กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1036.3 ย่อมต้องมีเส้นทางที่กว้างขวาง
และนี่ก็เป็ นการแหกกฎหาเรื่องใส่ตัวของลู่เฉินอย่างหนึ่ง นี่ เท่ากับว่าเขาไม่ได้มอบหนิงจี๋ที่ยกน้าชากราบอาจารย์เรียบร ้อยแล้ว ให้เฉินผิงอันดูแลอย่างเต็มตัว ก็หมายความว่าเมื่อมีความสัมพันธ ์ใน ขั้นนี้อยู่ วันหน้าการกระทาของหนิงจี๋ไม่ว่าจะดีหรือร ้าย ลู่เฉินก็ต้อง แบ่งผลกรรมไปส่วนหนึ่ง
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ทางฝั่งของอาเภอหย่งเจียเมืองหลวงแคว้นอวี้เซ วียน เจ้าไม่ต้องเป็ นห่วง ท่านปู่ ของเจ้าเป็ นคนที่มีโชคในช่วงบั้น ปลาย”
“หนิ งจี๋ ก่อนจะจากลากัน ผินเต้าก็ขอพูดกับเจ้าอย่าง ตรงไปตรงมาว่า ผู้ที่ขอวิชาความรู ้ สาคัญที่ปณิธานหาใช่ความรู ้ ผู้ที่ ฝึกบาเพ็ญตน สาคัญที่มรรคามิใช่เวทคาถา”
“ผู้ฝึกลมปราณที่เพิ่งจะเดินขึ้นเขาฝึกตน ควรเริ่มฝึกบทภาวะ ภายใน ภายในก็คือหัวใจ ภาวะก็คือรูปร่าง ภาพลักษณ์ภายนอกก็ คือนอกเหนือจากฟ้ าดินเล็กร่างกายมนุษย์คือตะวันจันทราดารา ภูเขาสายน้า ก้อนเมฆแสงเงินแสงทอง สายฝนหิมะ คือหมื่นสรรพสิ่ง ภาพลักษณ์ภายในก็คือเลือดเนื้อ เส้นเอ็นกระดูก อวัยวะภายใน จิต วิญญาณซึ่งอยู่ในเนื้อหนังมังสาของพวกเรา หัวใจอยู่ในกาย ความคิดนิมิตภาพ ชะตาฟ้ าลิขิต การวางแผนการความลี้ลับระหว่าง
เรื่องพวกนี้มิอาจใช ้ถ้อยคามาบรรยายได้ วันหน้าต้องให้เจ้าไปทา ความเข้าใจด้วยตัวเองอย่างละเอียด”
“อายุน้อยมีปณิธานยาวไกล จิตใจเต็มไปด้วยอุดมการณ์กล้า หาญ เขียนบทความหิมะขาว แน่นอนว่าเป็ นเรื่องดี แต่ต้องจาไว้ข้อ หนึ่งว่า เป็ นคนหากไร ้ซึ่งความใจกว้าง ในใจของเจ้าไม่มีที่ว่างเว้นให้ สาหรับผู้อื่น ถึงอย่างไรก็เป็ นแค่ความเห็นแก่ตัว เป็ นแค่เศษปลาย แห่งทักษะ เกรงว่าเส้นทางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้ามีแต่จะยิ่งเดินยิ่งคับแคบ”
อย่างแรกคือคาถาลับของลัทธิเต๋า อย่างหลังคือหลักการเหตุผล ของลัทธิขงจื๊อ
สอนวิธีจับปลามิใช่เอาปลาไปมอบให้ ตอนเด็กเรียนหนังสือ ตอนเยาว์วัยฝึกตน ตั้งปณิธานมีเป้ าหมายล้วนเป็ นภารกิจที่สาคัญ อันดับหนึ่ง
“คาว่าถ่ายทอดมรรคา อาจารย์พาเข้าสานักฝึกตนอยู่ที่ตัวเอง ค าว่าปกป้ องมรรคาก็เหมือนการพาใครไปจุดธูปที่วัด เดินผ่านประตู ภูเขาแล้ว ธูปยังต้องจุดด้วยตัวเอง ส่งกลิ่นหอมด้วยตัวเอง”
ลู่เฉินชี้ไปที่ภูเขาซึ่งอยู่ห่างจากโรงเรียนไปไม่ไกล พูดด้วยสีหน้า จริงจังว่า “เคยเห็นภูเขาลูกนี้มาแล้ว รู ้สึกว่าทัศนียภาพของมันงดงาม มาก วันหน้าพอได้ไปเห็นภูเขาพือวิ๋นก็จะรู ้สึกว่าทิวทัศน์ของที่นั่น สวยกว่า นี่ดีมาก แต่หากรู ้สึกว่าภูเขาลูกนี้ไม่ได้ดีมากขนาดนั้นแล้ว จะดีจริงหรือ?”
