กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1039.1 โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับแต่ไกล
วันนี้เว่ยป้ อมาที่เรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่ว เจ้าขุนเขาเฉินบอก ว่ามีเรื่องอยากจะปรึกษาจึงรบกวนให้เว่ยซานจวินมาหาที่นี่สักหน่อย
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนต้อนรับอยู่ที่ข้างโต๊ะหินริมหน้าผา ยิ้มเอ่ยว่า “พ่อครัวเฒ่าบอกให้ข้านาความมาบอกเจ้าว่าจะขอซื้อที่ดินที่ ภูเขาพือวิ๋นได้หรือไม่ ตอนเข้าหน้าร ้อนจะได้ไปหลบร ้อนอยู่ที่นั่น”
เว่ยป้ อถามอย่างสงสัย “เพราะเรื่องแค่นี้เนี่ยนะ?”
เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไยต้องเรียกตนมาโดยเฉพาะด้วย
เดิมทีเว่ยป้ อได้สร ้างคฤหาสน์แห่งหนึ่งไว้ในพื้นที่เงียบสงบ ห่างไกลบนภูเขาพีอวิ๋น สิ่งปลูกสร ้างในคฤหาสน์แห่งนั้นงามประณีต ทอดตัวยาวตลอดทางเหมือนม้วนภาพยาว ในนั้นมีสถานที่อ่านตารา ของซานจวินที่ย้ายเอาต้นสนเก่าแก่ในจวนอ๋องเก่าของสกุลหลูมา ปลูกไว้ร่มเงาต้นไม้หนาครึ้มเหมือนเพิงพัก ทุกครั้งที่อยู่ใต้ต้นไม้แล้ว มองไกลไปยังเมฆขาวที่ลอยตัวจากตีนเขา กลุ่มยอดเขาทั้งหลาย ล้วนถูกเมฆขาวปกคลุมให้หายไปจากสายตา เหลือเพียงปลายยอด ของภูเขาลั่วพั่ว ยอดเขาเซียนตู ฯลฯ ที่โผล่มาให้เห็น ประหนึ่งภาพ ทิวทัศน์หิมะบนภูเขาตระกูลหมี่ นอกห้องหนังสือมีสระดอกบัว ใบบัวชู ช่อ มาจอดเรือที่นี่ตอนช่วงหน้าร ้อน โยนแตงโมสองสามลูกลงไปใน น้า จากนั้นก็นอนกลางวัน กลิ่นหอมลอยติดเสื้อผ้า ฝันหวานยาม
กลางวัน งมแตงโมขึ้นฝั่ง เฉาะกินตอนร ้อนๆ ก็เหมือนเอาไปแช่ใน ห้องเก็บน้าแข็งมา กินเข้าไปแล้วเหมือนโลกมนุษย์ไม่เคยมีหน้าร ้อน อยู่
เฉินผิงอันยิ้มพูดเข้าประเด็นว่า “แน่นอนว่ายังมีธุระสาคัญอีก เรื่อง ตามคากล่าวของอาจารย์ข้า ฉายาเทพของซานจวินแห่งแจกัน สมบัติทวีปของพวกเจ้าห้าคน อันที่จริงสามารถตั้งกันเองได้ แน่นอน ว่าสุดท้ายแล้วก็ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากศาลบุ๋นอยู่ดีเจ้ากับจิ้น ซานจวินมีความคิดอะไรหรือไม่? หากว่ามีก็สามารถเตรียมไว้แต่ เนิ่นๆ ได้ ข้าจะได้ไปบอกอาจารย์และศิษย์พี่เหมาไว้ล่วงหน้า คราว หน้าหากทางศาลบุ๋นยกเรื่องนี้มาเข้า ประชุม บางทีอาจจะพอ ช่วยเหลือได้บ้าง”
