กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1040.2 จุดตะเกียงชมกระบี่ท่ามกลางความเมามาย
เดินอยู่บนเส้นทาง ชายแขนเสื้อสองข้างของเฉินหลิงจวินสะบัด ลอยลิ่ว
เนื่องจากได้เจอกับเฉินจั๋วหลิว เฉินหลิงจวินจึงมีความสุขอย่าง มาก คอยปัดชายแขนเสื้อให้เฉินจั๋วหลิวเป็ นระยะ จุ๊ปากเอ่ยว่า เนื้อ ตรงนี้ช่างแข็งและแน่ นตึงนัก พี่น้องต้าเฟิ งพูดได้ดี คนหนุ่ มมี พละก าลังแข็งแกร่ง กันร ้อนจนย่างแผ่นแป้ งได้
เพียงแต่ไม่รู ้ว่าพี่ใหญ่เฉินที่เมื่อห้าร ้อยปีก่อนเป็ นคนครอบครัว เดียวกัน ทุกวันนี้หาภรรยาได้หรือยัง คาดว่าน่าจะเป็ นไปไม่ได้ ใน กระเป๋ าไม่มีเงิน เอวก็ไม่แข็ง อาศัยแค่รูปโฉมที่โดดเด่น หลอกแม่นาง น้อยที่ชอบอ่านนิยายรักประโลมโลกของล่างภูเขายังพอได้ แต่บน ภูเขากลับไม่เป็ นที่นิยม เว้นเสียแต่ว่า…รูปโฉมเหมือนโจวอันดับหนึ่ง หรือไม่ก็เซียนกระบี่หมี่? ส่วนอย่างพ่อครัวเฒ่าน่ะหรือ อัปลักษณ์ เป็ นชายโสดก็สมควรแล้ว
แม้จะบอกว่าเป็ นสหายเหมือนกัน แต่ส่วนลึกในหัวใจของเฉิน หลิงจวินก็มีการแบ่งใกล้ชิดห่างเหินอย่างชัดเจน
เฉินจั๋วหลิวกับพี่ใหญ่เจี่ย ป๋ ายหมาง พี่น้องเทพวารีของแม่น้าอวี้ เจียง และหลี่หยวนหลงถิงโหวแห่งลาน้าจี้ตู๋ ฯลฯ พวกเขาล้วนเป็ น สหายรักอันดับหนึ่งในใจของเฉินหลิงจวิน
ส่วนผู้อาวุโสจิงและสหายป๋ ายเติง ถึงอย่างไรก็เพิ่งจะรู ้จักกันได้ ไม่นาน ยังต้องดูว่าอยู่บนโต๊ะดื่มเหล้ากันอย่างไร นอกโต๊ะก็ต้องใช ้ เวลาดูใจกัน ไม่ว่าจะอย่างไร สหายจะมีเพิ่มได้ก็ยิ่งต้องดื่มเหล้ากันให้ มากๆ
เฉินชิงหลิวปรายตามองจิงเฮาที่เดินอยู่ฝั่งขวามือของเฉินหลิง จวิน ใช ้เสียงในใจยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ได้เจอกันอีกแล้ว”
เจ้าจิงเฮาผู้นี้ยังมีสมองอยู่บ้าง รู ้จักเป็ นฝ่ ายมาเยี่ยมเยือนเฉิน หลิงจวินที่นี่ด้วยตัวเอง
จิงเฮาไม่กล้าแพร่งพรายความสัมพันธ ์ระหว่างตนกับเฉินเซียนจ วินออกไป จึงได้แต่ใช ้เสียงในใจตอบกลับไปว่า “ผู้เยาว์ไม่เคยคิดว่า จะได้เจอกับเฉินเซียนจวินอีกครั้งที่นี่ เป็ นเรื่องน่ายินดีบนความ น่ายินดี”
เฉินชิงหลิวกระตุกมุมปาก ไม่ว่ามองเจ้าหมอนี่อย่างไรก็รู ้สึกไม่ ถูกชะตา จึงเริ่มสาดเกลือลงบนบาดแผลของจิงเฮา “ทาตัวขี้ขลาด ต่อหน้าจั่วโย่วก็ช่างเถิด เขาเฉินผิงอันทุกวันนี้เป็ นแค่ก่อก าเนิดตัว น้อยขอบเขตสิบคนหนึ่งเท่านั้น จะมาทาตัวกร่างกับผู้ฝึกตนขอบเขต บินทะยานอย่างเจ้าได้อย่างไร ยังจะพูดว่าเคารพอยู่ห่างๆ หึหึ ขอบเขตไม่สูง แต่พูดจาวางโตนัก เจ้าทนได้หรือ?”
