กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1039.3 โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับแต่ไกล
วันนี้เด็กชายชุดเขียวลงจากภูเขามาตั้งแต่เช ้าตรู่ เดินอาดๆ ไป ที่ตรอกฉีหลง เอาสองมือไพล่หลังเดินเข้าไปในร ้านยาสุ่ย มองเถ้า แก่สือโหรวแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจ วางมาดของผู้อาวุโสบนภูเขาทิ้ง ประโยคหนึ่งที่เศร ้าใจกับความโชคร ้ายแต่ก็เดือดดาลเพราะความไม่ เอาไหนของอีกฝ่ายว่า “หัวทึบไม่รู ้จักแสวงหาความก้าวหนา คร ้านจะ พูดกับเจ้าแล้ว”
เจ้าใบ้น้อยที่แต่ไหนแต่ไรมาก็สนิทสนมกับสือโหรวเป็ นพิเศษไม่ สบอารมณ์ทันใด ทะเลาะกับเฉินหลิงจวินทันที เฉินหลิงจวินเถียงกับ อีกฝ่ ายไปได้ไม่กี่ประโยคก็รู ้สึกหมดสนุกไม่อยากจะถือสาเด็กน้อย คนหนึ่ง จึงไปที่ร ้านข้างๆ วันนี้พี่ใหญ่เจี่ยไม่อยู่ที่ร ้าน เลื่อนขั้นสูงแล้ว เปลี่ยนจากเถ้าแก่ร ้านเล็กๆ ในตรอกฉีหลงกลายเป็ นผู้ดูแลรองของ เรือข้ามทวีป สหายร่วมดื่มสุราคนรู ้ใจหายไปคนหนึ่ง เฉินหลิงจวิน รู ้สึกเหงาอยู่บ้าง เข้าไปในร ้านฉ่าวโถวก็เรียกตัวเองว่าเป็ นอาจารย์อา ครึ่งตัวด้วยความภาคภูมิใจ ช่วยชี้แนะด้านการฝึกตนให้กับเถียนจิ่ว เอ๋อร ์ จากนั้นก็ออกจากตรอกฉีหลงไปที่เหลาสุราบนถนนหลัก สั่ง อาหารมาโต๊ะหนึ่ง รอคอยสหายสองคนอย่างชิงกงไท่เป่าและจ้าวจวิน ให้มาดื่มเหล้ากันที่นี่แต่เช ้า
ดื่มเหล้ามื้อเช ้ากันไปรอบหนึ่งแล้วเฉินหลิงจวินก็พาพวกเขาขึ้น เขาไปด้วยกัน
สาหรับเด็กสาวที่นิสัยอ่อนโยนอีกทั้งยังว่าง่ายรู ้ความคนนั้น เฉิน หลิงจวินยินดีที่จะพูดถึงนางดีๆ ให้พี่ใหญ่เจี่ยฟังอยู่หลายประโยค
เถียนจิ่วเอ๋อร ์มีคุณสมบัติโดดเด่น เพราะนางมีเลือดสดที่ไม่ เหมือนคนธรรมดาทั่วไปเป็ นเหตุให้เกิดมาก็เป็ น “น้าพุยันต์” แห่ง หนึ่ง น่าเสียดายที่นางกลับไม่มีคุณสมบัติด้านการวาดยันต์จึงเหมือน ได้ครอบครองภูเขาเงินภูเขาทอง อานาจทั้งหมดเป็ นของนาง แต่กลับ ไม่มีอานาจที่จะน ามาใช ้