เว่ยป้ อรู ้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “ดูเหมือนว่าทางฝั่งของศาลบุ๋นจะ ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยนะ”
ในความเป็ นจริงแล้วเรื่องของการแต่งตั้งห้ามหาบรรพต มอบ ฉายาเทพให้นั้น ศาลบุ๋นยังไม่ได้แพร่งพรายข่าวนี้ให้ภายนอกทราบ เพียงแต่ว่าใต้หล้านี้ไม่มีกาแพงใดที่ลมลอดผ่านไม่ได้ จนถึงวันนี้ ศาลบุ๋นยังไม่พูดถึงสักค า ก็ไม่ได้หมายความว่าบนยอดเขาจะไม่ได้ รับข่าวเล็กๆ น้อยๆ เรื่องนี้ ต่างก็พูดกันว่าอีกเดี๋ยวซานจวินห้ามหา บรรพตของแจกันสมบัติทวีปจะได้ฉายาเทพกันแล้ว โลกภายนอก เล่าลือกันอย่างน่าเชื่อถือ แต่ศาลบุ๋นกลับไม่เคยบอกกล่าวเรื่องนี้กับ พวกซานจวินอย่างพวกเขา จิ้นชิงซานจวินขุนเขากลางยังเคยส่ง
กระบี่บินมาที่ภูเขาพีอวิ๋นเพื่อสอบถามเรื่องนี้โดยเฉพาะ ในจดหมาย บอกว่าเจ้าสนิทกับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันก็สนิทกับศาลบุ๋น ให้เขาช่วย ยืนยันให้แน่ใจหน่อยเถอะ หากว่ามีเรื่องนี้อยู่จริง เจ้าก็ไม่ต้องตอบ จดหมายกลับมา เขาจิ้นชิงจะได้เตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ คิดจะจัดงาน เลี้ยงท่องราตรีครั้งใหญ่สักครั้ง เมื่อเป็ นเช่นนี้เว่ยป้ อก็ไม่อาจแสร ้งทา เป็ นว่าไม่ได้รับจดหมายฉบับนี้ได้แล้ว ต้องตอบจดหมายกลับไป บอก ว่าตัวเองยุ่งมาก เจ้าขุนเขาเฉินยุ่งยิ่งกว่า เกี่ยวกับว่าเรื่องนี้เป็ นจริง หรือเท็จ หากจิ้นซานจวินไม่ถามจากเจ้าขุนเขาเฉินเอาเองก็คงต้อง สืบข่าวจากทางอื่นเอาแล้ว
“หากพวกเจ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ ศาลบุ๋นก็ไม่มีทางพูดถึง มีเรื่องเพิ่ม มากขึ้นหนึ่งเรื่องไม่สู้มีเรื่องน้อยลงหนึ่งเรื่อง”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ฉายาเทพที่ศาลบุ๋นจะมอบให้กับห้ามหา บรรพตและลาน้าใหญ่เป็ นกฎที่หลี่เซิ่งตั้งไว้ในยุคบรรพกาล โลก ภายหลังก็สืบทอดต่อกันมานาน จึงถือเป็ นกฎทองบัญญัติหยกที่มิ อาจเปลี่ยนแปลงได้ อันที่จริงในเอกสารของศาลบุ๋นไม่ได้บันทึกไว้ เช่นนี้ หากพวกเราไม่ตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดก็ไม่มีทางรู ้ได้ เลยว่าอันที่จริงซานจวินและกงโหวแห่งลาน้าใหญ่สามารถตั้งฉายา เทพเองได้”
เว่ยป้ อเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะประสานมือคารวะขอบคุณเฉินผิง อัน