จิงเฮาท าท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เขาอยากเอ่ยประโยคจากใจจริงอย่างยิ่งว่า ผู้อาวุโส ข้าทนได้
ใช ้กระบี่ฟันเปิดภูเขาทัวเยว่ คนผู้หนึ่งที่อายุอยู่ในวัยไม่สับสนแต่ กลับได้แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวก าแพงเมือง
อย่าว่าแต่ขอบเขตถดถอยมาเป็ นก่อก าเนิดเลย ต่อให้เฉินผิงอัน ไม่เหลือตบะอีกแม้แต่น้อย ข้าจิงเฮาอยู่ในถิ่นของคนอื่นเขา แค่ฟัง ประโยคเหน็บแนมไม่กี่คา จะนับเป็ นอะไรได้
เฉินชิงหลิวหลุดหัวเราะพรืด “ก็แค่ว่าข้างกายมีผู้ฝึ กกระบี่ ขอบเขตบินทะยานที่มีชาติก าเนิดจากเผ่าปี ศาจโผล่มาสองคน เท่านั้น เจ้ากลัวอะไรกันแน่? เจ้าไม่ได้เป็ นฝ่ ายไปหาเรื่องภูเขาลั่วพั่ว เองเสียหน่อย หรือว่าพวกเขาจะยังกล้าใช ้กระบี่ฟันเจ้าให้ตาย คิดว่า กฎของศาลบุ๋นเป็ นแค่เครื่องประดับจริงๆ หรือไร? ท าไม นอนอยู่ในรัง บนภูเขานานเข้าก็ฝึกวิชาเต่าได้ส าเร็จ ตอนไหนควรหดหัวก็ต้องหด หัวอย่างนั้นหรือ?”
จิงเฮาเงียบไม่ตอบ
กลัวก็แต่ว่าตนเปิดปากพูดจาแข็งกระด้างแม้เพียงเล็กน้อย เฉิน เซียนจวินหันหน้ากลับได้ก็จะเอาตนไปขาย ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็คงไม่ ต้องออกไปจากภูเขาลั่วพั่วกันแล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่กล้าเชื่อ ตอนนี้ได้ยินประโยคเปิ ดเผยความลับ สวรรค์จากเฉินเซียนจวินจิตแห่งมรรคาของจิงเฮาก็สะเทือนไหว สอง คนนั้นเป็ นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานจริงๆ ด้วย!
ประเด็นส าคัญคือพวกเขายังมีชาติก าเนิดมาจากเผ่าปีศาจของ เปลี่ยวร ้าง
ต้องรู ้ว่ามิอาจมองปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานของเปลี่ยวร ้าง กับผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานของใต้หล้าแห่งอื่นอย่างเท่าเทียมกัน ได้ นี่คือเรื่องจริงที่บนภูเขาให้การยอมรับ
จิงเฮามองเด็กชายชุดเขียวที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง โชคดีที่มีคนผู้ นี้ ตนถึงได้มีโอกาสขึ้นเขา
มิอาจเข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง แต่กลับได้ ดื่มเหล้าในภูเขาลั่วพั่วหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของภูเขาชิงกง ก็คงกอบกู้กลับคืนมาได้ไม่น้อย
เฉินหลิงจวินสัมผัสได้ถึงสีหน้าระหว่างเฉินชิงหลิวกับจิงเฮาก็ ถามอย่างสงสัยว่า “พวกเจ้าคุยอะไรกันลับๆ ล่อๆ หรือ?”
