กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1038.4 สวรรค์เป็ นใจ
ที่แท้ในช่วงจังหวะที่สตรี “คุยเล่น” กับเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ เวินจื่อซี่ก็ใส่แรงเต็มก าลังออกหมัดอย่างดุร ้าย
ร่างกายหดย่อพื้นที่อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาโผล่ตรงหน้า เผยเฉียน
เผยเฉียนยังคงพูดคุยด้วยสีหน้าสบายๆ รับหมัดของอีกฝ่ าย เอาไว้อย่างจัง ก็แค่ว่าร่างทั้งร่างถูกต่อยจนกระเด็นออกไป สองเท้า ลอยพ้นพื้น แผ่นหลังแนบติดกับกาแพง
เผยเฉียนไม่คิดจะมองเวินจื่อซี่ที่ปล่อยหมัดหนึ่งออกมาแล้ว ตัวเองก็กระอักเลือดเพียงแค่มองไปทางอาจารย์พ่อ นางคลี่ยิ้มกว้าง เอ่ยว่า “ข้าจงใจ”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่ “เก่งกาจ!”
เผยเฉียนสะบัดไหล่เล็กน้อยกระเทือนให้ฝุ่ นที่อยู่บนแผ่นหลัง กระจายหายไป ก่อนจะยื่นมือไปปัดเศษฝุ่ นที่ติดอยู่บนมวยผมทรง กลมของตน
เวินจื่อซี่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดสายตาพร่าเลือน พึมพา เบาๆ ว่า “เจ้าคือเผยเฉียน! เจ้าถึงกับเป็ นเผยเฉียนจริงๆ…”
เผยเฉียนหันหน้ามาถ่มเลือดข้นในปากทิ้งไปเบาๆ “อาจารย์พ่อ ก็แค่ประลองฝีมือกับคนอื่นเท่านั้น อย่าโกรธเลย”
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเค้นรอยยิ้มออกมา พยักหน้า รับเบาๆ
อีกแค่นิดเดียวเฉินจี้อาจารย์สอนหนังสือที่โรงเรียนก็เกือบจะเดิน ก้าวเดียวมาถึงที่นี่แล้ว
เผยเฉียนมองเวินจื่อซี่ที่ยืนโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่แล้วพลันหยุด ยืนนิ่ง ดูเหมือนนางจะสัมผัสได้ว่าทั้งร่างกายและจิตใจของอีกฝ่ าย ล้วนจมสู่บ่อโคลนลึกของความหวาดกลัว จึงกระตุกมุมปาก ไม่ได้ ปล่อยหมัดออกไป เพียงแค่ดีดนิ้วหนึ่งที ขยับริมฝีปากเบาๆ ว่า เจ้าไป ได้
เวินจื่อซี่หงายหลังตึง ก่อนที่จิตสานึกของเขาจะพร่าเลือนไป อย่างสิ้นเชิงก็รู ้สึกถึงเพียงความยินดีที่ตัวเองรอดพ้นจากความตาย มาได้ และยังมีความสิ้นหวังอย่างมหาศาลที่ชวนให้ห่อเหี่ยวไร ้ เรี่ยวแรง
ตนไม่คู่ควรให้อีกฝ่ายออกหมัดเลยหรือ?
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เกือบจะอดใจไม่ไหวแผดเสียงด่า ออกไป เจ้าชาติสุนัข ถึงกับแอบหนีไปแล้ว
ตรงต้นจามจุรีตีนเขา ป๋ ายเหมาเห็นว่าใบหน้านักพรตลู่เต็มไป ด้วยความขมขื่นน่าสงสารก็ถามอย่างเป็ นกังวลว่า “น้องลู่ เกิดอะไร ขึ้น? ลืมของมีค่าไว้ที่จวนเฝิ่นหวานหรือ?