ต่อให้โลกภายนอกจะเล่าลือกันว่าเขาเว่ยป้ อและภูเขาพีอวิ๋นส นิทสนมกับภูเขาลั่วพั่ว เหมือนสวมกางเกงตัวเดียวกัน
เพียงแต่ว่าเรื่องใหญ่ประเภทนี้ ต่อให้จะมีความสัมพันธ ์อันดี กับเฉินผิงอันแค่ไหนระหว่างสหายจะไม่ห่างเหินกันเท่าไร ก็ควรต้อง ขอบคุณกันอย่างเป็ นทางการ
เฉินผิงอันพูดจาเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรื่องเร่งด่วน ศาลบุ๋นเองก็เร่งรัดมา ข้าจึงตัดสินใจไปเองโดยพลการ บอกกับ อาจารย์ไปว่าฉายาเทพ ‘ท่องราตรี” ก็ไม่เลว อาจารย์เองก็รู ้สึกว่าดี มากเหมือนกัน ถือว่าทุกคนให้การยอมรับ นานวันเข้าจะส่งผล ประโยชน์ต่อโชคชะตาภูเขาสายน้าทั่วอาณาเขตขุนเขาเหนืออย่าง มหาศาล พูดถึงแค่ในอนาคตผู้ฝึ กลมปราณทั่วทั้งใต้หล้าไพศาล ปากพวกเขาพูดถึงภูเขาพีอวิ๋นหรือคิดถึงอยู่ในใจ หรือเป็ นตัวอักษร ที่เขียนไว้ในรายงานภูเขาสายน้า ยิ่งจานวนครั้งมากเท่าไรก็ยิ่งดีมาก เท่านั้น…”
เว่ยป้ อสีหน้าเขียวคล้า ข่มกลั้นความวู่วามอยากจะด่าคนเอาไว้ ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดจบ เว่ยป้ อก็สะบัดชายแขนเสื้อดังฟั่บ จะกลับไป ที่จวนซานจวินแล้ว
ภูเขาพอวิ่นต้องรีบส่งข่าวไปที่ศาลบุ๋น บอกว่านอกจากฉายา “ท่องราตรี” แล้ว จะตั้งฉายาอะไรให้ก็ได้ทั้งนั้น
เฉินผิงอันรีบคว้าแขนของเว่ยป้ อเอาไว้ ฝืนบังคับรั้งตัวเว่ยซานจ วินไม่ให้ไปไหน ยิ้มเอ่ยว่า “เว่ยซานจวินร ้อนใจไปไย ยังฝึกฝนบ่ม เพาะจิตใจได้ไม่ดีพอหรือ?”
เว่ยป้ อเช่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ต้องให้ข้าขายหน้าไปถึงศาลบุ๋ นและทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางถึงจะพอใจใช่ไหม?”
เฉินผิงอันใจฝ่ ออยู่บ้าง บางทีในความเป็ นจริงแล้วงานเลี้ยงท่อง ราตรีของมหาบรรพตอุดรที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งแจกันสมบัติทวีป ทุกวันนี้แม้แต่ใต้หล้ามืดสลัวก็น่าจะได้ยินกันมาแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีลู่เฉินที่ไม่รังเกียจหากเรื่องครึกครื้น จะใหญ่โตอยู่ด้วยด้วยนิสัยของเจ้าลัทธิลู่แล้ว กลับไปป๋ ายอวี้จิงครั้งนี้ จะต้องช่วยป่าวประกาศชื่อเสียงให้แน่นอน ไม่ได้ ต้องเตือนลู่เฉินสัก ค า อย่าเดือดร ้อนให้ตนต้องถูกเว่ยป้ อเข้าใจผิดไปด้วยเด็ดขาด
เฉินผิงอันดึงเว่ยป้ อให้นั่งลงข้างโต๊ะด้วยกัน “เจ้ารู ้สึกไม่ดีต่อชื่อ “ท่องราตรี” ขนาดนี้เลยหรือ?”
