กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1040.3 จุดตะเกียงชมกระบี่ท่ามกลางความเมามาย
หูจวินคนแรกของทะเลสาบซูเจี่ยนคือเซี่ยฝานที่มีชาติกาเนิดมา จากวิญญาณวีรบุรุษของราชส านักต้าหลี และยังมีอู๋กวานฉีขุนนาง ผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง ฝ่ ายหลังเคยทาหน้าที่ดูแลการรวบรวมและจัดการ รายงานข่าวของภาคกลางให้กับราชสานักต้าหลี ถือเป็ นเพื่อน ร่วมงานของหลี่เป่ าเจินที่ดูแลรายงานข่าวทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีระดับชั้นขุนนางต่า แต่อานาจที่กุมอยู่ในมือเท่าเทียมกัน สกุล ซ่งต้าหลีเป็ นที่ยอมรับว่ามีวงการขุนนางอยู่สามแห่ง เมืองหลวงและ ท้องถิ่นรวมกันกลายเป็ นราชวงศ์ล่างภูเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละ ฝ่ ายรวมตัวกันเป็ นวงการขุนนางแห่งที่สอง ส่วนแห่งที่สามคือองค์กร ที่ขุนนางหลักมีระดับขั้นขุนนางไม่สูงอย่างจวนผู้ตรวจการงาน เตาเผาของเขตหลงเฉวียน สานักทอผ้าของอวี๋โจว และศูนย์ตัด ต้นไม้หงโจว แต่ขุนนางหลักทุกท่านต่างก็เป็ นหูเป็ นตาของโอรส สวรรค์ได้อย่างสมชื่อ
แน่นอนว่าหลินเจิ้งเฉิงแห่งศูนย์ตัดต้นไม้น่าจะเป็ นข้อยกเว้น เพียงหนึ่งเดียว
จ้าวเหยามองหลี่เป่าเจินแล้วคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร
หลี่เป่าเจินเอนท้ายทอยพิงผนังรถ ยื่นนิ้วมาชี้จ้าวเหยา “เจ้าผู้นี้ นับแต่เด็กมาก็ชอบซ่อนค าพูดไว้ในท้อง”
หากจะพูดถึงความโชคดีในวงการขุนนาง หลี่เป่ าเจินที่เป็ นขุน นางชั้นสี่ชั้นโทย่อมไม่มีทางเทียบกับจ้าวเหยาคนบ้านเกิดเดียวกันที่ ถูกฮ่องเต้ยอมแหกกฎเลื่อนขั้นเป็ นรองเจ้ากรมอาญาได้
กลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่เดินออกไปจากเมืองเล็ก ไม่พูดถึงคนที่ฝึกตน เป็ นเทพเขียนบนภูเขาพูดถึงแค่คนที่เป็ นขุนนาง ผู้ที่มีตาแหน่งใหญ่
ที่สุดก็คือจ้าวเหยา
แต่หากพูดถึงแค่ในอาณาเขตของอวี๋โจว คนที่มีตาแหน่งขุนนาง ใหญ่ที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็ นใต้เท้าผู้ว่าและแม่ทัพอวี๋โจว พวกเขา สองคนต่างก็ไม่มีอ านาจในการควบคุมส านักทอผ้าและหลี่เป่ าเจิน แต่หลี่เป่าเจินกับสานักทอผ้ากลับสามารถทาให้ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ ศักดินาทั้งสองท่านนอนหลับไม่เป็ นสุขได้
เนื่องจากอวี๋โจวคือสถานที่สาคัญทางการทหาร คือสถานที่ที่ เหล่าส านักการทหารแย่งชิงกัน ดังนั้นเฉาเม่าที่เป็ นแม่ทัพของอวี๋โจ วจึงควบหน้าที่ดูแลกิจการกองทัพของหงโจวที่อยู่ติดกันด้วย
เวลานี้เฉาเม่าไม่มีคุณสมบัติจะมานั่งบนรถ ได้แต่ติดตามผู้ฝึ ก ตนติดตามกองทัพขี่ม้านาทางอยู่เบื้องหน้าเท่านั้น
ส่วนหลี่เป่าเจิน ตอนที่ไปรับหน้าที่ในสานักทอผ้าอวี๋โจวก็ได้พา คนสนิทสองคนมาด้วย ต่างแซ่จู เป็ นพ่อลูกกัน
เวลานี้จูเหอกับจูลู่ต่างก็ขี่ม้าอยู่ด้านหลัง ติดตามขบวนรถมาอยู่ ไกลๆ
ฮองเฮาถามเสียงเบาว่า “ทางฝั่งของอวี๋อวี๋ล่ะ?”