ลู่เฉินทอดถอนใจเฮือกๆ “พี่ใหญ่ป๋ าย คนใบ้กินหวงเหลียน ขม ขื่นเท่าใดก็มีแต่ตัวเองที่รู ้”
ป๋ ายเหมาอยากจะตบไหล่ของนักพรตหนุ่ม เอ่ยปลอบใจสักสอง สามประโยค
ลู่เฉินกลับกระโดดออกไปด้านข้าง ร ้องเอ๊ะ “เอาอย่างเฉินหลิง จวินท าไมกัน”
ป๋ ายเหมามึนงง เก็บมือมาอย่างขุ่นเคือง “นักพรตลู่ว่องไวนัก”
ไม่สนใจเวินจื่อซี่ที่นอนกองอยู่กับพื้น
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนเดินลงจากภูเขามาด้วยกันอย่างเนิบช ้า ถามเสียงเบาว่า “เป็ นอย่างไร? ต้องกินยานั่งลืมตนของตาหนักพยัคฆ์ เขียวหรือไม่?”
เผยเฉียนกลั้นขา เกาหัวพูด “อาจารย์พ่อ ในภาพจาของท่าน ข้าทนรับการทุบตีไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือ?”
เฉินผิงอันหัวเราะ ไม่ได้เอ่ยอะไร
ก็ไม่ใช่หรือไร?
ในภาพจาของอาจารย์พ่อ เจ้าก็คือถ่านดาน้อยที่แค่ยามเดินทาง มีตุ่มน้าพองขึ้นบนเท้าก็ร ้องไห้จ้าเสียงดังแล้วไม่ใช่หรือไร
ดูเหมือนว่าเพียงแค่ชั่วพริบตา แม่นางน้อยก็เติบใหญ่แล้ว
ปีนั้นระหว่างที่ออกเดินทางไกล ถ่านดาน้อยที่มักจะกระโดดโลด เต้น ชอบเล่นกระโดดข้ามช่อง ไฉนจึงรู ้ความในทันทีทันใด กลายมา เป็ นแม่นางใหญ่ที่สะโอดสะองแล้วนะ
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “ตอนเจ้ายังเล็ก อาจารย์พ่อคอยควบคุม เจ้าเรื่องโน้นเรื่องนี้มากมายหลายเรื่อง ตอนนั้นเจ้ารู ้สึกราคาญบ้าง หรือไม่?”
หากจะบอกว่าวัยเด็กก็คือการละเล่นกระโดดข้ามช่อง ถ้าอย่าง นั้นกฎระเบียบของพ่อแม่ผู้ปกครอง คาพูดและการปฏิบัติเป็ น แบบอย่างให้เห็นก็คือเส้นที่ขีดเป็ นกรอบและขอบเขต
เผยเฉียนกล่าว “ไม่มีทางรู ้สึกร าคาญอยู่แล้ว”
ผลคือนางโดนมะเหงกเขกหัว
เฮ้อ ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยหลอกอาจารย์พ่อได้เลย
เผยเฉียนจึงได้แต่ตอบไปตามสัตย์จริงว่า “ตอนที่ยังเด็กมากรู ้สึก ว่าน่าราคาญ อันที่จริงพอมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นอีก แล้ว”
บางทีอาจเป็ นเพราะหลังจากนั้นอาจารย์พ่อก็จะต้องออกเดิน ทางไกลอีกแล้ว ไม่พูดหลักการเหตุผลกับนางอีกแล้ว บางทีพอนาง ไปถึงภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้อาจารย์พ่อไม่อยู่ข้างกายนางก็เติบใหญ่ได้ แล้วจริงๆ ใครเล่าจะรู ้ได้
เฉินผิงอันแสร ้งพูดอย่างผ่อนคลายสบายๆ “ได้ยินมาว่าหลิวโยว โจวก็เข้าร่วมการประชุมศาลบรรพจารย์ของที่เมืองหลวงแคว้นอวิ๋น เหยียนด้วยหรือ?”
เผยเฉียนอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้า “ข้ารู ้แล้ว แต่ไม่ได้เจอหน้า กัน ถึงอย่างไรก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน เจอหน้าก็ไม่รู ้จะคุยเรื่อง อะไร”
จากนั้นเผยเฉียนก็ยิ้มเอ่ย “อาจารย์พ่อ พี่หญิงอวี้ก็อยู่ที่นั่นด้วย นะ”
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่งเอ่ยสั่งสอนว่า “ไม่รู ้จักเด็กจักผู้ใหญ่ หาก เป็ นเมื่อก่อนต้องได้กินมะเหงกจนเต็มอิ่มแน่”
เผยเฉียนก้าวเดินด้วยฝี เท้าแผ่วเบา นางเป่ าลมเบาๆ สายลม อ่อนโชยพัดผ่านหน้าผากนูนเกลี้ยง
เฉินผิงอันกล่าว “ในเมื่อกลับมาแล้ว เรื่องของการขุดลาน้าใหญ่ ที่นั่นมีคนเก่งอยู่เยอะขาดเจ้าไปสักคนก็ไม่เป็ นไร เจ้าตรงกลับไปที่ ภูเขาลัวทั่วเลยแล้วกัน ใช ้เวลาอยู่กับหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยให้มาก อีกอย่างหลังจากนี้ยังมีเรื่องของการแต่งตั้งห้ามหาบรรพตของแจกัน
สมบัติทวีปรออยู่ พวกเราสามารถไปชมความครึกครื้นที่ภูเขาพือวิ๋น ไปร่วมแสดงความยินดีกับเว่ยซานจวินได้”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “ได้เลย อาจารย์พ่อพูดถูกแล้ว!”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรีด
หากไม่หันหน้ามามองก็เหมือนว่าคนที่อยู่ข้างกายยังคงเป็ นถ่าน ดาน้อยคนนั้น
แสงจันทร ์ส่องสว่างเหนือมหาสมุทร
เรือลาหนึ่งล่องไปกลางทะเลที่ไร ้คลื่นลม ผู้เฒ่าคนพายเรือตั้ง หม้อไฟ ตุ๋นปลาทะเลให้ตัวเองหนึ่งหม้อ
คนพายเรือเฒ่าที่มีฉายาว่าเซียนฉานั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลาพัง มือหนึ่งถือชาม เคาะกราบเรือคลอเพลง
รอคอยให้ปลาตุ๋นสุกอย่างอดทน
ต่อให้ลู่เฉินจะไม่เคยยอมรับว่าเป็ นอาจารย์ของตัวเอง แต่เพื่อให้ เป็ นค่าตอบแทนในการถ่อเรือออกทะเลเยี่ยมเยือนเซียน ปีนั้นก็เคย ถ่ายทอดวิชาบินทะยานและต ารับอมตะบางอย่างให้กับเขา แต่คงเป็ น เพราะติดขัดที่คุณสมบัติในการฝึกตน กู้ชิงซงถึงยังไม่เคยตามหาม หามรรคาพบ ถึงขั้นที่ว่ายังมีด่านในการฝึกตนอีกมากมายที่ยังมิอาจ ฝ่ าไปได้ หลังจากที่ลู่เฉินออกไปจากใต้หล้าไพศาลแล้ว กู้ชิงซงก็ บากหน้าขึ้นฝั่งไปขอความรู ้จากพวกศิษย์น้องอย่างเฉาหรงอ้อมๆ ถึง
สามารถผ่านด่านมาได้อย่างราบรื่น ดังนั้นในหลายๆ ครั้งกู้ชิงซงก็จะ คิดว่า บางทีข้อดีเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ได้กลายเป็ นอาจารย์และศิษย์กัน ก็คือไม่ท าให้ลู่เฉินผู้เป็ นอาจารย์ต้องขายหน้า
ไม่ได้เป็ นลูกศิษย์ของลู่เฉิน ไม่ได้รับความชื่นชอบจากกุ้ยฮูหยิน
กู้ชิงซงคิดว่าตัวเองไม่มีเหตุผลให้ไม่รู ้สึกว่าชีวิตขมขื่น ยากลาบาก ดังนั้นบางครั้งที่ขึ้นฝั่งไปผ่อนคลายอารมณ์ก็จะพูดจา เป็ นธรรมที่จริงใจกับใครบางคนสักสองสามประโยค ไม่รู ้ด้วยซ้าว่า พวกเขาจะโกรธท าบ้าอะไร
สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ตรงท้ายเรือ กู้ชิงซงไม่คิดจะหัน หน้าไปมอง แม้จะบอกว่าตนไม่เก่งกาจทั้งเรื่องทะเลาะถกเถียงและ เรื่องต่อยตีกับคนอื่น แต่เขาก็ไม่คิดจริงๆ ว่าจะมีใครเอากระสอบป่ าน มาครอบหัวตัวเองได้
น้าเสียงที่ทั้งคุ้นเคยทั้งไม่คุ้นหูดังขึ้นมา “สหายเซียนฉา ไม่ได้ เจอกันนานเลยนะ”
คนพายเรือเฒ่าโคลงศีรษะ ตนคงก าลังฝันอยู่แน่ๆ
แขกไม่ได้รับเชิญผู้นั้นยิ้มเอ่ย “เรือก็ส่ายแล้ว เหล้าในชามก็ แกว่งแล้ว คิดดูแล้วก็ไปไม่น่าจะฝันอยู่กระมัง? มีฝันประหลาดแบบนี้ ด้วยหรือ ขอให้ข้าสักกระบุงหนึ่งสิ?”
กู้ชิงซงวางชามเหล้าลงช ้าๆ ลุกขึ้นยืนก่อน จากนั้นก็คุกเข่าก้ม กราบอยู่กับพื้น หากคนนอกมองมา นี่กไม่ใช่การถอดกางเกงผาย ลมหรอกหรือ
คนพายเรือเฒ่าเอาแต่โขกศีรษะของตัวเองไป พูดเสียงอู้อี้ว่า “กู้ ชิงซงคารวะท่านอาจารย์”
โขกศีรษะเสร็จ กู้ชิงซงก็ลุกขึ้นนั่ง หันหลังให้นักพรตที่อยู่ท้าย เรือ
เห็นเจ้าเป็ นอาจารย์ก็จริง แต่ลูกศิษย์ก็มีอารมณ์ได้เหมือนกัน
ลู่เฉินไม่รู ้ว่าควรจะหัวเราะหรือร ้องไห้ดี โอ้โห นี่ยังโกรธอยู่อีก หรือ
เพียงแค่เพราะค าเรียกขานว่า ‘สหายเซียนฉา’ น่ะหรือ?
ลู่เฉินเดินมาที่หัวเรือ นั่งยองอยู่ข้างกายคนพายเรือเฒ่า ยื่นมือ ไปหยิบฝาหม้อขึ้นมาไอร ้อนเดือดปุดๆ กลิ่นหอมตลบอบอวล พยัก หน้าเอ่ยชื่นชมว่า “ฝี มือดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยปีนั้นกลัวว่าเจ้าจะ เสียใจถึงได้อดทนไว้ไม่พูดถึงฝี มือการท าอาหารของเจ้า…ยากจะ บรรยายได้หมดในค าเดียวจริงๆ เจ้ายังเป็ นพวกไร ้แววตาเสียด้วย ทุกๆ สามวันห้าวันมักจะชอบถามข้าว่าฝี มือวันนี้เป็ นอย่างไรบ้าง พัฒนาบ้างแล้วหรือยัง บอกตรงๆ นะ หากไม่เป็ นเพราะเจ้าไม่ชอบ พูดคุย ค่อนข้างเป็ นน้าตันเต้า แล้วก็ไม่มีทางไล่ตามมาทวงเงินค่าจ้าง
จากข้า ข้าก็ยินดีที่ข้างหูเงียบสงบ ไม่อย่างนั้นก็คงเปลี่ยนสหายที่จะ ช่วยถ่อเรือช่วยคุมเรือออกทะเลไปด้วยกันนานแล้ว”
คนพายเรือเฒ่าทั้งเสียใจทั้งน้อยใจ พึมพาว่า “หากว่าไม่มีแวว ตาจริงๆ ไฉนยังต้องถามว่าฝีมือมีการพัฒนาหรือไม่”
ลู่เฉินร ้องอ้อหนึ่งที สีหน้าเหมือนคนกระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ที่ แท้ข้าก็เข้าใจเจ้าผิดนี่เอง”
กู้ชิงซงเบี่ยงตัวนั่งหันข้าง ยังคงจ้องเป๋ งไปที่ผิวน้าเท่านั้น “ท่าน คืออาจารย์ ท่านว่าอย่างไรก็เป็ นอย่างนั้น ไม่ต้องสนใจความรู ้สึกของ ข้าหรอก”
ลู่เฉินโมโหจึงตบเข้าที่ท้ายทอยของกู้ชิงซง “แค่พอสมควรก็ พอแล้วนะ เจ้าไม่รู ้จักจบจักสิ้นสักทีหรือ?”
