กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1039.2 โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับแต่ไกล
เฉินผิงอันถามชวนคุย “หากเจ้าเป็ นศัตรูกับสกุลลู่แผ่นดินกลาง จะท าอย่างไร?”
เอาแต่พูดเรื่องไร ้สาระอยู่นั่น อิ๋นลู่รู ้สึกว่าล าพังแค่คุยเล่นกับอิ่นก วานหนุ่มผู้นี้ก็ต้องเปลืองพลังอย่างมากแล้ว เพียงแต่เขาอุตส่าห์ถาม มาแล้ว อิ๋นลู่ก็ได้แต่ตั้งใจครุ่นคิดถึงคาถามระยานี่ ใช ้ความคิดอยู่พัก หนึ่งก็พูดเหมือนหยั่งเชิงว่า “ต่อให้ข้าอยู่ในนครเซียนจานก็ยังได้ยิน ชื่อเสียงเลื่องลือของสกุลลู่แผ่นดินกลางมานานแล้ว ไม่ถูกกับพวก เขาก็ไม่ใช่ว่าเป็ นศัตรูกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งหรอก หรือ? หากเปลี่ยนมาเป็ นข้าก็จะหาสถานที่ไปหลบซ่อนตัว ต้องเป็ น ภูเขาลูกใหญ่ที่สามารถงัดข้อกับสกุลลู่ได้ หากเป็ นศัตรูคู่แค้น ถูก สกุลลู่ไล่ตามมาฆ่า ข้าก็จะไปที่ภูเขาใหญ่แสนลี้ เป็ นพวกเดียวกับผู้ อาวุโสเถาถิง จะดีจะชั่วก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ แน่นอนว่าใต้เท้าอิ่ นกวานไม่ต้องทาอย่างนั้น ต้องเป็ นสกุลลู่ที่ปวดหัวแทนถึงจะถูก”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เพียงเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องตาม มาแล้ว ไปเดินเล่นที่ภูเขาด้านหน้าของภูเขาลั่วพั่วเถอะ จ าไว้ว่าอย่า ออกห่างจากประตูภูเขาไกลเกินไป หาไม่แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ ต้องแบกรับผลลัพธ ์ที่ตามมาเอาเอง”
อิ๋นลู่หรือจะกล้าเดินเล่นส่งเดช เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็คือพื้นที่ ประกอบพิธีกรรมของเฉินผิงอัน อย่าว่าแต่กังวลว่าจะพูดผิดเลย อิ๋นลู่ ยังกังวลด้วยว่าตัวเองออกห่างไปจากข้างกายเฉินผิงอัน ระหว่างที่ เดินไปภูเขาเบื้องหน้า บางทีเพียงแค่สายตาเดียวหรือสีหน้าเดียวที่ไป ท าให้ใครไม่ชอบใจ ไม่ถูกชะตาเข้า ก็จะต้องถูกฆ่าตายคาที่ อิ๋นลู่คิด ไปคิดมา เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนก็รู ้สึกว่าอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน น่าจะมั่นคงกว่า เพียงแต่เขาไม่รู ้ว่าควรจะเปิดปากอย่างไรดี เพราะถึง อย่างไรตอนอยู่นครเซียนจานก็ล้วนเป็ นคนอื่นที่ต้องคอยประจบเอา ใจเขา ไหนเลยจะต้องให้เขาที่เป็ นรองเจ้านครผู้จัดการกิจธุระต่างๆ คอยสังเกตสถานการณ์ ใคร่ครวญหาค าพูดให้เหมาะสม?
เฉินผิงอันเอ่ย “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เป็ นแขกแค่ ตามใจเจ้าบ้านก็พอ หลักการเหตุผลเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ?”
ในใจของอิ๋นลู่ขมขื่นยิ่งนัก เฉินผิงอันหากเจ้าพูดอย่างนี้ ข้าก็ไม่ มีอะไรจะเอ่ยแล้ว
เจ้าไปนครเซียนจาน ทาไมไม่ยอมเป็ นแขกที่ตามใจเจ้าบ้านบ้าง ล่ะ?