ซ่งเหอยิ้มพลางตบหลังมือของนางเบาๆ เอ่ยปลอบใจว่า “วางใจ เถอะ ผู้อาวุโสในตระกูลคนนี้ของเจ้า แค่มองดูเหมือนว่าขาดไหวพริบ พูดจาไม่น่าเชื่อถือ แม้อายุไม่มาก แต่แท้จริงแล้วกลับฉลาดเฉลียว มาก หาไม่แล้วนางจะกลายเป็ นกุนซือเบื้องหลังของกลุ่มผู้ฝึ กตน
แผนภูมิดินได้อย่างไร?”
ในรถม้าคันที่นาอยู่ด้านหน้ามีสตรีออกเรือนแล้วคนหนึ่งกับเด็ก สาวคนหนึ่งนั่งหันหน้าเข้าหากัน แม่นางน้อยจ้องมองไปที่กาไลไข่มุก บนข้อมือของสตรีออกเรือนแล้วอยู่ตลอด
สตรีที่มีฐานะสูงศักดิ์เป็ นถึงไทเฮาของแคว้นมีบุคลิกนุ่มนวล อ่อนโยน ไม่ถือสากับการกระทาของนาง ยังยกข้อมือที่ขาวนวล เหมือนรากบัวขึ้น แกว่งกาไลข้อมือ ยิ้มถามว่า “รู ้จักหรือ?”
เด็กสาวส่ายหน้า เอ่ยประโยคประหลาดว่า “ต้องแสร ้งท าเป็ นไม่ รู ้จัก ถือเสียว่าไม่เคยเห็นมาก่อนก็แล้วกัน”
หนันจานรู ้จักนิสัยของแม่นางน้อยคนนี้ดี มองดูเหมือนนางเป็ น คนโผงผาง แต่แท้จริงแล้วกลับมีอุบายร ้ายกาจยิ่งนัก จึงถามต่ออีกว่า “ตระกูลสกุลอวี๋ไม่มีของเช่นนี้เก็บเอาไว้คลังสมบัติอักษรอี่ของต้าหลี พวกเราก็ไม่มีเหมือนกันหรือ?”
สกุลอวี๋เสาค้ายันแคว้นไม่โดดเด่นอยู่ในวงการขุนนางต้าหลี ใน นามเพียงแค่ดูแลผ้าแพรผ้าไหมและขาของท้องถิ่นเท่านั้น ใน
ประวัติศาสตร ์ของตระกูลไม่มีทั้งอัครเสนาบดีผู้สร ้างชื่อ แล้วก็ไม่มี ขุนพลผู้เลื่องลือ
แต่หากไม่นับแช่ใหญ่สามตระกูลอย่างหยวน เฉาและกวนที่เป็ น แช่อันดับหนึ่ง ไม่พูดมาก่อน ไม่ว่าใครก็ไม่อนุญาตให้ใช ้ของชิ้นนี้ ไม่อย่างนั้นแม้แต่ความทรงจาของชาตินี้ก็จะถูกลบทิ้งไปด้วย กลาย ไปเป็ นคนปัญญาอ่อน ได้ยินหยวนฮว่าจิ้งเล่าว่าในอดีตเคยมีเจ้าคน น่าสงสารที่ไม่เชื่อฟัง ถือเป็ นผู้อาวุโสในสายแผนภูมิดิน คือผู้อาวุโส ของข้า เพราะตามหาไข่มุกเม็ดหนึ่งเป็ นการส่วนตัว หลังจากนั้นก็ถูก ราชครูชุยจัดการด้วยตัวเอง จุดจบอนาถอย่างยิ่ง”
แม่นางน้อยตบป้ ายอักษร “ซวี” ที่ห้อยอยู่ตรงเอว “เดิมทีนี่ก็เป็ น ของของเขา ข้าเข้ามาเสริมต าแหน่งที่ขาด หากไม่เป็ นเพราะเขารู ้ทั้ง รู ้แต่ก็ยังฝ่ าฝืนกฎ คาดว่าตอนนี้ข้าก็น่าจะยังท างานเย็บปักถักร ้อย อยู่ในบ้านอยู่เลยนะ”
หนันจานแสร ้งทาเป็ นว่าเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็ นครั้งแรก ยิ้มเอ่ย ว่า “เจ้าเป็ นผู้ฝึกตนของสานักการทหาร ต่อให้ไม่เข้ามาแทนที่ใน ตาแหน่งแผนภูมิดินของคนผู้นี้ เจ้าก็ต้องไปฝึกตนอยู่ที่ภูเขาเจินอู่ หรือไม่ก็ศาลลมหิมะอยู่ดี”