กู้ชิงซงเงียบไม่ตอบ
ลู่เฉินกล่าว “หากเจ้ายังทาท่าทางเช่นนี้อีก ข้าจะไปจริงๆ แล้ว นะ”
กู้ชิงซงยังคงไม่พูดอะไร
ลมเย็นระลอกหนึ่งพัดผ่านไป หัวเรือไม่มีเงาร่างของลู่เฉินอีก
กู้ชิงซงนั่งเหม่อไปครู่หนึ่ง เหลียวมองไปรอบด้าน ดูเหมือนว่า อาจารย์จะถูกตนทาให้โมโหจนจากไปแล้วจริงๆ ผู้เฒ่าจึงเริ่มร ้องไห้ คร่าครวญเสียงดัง
ลู่เฉินไปนอนอยู่ที่ท้ายเรือเงียบๆ มองดวงดาวดารดาษเต็มฟ้ า ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป คล้ายว่าแค่เอื้อมมือก็สัมผัสถึง
บนโลกมนุษย์มีถ้อยคาและคาบ่นมากมาย ล้วนเป็ นคาพูดที่โลก ใบนี้อยากได้ยิน ไม่ใช่คาพูดที่พวกเราอยากพูด
จ าได้ว่าคราวก่อนไปร่วมวงความครึกครื้นในงานพิธีการของ พรรคหวงเหลียง ลู่เฉินได้เจอกับผู้พิทักษ์มรรคาข้างกายหลี่ไหว เถาถิงแห่งเปลี่ยวร ้าง หรือนักพรตเนิ่นแห่งไพศาลในทุกวันนี้
เมื่อครู่นี้ตอนที่อยู่ริมต้นเหมยข้างสะพานหินของลาคลองซี่เหมย ก็ได้เจอกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานเช่นเดียวกัน จิงเฮาแห่ง หลิวเสียทวีป
ลู่เฉินเคยกระชากนักพรตเนิ่นเข้ามาในจิตธรรมของตน ฝ่ าย หลังตัดสินใจเด็ดขาดขึ้นมาก็กล้าลงมือสู้ตายกับตน
แต่หากชิงกงไท่เป่ าผู้นั้นตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็มีแต่จะ โขกหัวขอร ้องกระมังบางทีหากเปลี่ยนมาเป็ นเฝิงเซวี่ยเทาที่มีฉายาว่า ชิงมี่ก็คงไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร?
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เลิกคร่าครวญได้แล้ว มีใครตายหรือไง”
กู้ชิงซงหยุดเสียงร ้องไห้ทันที เอ่ยว่า “อาจารย์ ปลาตุ๋นเสร็จแล้ว ท่านลองชิมฝีมือข้าหน่อยเถอะ”
ลู่เฉินลุกขึ้นนั่ง “มัวนั่งนิ่งอยู่ทาไม เร็วเข้าสิ ยกมาทั้งหม้อเลย!”