ตลอดทางที่เดินมานี้ ลาพังแค่ชื่อเรียกของศาลาแต่ละหลังก็ทา ให้อิ๋นลู่ได้เปิดโลกกว้างแล้ว
อี้หราน (สยายปีก) เกาจั่ว (นั่งสูง) อวิ๋นจง (กลางเมฆ) เยว่หม่าน (จันทร ์เต็มดวง) ซวีซิน (ถ่อมตัว) อวี่เซี่ย (เบื้องใต้สายฝน) ปาเฟิง (ลมแปดทิศ) …
ชื่อที่ยาวที่สุดก็คือ “ศาลาเติบโตมีความสุขมองขุนเขาเขียวที่ไม่ แก่ชราเหมือนกัน” ส่วนชื่อศาลาที่สั้นที่สุดยิ่งน่าสนใจมากกว่าคือ
ศาลา ‘ศาลา’
เบื้องหน้ามีเรือนหลังหนึ่งปรากฏขึ้นมา ผนังขาวก้อนอิฐดาถูก บดบังอยู่ท่ามกลางต้นไผ่สีเขียวขจี เฉินผิงอันเก็บแส้ปัดฝุ่ น เอ่ยว่า “ไปเถอะ”
อิ๋นลู่ได้แต่คารวะตามขนบลัทธิเต๋า “น้อมรับคาสั่งอิ่นกวาน”
ภูเขาด้านหลังของภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้มีลูกหลานสกุลเฉาอายุน้อย คู่หนึ่งฝึกตนและฝึกวรยุทธอยู่ที่นี่
ประตูใหญ่เปิดอ้า เด็กสาวกาลังฝึกท่าหมัดเดินนิ่งอยู่ในลานฝึก ยุทธ เฉินผิงอันยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู งอนิ้วเคาะประตูเบาๆ เด็กสาว เดินท่าหมัดรอบหนึ่งจบแล้วหันไปเห็นเจ้าขุนเขา นางก็มีท่าทาง ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
นี่เป็ นครั้งที่สามแล้วที่ทั้งสองฝ่ายได้พบเจอกัน
ครั้งแรกคือตอนที่นางตามคุณชายไปพบเจ้าขุนเขาเฉินที่เรือน ไม้ไผ่ อันที่จริงตอนนั้นไม่ได้คุยอะไรกัน
คราวก่อนเจ้าขุนเขาเฉินมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง ถึงขั้นที่ว่า ยังช่วยสอนหมัดให้กับเฉายางไปรอบหนึ่ง หลังการประลองฝีมือผ่าน ไป เฉายางยอมรับความพ่ายแพ้ได้ทั้งกายและใจ ภายหลังได้น ามา ทบทวนซ้าอยู่หลายครั้ง ทาให้เด็กสาวผู้ฝึกยุทธได้รับผลประโยชน์ไม่ น้อย
ในขณะที่เฉายางทาตัวไม่ถูกอยู่นั้นเอง เฉาอินก็เดินเร็วๆ ออกมา จากห้องหนังสือ เดินลงบันไดมาแล้วก็ประสานมือคารวะ “อาจารย์ เฉิน”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เฟิงเซิง ได้ยินมาว่าอู๋ถงเลื่อนเป็ นขอบเขตห้า แล้วก็เลยมาร่วมแสดงความยินดีที่นี่ คงไม่อยู่นาน นั่งสักพักก็จะไป แล้ว ไม่รบกวนการฝึกตนของพวกเจ้า”
เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือลูกหลานสายรองของสกุลเฉาเสาค้า ยันแคว้น ชื่ออินนามเฟิ่งเซิง และยิ่งเป็ นผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขต ชมมหาสมุทร คู่ควรกับค าเรียกขานว่าอัจฉริยะเด็กหนุ่มได้แน่นอน