หนันจานเอ่ยหยอกล้อว่า “ทุกวันนี้ตาแหน่งราชครูของต้าหลี พวกเราว่างเว้นมานานหลายปีแล้ว เจ้าไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ แล้ว นับประสาอะไรกับที่ราชครูชุยก็ให้ความสาคัญกับพวกเจ้ามาโดย ตลอด เขาฝากความหวังไว้ที่พวกเจ้ามากเลยล่ะ”
แม่นางน้อยทอดถอนใจ เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ในวงการขุนนาง หลักการที่ว่าโอรสสวรรค์หนึ่งรัชสมัยขุนนางหนึ่งราชสานัก ข้าย่อม เข้าใจอยู่แล้ว แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าราชครูชุยไม่อยู่แล้ว แต่เขายังมี ศิษย์น้องอิ่นกวานที่สวมชุดแพรกลับคืนบ้านเกิดอยู่นะ ไทเฮา ท่าน ไม่รู ้อะไร พวกเราถูกใต้เท้าอิ่นกวานจัดการอย่างโหดร ้ายอยู่ในเมือง หลวงไปตั้งหลายรอบแต่ละคนถูกเขาชัดจนอ่วม อเนจอนาถแทบมิ อาจทนมองได้ไหว จนถึงทุกวันนี้พวกเรายังมีเงามืดในใจกันอยู่เลย!”
สีหน้าของหนันจานพลันซีดเผือดลงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะค าพูด ของอวี๋อวี๋ไม่เหมาะสมไปละเมิดกฏในวงการขุนนางอะไร แต่เป็ น เพราะตอนนี้พอสตรีออกเรือนแล้วได้ยินคาเรียกขานว่าอิ่นกวาน เมื่อไหร่ก็จะต้องปวดหัวเมื่อนั้น
อวี๋อวี๋เห็นท่าไม่ดีก็หุบปากลงอย่างรู ้ความทันที
หนันจานใช ้นิ้วถูไข่มุกที่อยู่บนข้อมือเบาๆ ตามจิตใต้สานึก สี หน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
อวี๋อวี๋รู ้ว่าเฉินผิงอันเคยเข้าวัง แต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ต่อให้ นางจะเป็ นผู้ฝึกตนแผนภูมิดินก็ยังมิอาจรู ้ได้
การที่สามารถแสร ้งทาเป็ นไม่รับรู ้เรื่องบางอย่างที่ไม่ควรรู ้ ก็คือ ความรู ้อย่างหนึ่ง
คราวก่อนเฉินผิงอันพาเสี่ยวโม่เข้าวังมาด้วยกัน ไปพบหนันจาน ไทเฮาต้าหลี ก็เพื่อขอเศษเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตมาจาก “ลู่ เจี้ยง”
ตอนนั้นบนข้อมือของสตรีออกเรือนแล้วก็สวมกาไลข้อมือที่ทา ด้วยกรรมวิธีลับบนภูเขาเส้นนี้ ไข่มุกทุกเม็ดล้วนเป็ น “ไข่มุกหลิงซี” ที่มีมูลค่าควรเมือง และอัญมณีประเภทนี้ที่เนื่องจากสามารถทาให้คน จดจาเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติก่อนได้ หนึ่งเม็ดจึงเท่ากับหนึ่งชาติภพผู้ ฝึ กลมปราณนั่งสมาธิเข้าญาณแล้วท่องคาถาพลางลูบไข่มุกนี้ รวบรวมดวงจิตให้เล็กเท่าเมล็ดงา ก็จะสามารถเชื่อมโยงจิตใจ (หลิง ซี) ข้ามผ่านตราผนึกของกาลเวลา เรือนกายประหนึ่งหงส์หลากสีที่ สยายปี กโบยบิน จิตวิญญาณบินอยู่ในม้วนภาพแห่งกาลเวลาที่ บันทึกเรื่องราวของเมื่อชาติก่อนเอาไว้ ความทรงจาที่ลึกล้าที่สุดของ เมื่อชาตก่อนจะเหมือนภาพวาดลงสีแจ่มชัด แทบไม่ต่างอะไรไปจาก ความจริง ส่วนบุคคลและเรื่องราวบางอย่างที่ความทรงจาตื้นเขิน สีสันในภาพก็จะจางตามไปด้วย หากเป็ นความทรงจาที่พร่าเลือน ภาพวาดก็จะเหมือนภาพน้าหมึกที่มีเพียงเค้าโครงให้เห็นเท่านั้น