เว่ยป้ อหัวเราะหยัน “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “หนึ่งหมัดต่อยเถ้าแก่รองล้มคว่า มองไกลๆ คือ อาเหลียง มองใกล้ๆคืออิ่นกวาน คากล่าวและฉายาประเภทนี้มี มากมายจนกระบุงใบใหญ่ก็ใส่ไม่หมด เจ้าดูข้าสิเอาอย่างข้าให้ มากๆ”
เว่ยป้ อพ่นเสียงออกจมูก “เป็ นคนจะเอาแต่รักษาหน้าตาจนตาย ไม่ได้ แต่จะไม่รักษาหน้าตาตัวเองเลยก็ไม่ได้!”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ไม่ลองพิจารณาอีกทีจริงๆ หรือ? ใน ต าราบอกไว้แล้วนะว่ายามที่ดีใจมากๆ ไม่ควรให้คาสัญญาคนอื่น ง่ายๆ ยามที่โมโหหนักๆ ก็ไม่ควรตอบตกลงกับคนอื่นง่ายๆ ข้ารู ้สึกว่า คากล่าวสองอย่างนี้มีเหตุผลอย่างมาก”
เว่ยป้ อกล่าว “เลิกพูดเลย หากเจ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าก็จะกลับ ล่ะ อย่าคิดว่าข้าอยู่ว่างนะ ภูเขาเอกสารและทะเลการประชุมไม่ใช่ เรื่องล้อเล่น ไม่พูดถึงอาณาเขตขุนเขาเหนือนอกภูเขาพอวิ่น พูดถึง แค่ยี่สิบสี่กองงานในจวนซานจวิน ข้าก็ต้องเข้าร่วมการประชุมทุกวัน ไม่มีหยุดพักแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าตอบตกลงกับหลี่เซิ่งว่าจะมอบ กลยุทธอย่างละเอียดให้ฉบับหนึ่ง ช่วงนี้นอกจากฝึกตนของตัวเอง แล้วก็ทุ่มเทความคิดจิตใจไปกับเรื่องนี้แทบทั้งหมด เขียนได้เกือบ สามแสนตัวอักษรแล้ว ยังต้องแก้ไขอีกเล็กน้อยแล้วค่อยส่งไปให้ ศาลบุ๋น สามารถลงนามเจ้าเพิ่มไปด้วยกันได้ เมื่อเป็ นเช่นนี้เรื่องที่ ภูเขาพีอวิ๋นจะตั้งฉายาเทพเองโอกาสที่จะผ่านมติจากศาลบุ๋นก็จะ เพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย”
สีหน้าของเว่ยป้ อผ่อนคลายลงได้หลายส่วน “ไม่ต้องหรอก ศาลบุ๋นไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย การกระทาที่ทาเนียนประสมประเสให้ ครบจานวนของข้าเช่นนี้มีแต่จะเป็ นที่หัวเราะเยาะของผู้คน”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เจ้าโง่หรือไร หากต้องเพิ่มชื่อเจ้าเว่ยป้ อเข้าไป จริงๆ เจ้าจะไม่ต้องเขียนเองสองสามหมื่นตัวอักษรได้จริงๆ หรือ?”
เว่ยป้ อถามอย่างประหลาดใจ “เขียนอะไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “เดี๋ยวข้าจะเอาฉบับร่างให้เจ้าดู หากเจ้ายินดี ขยับพู่กัน ก็พยายามเขียนให้เสร็จภายในสิบวัน ถึงเวลานั้นก็ให้เจ้า เป็ นคนมอบต่อไปให้ศาลบุ๋น คนที่รับจดหมายก็ให้เขียนเป็ นจิงเซิงซี ผิงแล้วกัน หากรู ้สึกว่าไม่มีอะไรให้เขียน ทั้งไม่ยินดีจะเขียนชื่อตัวเอง ลงท้ายก็คืนต้นฉบับข้ามา ข้าจะโน้มน้าวเจ้าอีกรอบแล้วกัน ทางที่ดี ที่สุดควรเพิ่มประโยคสุดท้ายที่เกี่ยวกับว่าให้ภูเขาพอวิ่นครอบครอง ค าว่า “ท่องราตรี” เพียงล าพังลงไป ข้าอาจารย์และยังมีลู่เฉิน พวกเรา ทั้งสามคนต่างก็รู ้สึกว่าดีมาก ไม่มีหนึ่งใน”
เว่ยป้ อพยักหน้า “ข้าขอดูต้นฉบับก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
เฉินผิงอันหยิบตาราหนาสามเล่มออกมาจากชายแขนเสื้อ “เอา กลับไปอ่าน จ าไว้ว่าเก็บรักษาให้ดีด้วยล่ะ”
เว่ยป้ อเก็บสมุดสามเล่มใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ พยักหน้าเอ่ย “ยังมี ธุระอีกไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ช่วงนี้ฮ่องเต้อาจปลอมพระองค์ออกนอก เมือง ไปเยือนศูนย์ตัดต้นไม้เขตอวี้จางรอบหนึ่ง ถึงเวลานั้นข้าจะแวะ ไปดูที่นั่น เจ้าจะไปกับข้าด้วยไหม?”