ในเรื่องนี้เฉินหลิงจวินเคยถามพ่อครัวเฒ่าเป็ นการส่วนตัวอยู่ หลายครั้ง คาตอบที่ได้รับก็เป็ นคาตอบที่ไม่ต่างกันเท่าไร ‘จะ กลายเป็ นผู้ฝึกตนสายยันต์ได้หรือไม่ หากไม่ได้ก็คือไม่ได้ มิอาจฝืน บังคับกันได้” กลับเป็ นเจี่ยงชวี่ที่ทุกวันนี้สร ้างกระท่อมฝึกตนอยู่บน ภูเขาฮุยเหมิงที่กลับมีฐานกระดูกเช่นนี้ ก่อนที่จะ “เป็ นโล้เป็ นพาย” หรือก็คือก่อนจะเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตกลาง ค่าใช ้จ่ายจะสูงมาก กิน ภูเขาเงินภูเขาทองมากที่สุด กระดาษยันต์ที่ใช ้หมดไปมีมากเกินจะ นับได้ไหว อีกทั้งเวลาปกติยิ่งเป็ นวัตถุดิบกระดาษที่ใช ้วาดยันต์ดี เท่าไร ประสิทธิผลก็จะยิ่งดีมากเท่านั้นในความเป็ นจริงแล้ว “น้าพุ ยันต์” สองสามตาลึงที่เถียนจิ่วเอ๋อร ์มอบให้ในปริมาณที่กาหนดและ เวลาที่กาหนดพวกนั้นแทบจะกลายเป็ นบันไดในการเดินขึ้นเขาทีละ ขั้นของเจียงชวี่แล้ว แม่นางน้อยไม่รู ้เรื่องนี้ เกรงว่าต่อให้นางรู ้ก็คงจะ
ไร ้ค าบ่นอยู่เหมือนเดิม ถึงอย่างไรนางก็รู ้สึกว่าสามารถทาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงให้กับภูเขาลั่วพั่วได้ นางถึงจะอยู่ที่ ตรอกฉีหลงได้อย่างสบายใจ เกี่ยวกับเรื่องนี้เฉินหลิงจวินก็อ่อนใจ เหมือนกัน นี่น่าจะเรียกว่าแต่ละคนมีชะตาต่างกันกระมัง ทุกครั้งที่นึก ถึงเรื่องพวกนี้เฉินหลิงจวินจะต้องดื่มเหล้าที่ร ้านในตรอกฉีหลงเพิ่ม มากขึ้นอีกหน่อย ดื่มเหล้าเป็ นเพื่อนกับพี่ใหญ่เจี่ยให้เมามายถึงจะ ยอมเลิกรา ไม่เมาก็จะไม่กลับ เจ้าตะพาบปากเสียอย่างเจิ้งต้าเฟิ ง มักจะชอบพูดว่าเขาคิดอะไรกับเถียนจิ่วเอ๋อร ์หรือไม่ถึงได้ชอบไปที่ ตรอกฉีหลงบ่อยๆ ทุกครั้งจะต้องมอมตัวเองให้เมา เพราะต้องการ อาศัยเหล้าดับทุกข์ เฒ่าสุราดื่มสุราแต่ความหมายไม่ได้อยู่ที่สุราสินะ …เซียนเว่ยก็ยิ่งโง่เง่า ถึงได้เชื่อจริงๆ พ่อครัวเฒ่ายิ่งไร ้คุณธรรม ไม่ รู ้จักช่วยอธิบายให้กันบ้างเลย มีแต่พวกตะพาบทั้งนั้น
พาสหายสองคนเดินขยับเข้าใกล้ภูเขาลั่วพั่วไปด้วยกัน เฉินหลิง จวินก็รู ้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
หากนายท่านบ้านตนไม่ยอมรับพวกเขา จะท าอย่างไรดี?