ลู่เฉินกระแอมหนึ่งที “ความหมายของผินเต้าก็คือวันหน้าหากได้ เห็นความดีของอาจารย์เฉินแล้วจะรู ้สึกว่าผินเต้าไม่มีอะไรดีเลย ไม่ได้”
เฉินผิงอันให้การสนับสนุนดีเยี่ยม ยิ้มเอ่ยว่า “หนิงจี๋ แล้วก็ไม่ใช่ ว่าเคยเห็นมาดเทพเซียนที่ทั้งมรรคกถาทั้งวิชาอาคมล้วนสอดคล้อง ต้องกันของเจ้าลัทธิลู่แล้วจะรังเกียจว่าวิชาความรู ้ของอาจารย์ตัวเอง ตื้นเขินนะ”
หนิงจี๋ยิ้มอย่างเขินอาย
ลู่เฉินยิ้มถาม “พวกเจ้ารู ้หรือไม่ว่ายันต์แผ่นแรกบนโลกมนุษย์ คือสิ่งใด?”
หนิงจี๋มึนงง
ไม่เหมือนกับศิษย์น้องเล็กคนนี้ เนื่องจากจ้าวซู่เซี่ยผ่านการ กล่อมเกลาจากภูเขาลั่วพั่วมาแล้ว แล้วก็เคยเดินทางผ่านภูเขา สายน้าของสองทวีปมาก่อน ดังนั้นจ้าวซู่เซี่ยจึงเริ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “อยู่ไกลสุดขอบฟ้ าอยู่ใกล้เพียงตรงหน้า เห็นได้ชัด ว่าผินเต้าให้ค าตอบไปแล้วนี่นา”
หนิงจี๋ยิ่งฉงนสนเท่ห์มากกว่าเดิม จ้าวซู่เชี่ยเงียบไม่เอ่ยอะไร เฉินผิงอันเดาค าตอบได้นานแล้ว
เมื่อก่อนเป็ นแค่การคาดเดาเท่านั้น แต่ในเมื่อลู่เฉินถามเช่นนี้ เฉินผิงอันก็มั่นใจแล้ว
ค าตอบของลู่เฉินจะว่าเดายากก็เดายาก แต่จะบอกว่าง่ายก็ง่าย ก็คือ “เสียง”
ยกตัวอย่างเช่นปากอมกฎสวรรค์ของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ เปล่งค าพูดคาถาตามติดของเจินเหรินลัทธิเต๋า และยังมีคาถาลับ สาปแช่งของลัทธิพุทธ
หนึ่งในยันต์ร่างแยกของเฉินผิงอัน บัณฑิตลัทธิขงจื๊ออายุมากที่ คัดคัมภีร ์อยู่ในวัดนิกายวินัยของเขตอวี๋โจว ทุกครั้งที่มีก้อนเมฆลอย ขึ้นมา เณรน้อยก็จะมาเคาะหน้าต่างเรียกแล้วพวกเขาก็จะไปที่ศาลา ริมหน้าผากลางภูเขาด้วยกัน
“เฉินผิงอัน” คนนั้น ทุกครั้งที่ไปดูทะเลเมฆที่ผารวมเขียนก็มักจะ ตั้งท่าประหลาด ท่องพยางค์เสียงยาวเป็ นพรวน
ลู่เฉินยิ้มตาหยีสะบัดชายแขนเสื้อ ดีดนิ้วเบาๆ แต่เสียงดังกังวาน
ในการมองเห็นของหนิงจี๋และจ้าวซู่เซี่ย เห็นเพียงว่ากลางอากาศ มีลายเส้นเล็กละเอียดที่เชื่อมต่อกันขึ้นๆ ลงๆ เหมือนภาพวาดลายน้า ที่ริ้วน้ากระเพื่อมเป็ นระลอก
ทาไมธรณีประตูของนักพรตสายยันต์ถึงสูงขนาดนั้น?