แล้วก็เพราะสกุลเฉาไม่ยินดีจะให้เด็กหนุ่มมีชื่อเสียงเร็วเกินไป นัก หาไม่แล้วป่านนี้เฉาอินก็คงมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งต้าหลีนานแล้ว ส่วนเฉายางที่มีชื่อเล่นว่าอู๋ถงนั้น เด็กสาวเพิ่งจะเลื่อนเป็ นขอบเขตห้า ทั้งต้องยกคุณความชอบให้กับการถามหมัดด้วยตัวเองของเจ้า ขุนเขาเฉิน แล้วก็ต้องขอบคุณอาจารย์จูจากใจจริงที่ช่วงนี้คอยแวะ มาป้ อนหมัดให้ที่นี่บ่อยๆ โดยเฉพาะเจ้าขุนเขาเฉินที่คราวก่อนแสดง ท่าหมัดท่าเดินสี่สิบกว่าท่าให้เฉายางดูบนลานฝึ กยุทธรวดเดียว
เรียกได้ว่าเป็ นการเปิดประตูใหญ่แห่งฟ้ าดินวิถีวรยุทธบานใหม่เอี่ยม ให้กับเฉายางเลย
ดังนั้นจะไม่ให้เฉายางตื่นเต้นคงไม่ได้ วันนี้ได้พบกับเจ้าขุนเขา เฉินอีกครั้ง ไยจะไม่รู ้สึกเคารพเขาดุจดั่งเทพเจ้าเล่า?
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้องโถง เพียงไม่นานเฉายางก็ยกน้าชา มาให้ มือของนางยังสั่นไม่หาย เฉินผิงอันแสร ้งท าเป็ นมองไม่เห็น พูดคุยเรื่องการฝึกตนช่วงที่ผ่านมากับเฉาอิน รอกระทั่งเด็กสาววาง ถ้วยน้าชาลงบนโต๊ะด้านข้างแล้วถึงได้หันหน้ามายิ้มเอ่ยขอบคุณ เฉายางตีหน้าเคร่งฝืนส่งยิ้มไปให้ หน้าผากเด็กสาวเต็มไปด้วยเหงื่อ เม็ดเล็ก นางเดินไปที่ข้างกายของเฉาอินเบาๆ แต่ไม่ได้นั่งลง กฎระเบียบในตระกูลชนชั้นสูง ต่อให้ออกมาอยู่นอกตระกูลก็มิอาจ เพิกเฉยได้ เฉาอินเองก็เคยโน้มน้าวนางว่าอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วไม่ จ าเป็ นต้องคิดเล็กคิดน้อย เพียงแต่ไม่ได้ผล โน้มน้าวไม่ได้ เด็กหนุ่ม ก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด
เฉินผิงอันสอบถามเรื่องการฝึ กตนของพวกเขาไปแล้วก็แค่ พูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไปกับเฉาอิน พอได้ฟังคาพูดปกติทั่วไปนาน เข้า เฉายางก็เริ่มผ่อนคลายตามไปด้วย
อิ๋นลู่แยกทางจากอิ่นกวานหนุ่มแล้วก็เดินไปบนเส้นทางเพียง ล าพังอย่างหวาดระแวงดูจากท่าทางแล้วเหมือนกลัวว่าจะเหยียบไป โดนใบไม้บนเส้นทาง
จากนั้นอิ๋นลู่ก็ได้เจอแม่นางน้อยชุดดาท่าทางประหลาดคนหนึ่ง ที่สุดปลายทางของทางเล็ก สองคิ้วของนางอ่อนจาง สะพายห่อผ้า ฝ้ ายไว้เอียงๆ บนบ่าแบกคานหาบสีทองอันเล็ก ในมือถือไม้เท้าเดิน ป่ าไผ่เขียว นางกระโดดโลดเต้นมาบนทางเส้นเล็ก ทั้งสองฝ่ ายเจอ หน้ากันก็หยุดเท้าแทบจะเวลาเดียวกัน อิ๋นลู่ไม่มีตบะขอบเขตเซียนเห รินแล้ว แต่แววตายังคงอยู่ พบว่าอีกฝ่ ายเหมือนจะเป็ นแค่ภูตน้าน้อย ห้าขอบเขตล่างตนหนึ่งเท่านั้น อิ๋นลู่พอจะสงบใจได้บ้าง กลับเป็ นชุด คลุมอาคมสีดาบนร่างของนังหนูที่ระดับขั้นไม่ธรรมดา เพียงแต่ว่า แค่อิ๋นลู่เกิดความคิดนี้ก็นึกอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ สักที คิด อะไรน่ะ อยากตายหรือไร?