ไปถึงหน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว เฉินหลิงจวินพบว่าหมี่ลี่ น้อยกาลังนั่งดื่มชาอยู่ข้างโต๊ะ ตรงข้ามกับนางคือแขกแปลกหน้าคน หนึ่ง
ส่วนนักพรตเซียนเว่ยก็ยังคงเหมือนเดิม นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่หน้า ประตู อ่านต าราเล่มหนึ่งที่เปลี่ยนหน้าปกใหม่ เจิ้งต้าเฟิงเจ้าคนเกียจ คร ้านผู้นั้นน่าจะยังนอนหลับฝันหวานอยู่กระมัง
เฉินหลิงจวินกระแอมสองสามที่ให้ลาคอชุ่มชื้น สะบัดชายแขน เสื้อ “หมี่ลี่น้อยอ่า มีแขกมาน่ะ”
หมี่ลี่น้อยรีบลุกขึ้นยืน เอ่ยทักทายพวกเขา ก่อนจะไปต้มน้าชง ชา แม่นางน้อยอารมณ์ดีอย่างมาก มีงานให้ท าแล้ว
ป๋ ายเติงที่มีฉายาว่าจ้าวจวินอยู่ที่เมืองเล็กมาหลายวัน ตอนนี้จึง
เริ่มเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว
แม้จะบอกว่าบนภูเขาและล่างภูเขามีการแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน แต่ป๋ ายเติงที่อาศัยการฟังเด็กชายชุดเขียวเล่าบนโต๊ะสุราก็พอจะรู ้ เรื่องวงในของถ้าสวรรค์หลีจูแห่งนี้มาบ้างแล้ว
เขาถึงได้รู ้ว่าที่แท้สถานที่ปิดฉากของศึกพิฆาตมังกรเมื่อสามพัน
ปีก่อนก็คือที่นี่!
และมังกรที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวบนโลกในทุกวันนี้ก็คือหวังจูสุ่ย จวินแห่งมหาสมุทรบูรพา สถานที่ที่นางได้ดิบได้ดีก็คือตรอกหนีผิง แห่งนั้น
มิน่าเล่ายามที่ป๋ ายเติงเดินอยู่บนถนนฝูลู่และตรอกเถาเย่เพียง ล าพังถึงได้รู ้สึกเยียบเย็นเหมือนน้าแข็งเกาะกระดูก แต่ขณะเดียวกัน ก็รู ้สึกเหมือนตกลงไปในกระทะน้ามันเดือดจิตวิญญาณถูกต้มให้ เดือดพล่านจนจิตแห่งมรรคาของเขาไม่มั่นคงไปด้วย
ตามคากล่าวของเฉินหลิงจวิน เมื่อก่อนในภูเขาใหญ่ทางทิศ ตะวันตกยังมีสานักกระบี่หลงเฉวียนอยู่ด้วย ตอนนี้ย้ายไปอยู่ทางทิศ
เหนือแล้ว ช่างหร่วนเจ้าส านักคนก่อนคืออริยะส านักการทหาร ขอบเขตหยกดิบ ทุกวันนี้ในสานักก็มีขอบเขตหยกดิบเพิ่มมาอีก หลายคนคนหนึ่งในนั้นคือหลิวเสี้ยนหยางเจ้าประมุขคนปัจจุบัน คือ เซียนกระบี่อายุสี่สิบปี เจ้าหมอนี่เป็ นสหายรักกับนายท่านบ้านตนมา ตั้งแต่เด็ก หากนับตามลาดับอาวุโส ต่างคนต่างก็ถือว่า…
สถานที่แห่งนี้เป็ นแค่หนึ่งในเจ็ดสิบสองถ้าสวรรค์เล็กเท่านั้นเอง นะ แต่กลับชวนให้คนอกสั่นขวัญผวาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ขนาดป๋ ายเติงยังต้อง ‘ระมัดระวังทุกก้าวย่าง” เช่นนี้ จิงเฮาที่เป็ น ผู้ฝึ กตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานซึ่งยิ่งมองเส้นสนกลในออกก็ยิ่ง หวาดผวาพรั่นพรึงมากกว่า
หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา กู้ช่านแห่งตรอกหนีผิง จ้าวเหยา แห่งถนนฝูลู่ที่มีข่าวลือเล็กๆ แพร่ออกมาว่าเป็ นลูกศิษย์ของป๋ ายเหย่ ครึ่งตัว ลูกหลานของเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปอย่างเซี่ยหลิง ตรอกเถาเย่…
ผู้ฝึ กตนรุ่นเยาว์แต่ละคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง พวกเขามา เบียดเสียดกันอยู่ในเมืองเล็กทีใหญ่เท่าฝ่ามือนี่น่ะหรือ?
