กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1040.1 จุดตะเกียงชมกระบี่ท่ามกลางความเมามาย
โต๊ะตัวเดียวมีแขกอยู่หลายคน ก็ได้แต่นั่งเบียดกันไป
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างหมี่ลี่น้อยกับเฉินหลิงจวิน เฉิน ชิงหลิวกับซินจี้อันนั่งบนม้านั่งยาวตัวหนึ่งด้วยกัน จิงเฮานั่งกับป๋ าย เติง น่าสงสารอิ๋นลู่ที่ไม่รู ้เรื่องไม่รู ้ราวอะไรกับเขา แต่กลับได้ยึดครอง ม้านั่งไปเพียงลาพัง
แม้ว่าอิ๋นลู่จะรู ้สึกตะครั่นตะครอไม่สบายตัวเสียเลย แต่จะให้ บังคับดึงใครมานั่งข้างตนก็คงไม่ได้ เขามองออกแค่ว่าคนหนุ่มชุด ขาวที่มีฉายาว่าจ้าวจวินคือเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่ทั่วร่างเต็ม ไปด้วยกลิ่นอายมังกร ส่วนคนอื่นๆ อย่างจิงเฮา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แขกของภูเขาลั่วพั่วสองคนหลังนั้น อิ๋นลู่กลับมองตื้นลึกไม่ออกแล้ว ในเมื่อมองตบะของอีกฝ่ ายไม่ออก เดิมทีก็สามารถอธิบายปัญหาได้ อย่างชัดเจนแล้ว อิ๋นลู่รู ้ชัดเจนดีถึงน้าหนักของตัวเอง
มองออกถึงความกระอักกระอ่วนของอิ๋นลู่ เจิ้งต้าเฟิงที่ยกถาดมา ด้วยสองมือจึงดึงนักพรตเซียนเว่ยให้นั่งลงด้วยกัน อิ่นลู่ถือว่าตายังมี แววอยู่บ้าง รีบขยับไปนั่งริมม้านั่งยาว ให้คนเฝ้ าประตูที่สวมชุด นักพรตปักปิ่นไม้นั่งตรงกลาง หมี่ลี่น้อยใช ้สายตาสอบถามเจ้าขุนเขา คนดีเฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แม่นางน้อยชุดดาจึงลุกขึ้น ยืนแล้วเริ่มง่วนทางาน เจิ้งต้าเฟิงผลักถาดใบนั้นไปทางหมี่ลี่น้อย นาง
จึงหยิบเมล็ดแตงในชายแขนเสื้อออกมาวางในถาดเป็ นกองๆ ก่อนจะ เปิดกระเป๋ าผ้าฝ้ ายออก เทปลาตัวน้อยตากแห้งที่ห่อด้วยกระดาษ น้ามันสองห่อลงในถาดกระเบื้อง จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงค่อยเอาถาดวางไว้ กลางโต๊ะ เพื่อสะดวกให้ทุกคนยื่นมือมาคว้าไปได้
อย่าว่าแต่ใต้หล้าไพศาลเลย ทั่วทั้งโลกมนุษย์ ผู้ที่กล้ารับรอง
แขกเช่นนี้มีไม่มากเลย
เสี่ยวโม่โน้มน้าวเซี่ยโก่วให้ไปที่อื่นด้วยกันแล้ว หรือจะพูดให้ถูก ก็คือลากตัวเด็กสาวสวมหมวกขนเตียวออกไปด้วยกัน
อย่าได้คิดว่าป๋ ายจิ่งดีแต่จะข่มขู่ให้คนกลัว หากต้องต่อสู้กัน ขึ้นมาจริงๆ ก็คือการต่อสู้ที่แท้จริงแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยกับซินจี้อันว่า “อาจารย์เหม่ยฉิน พวกเราดื่มชา ที่นี่กันก่อน อีกเดี๋ยวค่อยขึ้นไปดื่มบนภูเขา สถานที่ก็จะกว้างขวาง แล้ว”
ซินจี้อันยกถ้วยชาขึ้น ยิ้มเอ่ย “ไม่เป็ นไร อยู่ที่นี่ก็มีอิสระดี”
เคยชินกับการใช ้ชีวิตบนหลังม้ามานานแล้ว บวกกับนิสัยใจคอ พื้นฐาน แต่ไหนแต่ไรมาซินจี้อันจึงไม่ได้มีมาดของเซียนซืออย่าง พวกจิงเฮา
พอจิงเฮาได้ยินค าเรียกขานว่า “อาจารย์เหม่ยฉิน” มือที่เพิ่งยก ชามขึ้นก็สั่นทันที เส้นเอ็นหัวใจบีบรัดตัวในฉับพลัน
หากจะพูดถึงบัณฑิตที่มีฉายาว่า “เหม่ยฉิน” ของไพศาลแล้วล่ะ ก็ หากไม่มีหนึ่งพันก็ต้องมีอยู่หลายร ้อย แต่ “อาจารย์เหม่ยฉิน” ที่ สามารถมาเยือนภูเขาลั่วพั่วพร ้อมกับเฉินเซียนจวินได้จะยังเป็ นใคร ได้อีก?!