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก “นักพรต” ในใต้หล้าที่เหมาะกับการ วาดยันต์มากที่สุดในช่วงแรกเริ่มสุด อันที่จริงควรต้องเป็ นผู้ฝึกยุทธ เต็มตัวที่เดินบนเส้นทางขึ้นสวรรค์ด้วยร่างกายที่กลายเป็ นเทพเจ้า
ท าทุกอย่างส าเร็จได้ในรวดเดียว “หนิงจี๋ วันหน้าติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์ของเจ้าก็สามารถ ศึกษาเรื่องศาสตร ์และการค านวณให้มากได้”
ลู่เฉินเก็บภาพเหตุการณ์ผิดปกตินั้นมา ยิ้มเอ่ยแนะนาว่า “เมธี ร ้อยส านักประชันกันเป็ นภาพที่ยิ่งใหญ่งดงาม ในบรรดานั้นก็มีสานัก คานวณที่ทุ่มเทความคิดจิตใจไปบนหน้ากระดาษมากที่สุด น่า เสียดายที่สุดท้ายแล้วกลับมีสภาพการณ์ไม่ต่างจากสานักการค้า เท่าใดนัก ถูกมองว่าเป็ นวิชาปลายแถว นี่ไม่ถูกต้อง”
สายของการค านวณ ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสายเหวิน เซิ่ง บางทีนอกจากเฉินผิงอันแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือก็ล้วนถือเป็ นยอด ฝีมือกันทั้งสิ้น
ชุยฉานและฉีจิ้งชุนต่างก็เป็ นคนประเภทที่มองปราดเดียวก็เห็น ไปถึงค าตอบแล้ว
พวกเขาถึงขั้นสามารถ “แก้ปัญหายาก’ หรือแม้กระทั่ง ‘ออก ปัญหายาก” ให้กับโลกใบนี้ได้
นอกจากนี้ศิษย์พี่จั่วโย่วและศิษย์พี่จวินเชี่ยนก็เป็ นรองแค่ เล็กน้อยเท่านั้น มีศิษย์พี่ใหญ่ชุยฉานและศิษย์น้องเล็กฉีจิ้งชุนที่เปล่ง
ประกายเจิดจ้าอยู่ในสายความรู ้ พวกเขาถึงได้ดูปกติธรรมดาไม่โดด เด่น
ส่วนเฉินผิงอัน ปีนั้นอยู่ในคฤหาสน์หลบร ้อน เวลาว่างๆ ก็มักจะ เปิดอ่านต าราด้านการคานวณอยู่เป็ นประจา และนี่ก็เป็ นเหตุผลที่ว่า ท าไมเฉินผิงอันถึงต้องมององค์ชายแห่งอารามหวงฮวานครเซิ่นจิ่งใน ภายหลังคนนั้นเสียใหม่
กวอจู๋จิ่วแห่งกาแพงเมืองปราณกระบี่ที่ภายหลังได้กลายเป็ นลูก ศิษย์ของเฉินผิงอันสมใจ นางมักจะคลี่กางตาราคานวณพวกนั้นแล้ว ชี้นิ้วจิ้มไปมา พูดพึมพากับตัวเองว่า ถือว่าเจ้าร ้ายกาจ วันหน้าค่อย จัดการกับพวกเจ้า กลับเป็ นพวกผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นอย่างหลินจวินปี้ เฉากุ่นที่ต่างก็เป็ นคนฉลาดที่มักจะเอาทักษะคานวณเพื่อแก้ปัญหา มาฆ่าเวลาว่าง แล้วยังชอบออกคาถามมาทาให้คนอื่นลาบากใจด้วย ปีนั้นผู้ฝึกกระบี่เพียงคนเดียวที่สามารถช่วยหนุนหลัง กอบกู้ศักดิ์ศรี กลับคืนมาให้กับผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นได้ก็คือเซียนกระบี่โฉวเหมียว