แม่นางน้อยชุดดาหยุดยืนนิ่งอย่างขลาดๆ แล้วก็ขยับเท้าออกไป เงียบๆ เดินไปข้างทางแล้วเบี่ยงตัวหันข้าง ทาราวกับยืนรับโทษหัน หน้าเข้าผนังทบทวนความผิด
แม้พี่หญิงกวอจะเคยถ่ายทอดประสบการณ์ในยุทธภพมาให้แล้ว เวลาเจอเรื่องอะไรอย่าได้ตระหนกลน ต้องรีบหนีทันที แต่หมี่ลี่น้อยก็ ยังรู ้สึกว่าตัวเองก าลังลาดตระเวนภูเขาก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องแสดง ความขลาดกลัวออกมา
อันที่จริงอิ๋นลู่ก็ใจไม่ดีเหมือนกัน กลัวว่าภูตน้าน้อยตนนี้จะเป็ น สาวใช ้ข้างกายที่คอยส่งน้าส่งชาหรือไม่ก็เป็ นเด็กที่คอยเฝ้ าไฟในเตา หลอมโอสถของเซียนจวินคนใดบนภูเขาลั่วพั่ว
ดังนั้นอิ๋นลู่จึงคลี่ยิ้มบางๆ พยายามให้ตัวเองมีสีหน้าเป็ นมิตร อ่อนโยนที่สุด “ข้าชื่ออิ่นลู่ เป็ นผู้ฝึกลมปราณที่ใต้เท้าอิ่นกวานพามา อยู่ภูเขาลั่วพั่ว เจ้าคือ?”
โจวหมี่ลี่โล่งอกได้ทันใด หันหน้ามาคลี่ยิ้มกว้างสดใส “แบบนี้เอง หรือ สวัสดีอิ๋นลู่เซียนจ่าง ข้าชื่อโจวหมี่ลี่ หมี่ลี่ที่แปลว่าข้าวสาร คือ ทูตลาดตระเวนภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว….ที่นายท่านเจ้าขุนเขาเลือกตัว มาด้วยตัวเอง เป็ นแค่ขุนนางต าแหน่งเล็กๆ ฮ่าๆ ขุนนางเมล็ดงา (เปรียบเปรยถึงต าแหน่งขุนนางเล็กๆ ไม่มีความส าคัญ) เล็กเท่า ข้าวสาร”
อิ๋นลู่อึ้งตะลึง ทูตลาดตระเวนภูเขาคืออะไร? ภูเขาลั่วพั่วมี ตาแหน่งขุนนางประเภทนี้ด้วยหรือ? แต่ในเมื่อเป็ นอิ่นกวานหนุ่มที่ แต่งตั้งด้วยตัวเอง รอยยิ้มของอิ๋นลู่ก็ยิ่งอ่อนโยนกว่าเดิม ก้าวเดินไป ข้างหน้าอย่างเนิบช ้า เอาสองมือไพล่หลัง เดินพลางอธิบายไปด้วยว่า “ที่แท้ก็สหายโจวที่รับผิดชอบลาดตระเวนภูเขานี่เอง เมื่อครู่ข้าเดิน เล่นมาถึงที่นี่กับใต้เท้าอิ่นกวานใต้เท้าอิ่นกวานเห็นว่าข้าเพิ่งมาถึง ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และผู้คนก็เลยให้ข้าออกมาเดินเล่นให้ไปดูที่ ภูเขาด้านหน้า”
โจวหมี่ลี่ยิ้มกว้าง ก่อนจะรีบหุบปาก เตือนตัวเองว่าจะยิ้มให้เห็น ฟันไม่ได้ นางยืดเอวตรง พูดเสียงดังชัดแจ๋วว่า “เยี่ยมไปเลย เดี๋ยวข้า จะน าทางอิ๋นลู่เซียนจ่างเอง! เส้นทางน้อยใหญ่ทุกเส้นในภูเขาลั่วพั่ว ของพวกเรา ข้าคุ้นเคยมากเลยล่ะ”
อิ๋นลู่ชั่งน้าหนักผลได้ผลเสียอยู่ครู่หนึ่งก็รู ้สึกว่าน่าจะทาได้ พา แม่นางน้อยที่ดูเหมือนสมองไม่ค่อยจะสมประดีผู้นี้มาอยู่ข้างกาย ด้วยกัน จะได้ยิ่งดูว่าตนเข้ากับคนได้ง่าย มอบภาพจาแรกที่ไม่ย่าแย่ เกินไปให้กับเหล่าเซียนจวินแห่งภูเขาลั่วพั่ว ไม่หวังให้มีความชอบ ขอแค่ไม่มีความผิดพลาดก็พอ!