กู้ชิงซงรีบยกหม้อไปที่ท้ายเรือ หยิบตะเกียบสองคู่ออกมาจาก ชายแขนเสื้อ เอาไปเช็ดใต้รักแร ้แล้วค่อยยื่นส่งให้ลู่เฉินคู่หนึ่ง
ลู่เฉินใช ้มือหนึ่งรับตะเกียบมา อีกมือหนึ่งเปิดฝาหม้อ เอ่ยอย่าง เดือดดาลว่า “ท าไมถึงยากจนจนไม่มีข้าวสารกรอกปากหม้อ? ใคร พูดว่ามีมรรคาอยู่ก็เปิดปากหม้อไม่ได้!”
ในห้องครัวของโรงเรียน ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนที่เพิ่งรู ้จักกันปู ฟูกนอนนอนบนพื้นนอนสลับหัวเท้ากัน
หนิงจี๋เอ่ยเรียกเสียงเบาอย่างหยั่งเชิง “ศิษย์พี่จ้าว”
จ้าวซู่เซี่ยลืมตาขึ้น “หืม?”
หนิงจี้ถาม “ข้าไม่ได้ฝันไปจริงๆ หรือ?”
จ้าวซู่เซี่ยเงียบไปพักหนึ่งก็ยกศีรษะขึ้น เอาสองมือหนุนใต้หัว พูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ต้องลาบากใจ ข้าเองก็เคยถามตัวเองแบบนี้มา ก่อน อีกทั้งตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่ได้ถามแค่ครั้งเดียว”
หนิงจี๋ที่เดิมที่ยังเขินอายอยู่บ้างหัวเราะตามไปด้วย ที่แท้ศิษย์พี่ จ้าวที่เป็ นผู้ใหญ่หนักแน่นแล้วก็เป็ นเหมือนตนเช่นกันหรือ
จ้าวซู่เซี่ยถาม “คากล่าวสองอย่างที่ไม่เหมือนกันของอาจารย์ และเจ้าลัทธิลู่ก่อนหน้าเจ้าคิดว่าใครพูดมีเหตุผล?”
หนิงจี๋คิดแล้วก็ตอบตามสัตย์จริงว่า “ข้าคิดว่าค ากล่าวของ นักพรตลู่ดีมาก แต่ค ากล่าวของอาจารย์ดียิ่งกว่า”
จ้าวซู่เซี่ยหัวเราะ “หนิงจี๋ วันหน้าเจ้าไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วจะต้อง ปรับตัวได้เร็วมากแน่ๆ”
หนิงจี๋ถามอย่างสงสัย “เพราะอะไรหรือ?”
จ้าวซู่เซี่ยกล่าว “เจ้าจะต้องถูกชะตากับศิษย์พี่เล็กและศิษย์พี่ หญิงเผยมาก เจอหน้ากันต้องมีเรื่องให้พูดคุย ไม่มีทางรู ้สึกประดัก
ประเดิดแน่” หนิงจี๋ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม “จริงหรือ?”
เพราะเด็กหนุ่มเป็ นกังวลกับเรื่องนี้มาโดยตลอด กลัวว่าตัวเองจะ เข้ากับพวกศิษย์พี่ชายหญิงบนภูเขาลั่วพั่วไม่ได้
จ้าวซู่เซี่ยพยักหน้า “จริงสิ นอกจากพวกเขาแล้วยังมีศิษย์พี่เฉา ที่จะต้องชอบเจ้ามากเหมือนกัน”
หนิงจี๋พยักหน้ารับแรงๆ
ดูเหมือนว่าบนร่างของศิษย์พี่จ้าวจะมีอะไรบางอย่างที่เขาอธิบาย ไม่ถูก คาพูดที่เขาเอ่ยออกมาสามารถทาให้คนเชื่อถือได้ อีกทั้งยืน อยู่ข้างกายศิษย์พี่จ้าวก็จะรู ้สึกจิตใจสงบเป็ นพิเศษ
จ้าวซู่เซี่ยกล่าว “มีเรื่องหนึ่ง ข้าที่เป็ นศิษย์พี่ต้องบอกกับเจ้าสัก ค า”
หนิงจี๋ตื่นเต้นเล็กน้อย “ศิษย์พี่จ้าวท่านพูดมาได้เลย ข้าฟังอยู่”
จ้าวซู่เซี่ยเอ่ย “ครั้งหน้าก่อนจะนอน จาไว้ว่าต้องล้างเท้าก่อน กลิ่นอบอวลนัก”