หนันจานถอนหายใจเบาๆ เค้นรอยยิ้มส่งไป เพียงแต่พอคิดถึงว่า การออกมาจากเมืองหลวงครั้งนี้ก็มีโอกาสที่จะได้เจอกับเจ้าเศษสวะ แห่งตรอกหนีผิงที่พอมีอานาจก็กาเริบเสิบสานผู้นั้น สีหน้าของนางก็ มืดทะมึนลงไปอีก
ส านักแทบทุกแห่งที่มีรากฐานลึกล้ามักจะมีของสิ่งนี้เตรียมไว้ ต่อ ให้เป็ นป๋ ายอวี้จิงก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น
นี่ก็เพื่อให้บรรพบุรุษท่านหนึ่งที่จะสละร่างจากโลกนี้ไปสามารถ ค้นหาภพชาตินี้พบท่ามกลางธุลีแดงแห่งโลกโลกีย์ที่กว้างใหญ่ ไพศาลไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร จากนั้นก็รับอีกฝ่ าย กลับมาที่ภูเขา กลับมาสานวาสนาแห่งมรรคาต่ออีกครั้ง หาก สามารถจดจ าความทรงจ าของชาติก่อนได้ บนเส้นทางการฝึกตนก็ ย่อมเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลลัพธ ์เป็ นเท่าตัว เจียงจ้าวหมอแห่ง หอจื่อซี่ของป๋ ายอวี้จิง อวี๋ซินแห่งส านักใบถงก็มีสภาพการณ์ เช่นเดียวกันนี้
ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาไข่มุกหลิงซีจึงเป็ นของล้าค่าที่มีราคาแต่ไร ้ ตลาดมาโดยตลอดหากเผยกายขึ้นบนโลก พวกผู้ฝึกตนก็มักจะแย่ง ชิงกัน ยอมทุ่มทองพันชั่งเปิดราคาอย่างไม่เสียดาย ไม่ว่าใครก็ตามที่ มีอยู่ในมือล้วนถือเป็ นการเตรียมพร ้อมไว้ ไม่มีทางที่จะไม่มีที่ให้เอา ไปใช ้อย่างแน่นอน เพราะจวนเซียนที่ในคลังสมบัติบ้านตัวเองไม่มี วัตถุนี้ ไม่ว่าจะไม่มีวาสนาหรือไม่มีเงิน เมื่ออเจอกับช่วงเวลาเร่งด่วน ที่ต้องใช ้ไข่มุกหลิงซีมาช่วยเปิดสติปัญญาให้กับ “บรรพจารย์” บาง ท่าน ก็ต้องไปขอจากพรรคที่มีไข่มุกหลิงซี นี่ก็คือความสาคัญของ การมีความสัมพันธ ์ควันธูปบนภูเขา
และสร ้อยข้อมือบนมือของหนันจานเส้นนี้ก็มีไข่มุกหลิงซีที่ร ้อย เรียงต่อกันไว้มากถึงสิบสองเม็ด นอกจากไม่กี่เม็ดที่นางใช ้ไปแล้ว
อัญมณีที่เหลือส่วนใหญ่ซึ่งซุกซ่อนความทรงจาเอาไว้ ก่อนหน้านี้ ล้วนถูกผู้ติดตามที่มีฉายาว่า “โม่เซิง” ข้างกายเฉินผิงอันคนนั้นใช ้ แสงกระบี่เฉียบคมทาลายจนสิ้น กลายเป็ นเพียง…ของไร ้ค่าไปแล้ว
แต่หนันจานก็ไม่แน่ใจในเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนว่าไข่มุกหลิงชีสอง เม็ดในนั้น แม้แสงอัญมณีจะหม่นหมองไปพร ้อมกัน แต่ดูเหมือนว่าจะ แค่ถูก ‘โม่เซิง” ผู้นั้นร่ายตราผนึกเวทกระบี่เอาไว้เท่านั้น?