เฉินชิงหลิวหัวเราะร่าเอ่ยว่า “แค่บังอาจพูดจาตีสนิทกับเทพ เซียนผู้เฒ่าจิงสองสามประโยค กลัวก็แต่ว่าอาจเอ่ยประโยคใดไม่ ถูกต้อง ไม่ทันระวังไปโดนเกล็ดย้อนของผู้อาวุโสเข้า แล้วจะท าให้ผู้ อาวุโสเดือดดาลใส่ข้า”
จิงเฮามีเรื่องลาบากใจแต่กลับยากจะเอื้อนเอ่ยออกมา
มีเพียงเฉินหลิงจวินที่ถูกปิดหูปิดตาที่พยายามจะช่วยไกล่เกลี่ย สถานการณ์ พูดโน้มน้าวด้วยความหวังดีว่า “อย่าเป็ นแบบนี้สิ ล้วน เป็ นสหายกันทั้งนั้น พวกเรายังไม่ทันได้ดื่มเหล้าบนโต๊ะ เจ้าก็พูดจา
ทาร ้ายความรู ้สึกกันเช่นนี้แล้วหรือ? แบบนี้ไม่ดีหรอกนะ เชื่อข้าเถอะ อดเอาไว้ ดื่มเหล้าก่อนแล้วค่อยคุยกันอย่างเปิดใจ บนโต๊ะสุราน่ะไม่มี ล าดับอาวุโสหรอก”
ขณะเดียวกันเด็กชายชุดเขียวก็ใช ้เสียงในใจเตือนเฉินชิงหลิวว่า “เกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกเรื่องสถานะและภูมิหลังของเทพ เซียนผู้เฒ่าจึงให้เจ้ารู ้แล้วไม่ใช่หรือ? ตบะและขอบเขตน้อยนิดแค่นี้ ของเจ้าอย่าได้พูดจาตรงไปตรงมาต่อหน้าผู้อาวุโสอย่างจิงเฮา เด็ดขาดเลย ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานพวกนี้ล้วนมีความเจ้า อารมณ์เป็ นของตัวเอง เชื่อข้าเถอะ เจ้าอย่าได้พูดจาขวานผ่าซาก มากนัก”
เฉินชิงหลิวใช ้เสียงในใจตอบกลับ “ข้ายังนึกว่ามีผู้ฝึกตนใหญ่ บนยอดเขาอย่างจิงเฮาเป็ นสหายแล้วจะลืมสหายเก่าที่ไม่ว่าจะพาไป ดื่มเหล้าที่ไหนก็ต้องอับอายขายหน้าคนอื่นอย่างข้าแล้วเสียอีก”
เฉินหลิงจวินทนฟังเรื่องแบบนี้ไม่ได้มากที่สุด เขาเริ่มมีโทสะแล้ว ถลึงตาใส่ ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “ไม่รู ้จักแยกแยะดีชั่ว เจ้าน่ะชอบพูดจา เหมือนผายลม! อีกเดี๋ยวข้าจะดื่มลงโทษตัวเองก่อนสามจอก เจ้าก็ ต้องดื่มตามด้วย!”
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เฉินหลิงจวินก็ยังกังวลว่าด้วยนิสัยเสียๆ ของเจ้า เฉินชิงหลิวที่ชอบใช ้อารมณ์ของบัณฑิตจะควบคุมปากตัวเองไม่อยู่ แล้วจะต้องเสียเปรียบคนอื่น
“คนคนหนึ่งท่องอยู่ในยุทธภพเป็ นเรื่องยากถึงเพียงใด ข้ารู ้ดี เจ้า คนนี้ความสามารถไม่ได้มีมากอะไร แต่กลับรักหน้าตาของตัวเองเป็ น ที่สุด เรื่องนี้ข้าก็รู ้ดีเหมือนกัน!”