ซินจี้อันมองจิงเฮาที่เดาสถานะของตนออกได้แล้วคลี่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ระหว่างที่เดินทางมา สหายรักยังพูดถึงเรื่องที่ภูเขาชิงกงจะตก ไปเป็ นของใครกับข้า ข้าไม่ได้เห็นด้วยเท่าไรนัก แน่นอนว่านี่เป็ น เรื่องในบ้านของพวกเจ้า ข้าที่เป็ นคนนอกย่อมไม่มีสิทธิ์ออก ความเห็น”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างชอบใจ
จ าได้ว่าอริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นเคยมีค าวิจารณ์ต่อซินจี้อัน ใน คาพูดแฝงไว้ทั้งความหมายในเชิงลบและเชิงบวก
ผู้ที่มีความสามารถในการเป็ นผู้นา กวาดล้างทุกอย่างราบคาบ เพียงแต่ว่าในยามที่เขาท าตามอ าเภอใจอย่างก าเริบเสิบสานกลับไม่มี ใครกล้าตาหนิเขาแม้เพียงครึ่งคา
พูดง่ายๆ ก็คือตอนที่เขานาทัพทาสงครามสร ้างความผาสุก ให้กับใต้หล้า คนอื่นอย่าได้ปากมากเอ่ยต าหนิ
ความคิดของเฉินหลิงจวินไม่ได้อยู่บนตัวของผู้ฝึ กตนหนุ่มที่ บุคลิกสุภาพอ่อนโยน เขาง่วนอยู่กับการยักคิ้วหลิ่วตาให้เฉินจั๋วหลิว พี่น้องคนดี พวกเราสองคนใช ้น้าชาต่างสุรา มาชนกันสักหน่อย
เฉินชิงหลิวยกชามขึ้นดื่มชาแต่ทาท่าสะใจเหมือนดื่มสุรา เฉิน หลิงจวินกระดกดื่มรวดเดียวหมดแล้วเช็ดปาก ร ้องฮ่าหนึ่งที สะใจ สะใจ
ซินจี้อันหยิบปลาลาธารตากแห้งขึ้นมาเคี้ยวละเอียดแล้วกลืน ช ้าๆ พยักหน้าเอ่ย “รสชาติดี”
หมี่ลี่น้อยเกาแก้ม ยิ้มเขินอาย ยื่นนิ้วไปชี้ปลาลาธารตากแห้งอีก สองสามชนิดที่เหลือ “อาจารย์เหม่ยฉิน ยังมีพาตี้หู่ หวงล่าติงที่อร่อย มากเหมือนกันนะ”
ซินจี้อันยิ้มจนตาหยี ยื่นมือไปหยิบปลาลาธารตากแห้งอีกสองตัว ขึ้นมากินจริงๆ “ได้เลย ข้าจะลองชิมให้หมด”
หมี่ลี่น้อยก็ยิ้มตาหยีตามเขาไปด้วย
เฉินผิงอันแนะนาให้คนทั้งสองรู ้จักกันด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์เหม่ย ฉิน นางชื่อโจวหมี่ลี่คือผู้พิทักษ์ขวาของภูเขาลั่วพั่วพวกเรา”
ซินจี้อันพยักหน้า “จั๋วหลิวเคยเล่าให้ฟังแล้ว ดีมาก นี่ต่างหากจึง จะเป็ นภาพบรรยากาศที่บนภูเขาควรมี นี่เป็ นความเห็นส่วนตัวของ ข้านะ”
ก่อนหน้านี้เฉินชิงหลิวเคยมีการเตือนซินจี้อันเป็ นพิเศษมาก่อน บอกว่าทุกวันนี้สถานะของเขาคือบัณฑิตยากจนจากอุตรกุรุทวีป ชื่อ ว่าเฉินจั๋วหลิว มาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วห้ามเขาหลุดปากพูดกับสหายจิ่ง ชิงเด็ดขาด
จิงเฮาใช ้หางตาลอบมองเฉินหลิงจวินที่ยิ้มกว้างอยู่ตลอดเวลา เขายิ่งไม่แน่ใจแล้วว่าเป็ นเพราะไม่รู ้ถึงน้าหนักของ “เหม่ยฉิน” เพราะ อ่านต ารามาน้อย ใจใหญ่ หรือว่ารู ้แต่ไม่สนใจ? เพราะถึงอย่างไรใน ช่วงเวลานสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน เด็กชายชุดเขียวคนนี้ก็สร ้างความ ประหลาดใจให้กับจิงเฮาหลายครั้งแล้ว ขอแค่เป็ นคนปกติทั่วไปก็ดู เหมือนจะถูกเฉินหลิงจวินปั่นหัวให้มึนงงได้อย่างง่ายๆ
เฉินชิงหลิวยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จิ่งชิง ยังจาที่ข้าบอกกับเจ้าได้ไหม ว่าข้ามีสหายแซ่ซินอยู่คนหนึ่ง วันหน้าจะช่วยแนะนาให้เจ้าได้รู ้จัก”
เฉินหลิงจวินที่ถอดรองเท้านั่งขัดสมาธิอยู่นานแล้วทาหน้าเหลอ หรา “หา?”
มารดามันเถอะ พวกเราดื่มเหล้าด้วยกันมาตั้งหลายมื้อ พูดคุย เรื่องโน้นเรื่องนี้กันมากมาย ลืมไปนานแล้ว แล้วจะให้พูดส่งเดชว่า ตัวเองจาได้ก็ไม่ได้เสียด้วย นี่เจ้ากาลังทาให้ข้าล าบากใจอยู่ไม่ใช่ หรือ?
เฉินชิงหลิวยกชายแขนเสื้อขึ้น สองนิ้วประกบกันชี้ไปที่ถ้วยขาว บนโต๊ะเหมือนส่งสัญญาณลับ ยิ้มเอ่ยว่า “จอกเหล้า เจ้าขยับมาใกล้ ข้า!”
“หากพูดแบบนี้แต่แรกก็เข้าใจไปนานแล้ว จาได้สิ ทาไมจะจา ไม่ได้ล่ะ!”
เฉินหลิงจวินตบเข่าฉาด หัวเราะฮ่าๆ หันไปยกนิ้วโป้ งให้กับ อาจารย์เหม่ยฉิน “พี่ใหญ่ฉิน เวลาอยู่บนโต๊ะเหล้าท่านเป็ นแบบนี้เลย นะ!”
แล้วก็เพราะว่านั่งอยู่ไกลกัน ไม่อย่างนั้นจะต้องตบไหล่ของอีก ฝ่ายแสดงถึงความเคารพแล้ว
ซินจี้อันยิ้มเอ่ย “ดื่มเหล้าเยอะไปหน่อย อย่าได้คิดเป็ นจริงเป็ น จัง”
เฉินหลิงจวินกุมท้องหัวเราะก๊าก ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาท่าผลัก ประตูเปิด พูดกลั้วหัวเราะอย่างมีความสุข “พี่ใหญ่เฉินยังบอกด้วยว่า ท่านคนนี้คอไม่แข็งนัก มีครั้งหนึ่งเมาพับอยู่ข้างต้นสน ใช ้มือผลักต้น สน ผลักอยู่ตั้งนาน…”
ซินจี้อันหลุดหัวเราะพรีด
ผลคือเด็กชายชุดเขียวถูกนายท่านของตัวเองตบป้ าบไปหนึ่งที
เฉินหลิงจวินขุ่นเคือง หุบยิ้มทันที “พี่ใหญ่ซิน ข้าไม่ได้หัวเราะ เยาะท่านนะ ข้าคนนี้พอเหล้าเข้าปากแล้วก็มักจะควบคุมปากตัวเอง ไม่ได้ ท่านอย่าได้ถือสา คนกันเองไม่พูดจาห่างเหิน”
หมี่ลี่น้อยเอ่ยเตือนเสียงเบา “จิ่งชิง จิ่งชิง เจ้ายังไม่ได้ดื่มเหล้าเลย นะ”
เฉินหลิงจวินร ้องเฮ้อเลียนแบบนายท่านของตัวเอง “เรื่องนี้เจ้าไม่ เข้าใจแล้ว บุรุษในยุทธภพพบเจอกันโดยบังเอิญ แค่เห็นหน้าก็ เหมือนรู ้จักกันมานาน เหมือนได้ดื่มเหล้าหมักเลิศรส”
หมี่ลี่น้อยไม่อยากจะโต้เถียงจิ่งชิงต่อหน้าทุกคน จึงแค่แอบขมวด คิ้วสีเหลืองอ่อนจางสองข้างเงียบๆ สองมือยกชามขาว ก้มหน้าดื่มชา
เฉินหลิงจวินรู ้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้วจึงรีบแก้ค าพูด หันหน้าไป เอามือป้ องข้างปากเอ่ยเสียงเบาว่า “หมี่ลี่น้อย เดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าหา ปริศนาค าทายสักสิบข้อนะ”
หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง ก่อนจะรีบก้มหน้าลง
ซินจี้อันมองนักพรตเซียนเว่ยที่เอาแต่ดื่มชาของตัวเอง ครั้นจึง
หันไปมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันพยักหน้าเบาๆ
จิงเฮาเงียบงันไปนาน ชั่วชีวิตนี้ผู้ฝึกตนเฒ่าได้เข้าร่วมงานเลี้ยง งานพิธีการมาหลายพันครั้ง แต่ไม่เคยเจอ ‘งานเลี้ยงสุรา” ที่ทาเล่น เป็ นเด็กๆ แบบนี้เลย
ตรงข้ามกับโต๊ะก็คือคนพิฆาตมังกร ป๋ ายเติงรู ้สึกเหมือน เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ผ่อนคลาย
ดื่มชาร่วมโต๊ะกับศัตรูที่ “สถานที่ที่มีเจียวและมังกรในโลกมนุษย์ ก็ต้องมีการพิฆาตมังกร” นี่ก็คือสถานการณ์ที่ป๋ ายเติงไม่กล้าแม้แต่ จะคิดถึง
ส่วนอิ๋นลู่ก็ยิ่งไม่รู ้เลยว่า นักพรตเซียนเว่ยที่นั่งอยู่ข้างกายอดีต รองเจ้านครของนครเซียนจานอย่างเขาก็คือเจ้าของนครเซียนจาน ตัวจริง และยิ่งเป็ นเจ้าของปิ่นเต๋าที่ทาหล่นไว้ในโลกมนุษย์
ดื่มชากันไปแล้ว กลุ่มคนก็แบ่งออกเป็ นสองกลุ่ม
เฉินผิงอันกับหมี่ลี่น้อยรับหน้าที่พาซินจี้อันเดินขึ้นภูเขา อ้อม เส้นทางไปเดินเล่นที่ยอดเขาจี๋หลิงภูเขาบรรพบุรุษ ส่วนเฉินชิงหลิว นั้นติดตามเฉินหลิงจวินไปดื่มเหล้าที่ยอดเขาจี้เช่อซึ่งอยู่ใกล้กว่า
เด็กชายผมขาวไม่ได้มานั่งที่โต๊ะ เพียงแค่นั่งยองอยู่หน้าประตู ภูเขา หยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาแล้วเริ่มเขียนบันทึกรวมถึงวันเดือนปี ลงไป
เดินไปบนเส้นทางภูเขาของยอดเขาจี๋หลิงซึ่งเป็ นที่ตั้งของภูเขา บรรพบุรุษ
ซินจี้อันเป็ นฝ่ ายเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ครั้งนี้ศาลบุ๋นแต่งตั้งซานจวิ นห้ามหาบรรพตของแจกันสมบัติทวีปอย่างเป็ นทางการ ไม่ใช่หย่า เซิ่ง เหวินเซิ่ง แล้วก็ไม่ใช่พวกเจ้าลัทธิศาลบุ๋นหรือผู้อ านวยการ สถานศึกษาที่ดาเนินพิธีการ แต่เป็ นลูกศิษย์ห้าท่านของปรมาจารย์ มหาปราชญ์เป็ นผู้ออกหน้า สภาพการณ์ของพวกเขาในตอนนี้
ค่อนข้างคล้ายกับเจ้าเวลานี้ คนหนึ่งในนั้นมีครั้งหนึ่งที่เคยเผยกายที่ ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างพร ้อมกับข้า เขาคือลูกศิษย์ที่ปรมาจารย์มหา ปราชญ์ไม่เคยปิดบังว่ารักเขาลาเอียงกว่าใคร และยังมีคนที่อยู่นอก ฟ้ า เฉินชิงหลิวเล่าว่าก่อนหน้านี้เจ้าติดตามหลี่เซิ่งไปขัดขวางใต้หล้า เปลี่ยวร ้าง พวกเจ้าอาจจะเคยเจอกันแล้ว ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาก มาแล้วเขาก็คือนักบัญชีของเหล่าบัณฑิตในยุคบรรพกาล นอกจาก จะตั้งใจศึกษาหาความรู ้แล้วก็ยังรับผิดชอบเรื่องเงินทองและเรื่องการ หาเงินด้วย”