อาศัยไข่มุกเม็ดนี้ สิ่งที่นางจาได้มีเพียงบุคคลและเรื่องราวส่วน หนึ่งของเมื่อชาติก่อนล้วนเป็ นม้วนภาพที่สลักลึกถึงกระดูก ความ ทรงจาชัดเจน หากชาติก่อนเป็ นผู้ฝึ กตนที่บรรลุมรรคา ได้เจอกับ ด่านแห่งการฝึกตนที่เคยเดินผ่านมาก่อน ภายใต้การช่วยเหลือจาก ไข่มุกหลิงซี แน่นอนว่าจะไม่มีทางลืม ดังนั้นการกระทานี้จึงสามารถ กลายเป็ นทางลัดในการเดินขึ้นเขาที่ไม่ทิ้งภัยแฝงไว้เบื้องหลังได้
สารถีเฒ่าที่หลายปีมานี้คอยบังคับรถให้กับไทเฮาต้าหลีใช ้เสียง ในใจเอ่ยเตือนว่า “ต้องระวังว่าจะเจอจิตมารตอนคอขวดขอบเขต ก่อก าเนิด หากว่าเป็ นเจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้นจริงๆ ชั่วชีวิตนี้เจ้าก็ไม่ต้อง หวังจะเลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบแล้ว”
สถานะที่แท้จริงของสารถีเฒ่าคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาล คือ ขุนนางหลักของกองพิฆาตกรมสายฟ้ า
ผู้เฒ่าเอ่ยต่ออีกว่า “จิตเกิด มารต่างๆ ก็ถือก าเนิด จิตดับ มาร ต่างๆ ก็ดับสูญ”
ดวงตาหนันจานเป็ นประกายวาบ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณผู้ อาวุโสที่เอ่ยเตือน”
ผู้เฒ่ากล่าว “ก็ไม่ได้มีอะไร คือประโยคหนึ่งที่เขียนไว้ในนิยาย เรื่องเล่าประหลาดเล่มหนึ่ง อ่านไปเจอแล้วรู ้สึกว่ามีเหตุผล ในอดีต เคยขายดีในตลาดล่างภูเขา ราคาก็ถูกด้วยปริมาณการขายไม่ด้อย กว่าบันทึกท่องเที่ยวที่มีเฉินผิงอันเป็ นตัวละครหลักเล่มนั้นเลย”
หนันจานข่มกลั้นความวู่วามที่อยากจะด่าคนเอาไว้
อวี๋อวี๋เปลี่ยนมามีสีหน้าใสซื่อเซ่อซ่าอีกครั้ง
หนันจานสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเคร่งเครียดในห้องโดยสารจึง เก็บความคิดที่ซับซ ้อนของตัวเองมา ถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า “อวี๋อวี๋ พวกเจ้าต่างก็หาสมบัติที่เหมาะสมได้จากคลังลับอักษรอี่ (ลาดับที่ สอง) หากข้าจาไม่ผิดล่ะก็ ผู้ถวายงานกรมอาญาที่ไร ้ป้ ายสงบสุข พวกนั้น ต่างคนต่างอาศัยคุณความชอบทางการสู้รบ สามารถมา แลกเปลี่ยนสมบัติที่มีมูลค่าเท่ากันจากกรมอาญาได้ ขุนนางของกรม อาญาก็จะเลือกเอามาจากคลังสมบัติอักษรปิ่ง (ลาดับที่สาม) ที่มี วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้ าดินกองกันเป็ นภูเขา แต่ระดับขั้นกลับต่ากว่าใช่ ไหม?”