“ดังนั้นเรื่องไร ้สาระบางอย่าง อย่างเช่นว่าต้องการให้ข้าช่วยให้ เจ้าได้ลงหลักปักฐานมีสถานะบนท าเนียบอยู่ในอาณาเขตของ ขุนเขาเหนือหรือไม่ ข้าจึงไม่พูดถึงแล้ว แต่หากจะพูดถึงเรื่องเงินเทพ เซียน ล้วนเป็ นของนอกกาย หลังจากที่พวกเราสองพี่น้องแยกย้าย กัน หลายปีมานี้ข้าก็พอมีเก็บอยู่บ้าง เจ้าเอาไปได้หมดเลย บอกไว้ ก่อนว่าข้าได้แบ่งเป็ นสองส่วน ส่วนหนึ่งมอบให้เจ้า อีกส่วนเก็บไว้ให้ พี่น้องที่รักอย่างป๋ ายหมาง ใครใช ้ให้ข้ามีสหายไม่มาก ในกระเป๋ ามี เงินไม่กี่แดงแล้วยังชอบทาตัวเป็ นนายท่านใหญ่ก็มีแค่พวกเจ้าสอง
คนกันเล่า”
“อย่ารังเกียจว่าข้าพูดมาก ยิ่งอย่าได้รู ้สึกไม่ดี พวกเราสองคนคือ ใครกับใคร มิตรภาพของคนที่มีทุกข์ร่วมต้านวางไว้อยู่ตรงนั้น ดังนั้น หากเจ้าเจอกับเรื่องยากลาบาก เงินสองส่วนนี้จะยกให้เจ้าไปทั้งหมด ส่วนของป๋ ายหมาง ข้าค่อยเก็บสะสมใหม่ก็แล้วกัน รับรองว่าจะไม่ให้ ส่วนของเขาขาดไปแม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว หากว่าเงินไม่พอ ข้า ก็จะไปขอยืมจากคนอื่น เอ่ยประโยคที่ไม่คุยโวสักคา ข้าอยู่ที่ภูเขาลั่ว พั่วแห่งนี้ ไม่ว่าจะกับใคร เรื่องของการยืมเงินก็ล้วนเป็ นแค่เรื่อง เล็กน้อย ไม่ถือว่าติดค้างน้าใจกันด้วยซ้า เว่ยซานจวินแห่งภูเขา พีอวิ๋น คนที่ชอบจัดงานเลี้ยงท่องราตรีน่ะ เขากับข้าก็คือพี่น้องที่ดีที่
ขาดแค่ไม่ได้ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองกันเท่านั้น เจ้าก็ลองคิดดู แล้วกัน ในเมื่อเงินของข้าก็คือเงินของเจ้า เงินทองจะถือเป็ นอะไรได้? ไม่ถือเป็ นผายลมอะไรด้วยซ้า”
“ยังมีอีก ข้าแค่พูดว่าถ้าหากนะ ถ้าหากเจ้าเจอกับเรื่องที่จ่ายเงิน แล้วมิอาจแก้ไขได้วันนี้เจ้าก็อย่าได้ปิดบังข้า ไม่จ าเป็ นเลย คิดจะดู ถูกข้าหรือไร บอกมาค าเดียว ข้าก็จะออกจากภูเขาลั่วพั่วไปพร ้อม กับเจ้า ต่อให้ต้องไปที่อุตรกุรุทวีปก็ยังไม่มีปัญหา อยู่ที่นั่นข้าก็มี สหายบนภูเขาเยอะเหมือนกัน แต่ละคนล้วนพึ่งพาได้ เมื่อก่อนเป็ น เพราะรู ้สึกว่าเจ้าเป็ นคนหยิ่ง