เจ้าขุนเขาเฉินที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวไม่รู ้ว่ามานั่งอยู่ชั้น บนสุดของบันไดเส้นทางหลักที่ทอดยาวสู่ยอดเขาจี้เซ่อภูเขาลั่วพั่ว ตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาลุกขึ้นยืน เดินก้าวหนึ่งตรงมาที่ตีนเขา เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยกับเฉินหลิงจวิน “มีแขกมาหรือ? สหายของเจ้า?”
เฉินหลิงจวินกลอกตาเร็วรี่ รู ้สึกใจฝ่อเล็กน้อย เพียงแต่ว่าอยู่ข้าง กายสหายใหม่ จะแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่มีความส าคัญในตระกูล ไม่ได้
ตอนอยู่ที่โต๊ะเหล้าเขาคุยโวไปแล้วว่าตัวเองเป็ นผู้อาวุโสของ ภูเขาลั่วพั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่กับนายท่านที่คาพูดคาจาของเขา ได้ผลอย่างมาก มีหน้ามีตาสุดๆ!
แต่ในความเป็ นจริงแล้วเฉินหลิงจวินรู ้ดีอยู่แก่ใจว่าฐานะของ ตัวเองบนภูเขาลั่วพั่วสู้นังเด็กโง่อย่างพวกหน่วนขู่ไม่ได้ด้วยซ้า
เพียงแต่ว่าดื่มเหล้าไปด้วยกันหลายมื้อ เฉินหลิงจวินโม้ถึง ประสบการณ์ในยุทธภพของตัวเอง ถึงขั้นยังคุยโวไปว่าเว่ยซานจวิน ก็คือพี่น้องร่วมสาบานของตน มีเพียงเรื่องราวของนายท่านบ้านตนที่ เขาไม่เคยพูดถึงตอนอยู่บนโต๊ะเหล้า
เหมือนจะคิดว่าหากพวกเจ้ารู ้ย่อมดีที่สุด แต่หากตอนนี้พวกเจ้า ยังไม่รู ้ถ้าอย่างนั้นหน้าก็ไปสืบเสาะให้รู ้เอาเอง
เฉินผิงอันลูบศีรษะของเด็กชายชุดเขียว “ในเมื่อเป็ นสหายของ เจ้าก็คือสหายของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ดื่มชาที่นี่กันไปก่อน พวกเราค่อย ขึ้นไปคุยกันบนภูเขา”
จากนั้นเฉินผิงอันถึงได้หันไปมองแขกทั้งสอง ยิ้มเอ่ยว่า “สหาย ทั้งสองท่าน โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับแต่ไกล”
เฉินหลิงจวินที่รู ้ตัวอย่างเชื่องช ้าเพิ่งจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ว่า แขก สูงศักดิ์ที่ทาให้นายท่านบ้านตนออกหน้ามารับรองแขกได้ด้วยตัวเอง เช่นนี้มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น มือข้างเดียวนับก็ยังพอ
พอคิดแบบนี้ในใจของเฉินหลิงจวินก็วูบโหวง รู ้สึกว่าสหายที่เพิ่ง รู ้จักได้แค่ไม่กี่วัน ไม่ควรพากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วเลย รบกวนให้นาย ท่านต้องออกมารับรองแขกด้วยตัวเองอีก