ตามหลักแล้วต้องยังมีคลังอักษร “เจี่ย” (ลาดับที่หนึ่ง) ที่ถูกเก็บ ซ่อนไว้อย่างลึกล้าอีกแน่นอน
อวี๋อวี๋มองไทเฮาด้วยสีหน้าคลุมเครือ
หนันจานรู ้ว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว “ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถามแล้ว กัน”
อวี๋อวี๋ยิ้มกว้าง “ไทเฮา เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ ไม่ถือว่าละเมิด กฎ ราชครูชุยเคยบอกกับข้าแล้วว่าหากวันหน้ามีคนถามเรื่องนี้ต่อ หน้าก็ให้บอกค าตอบแก่นางไป”
หนันจานหน้าขาวซีดไร ้สีเลือดในทันที โชคดีที่เดิมทีสตรีก็ผิว ขาวอยู่แล้ว ถึงได้ดูไม่สะดุดตาถึงเพียงนั้น
อวี๋อวี๋ชี้ไปที่ตัวเอง ก่อนจะชี้ไปยังสตรีออกเรือนแล้ว แล้วให้ คาตอบนั้นออกไป “คลังอักษรเจี่ยของราชส านักต้าหลี เป็ นข้า เป็ น เจ้า เป็ นพวกเรา คือผู้ฝึกตนสายแผนภูมิดินทุกคน คือสมาชิกเชื้อ พระวงศ์สกุลซ่งต้าหลีที่ไทเฮาอยู่ คือผู้ฝึกตนทาเนียบบนภูเขาทุกคน คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้าตนแล้วตนเล่า และยิ่งคือ…”
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แม่นางน้อยก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักด้วยสายตา เด็ดเดี่ยวว่า “ยิ่งคือสมุดเหลืองทุกเล่มที่บันทึกจานวนประชากรของ ราชวงศ์ต้าหลีไว้อย่างละเอียด ชาวบ้านทั่วไปของราชวงศ์ต้าหลีทุก คน คือสมุดเกล็ดปลาทุกเล่มที่บันทึกเรื่องภูมิลาเนาไว้อย่างละเอียด คือพื้นปฐพีทุกรุ่นของต้าหลี”
หนันจานเงียบงัน
อวี๋อวี๋หัวเราะ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วเด็กสาวก็ เริ่มหลับตาทาสมาธิ
ฮ่าๆ ก็แค่พูดจาเลียนแบบราชครูชุยฉานเท่านั้น ไฉนจึงเหนื่อย เช่นนี้หนอ!
……
ภูเขาพีอวิ๋น สถานที่อ่านตาราที่มีร่มเงาต้นสนครื้มหนา ซานจวิน เว่ยป้ อปิดตาราที่มีน้าหนักอย่างมากเล่มนั้นลง เท้าคางด้วยมือข้าง เดียว ใช ้นิ้วหัวแม่มือเคาะตุ้มหูสีทองข้างหูเบาๆ ก าลังสองจิตสองใจ ในเรื่องของฉายาเทพ
หอบูชากระบี่หนึ่งในภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่ว เสี่ยวโม่ พอจะวางใจลงได้บ้างแล้วเซี่ยโก่วก าลังซุบซิบเบาๆ กับเด็กชายผม ขาวที่รับหน้าที่เป็ นขุนนางผู้เรียบเรียงตาราและกวอจู๋จิ่วที่ถูกพวก นางเรียกว่าเจ้าประมุข ดูเหมือนจะกาลังปรึกษาเรื่องใหญ่กันอยู่ ส่วน เรื่องที่ถูกท้าทายตอนอยู่หน้าประตูภูเขา เซี่ยโก่วโยนทิ้งออกจากหัว สมองไปแล้ว ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องนั้นเกิดขึ้น หัวใจของเสี่ยวโม่ ขยับไหวเล็กน้อย ก่อนจะขยับเท้าก้าวเดินจากไป
เมืองหลวงต้าหลี ผู้ฝึกตนหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่าเจิงเย่ อายุน้อยๆ ก็ เป็ นเจ้าประมุขพรรคห้าเกาะ เขาได้ทาตามคาบอกของอาจารย์เฉินที่ บอกไว้ในจดหมาย ไปพักที่โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ว่ากันว่า หากบอกชื่อของเขาไปก็ไม่ต้องจ่ายเงิน จากนั้นค่อยไปที่ตรอกเล็ก นอกหอเหรินอวิ๋นอื้อวิ๋น ไปตามหาอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งที่มีชื่อว่า หลิวเจียและจ้าวตวนหมิง
ทางฝั่งเรือนของพ่อครัวเฒ่า หลังจากดื่มเหล้ากันไปแล้ว เฉินผิง อันที่เดินโซเซก็พาเสี่ยวโม่ออกไปจากภูเขาลั่วพั่วอย่างเงียบเชียบ ไป ยังบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงที่อยู่ในเมืองเล็ก