ต่อให้จะยากจนแค่ไหนก็ยังเป็ นบัณฑิต ความถือตัวจึงฝังลึกอยู่ในกระดูก ไม่แน่เสมอไปว่าจะชอบเรื่องพวกนี้ ดังนั้นถึงได้ไม่ยินดีจะโอ้อวดความสัมพันธ ์ควันธูปที่แค่พูดออกไปก็ ข่มขู่ให้คนกลัวได้พวกนี้กับเจ้า”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินหลิงจวินก็ตบแขนของสหายรักข้างกาย เบาๆ ลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ารู ้ว่าการขอร ้องคนอื่น ต่อ ให้ความสัมพันธ ์จะดีแค่ไหน ในใจก็รู ้สึกไม่ดีอยู่ดี บางทียิ่ง ความสัมพันธ ์ดีต่อกันมากเท่าไรก็จะยิ่งไม่สบายใจมากเท่านั้น ไม่ เป็ นไร อีกเดี๋ยวพอไปถึงโต๊ะเหล้า พวกเราสองพี่น้องก็มาดื่มกันให้ ดีๆ”
เฉินหลิงจวินคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนโง่ หากไม่เจอกับปัญหา ยากล าบากจริงๆ ด้วยนิสัยดื้อรั้นของเจ้าคนยากจนเฉินชิงหลิวผู้นี้
ย่อมไม่มีทางเดินทางข้ามทวีปไกลเป็ นพันลี้มาหาตนที่ภูเขาลั่วพั่ว อย่างแน่นอน
ไม่ว่าคนอื่นเป็ นอย่างไร ถึงอย่างไรเฉินหลิงจวินก็รู ้สึกมาโดย ตลอดว่าเรื่องที่ยากลาบากที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือการเปิดปากขอให้ สหายช่วยเหลือ ท าให้สหายรู ้สึกล าบากใจ
เฉินชิงหลิวยิ้มพลางยื่นมือมากดศีรษะของเด็กชายชุดเขียว
เฉินหลิงจวินปัดฝ่ ามือเจ้าหมอนี่ออก เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ข้า ผู้อาวุโสควักใจมาพูดกับเจ้า พูดจนตัวเองเกือบจะซาบซึ้งแล้ว เจ้า กลับดีนัก ไม่รู ้จักเด็กจักผู้ใหญ่ อยากดื่มนักหรือไร”
“ทาไมจะไม่ซาบซึ้งใจเล่า พี่ใหญ่อย่างข้าซาบซึ้งใจมากเลยล่ะ”
“ฮ่า ถ้าอย่างนั้นก็ร ้องไห้ให้น้องชายดูหน่อย เร็วเข้า”
ป๋ ายเติงที่ได้แต่ติดตามมาด้านหลังพวกเขาเงียบๆ เวลานี้สองขา สั่นเทาไปแล้ว เด็กชายชุดเขียวผู้นี้ช่างกล้าคุยจริงๆ เขาไม่รู ้เลยหรือ ว่าอักษรค าว่าตายเขียนอย่างไร?
เฉินชิงหลิวสัมผัสได้ถึงการไหลรินของเสียงในใจจึงหันหน้ามา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าตัวน้อย อยากเจอกับเหล่าบรรพบุรุษของเจ้า ขนาดนี้เชียวหรือ?”