ตอนที่ภายนอกเฉินผิงอันพูดจาเกรงใจมีมารยาท เสียงในใจ กลับไร ้น้าใจของเจ้าบ้านอย่างสิ้นเชิง “จิงเฮา เคยได้ยินมาก่อน ผู้ฝึก ตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่ไม่กล้าออกจากหลิวเสียทวีปเดินทาง มายังทิศใต้ หากวันนี้ไม่เป็ นเพราะเฉินหลิงจวินเป็ นคนนาทางมา ต่อ ให้เจ้ามาที่ภูเขาลั่วพั่วก็ไร ้ความหมาย ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครต้อง ขอร ้องใคร น้าบ่อไม่ยุ่งกับน้าคลอง อย่างมากก็แค่เคารพกันและกัน อยู่ไกลๆ เท่านั้น”
“ป๋ ายเติง วันหน้าเจ้าสามารถขึ้นไปบนเรือราตรีลาหนึ่งได้ ที่นั่นมี สหายเก่าของเจ้าอยู่คนหนึ่ง สภาพการณ์ไม่ต่างจากเจ้าตอนนี้สัก เท่าไร เขาก็คือหัวหน้าศาลาซื่อสุ่ยที่เคยพิฆาตงูขาวบนเส้นทาง ทุก วันนี้คือเจ้านครของนครฉุยเกิ่งหนึ่งในสี่นครบนเรือราตรี”
สีหน้าที่ชะงักค้างของจิงเฮากลับคืนมาเป็ นปกติอย่างรวดเร็ว รีบ ใช ้เสียงในใจตอบไป ทันใดว่า “เฉินอื่นกวานเปิดเผยตรงไปตรงมา เป็ นคนตรงที่พูดตรง เดินทางมาเยือนภูเขา ถั่วพัวครั้งนี้ ต่อให้วันนี้ ต้องกินน้าแกงประตูปิดก็ไม่เป็ นไร”
สีหน้าของป๋ ายเติงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน ข่มกลั้นความ เดือดดาลในใจเอาไว้ไม่วู่วามหมุนตัวเดินกลับ ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “หากมีโอกาสจะต้องไปพบคนผู้นี้แน่”
เทียบกับคาพูดที่เฉินผิงอันเอ่ยกับจิงเฮาแล้ว ป๋ ายเติงที่ฟังเข้าหู รู ้สึกว่าเป็ นคาพูดที่รับได้มากกว่า
ไม่ว่าอารมณ์จะเป็ นเช่นไร เวลานี้จิงเฮากับป๋ ายเติงต่างก็รู ้สึกว่า ต้องมองเด็กชายชุดเขียวเสียใหม่
เฉินหลิงจวินไม่ได้ยินว่าเฉินผิงอันพูดคุยในใจกับสหายทั้งสอง อย่างไร เขาเอาแต่ใช ้เสียงในใจพึมพ าอยู่กับตัวเองว่า “นายท่าน รับรองว่าไม่ให้มีครั้งหน้าอีกแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก จะให้โอกาส ไม่ให้มีครั้ง หน้าอีก” กับเจ้าอีกสองครั้ง”
พอได้ยินประโยคนี้ซึ่งได้ผลยิ่งกว่าคาพูดปลอบใจใดๆ สีหน้า ของเฉินหลิงจวินก็กลับมามีชีวิตชีวาสดใสอีกครั้งทันที พยับเมฆ ระหว่างคิ้วล้วนสลายหายไปสิ้น
ฮ่า ขอแค่มีนายท่านอยู่บนภูเขา ตนก็มีคนช่วยหนุนหลังให้จริงๆ ด้วย
ก้นของเฉินหลิงจวินโดนคนถีบ หันไปมองก็เห็นว่าเป็ นเจิ้งต้าเฟิง ผู้เอ้อระเหยลอยชายในมือของเขาหิ้วกาน้ามาใบหนึ่ง ยิ้มพูดหน้า ทะเล้นว่า “มีเพื่อนมาหรือ? คือป๋ ายหมางกับเฉินจั๋วหลิวที่ในใจเจ้า
คิดถึงค านึงหาหรือไร?”
เฉินหลิงจวินยกสองแขนกอดอก เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่!”