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งทันใด พยักหน้าเอ่ยว่า “แค่เคยเจอหน้ากัน ตอนนั้นผู้เยาว์ไม่รู ้ถึงตัวตนของอริยะปราชญ์ท่านนั้น”
หากรู ้ตัวตนของอีกฝ่ ายแต่แรก ใช ้คาพูดของผู้เชี่ยวชาญบนโต๊ะ เหล้าอย่างเฉินหลิงจวินก็คือต้องพูดคุยให้รู ้สูงต่ากันให้จงได้
ก่อนหน้านี้บนพื้นดินของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างในสถานที่ที่ปราณ วิญญาณบางเบา มีคนสองคนมาสร ้างกระท่อมฝึกตนอยู่ใกล้กัน
ก่อนจะออกมาจากพื้นที่ประกอบพิธีกรรม ชายฉกรรจ์เคราดก ได้เจอกระบี่เหล็กเล่มหนึ่ง กวานสูงชิ้นหนึ่ง สวมชุดลัทธิขงจื๊อ สวม กวานพกกระบี่
ส่วนซินจี้อันสามารถรวบรวมค่ายกลที่พังทลายมาได้สามพัน ค่ายกล ปลดกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาจากบนกาแพงได้ จากนั้นจึง จับมือกับสหายรักเดินทางไปยังพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร ้าง
เฉินผิงอันยิ้มถาม “อาจารย์เหม่ยฉิน อีกเดี๋ยวพอดื่มเหล้ากันแล้ว ผู้เยาว์อยากจะขอให้ท่านเขียนเทียบอักษรให้สักชิ้นได้หรือไม่”
ซินจี้อันส่ายหน้า “เจ้าขุนเขาเฉิน คงไม่ดื่มเหล้าแล้วล่ะ”
ไปถึงลานหยกขาวกว้างนอกศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี๋หลิง ภูเขาสายน้าดุจภาพวาดซินจี้อันยืนพิงราวริ้วทอดมองทัศนียภาพอัน
ยิ่งใหญ่งดงาม
หมี่ลี่น้อยสังเกตเห็นว่าเจ้าขุนเขาคนดีคล้ายจะรอคอยอะไร บางอย่าง รอกระทั่งอาจารย์เหม่ยฉินขยับเท้าจากไปเงียบๆ เจ้า ขุนเขาคนดีก็คล้ายจะผิดหวังอยู่บ้างเล็กน้อย?
เข้าใจแล้ว เจ้าขุนเขาคนดีคงอยากจะประลองบทกวีสินะ?
ฮ่า เว่ยซานจวินเคยบอกไว้แล้วว่าเจ้าขุนเขาคนดีแต่งกลอนต่า โหยวเก่งเป็ นอันดับหนึ่งเลยล่ะ!
พวกเขาเดินเลียบเส้นทางภูเขาไปยังยอดเขาจี้เช่อ เฉินผิงอันไม่ สะดวกจะพาซินจี้อันไปยัง “ห้องหนังสือ” บนเรือนไม้ไผ่ของตัวเอง จู เหลี่ยนจึงออกหน้ามาช่วยเจ้าขุนเขารับรองแขกที่หาได้ยาก
สายลมพัดผ่านลานบ้าน เสียงกระดิ่งเหล็กรูปม้าใต้ชายคาส่ง เสียงดังเหมือนม้าร ้อง
ซินจี้อันที่ก่อนหน้านี้บอกว่าจะไม่ดื่มเหล้า พอพ่อครัวเฒ่าที่ผูก ผ้ากันเปื้อนไว้ที่เอวยกกับแกล้มแกล้มสุราสองสามจานมาวางก็ท า
หน้าเคร่งขรึมเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ไม่ต้องเอาเหล้าหมักเซียนบนภูเขา แค่เหล้าหมักของพวกชาวบ้านก็พอแล้ว
นอกจากหมี่ลี่น้อยที่แทะเมล็ดแตงแล้ว ทุกคนล้วนดื่มจนเริ่ม เมากรึ่มๆ ซินจี้อันยิ้มถามว่า “เนื้อหาในเทียบอักษรจะให้เอาถ้อยคา เก่าๆ ที่พลิกมาจากกองกระดาษหรือเป็ นถ้อยคาที่คิดค้นขึ้นใหม่ดี
ล่ะ?”