เว่ยป้ อลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ฮ่องเต้ออกจากเมืองหลวง ก่อนกาหนด ตอนนี้น่าจะเข้าไปในอาณาเขตของอวี๋โจวแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบตามไป คงไม่ลากเจ้าไป ด้วยกันแล้ว”
รอกระทั่งเว่ยป้ อกลับไปยังภูเขาพีอวิ๋น บนเส้นทางเล็กในภูเขา ด้านหลังของภูเขาลั่วพั่วคนที่เดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอันที่สวมชุด เขียวยังมีผีที่อยู่ในรูปลักษณ์ของบุรุษร่างกายากว่าจะได้กลับมาเห็น แสงตะวันอีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย มันจึงรู ้สึกว่าทุกครั้งที่ได้ออกมาสูด อากาศหายใจใน “โลกคนเป็ น” นอกคุกจะต้องทะนุถนอมเห็นค่าให้ดี
มันก็คืออิ๋นลู่รองเจ้านครของนครเซียนจานแห่งเปลี่ยวร ้าง ถูก เฉินผิงอันกักหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณเอาไว้ หลายวันมานี้มานะตั้งใจ เขียนเรื่องลับของเปลี่ยวร ้างอยู่ตลอดเวลาเรียกได้ว่าเค้นสมองแทบ แตก เหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ไม่เคยบ่น และอิ๋นลู่ก็สามารถเขียน “งาน ประพันธ ์ชิ้นใหญ่ทรงคุณค่า” ขึ้นมาได้จริงๆ แน่นอนว่าเพื่อรวบรวม ตัวอักษรให้ครบจ านวน อิ๋นลู่ก็ต้องใช ้ความคิดไปไม่น้อย เขียนเรื่อง ไร ้สาระขี้หมูราขี้หมาแห้งไปเยอะ โชคดีที่อิ่นกวานหนุ่มไม่ถือสา กลับกันยังชื่นชมในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่อิ๋นลู่คิดว่าจะ ต้องถูกอีกฝ่ายตัดทิ้งไปอย่างแน่นอนเสียอีก
หนึ่งเพราะจิตวิญญาณไม่ครบถ้วนทาให้ตบะลดฮวบ นอกจากนี้ ต่อให้ตบะอยู่ในขั้นสูงสุดแล้วจะอย่างไร อยู่กับอิ่นกวานหนุ่มที่ สามารถผ่านครเซียนจานออกเป็ นสองท่อนได้อิ๋นลู่ควรจะประจบ
สอพลออย่างไรก็ไม่เกินกว่าเหตุ เพียงแค่เดินกันมาได้ไม่กี่ก้าวนี้ อิ๋น ลู่ก็ นาคาประจบยกยอที่สะสมมาทั้งชีวิตเอามาใช ้จนหมดสิ้นแล้ว เหมือนอย่างในเวลานี้ที่กาลังพูดว่าพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของใต้ เท้าอิ่นกวานคือสถานที่ดีที่มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า
คนฟังก็ไม่เคอะเขิน ปล่อยให้อิ๋นลู่พูดจาชวนขนลุกไปไม่หยุด
นี่จึงเป็ นเหตุให้อิ๋นลู่ค่อยๆ พิพักพิพ่วนขึ้นมาเองแล้ว นั่นเป็ น เพราะเขาจนปัญญาแล้วจริงๆ แล้วก็รู ้สึกว่าคาพูดของตัวเองเลี่ยน เอียนจริงๆ ด้วย
อิ๋นลู่เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน เอ่ยประโยคจากใจ จริงสักค า ข้าอยู่ในรูปลักษณ์ของผีเช่นนี้ ทุกก้าวที่ก้าวเดินไปยังกลัว ว่าจะทาให้ภูเขาเขียวน้าใสของที่แห่งนี้แปดเปื้อนด้วยซ้า”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “อ้อ? ถ้าอย่างนั้นก็จะกลับไปสินะ?”