ป๋ ายหมางสารถีหนุ่มกับบัณฑิตยากจนเฉินจั๋วหลิวต่างก็เป็ นคน ของอุตรกุรุทวีป เจ้าคนยากจนสองคน แม้ว่าก่อนจะจากลากัน เฉิน หลิงจวินจะทิ้งเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งให้พวกเขาไว้เป็ นค่าเดินทางใน การเดินทางไกลข้ามทวีป เพื่อที่จะได้มาราลึกความหลังกับตนที่ แจกันสมบัติทวีปได้สะดวก แต่เฉินหลิงจวินรู ้สึกว่าด้วยนิสัยจ่ายเงิน เหมือนสายน้าไหลของพวกเขาสองคน คงหมดหวังแล้ว
เฉินผิงอันหรี่ตาลงในทันใด มองไปยังสิ้นสุดปลายทางของ เส้นทางภูเขา คนผู้หนึ่งที่อยู่เหนือความคาดคิดแต่กลับสมเหตุสมผล ดี ส่วนอีกคนหนึ่ง ไม่รู ้จัก แต่เดินเคียงบ่ามากับฝ่ ายแรกได้โดยที่ บรรยากาศบนร่างไม่ตกเป็ นรองเลยแม้แต่น้อย
เฉินชิงหลิว
ส่วนคนที่เดินทางมาพร ้อมกับเฉินชิงหลิว ตอนนี้ยังไม่รู ้สถานะที่ แน่ชัด
เสี่ยวโม่มาปรากฏตัวที่หน้าประตูภูเขา และยังมีเด็กสาวสวม หมวกขนเดียวที่สีหน้าสดชื่นมีชีวิตชีวา นางถูมือเบาๆ ท่าทางหมาย มั่นปั้นมือ
ป๋ ายเติงเพียงแค่มองบุรุษชุดเขียวที่ก้าวเดินมาเนิบช ้าบนเส้นทาง แวบเดียวก็รู ้สึกปวดหัวราวหัวจะแตก อยากแต่จะลงไปนั่งคุกเข่าโขก หัวให้อีกฝ่ายตามจิตใต้ส านึก
จิงเฮายิ่งมีสีหน้ากระอักกระอ่วน คล้ายวิญญูชนบนขื่อคานที่ถูก เจ้าของบ้านจับได้คาหนังคาเขา
เฉินหลิงจวินมองตามสายตาของทุกคนไป หันหน้าไปมองแล้วก็ ต้องร ้องหืม? เพ่งตามองให้แน่ชัดอีกครั้งแล้วเด็กชายชุดเขียวก็ หัวเราะร่าเสียงดัง สะบัดชายแขนเสื้อก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า กระโดด ลอยตัว ยกฝ่ ามือขึ้นสูง ตบมือกับพี่น้องคนดีที่กลับมาพบเจอกันอีก ครั้งหลังจากลากันไปนานคนนั้นหนักๆ
ภาพนี้ทาเอาจิงเฮากับป๋ ายเติงมองหนังตากระตุก
สองเท้าของเฉินหลิงจวินสัมผัสพื้นได้ก็ทาท่าลิงเด็ดลูกท้อทันใด บัณฑิตที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความยากจนยื่นมือมาบังเป้ า เอาไว้ ผลคือเฉินหลิงจวินกลับบิดตัวฟาดแข้งใส่เอวอีกฝ่ าย
เฉินชิงหลิวปัดเสื้อผ้า เฉินหลิงจวินเก็บเท้ากลับมา พยักหน้า “พี่ น้องคนดี ยอมฟังค าแนะน ากันอยู่บ้าง ไม่ได้เอาเงินไปใช ้ในหอโคม เขียวหมด”
จิงเฮารู ้ว่าความสัมพันธ ์ระหว่างเฉินหลิงจวินกับคนพิฆาตมังกรดี มาก แต่ต่อให้คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะสนิทกันถึงขนาด นี้ ตอนนี้เขาอยากจะชดเชยแก้ไขให้ตัวเองด้วยการโขกหัวให้เด็ก น้อยชุดเขียวสักสองสามที