ลู่เฉินหันไปมองผู้ฝึ กยุทธหนุ่ม “มีทั้งความอดทน แล้วก็มีทั้ง อาจารย์ที่ดี ผินเต้าเชื่อว่าเจ้าต้องประสบความส าเร็จในตอนหลังได้ อย่างแน่นอน”
จ้าวซู่เซี่ยอึ้งตะลึง เพราะต้องรักษามารยาทจึงกุมหมัดขอบคุณ เจ้าลัทธิลู่ที่คล้ายกับว่าจู่ๆ ก็โพล่ง “คาทานาย” ออกมาผู้นี้
อันที่จริงสาหรับผลสาเร็จในการเรียนวรยุทธของตน ในอนาคต จะเดินไปได้สูงถึงขั้นไหน จ้าวซู่เชี่ยไม่ได้คิดอะไรมากนัก
ก่อนหน้านี้อยู่บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว จ้าวซู่เซี่ยได้ กลายเป็ นลูกศิษย์คนสุดท้ายสายวิชาหมัดของเฉินผิงอัน
เพียงแต่สถานะนี้ถือเป็ นการกาหนดกันเองเป็ นการภายใน มิอาจ น าไปเขียนบอกบนท าเนียบหยกทองของภูเขาลั่วพั่วได้ ค่อนข้าง คล้ายคลึงกับต าราประวัติศาสตร ์ของทางการกับต าราประวัติศาสตร ์ ที่ไม่เป็ นทางการ
แน่นอนว่าไม่ได้บอกว่าเฉินผิงอันรับจ้าวซู่เซี่ยเป็ นลูกศิษย์ปิ ด ส านักแล้วจะสอนวิชาหมัดให้คนอื่นไม่ได้แล้ว เพียงแต่ว่าฐานะนี้ได้ กาหนดมาไว้แล้ว วันหน้าคนที่เรียนวิชาหมัดจากเฉินผิงอันอย่างหนิง จี๋ก็จะได้แค่เรียนวิชาหมัดเท่านั้นจริงๆ แล้ว
ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียง มานานมากแล้ว การรับลูกศิษย์ปิดสานักก็คือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง นอกเหนือจากการฝึกตนของตัวเอง
ก็เหมือนคนในยุทธภพล่างภูเขาที่พออายุมากแล้วอยากจะล้าง มือออกจากวงการ คิดจะถอยออกจากยุทธภพไปอย่างเต็มตัวก็ จะต้องจัดงานพิธีล้างมือในอ่างทองค ากันไปรอบหนึ่ง
ทอดสายตามองไปทั่วประวัติศาสตร ์ของใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกตน ใหญ่รับลูกศิษย์ปิดส านัก ผลคือภายหลังได้ไปเจอกับตัวอ่อนผู้ฝึกตน
ที่ฐานกระดูกและคุณสมบัติดีเยี่ยมก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหัน สถานการณ์เช่นนี้ใช่ว่าจะไม่มีอยู่ แต่อาจารย์และศิษย์สามคนส่วน ใหญ่ก็มักจะกลายเป็ นตัวตลกบนภูเขา
หากเป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง อายุถึงวัยไม่สับสน ย่อมไม่ถือ ว่าอายุน้อยแล้วการขัดแย้ง นอกจากนี้ก็คือการยึดตามสภาพการณ์ พิจารณาจากจุดตั้งต้นและจุดสิ้นสุดเพื่อกาหนดทิศทาง เส้นชีพจร มังกร ทรายและน้าต้องสอดคล้องต้องกัน ดูจากสภาพของบ้าน ภูเขา เหมือนพืชพรรณที่มีกิ่งมีก้าน ลมปราณที่รองรับภูเขาสายน้าเหมือน คันฉ่องอัคคีที่รวมแสงตะวัน โครงกระดูกสามารถสร ้างความผาสุก ให้แก่ลูกหลาน อยู่ในสถานที่ดีก็มีโชคดี หลักการนี้เชื่อถือได้ หรือไม่?”