เหงื่อแตกพลั่กเต็มศีรษะของป๋ ายเติง เขาได้แต่ซื้อใบ้ไร ้คาพูด
เป็ นลูกหลานมังกร แต่กลับต้องมาดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับคนพิฆาต มังกร
ไม่ควรออกมาจากภูเขาเลย ไม่ควรเดินทางออกมานอกภูเขาใน ครั้งนี้เลยจริงๆ
ผลักประตูใหญ่ที่ไม่เคยลงดาลของเรือนออก เฉินหลิงจวินพา สหายสองสามคนไปนั่งลงที่โต๊ะสุราในห้องโถงหลัก เพียงไม่นาน เจิ้งต้าเฟิงก็หาบเหล้ามาหนึ่งหาบ ข้างกายยังมีเด็กหญิงชุดกระโปรง ชมพูที่หิ้วตะกร ้าขนมและตะกร ้าผลไม้มาด้วย
เฉินหน่วนซู่ยอบกายคารวะทุกคน วางขนมและผลไม้ลงบนโต๊ะ เอ่ยว่า “เซียนซื่อทั้งหลายโปรดรอสักครู่ กับแกล้มแกล้มสุรา อีกเดี๋ยว
จะน ามาส่งให้”
ใบหน้าของเฉินหลิงจวินเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน
เฉินหน่วนซู่หันมองเฉินหลิงจวิน พูดด้วยน้าเสียงอ่อนโยนว่า “รับรองแขกให้ดีๆ”
เฉินหลิงจวินไม่กล้ามองนางเต็มตาด้วยซ้า ได้แต่พยักหน้ารับ แรงๆ
บนภูเขาลั่วพั่ว นอกจากพ่อครัวเฒ่าแล้ว อันที่จริงเฉินหน่วนซู่ก็ มีฝีมือทาอาหารที่ไม่เลวเหมือนกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่นางยัง เรียนวิธีท าอาหารจานเด่นของพ่อครัวเฒ่ามาหลายจานด้วย
เฉินหน่วนซู่ที่มือเท้าคล่องแคล่วไปที่ห้องครัวของเรือนตัวเอง
เพียงไม่นานก็ยกถาดอาหารใบใหญ่มาที่นี่ กับแกล้มแกล้มสุราเจ็ด
แปดอย่าง ครบครันทั้งสีสันและรสชาติ ออกจากเรือนมาแล้วนางก็ปิดประตูใหญ่ลงเบาๆ เพียงไม่นานคนด้านในก็เริ่มกินดื่ม เสียงของเด็กชายชุดเขียวดัง
สนั่นฟ้ า ดูจากท่าทางน่าจะเล่นทายหมัดกับสหายแล้ว ไม่ต้องมอง นางก็รู ้ว่าเฉินหลิงจวินต้องขึ้นไปยืนบนม้านั่งแน่นอน เจิ้งต้าเฟิงที่รออยู่ข้างนอกยิ้มถามว่า “ไม่โกรธหรือ?” เฉินหน่วนซู่ส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เขาอุตส่าห์ทาเรื่องเป็ น
การเป็ นงานทั้งที จะโกรธได้อย่างไร” เจิ้งต้าเฟิงเริ่มฟ้ อง “ได้ยินมาว่าตอนที่อยู่เมืองเล็กล่างภูเขา เฉิน
หลิงจวินดื่มเหล้าตอนเช ้าไปตั้งหลายมื้อ” เฉินหน่วนซู่เลิกคิ้วข้างหนึ่ง กัดริมฝีปาก “คร ้านจะสนใจเขา!” ที่โต๊ะสุรา หลังจากดื่มลงโทษตัวเองไปสามชาม เฉินหลิงจวินก็
ขึ้นไปยืนอยู่บนม้านั่งจริงๆ สองมือของเขาโบกตวัด “พี่น้องมีจิตใจ
เชื่อมโยงกับใจข้า” เฉินชิงหลิวโบกมือตามไปด้วย หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ข้าต้องใช ้สมอง
กับพี่น้องนะ”
“ข้ากลัวว่าพี่น้องจะมีชีวิตยากลาบากเกินไป พี่น้องต่อยชาย แขนเสื้อข้า”
ฟังคาคนเมาที่ไร ้สาระพวกนี้ จิงเฮากับป๋ ายเติงก็ได้แต่เบิกตา กว้างมองดูอยู่ด้านข้าง
เฉินหลิงจวินเริ่มทายหมัดด้วยภาษาท้องถิ่นกับเฉินชิงหลิว สอง
คนสนิทกันดั่งพี่น้องผู้นาห้าด้าน หกหกราบรื่น….