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กเดินผ่านศาลาระหว่างเส้นทางที่สร ้างขึ้นด้วย รูปแบบแตกต่างกันไป บ้างก็เรียบง่าย บ้างก็งามประณีต ใบหน้าของ หมี่ลี่น้อยเต็มไปด้วยความลิงโลด ช่วยแนะนาที่มาของชื่อศาลา เหล่านั้นให้อิ๋นลู่เซียนจ่างฟัง ถือโอกาสชมฝีมือล้าเลิศในการตั้งชื่อ ของนายท่านเจ้าขุนเขาบ้านตัวเองไปด้วย อิ๋นลู่ย่อมไม่กล้าไม่คล้อย ตาม ระหว่างทางหมี่ลี่น้อยยื่นมือออกมาถามอิ๋นลู่เซียนจ่างว่าอยาก แทะเมล็ดแตงหรือไม่ อิ๋นลู่ก้มหน้าลงมองแล้วก็หลุดหัวเราะพรืด ก่อน จะปฏิเสธความหวังดีของแม่นางน้อยไปอย่างละมุนละม่อม หมี่ลี่น้อย เกาหัว นางเองก็ไม่สะดวกจะแทะเมล็ดแตงเพียงล าพังจึงเก็บใส่ชาย แขนเสื้อไป
ตรงจุดสูง ในศาลาชื่อว่าหรูเมิ่งสิ่งซึ่งหลังคาเป็ นทรงแปดเหลี่ยม ยอดแหลม เสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าสีเขียวยืนเอนกายพิง เสาศาลา ในอ้อมอกกอดไม้เท้าไผ่เขียว มองแม่นางน้อยชุดดาที่พูด เจื้อยแจ้วไม่หยุดด้วยสีหน้าอ่อนโยน
เด็กสาวสวมหมวกขนเตียวที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างมีโทสะ “เจ้าตัว ดี ขึ้นสู่ผู้นี้ให้หน้าแล้วไม่ยอมไว้หน้ากัน เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่ ต้องให้ข้า ไปสั่งสอนมันหน่อยหรือไม่?”