ลู่เฉินถามเองตอบเอง “ไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่ควรไม่เชื่อ เลย”
สีหน้าของหนิงจี๋ซับซ ้อน ท าท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายพยัก หน้า เก็บถุงผ้าใบนั้นไว้อย่างดี ถือว่ารับมาพร ้อมกับความรู ้ที่ได้มา เปล่าๆ พวกนี้ เด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณนักพรตลู่
แม้ว่าจะจีบไปแค่ครู่สั้นๆ อย่างมากก็แค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่ซิ่ว ไฉเฒ่าก็หลับได้อย่างเต็มอิ่ม สีหน้าสดชื่น ใบหน้าของผู้เฒ่าร่างเล็ก เตี้ยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ใช ้สองแขนกอดข้อศอกแล้วบิดตัวไปมา เดิน มาที่หน้าประตู เอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าลัทธิลู่ความรู ้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ไฉนถึงทาเรื่องอย่างการลอกคาพูดมาจากในตาราได้เล่า หากข้าจา
ไม่ผิด เนื้อหาพวกนี้มาจากบันทึกของปัญญาชนคนหนึ่งไม่ใช่หรือ? ชื่อว่าอะไรแล้วนะ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยต่อคา “มาจากบทศาสตร ์แห่งการฝังศพของ ตารา ไกอวี๋ฉงข่าว เพราะว่าอ่านค่อนข้างยาก ส านักพิมพ์จึงจัดพิมพ์ ไม่มาก”
ลู่เฉินไม่รู ้สึกประดักประเดิด หากพูดถึงระดับความหนาของหนัง หน้าแล้วล่ะก็ หากซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าตัวเองคืออันดับหนึ่งในใต้หล้า อาเหลียงอันดับสอง ผินเต้าก็น่าจะอยู่อันดับที่สามได้กระมัง?