อิ๋นลู่สะอึกอึ้ง ไม่กล้าพูดจาไร ้สาระอีกแม้แต่ครึ่งคา
เฉินผิงอันที่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อยื่นมือข้างหนึ่ง ออกมา บิดหมุนข้อมือบนท่อนแขนก็มีแล้ปัดฝุ่ นที่มีชื่อว่า “ฝูเฉิน” วางพาดอยู่
อิ๋นลู่เห็นของชิ้นนี้แล้วหัวใจก็บีบตัวแน่นทันใด เอ่ยเสียงสั่นว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ไม่สู้ให้ข้ากลับไปดีกว่าไหม?”
เป็ นเพราะวันเวลาที่ถูกขังคุกมานี้ อิ๋ลู่มีความทุกข์ตรมขมขื่น อย่างที่ยากจะเอื้อนเอ่ยได้จริงๆ เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้จะต้องเข้าไป ตรวจสอบความคืบหน้าของตาราเล่มนั้นทุกๆ สามวันห้าวัน และทุก ครั้งก็จะมาโผล่อยู่ด้านหลังอิ๋นลู่ที่ฟุบตัวเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะอย่าง เงียบเชียบ พูดไม่เข้าหูกันค าเดียวก็ยกมือขึ้น ในมือถือก้อนอิฐ เอา ก้อนอิฐโขกหัวอิ๋นลู่ แต่ละครั้งโขกจนอื่นสู่มึนหัวตาลาย กุมหัวกลิ้ง ไปกลิ้งมากับพื้น มีเพียงแค่บางครั้งที่เฉินผิงอันมองหน้ากระดาษที่อิ๋น ลู่เขียนแล้วรู ้สึกว่าเข้าตา ถึงจะวางก้อนอิฐไว้ข้างโต๊ะ เป็ นการเตือน อิ๋นลู่ว่าเขียนได้ไม่เลว รอดพ้นหายนะไปได้
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อุตส่าห์ได้ออกมาสูดอากาศข้างนอก ทั้งที รีบร ้อนจะกลับไปอยู่ข้างในแบบนี้ ไม่ไว้หน้าข้าเลยใช่ไหม?”
อิ๋นลู่ก้มหน้าค้อมเอว รีบพูดแก้ตัวทันใด “แค่กังวลว่าคนนอกเห็น เข้าจะเข้าใจผิดว่าอยู่ร่วมกับผีตนหนึ่ง ทาให้ใต้เท้าอิ่นกวานต้องขาย หน้าครั้งใหญ่”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่รู ้จริงๆ ว่าเจ้าของปิ่ นเต๋าชิ้นนั้นและยังมี บรรพจารย์กุยของพวกเจ้าเห็นศิษย์ลูกศิษย์หลานอย่างพวกเจ้าแล้ว จะคิดเช่นไร?”