เสี่ยวโม่เอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องหรอก เจ้าอย่าไปขัดจังหวะการ รับรองแขกของหมี่ลี่น้อยเลย”
เซี่ยโก่วเอ่ยอย่างน้อยใจ “ก็ข้าทนเห็นหมี่ลี่น้อยได้รับความอ ยุติธรรมไม่ได้นี่นา”
ก่อนหน้านี้หมี่ลี่น้อยอยู่ที่เรือนไม้ไผ่ ขณะที่กาลังนับก้อนเมฆ ขาวที่ผ่านทางมานอกหน้าผา กวอจู๋จิ่วก็มักจะพาเซี่ยโก่วกับเด็กชาย ผมขาวไปเล่นพิเรนทร ์แกล้งนาง พวกนางสามคนจะแอบทะยานลม แฝงตัวไปในทะเลเมฆก่อน สามหัว “ล่องลอย” อยู่เหนือเมฆขาวพา กันยึดหัวแลบลิ้นปลิ้นตาไปทางหน้าผา ทาเอาหมี่ลี่น้อยตกใจสะดุ้ง โหยงได้จริงๆ จากนั้นพอนางค้นพบความจริงก็มีความสุขอย่างมาก กุมท้องหัวเราะก๊าก อารมณ์ดีที่สุด
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ย “เจ้าเลิกไปข่มขู่เหนียงเนียงเทพวารีของแม่น้าอวี้ เจียงได้แล้ว ห้ามให้มีคราวหน้าอีก”
เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้าอวี้เจียงที่เดิมทีก็อกสั่นขวัญแขวนอยู่ ทุกเมื่อเชื่อวันอยู่แล้วก่อนหน้านี้มี “ผีอาละวาด” จนจวนวารีอลหม่าน วุ่นวายกันไปหมด นางยิ่งตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะต้องเปลี่ยนสถานที่
ให้ได้ ขอแค่ได้ออกไปพ้นจากอาณาเขตโดยรอบภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้ ถูกลดต าแหน่งลงก็ไม่เป็ นปัญหา
เซี่ยโก่วหันหน้าไปมองเสี่ยวโม่ ในใจนางอุ่นซ่าน แอบขยับเท้า แล้วขยับเท้าอีก เอียงศีรษะหมายจะพิงไหล่ของเสี่ยวโม่ นกน้อยแอบ อิงคน สนิทสนมใกล้ชิดกัน
ผลคือถูกเสี่ยวโม่ยื่นมือมาดันหัวเอาไว้ไม่ยอมให้นางสมใจ
เซี่ยโก่วเขย่งปลายเท้า ใช ้ความเร็วที่ฟ้ าผ่าไม่ทันป้ องหู เอา ใบหน้าถูไถฝ่ ามือที่อุ่นร ้อนเสี่ยวโม่ดึงมือกลับ ถอนหายใจเบาๆ คุณชายของตนและอาจารย์จูไม่ได้หลอกตนจริงๆ ใช่ไหม?
เซี่ยโก่วพอใจอย่างมากแล้ว นางเอ่ยว่า “จิงเฮาแห่งหลิวเสียทวีป ผู้นั้น และยังมีเจียวน้าที่ชื่อว่าป๋ ายเติง สนิทสนมกับเฉินหลิงจวินแล้ว ได้ดื่มเหล้าที่ตรอกฉีหลงของเมืองเล็กไปด้วยกันหลายรอบ ท าไมเฉิน หลิงจวินถึงไม่พาพวกเขาขึ้นเขามาโดยตรงเลยล่ะ”
เสี่ยวโม่อธิบายด้วยรอยยิ้ม “เพราะคราวก่อนลงจากภูเขาถือเป็ น การแอบออกไป จิ่งชิงกลัวว่าจะเผยพิรุธกับคุณชายก็เลยปรึกษากับ จิงเฮาและป๋ ายเติงเรียบร ้อยแล้วว่าทั้งสองฝ่ายจะแสร ้งท าเป็ นว่าเจอกัน ครั้งแรกที่เมืองเล็กก่อน แล้วค่อยมาเป็ นแขกที่นี่ เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็ไม่ เพียงแต่ไม่โดนสั่งสอน เขาพายอดฝีมือสองคนขึ้นเขามา ไม่แน่ว่า อาจได้รับค าชมจากคุณชายก็เป็ นได้”