ซิ่วไฉเฒ่าเดินข้ามธรณีประตูออกมา คล้ายจะมีอารมณ์อยาก พูดคุยอย่างมากจึงพูดเจื้อยแจ้วกับเด็กหนุ่มว่า “ต่อให้กิจการที่วิญญู ชมสั่งสมไว้จะผลาญหมดได้ในชั่วห้าคน แต่อริยะปราชญ์ก็ยังคงโน้ม น้าวให้คนทาความดี อีกทั้งอริยะปราชญ์ยังมองเรื่องความร่ารวยมี เกียรติเป็ นเรื่องปกติ ไม่ต้องกลัวว่าลูกหลานรุ่นหลังจะมีคุณธรรมแต่ ยากจน กลัวก็แต่ว่าลูกหลานจะไม่มีคุณธรรมแต่ร่ารวย คนธรรมดา เห็นความร่ารวยสูงศักดิ์เป็ นความสุข ไม่รู ้จักทะนุถนอมความโชคดี ช่างตื้นเขินยิ่งนัก”
“ด้วยเหตุนี้นอกเหนือจากขอบข่ายของฟ้ าดินแล้ว อริยะจึงเพียง เก็บปัญหาไว้ไม่ไปถกเถียง หลักการเหตุผลเล็กๆ ย่อมมีส่วนให้น ามา ปรับใช ้ได้ แต่มิควรให้ขัดต่อปณิธานยิ่งใหญ่ด้วยเหตุนี้อริยะจึงไม่ทา เรื่องพวกนี้”
“นี่จึงเป็ นเหตุให้ตาราที่เกี่ยวกับฮวงจุ้ยมีมากนับร ้อยนับพันเล่ม ตัวอักษรส่วนใหญ่ล้วนหายสาบสูญไปแล้ว เดิมทีก็เป็ นตาราที่ไม่ สมบูรณ์แบบ วิญญูชนพูดคุยแค่เรื่องของการฝึกอบรมตน ไม่พูดถึง สถานที่ การเลือกที่ฝังศพเดิมก็เป็ นเรื่องของการฝึกอบรมตนอย่าง หนึ่งอยู่แล้ว หาไม่แล้วตระกูลชนชั้นสูง เทพเซียนบนภูเขานับแต่อดีต ตราบจนปัจจุบัน ไยไม่เลือกแต่สถานที่เป็ นมงคลกันไปทั้งหมดแล้ว สร ้างความผาสุกยาวนานไปร ้อยปี พันปี หมื่นปี ?ท าไมพวกเขาถึง เหมือนตระกูลทั่วไปที่เจอกับหายนะได้เช่นเดียวกัน ถึงขั้นที่ว่าหายนะ ยังรุนแรงยิ่งกว่าชาวบ้านทั่วไป เอะอะก็ตายกันยกครัวเรือน?”
“หายนะโรคภัยเกิดจากฟ้ าอ านวย ความวุ่นวายทางการปกครอง เกิดจากโชคชะตาแคว้น พลังแห่งหยินคือบุญกุศลที่บรรพบุรุษสะสม มา ทาชั่วทาเลวคือเรื่องธรรมดาของมนุษย์ สมมติว่าน้าและดินของ พื้นที่หนึ่งหล่อเลี้ยงคนของพื้นที่หนึ่ง ถ้าอย่างนั้นความรุ่งโรจน์และ ความเสื่อมถอยของชะตาฟ้ าก็จะเคลื่อนย้ายตามคนไปด้วย จากนั้นก็ ย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อดินอวยพร อีกทั้งถอยไปพูดหนึ่งก้าว ใน ตาราเกี่ยวกับภูมิศาสตร ์ในเรื่องการดูสถานที่มากมายนับร ้อยนับพัน เล่มก็มีประโยคหนึ่งที่เป็ นประโยชน์ต่อใจคนและวิถีทางโลกอย่างมาก นั่นก็คือประโยคที่ว่า “สถานที่ที่สั่งสมบุญกุศลไว้มากย่อมปกป้ อง คุ้มครองคนรุ่นหลังที่เก็บกวาดบูชาอย่างจริงใจ’ พวกคนเสเพลที่ ร่ารวย ขี้เกียจไม่เป็ นโล้เป็ นพาย ไม่เคยเก็บกวาดบูชา ต่อให้ไปจุด ธูปที่หน้าหลุมศพก็แค่ทาอย่างขอไปที ลองคิดดูสิ หากว่าผู้ล่วงลับใน
ปรโลกรู ้เข้า บรรพบุรุษมองมาแล้วเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่ เหน็บหนาวหัวใจแย่หรือ?”
