังมี คาเรียกขานที่มองดูคล้ายเป็ นมายาล่องลอยอย่างค าว่าอาจารย์น้อย นั่นด้ว