เซี่ยโก่วนวดคลึงหว่างคิ้ว “เฉินหลิงจวินผู้นี้คิดจริงๆ หรือว่าเฉิน ผิงอันไม่รู ้อะไรเลยหรือเขาแกล้งไม่รู ้กันแน่?”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ “ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจึงชิงต้องคิดแบบนี้จริงๆ คิด ชายเองก็ต้องแสร ้งทาเป็ นว่าไม่รู ้เรื่องนี้มาก่อนแน่นอน”
เซี่ยโก่วถอนสายตากลับมา “พูดถึงก็มาเลย เฉินหลิงจวินเพิ่งจะ
ออกจากเมืองเล็กกลับมาที่ภูเขาแล้ว”
ในอดีตตอนอยู่ตรอกฉีหลง เคยมีครั้งหนึ่งที่เทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย เผยความในใจหลังจากดื่มเหล้าไป ดื่มจนเมาแล้วจึงลงไปนั่งอยู่ใต้ โต๊ะ นักพรตเฒ่าตาบอดแผดเสียงดังลั่นยกนิ้วโป้ งสองข้างบอกว่า นอกจากเจ้าขุนเขาแล้ว คนสองคนที่เขานับถือมากที่สุด คนหนึ่งคือ โจวหมี่ลี่ผู้พิทักษ์ขวาบนภูเขา และยังมีเฉินหลิงจวินที่ชอบลงจาก ภูเขามาเที่ยวเล่นที่เมืองเล็ก คนหนึ่งอยู่บนภูเขา คนหนึ่งอยู่นอก ภูเขา พวกเขาสองคนก็คือขุนนางผู้มีคุณูปการใหญ่หลวงที่สามารถ ปลอบประโลมจิตใจคนได้ดีที่สุดของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา เทพเซียน คนอื่นๆ ต่อให้จะเป็ นอาจารย์ผู้เฒ่าจูที่เป็ นผู้ดูแลใหญ่ก็ยังอยู่ต่อท้าย …
เรียกได้ว่าเป็ นข้อวินิจฉัยที่เฉียบแหลมยิ่งนัก
เซี่ยโก่วพลันถามว่า “หากเมื่อครู่นี้อิ๋นลู่ควบคุมความคิดไม่ได้ เกิดละโมบในชุดคลุมเถาเถี่ยร ้อยตาตัวนั้นขึ้นมา จะทาอย่างไร?”
เสี่ยวโม่กล่าวอย่างเฉยชา “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะส่งมันไปพบกับ เสวียนผู่อาจารย์ของมัน”
เซี่ยโก่วถามอย่างสงสัย “คุณชายของเจ้าจะปล่อยให้เจ้าลงมือ หรือ?”
เสี่ยวโม่ยิ้มตอบ “คุณชายของข้าปล่อยอิ๋นลู่ออกมา เดิมทีก็
ให้อิ๋นลู่เป็ นคนตัดสินชะตาของตัวเองอยู่แล้ว”
เซี่ยโก่วกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “เจ้าคนผู้นี้โชคดีไม่เบา”
บนเส้นทาง อิ๋นลู่เซียนจ่างที่มีแม่นางน้อยอยู่ด้านข้าง ดูจาก ท่าทางแล้วน่าจะพูดคุยกันถูกคออย่างมาก
เสี่ยวโม่กล่าว “เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เส้นทางไม่ราบรื่นทั้งยังอีก ยาวไกล”
เซี่ยโก่วพึมพาเสียงเบา “บัณฑิตจิตใจสกปรกกันทั้งนั้น”
เสี่ยวโม่ที่เอนหลังพิงเสาศาลายืดตัวขึ้นตรง เซี่ยโก่วสัมผัสได้ถึง ลมปราณของเสี่ยวโม่ที่เปลี่ยนแปลงไปก็รีบหาข้ออ้างแก้ตัวให้ตัวเอง รีบหัวเราะร่าเอ่ยว่า “เป็ นค าพูดดี ไม่มีความหมายที่ไม่ดีอยู่แน่นอน!”
เสี่ยวโม่เดินลงบันไดไปก่อน “ป๋ ายจิ่ง ข้ารู ้สึกว่ามีประโยคหนึ่งที่ อาจารย์จูพูดได้ถูกต้อง ใต้หล้านี้ไม่มีนิสัยที่ดีอย่างสิ้นเชิงหรือชั่วร ้าย อย่างสิ้นเชิง ล้วนเป็ นดาบสองคม”
เซี่ยโก่วพยักหน้ารับแรงๆ กระโดดลงจากขั้นบันไดไป
อาจารย์จูพูดอะไรก็ถูกทั้งนั้นอยู่แล้ว
เพราะถึงอย่างไรก็เป็ นบุรุษที่รูปโฉมน่าสะอิดสะเอียนเหมือน อาจม