“และลองถอยไปอีกก้าว เรือนคนเป็ นกับสุสานของคนตายต่างก็ มีความรู ้แท้จริงที่สามารถน ามาลองพิจารณากันอย่างละเอียดได้ ยอมรับกันว่าโชคดีของพวกลูกหลานสามารถมาจากบุญกุศลที่ บรรพบุรุษสะสมไว้ได้ รวมไปถึงได้รับการปกป้ องคุ้มครองจากร่มเงา บุญของบรรพบุรุษในโลกมืด ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ต้องระวังก็คือ คนรุ่น หลังไม่ปูถนน ไม่หว่านไถทาไร่ทานา ไม่ถูกตระกูลสูงศักดิ์ช่วงชิง ไม่ จาเป็ นต้องขอร ้องให้โชคดี แต่หลบเลี่ยงความเหน็บหนาวอยู่ในหุบ เขา หลีกเลี่ยงอุทกภัย ภัยจากแมลง ขณะเดียวกันก็ต้องหลีกเลี่ยง สถานที่ที่สภาพแวดล้อมเลวร ้าย อยู่ห่างจากบ้านไปร ้อยลี้ ระยะทาง ยาวไกลเกินไป การมาเซ่นไหว้ทุกปีกลายเป็ นเรื่องที่ไม่ง่าย หากไป อยู่ใกล้กับตระกูลใหญ่ก็ง่ายที่จะถูกรีดไถ พื้นที่ที่มีคนครอบครอง ภูเขาเก่าที่รวมหลุมศพไว้มากมาย เจ้าของภูเขาที่จะรีดไถค่าเช่า ราคาแพง ฯลฯ ล้วนเป็ นข้อห้ามทั้งนั้น ในทางกลับกันอะไรที่ตัวเองไม่ ชอบก็อย่าไปทากับผู้อื่น ในอนาคตเมื่อตัวเองร่ารวยแล้วก็อย่าได้ สร ้างความลาบากใจให้คนอื่น”
“โดยภาพรวมแล้วการเลือกสถานที่ฝังศพ หากไม่ใช่ ผู้เชี่ยวชาญก็จะเลือกแค่สถานที่ที่อากาศถ่ายเท สภาพแวดล้อม กว้างขวางสะอาดสะอ้าน ไม่จ าเป็ นต้องจ ากัดอยู่กับพลังงานดวงดาว
พลังจากพื้นดินไปเสียทุกเรื่อง แค่ขับไล่สิ่งชั่วร ้ายดึงดูดสิ่งดีก็ สามารถอยู่ได้อย่างสบายใจแล้ว”
“ฟ้ าดินสอดคล้องต้องกัน ฝนรสหวานเทลงมา ปราณหยางลอย ระอุ พื้นดินขยับเคลื่อน ใบไม้ผลิปลูกใบไม้ร่วงเก็บเกี่ยว ร ้อนหนาวสี่ ฤดูหมุนเวียนผันผ่าน ต่างก็มีหลักการเป็ นของตัวเอง มนุษย์ที่มาพัก อาศัยก็เป็ นหลักการเดียวกันนี้”
“ไม่ว่าจะเป็ นการฝึกอบรมบ่มเพาะตัวเองตอนยังมีชีวิตอยู่ หรือ เลือกสถานที่พักผ่อนตอนที่ตายไปแล้ว ข้ากลับมีวิธีโง่ที่โง่ที่สุดอยู่ข้อ หนึ่ง แค่แปดคาเท่านั้น”
กล่าวมาถึงตรงนี้ซิ่วไฉเฒ่าก็ลูบหนวดยิ้ม คล้ายจงใจอมพะนา เอาไว้ ยิ่งเชื่อว่าลูกศิษย์ปิ ดสานักของตนและเจ้าลัทธิลู่ที่มีความรู ้ สูงส่งเทียมฟ้ าต่างก็ต้องคิดออกว่าเป็ นแปดค าไหน
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็ นคนซื่อสัตย์ นอนหลับสบายใจ”
เฉินผิงอันกล่าว “แสวงหาความยุติธรรม ย่อมต้องเจอเส้นทางที่ กว้างขวาง”