เฉินผิงอันรู ้สึกล าบากใจอยู่บ้าง เพราะเขาคิดว่าจะคาใหม่หรือคาเก่าก็ได้ทั้งนั้น
ก็แค่เรื่องเล็กน้อยที่ต้องเอากระดาษเซวียนจื่อที่ว่างเปล่ามาเพิ่ม อีกแผ่นหนึ่ง
ถึงอย่างไรซินจี้อันก็ยังไม่รู ้จักนิสัยใจคอของเถ้าแก่รองร ้านเหล้า ดี จึงพูดพึมพ ากับตัวเองว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาคาเก่าแล้วกัน”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “แค่ประโยคเดียวก็พอ”
ซินจี้อันถามอย่างสงสัย “ประโยคไหน?”
เฉินผิงอันยิ้มมองหมี่ลี่น้อย ทาท่ามือหนึ่งถือจอกสุรามือหนึ่งบิด ข้อมือ คล้ายเป็ นค าปริศนา หมี่ลี่น้อยครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู ้คาตอบแล้ว นางรีบยกมือขึ้นทันใด “ข้ารู ้แล้ว ข้ารู ้แล้ว เจ้าขุนเขาคนดีอยากให้ อาจารย์เหม่ยฉินเขียนประโยคที่มีหกตัวอักษร!”
ซินจี้อันมังกรในกลุ่มถ้อยค า
เป็ นเพราะเขียนถ้อยคายอดเยี่ยมเลิศล้าที่ติดปากผู้คนมามาก เกินไปจริงๆ มีทั้งความห้าวเหิมแล้วก็มีทั้งความละมุนละไม
หมี่ลี่น้อยกระแอมให้ลาคอชุ่มชื้น ยืดเอวตรง ให้คาตอบด้วยเสียง ดังกังวานว่า “จุดตะเกียงชมกระบี่ท่ามกลางความเมามาย!”
ซินจี้อันเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวน อาจารย์จูทากับข้าวเพิ่มอีกสองจาน เอาเหล้ามาอีกสองกา”
……
เฉินหลิงจวินสีหน้าสดชื่นแจ่มใส พาทั้งสหายเก่าและสหายใหม่ ไปดื่มที่เรือนของตัวเอง โอกาสเช่นนี้ช่างหาได้ยากนัก
ก่อนจะขึ้นเขาได้ใช ้เสียงในใจพูดคุยกับเจิ้งต้าเฟิ งไปสองสาม ประโยค รบกวนให้เขาช่วยไปพูดดีๆ กับเว่ยซานจวิน ขอเหล้าหมัก ตระกูลเซียนมาสักสองสามกา ยิ่งมีชื่อเสียงมากเท่าไรก็ยิ่งดีมาก เท่านั้น ราคาแพงไม่แพงไม่เป็ นปัญหา ถึงอย่างไรเขาก็สามารถ จ่ายเงินซื้อจากจวนซานจวินได้ เวลาปกติพี่น้องต้าเฟิงพึ่งพาไม่ได้ แต่พอถึงช่วงเวลาสาคัญกลับพึ่งได้อย่างมาก เขาพยักหน้าตอบตก ลงทันที บอกว่าอีกเดี๋ยวเขาจะรับภาระนี้นาเหล้าไปมอบให้นายท่าน ใหญ่เฉินด้วยตัวเอง รับรองว่าจะต้องเป็ นเหล้าดีแน่นอน จะต้องเป็ น เหล้าหมักบนภูเขาที่กองระเบียบพิธีการของภูเขาพีอวิ๋นเก็บรักษาไว้ เป็ นอย่างดีมานานหลายปี
แล้วก็เพราะมีสหายอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นเฉินหลิงจวินคงจะต้องไป ทุบขานวดไหล่ให้พี่ต้าเฟิงแล้ว