หนิงจี๋หัวเราะหึหึ
จ้าวซู่เซี่ยหลับตาลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ประโยคนั้นของเจ้าลัทธิลู่ ไม่เลวจริงๆ เป็ นคนซื่อสัตย์ นอนหลับได้อย่างสบายใจ หนิงจี๋ นอน เถอะ ยังต้องตื่นแต่เช ้าอีกนะ”
หนิงจี๋กล่าวอย่างโง่งมว่า “ศิษย์พี่จ้าว ดูเหมือนข้าจะนอนไม่หลับ ท่านหลับไปก่อนเลยไม่ต้องสนใจข้า”
จ้าวซู่เซี่ยยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่ว่ารอให้ข้าส่งเสียงกรนเสียก่อนล่ะ ถึง เวลานั้นเจ้าอยากนอนก็นอนไม่หลับแล้ว”
หนิงจิ๋กล่าว “ไม่เป็ นไร ศิษย์พี่จ้าว ข้ามีความสามารถไม่เล็กไม่ ใหญ่อย่างหนึ่ง ก็คือถ้าอยากหลับก็จะหลับได้เลย”
อันที่จริงนอกจากนี้แล้ว ทุกครั้งก่อนจะนอนหลับ ขอแค่หนิงจี้ ต้องการตื่นมาเวลาไหนก็จะสามารถตื่นเวลานั้นได้เลย แทบจะไม่เคย มีการคลาดเคลื่อน
เพียงแต่รู ้สึกว่าเรื่องนี้ประหลาดเกินไป เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าพูด ออกมา
อีกทั้งความสามารถนี้ก็ไม่ใช่ว่ามีมาตั้งแต่เกิด ดูเหมือนว่าเพิ่งจะ เกิดขึ้นตอนที่เด็กหนุ่มลี้ภัยตอนเป็ นเด็กเท่านั้น
ศิษย์พี่จ้าวร ้ายกาจมากจริงๆ
เพราะลางสังหรณ์บอกกับหนิงจิ๋ว่า ก่อนหน้านี้ตอนที่นักพรตลู่ ถามถึงยันต์แผ่นแรกบนโลก เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่จ้าวรู ้คาตอบ เพียงแต่ว่าไม่ได้เปิดปากพูดออกมาเท่านั้น
อันที่จริงมีประโยคหนึ่งมารออยู่ที่ริมฝีปากของจ้าวซูเซี่ยแล้ว แต่ สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดออกมาเช่นกัน
หนิงจี๋ เจ้าและข้าได้มาพบกับอาจารย์คนเดียวกันได้ วันหน้า พวกเราต้องรู ้จักทะนุถนอมเห็นค่าให้ดี ต้องตั้งใจฝึกตน
ใต้ชายคาของห้องเรียน ซิ่วไฉเฒ่าลืมตาขึ้น โดยไม่ทันรู ้ตัวฟ้ าก็ สว่างแล้ว
ข้างกายมีลูกศิษย์ปิดสานักที่นั่งเฝ้ าเขามาตลอดคืน
ซิ่วไฉเฒ่ารีบลุกขึ้นนั่ง เอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความละอาย ใจ “ก่อเรื่องเช่นนี้ต้องโทษที่อาจารย์เลอะเลือน”
เฉินผิงอันพยักหน้า “อาจารย์รู ้ตัวเองก็ดีแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ คาพูดประเภทนี้ไม่ใช่ว่ามีแค่ผิงอันน้อย ของพวกเราเท่านั้นที่ถืงจะพูดได้หรอกหรือ?
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “แปดคาที่อาจารย์อยากพูด ตอนนั้น คือคาว่าอะไรหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าเงยหน้ามองสีท้องฟ้ าที่พอเริ่มสางก็สว่างจ้า ลูบหนวด ยิ้มเอ่ย “ถือเทียนท่องยามราตรี ฟ้ าก็สว่างแล้ว”