อิ๋นลู่ถอนหายใจ “คิดดูแล้วคงทนมองไม่ไหว ตาไม่เห็นใจก็ไม่ หงุดหงิดกระมัง? ต่อให้เดินทางผ่านนครเซียนจานก็ไม่ยินดีจะไปนั่ง ในนคร”
บรรพบุรุษบุกเบิกภูเขาของนครเซียนซาน กุยหลิงเซียง ผู้ฝึกตน หญิงไร ้ฉายา และนางก็คือเจ้าของปิ่นเต๋าบรรพกาลรุ่นที่สอง
เจ้านครรุ่นที่สองคือผีที่มีฉายาว่า “ฉงโอว” ร่างจริงเป็ นแค่ยุงตัว หนึ่ง นางซ่อนกายอยู่บนเส้นทางน้าพุเหลืองมานานมาก แส้ปัดฝุ่ น ชิ้นนี้ก็เป็ นสมบัติล้าค่าติดกายที่นางเอาไว้ใช ้หลบเลี่ยงสายตาของกุ่ย ชาแห่งนครเฟิงตู เพียงแต่ว่าได้มาครอบครองถึงสองพันปี หญิงชราก็ ยังมิอาจหลอมใหญ่ให้กับมันได้ หาไม่แล้วป่านนี้คงหวนคืนจากโลก มืดมายังเปลี่ยวร ้าง ไปช่วงชิงต าแหน่งราชาบนบัลลังก ์นานแล้ว
จากนั้นก็เป็ นปีศาจใหญ่อูถีที่ตอนนั้นเดินออกมาจากม้วนภาพก็ ถูกอาจารย์อย่างฉงโอวเล่นงานทันที ตามล าดับอาวุโสของท าเนียบ นครเซียนจาน มันก็คืออาจารย์ปู่ของอิ๋นลู่เช่นกัน
เจ้านครคนปัจจุบันที่ภายหลังถูกสิงกวานหาวซู่ตัดหัว เสวียนผู่ผู้ ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน
หมื่นปีที่ผ่านมา สถานที่ที่สูงที่สุดของเปลี่ยวร ้างไม่ใช่ภูเขาทัว เยว่ แต่เป็ นนครเซียนจาน
ผลคือรอกระทั่งอิ่นกวานคนสุดท้ายของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ซึ่งอยู่ข้างกายผู้นี้ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง ก็ไม่มีคากล่าวที่ว่า “สูง ที่สุด” อีกต่อไป เป็ นเหตุให้ทุกวันนี้สถานที่ที่สูงที่สุดกลายมาเป็ น กาแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนั้นแทน
แส้ปัดฝุ่ นในมือชิ้นนี้ถือเป็ นสมบัติหนักอาวุธเซียนบนภูเขาอย่าง สมชื่อ ด้ามสีม่วง มีเส้นด้ายสีขาวหิมะมากถึงสามพันกว่าเส้น ร ้อย ห่วงทองเล็กๆ ชิ้นหนึ่งห้อยไว้
เฉินผิงอันคิดว่าจะเอาแส้ปัดฝุ่ นชิ้นนี้ไปมอบให้กับศาลบรรพ จารย์ของนครบินทะยาน
อิ๋นลู่ปลุกความกล้าถามว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน ผู้ฝึกกระบี่ที่ผ่านไป นอกประตูก่อนหน้านี้คนที่ได้เจอกับข้า มีความเป็ นมาอย่างไรหรือ?”
เฉินผิงอันเปลี่ยนมือถือแส้ “เขาชื่อลู่เหว่ย เป็ นคนของ ส านักหยินหยางคอขวดขอบเขตเซียนเหริน มาจากสกุลลู่แผ่นดิน กลาง ถือเป็ นคนบ้านเกิดเดียวกับข้าครึ่งตัว บัญชีเก่าบัญชีใหม่ผสม ปนเปกันมั่วไปหมด”
อิ๋นลู่เงียบกริบเป็ นจักจั่นในหน้าหนาว แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะชื่อ ลู่เหว่ยหรือสกุลลู่แผ่นดินกลางอะไร แต่เป็ นเพราะแส้ปัดฝุ่ นที่อยู่ใน มือของอิ่นกวานหนุ่มท าให้อิ๋นลู่รู ้สึกขัดตามากขึ้นเรื่อยๆ หรือจะบอก ว่าฉงโอวบรรพจารย์ไท่ซ่างที่อาจารย์ของตนบอกว่าใช ้วาสนาหมด สิ้นแล้วก็โดนเล่นงานด้วยเหมือนกัน?