ป๋ ายเติงถอยหลังไปหลายก้าวจนชนเข้ากับมานั่งยาวด้านหลัง โดยที่ตัวเองไม่รู ้ตัวแม้แต่น้อย
เฉินหลิงจวินยกสองมือเท้าเอวฉับ “ข้าก าลังคิดอยู่เลยว่าเจ้าคน นี้เอาแต่ดื่มเหล้าเคล้านารีจนลืมพี่น้องคนดีของตัวเองไปแล้วหรือไม่”
บัณฑิตยากจนบ่น “น้องชายเจ้าพูดจาผายลมอะไร อีกเดี๋ยวต้อง ลงโทษตัวเองสามจอกเลยนะ”
เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างเฉินหลิงจวิน
พอหันมามองหน้าเจ้าขุนเขาเฉิน เฉินชิงหลิวก็เปลี่ยนสีหน้าไป อย่างสิ้นเชิง ใช ้เสียงในใจแนะนาสหายรักที่อยู่ข้างกายด้วยสีหน้าเฉย เมยว่า “เขาชื่อซินจี้อัน เป็ นสหายรักของข้ามานานหลายปีแล้ว มิ อาจเทียบกับใต้เท้าอิ่นกวานที่มีสหายอยู่ทั่วใต้หล้า สหายของข้ามี น้อยจนนับนิ้วได้ คนที่อยู่ข้างกายก็คือคนหนึ่งในนั้น เขาเป็ นบัณฑิต เช่นเดียวกับพวกป๋ ายเหย่ ซูจื่อ หลิ่วชี ปี นั้นเขาต้องการไปเยือน
กาแพงเมืองปราณกระบี่ ข้าก็เลยไปส่งเขาจนถึงภูเขาห้อยหัว หลังจากนั้นถึงได้เริ่มออกกระบี่สังหารมังกร ก่อนหน้านี้ไม่นานเขา กับลูกศิษย์ผู้เป็ นที่ภาคภูมิใจคนหนึ่งของปรมาจารย์มหาปราชญ์ได้ ไปเจอกับสัตว์เดรัจฉานสามตัวที่พลังพิฆาตไม่ต่าในใต้หล้าเปลี่ยว ร ้าง ต่อสู้กันอย่างดุเดือดไปครั้งหนึ่ง หากไม่เป็ นเพราะจานวนของอีก ฝ่ ายที่ยิ่งสู้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ประเด็นสาคัญคือยังมีบุคคลประหลาด เพิ่มมา…”
เซี่ยโก่วหมายจะเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แต่กลับถูกเสี่ยวโม่ รั้งแขนเอาไว้
ใบหน้าของเฉินชิงหลิวประดับยิ้มเย็นชา เหล่ตามองป๋ ายจิ่งผู้ฝึก กระบี่ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กสาวสวมหมวกขนเตียว
บัณฑิตที่เพิ่งจะกลับจากเปลี่ยวร ้างมายังไพศาลได้ไม่นานผู้นี้ คล้ายจะไม่ยินดีให้เฉินชิงหลิวพูดเรื่องวงในไปมากกว่านี้ จึงเป็ นฝ่ าย เปิดปากพูดเองด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “อยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างได้ยิน ชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของอิ่นกวานมานาน ประหนึ่งเสียงฟ้ าผ่าที่ดังอยู่ข้าง หู”
เฉินผิงอันประสานมือคารวะอีกฝ่ าย ฝ่ ายหลังก็ประสานมือคารวะ กลับคืน
คนหนึ่งอยู่ในกาแพงเมืองปราณกระบี่ คนหนึ่งอยู่ในใต้หล้า เปลี่ยวร ้าง ผู้เยาว์กับผู้อาวุโส มีช ้ามีเร็ว ต่างคนต่างออกกระบี่ ล้วน เป็ นบัณฑิตของไพศาล