เฉินเซียนจวินสวมชุดเขียวได้แต่มองไปรอบด้านอย่างเลื่อนลอย ไม่ว่าจะตาราหรือกระบี่ก็เอาออกมาใช ้ไม่ได้ เอาเรื่องวุ่นวายใจ ทั้งหมดใส่ลงไปในจอกสุรา
เวลายาวนานสามพันปี หนึ่งกระบี่พาดขวางกลางอากาศ บิน ผ่านถ้าสถิตกว้างใหญ่ไพศาล ผ่านขุนเขาเขียวสู่โบราณอีกนับหมื่น ลูก มาเยือนที่แห่งนี้อีกครั้ง ไม่ใช่เพื่อพิฆาตมังกร เพียงแค่ดื่มสุรากับ สหายรักให้เมามาย แบ่งสูงต่ากันในศึกสุรา!
……
ชายแดนที่เชื่อมต่ออวี๋โจวและหงโจวไว้ด้วยกัน บนถนนทาง หลวงเส้นหนึ่งที่มุ่งหน้าไปยังเขตอวี้จาง มีรถม้าสามคันที่ประดับ ประดาอย่างเรียบง่ายไม่สะดุดตานักแล่นตามกันไป
รถม้าคันที่อยู่ตรงกลาง ฮ่องเต้ซ่งเหอ ฮองเฮาซ่งเหมี่ยนต่างก็ สวมชุดสามัญ นังเคียงไหล่กันอยู่ในห้องโดยสาร นางคอยเลิกม่าน ชมทัศนียภาพรายทางอยู่เป็ นระยะ
ในรถม้าสองคันที่อยู่ด้านหลังสุดมีจ้าวเหยารองเจ้ากรมอาญาที่ ติดตามขบวนเสด็จมารวมถึงหลี่เป่ าเจินขุนนางหลักขั้นสี่ชั้นโทของ สานักทอผ้าคนแรกของอวี้โจวที่ตามมากลางทาง
คนหนึ่งคือขุนนางเมืองหลวงที่เป็ นผู้ทรงอิทธิพล อีกคนหนึ่งคือ ขุนนางในท้องถิ่นที่อยู่ริมขอบของวงการขุนนาง
หลีเป่าเจินยิ้มเอ่ย “อาศัยใบบุญของเจ้า ข้าถึงได้มานั่งอยู่ในนี้”
จ้าวเหยายิ้มบางๆ “ต้องขอบคุณที่ฮ่องเต้เป็ นคนที่เข้ากับคนอื่น ได้ง่ายถึงจะถูก พวกเราถึงได้ไม่ต้องพิถีพิถันในพิธีการปลีกย่อยพวก นั้น”
หลี่เป่าเจินจุ๊ปาก
จ้าวเหยายิ้มรับ แม้ว่าทั้งสองฝ่ ายจะสนิทกัน แต่ก็ยังต้องพูดจา เป็ นทางการกันอยู่สองสามประโยค
พวกเขาคือคนรู ้จักเก่าอย่างจริงแท้แน่ นอนแล้ว ล้วนเป็ น ลูกหลานตระกูลใหญ่บนถนนฝูลู่ของอ าเภอไหวหวง ไม่ถือเป็ นคนวัย เดียวกันในความหมายที่เข้มงวด แต่อย่างน้อยทั้งสองฝ่ ายก็ไม่ห่าง กันในเรื่องของลาดับอาวุโส
หลายปีมานี้จ้าวเหยามีการส่งจดหมายไปมาหาสู่กับหลี่เป่ าเจิน อยู่ตลอดเวลา
หลี่เป่าเจินใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าการประชุมราชส านัก ในเมืองหลวงมีหยวนเจิ้งติ้งเป็ นผู้นา เสนอแนะให้ย้ายเมืองหลวงอย่าง นั้นหรือ?”
หากต้าหลีย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองลั่วจิงซึ่งเป็ นเมืองหลวง สารองในทุกวันนี้จริงๆ สาหรับอ๋องเจ้าเมืองบางท่านที่ทุกวันนี้ตัวอยู่ ในเปลี่ยวร ้างแล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็ นการถอนฟืนใต้กระทะอย่างแท้จริง