กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1041.4 บอกเล่าข่าวคราวของดอกเหมย
สาวใช ้ข้างกายที่ใช ้นามแฝงว่าหลิงเยี่ยน ฉายาว่าชุนเซียวปิด ปากหัวเราะคิก
คนที่อ่านตารามาก่อน พูดจากระทบกระเทียบเหน็บแนมกันเก่ง ขนาดนี้เชียวหรือ?
ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก เวินจื่อซี่ก็ขยับสายตามองไปทางหลิง เยี่ยนที่อยู่ในรูปลักษณ์ของสาวใช ้
พริบตานั้นดวงตาของเวินจื่อซี่ก็พร่าเลือน จิตใจไม่มั่นคง จิต แห่งมรรคาจมสู่หลุมน้าแข็ง โคจรลมปราณได้ไม่ราบรื่น หน้าแดงก่า โชคดีที่เพียงไม่นานก็กลับคืนมาเป็ นปกติ เพียงแต่ว่าบนหน้าผาก ของเขามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึม
กู้ช่านมอง “ใบหน้า” ของหลิงเยี่ยนในเวลานี้แล้วเขาพลันหรี่ตา ลง ถอนสายตากลับมาใช ้เสียงในใจเอ่ยด้วยน้าเสียงคลุมเครือว่า “บรรพจารย์เซียงจวิน ผู้ฝึกลมปราณที่มีคุณสมบัติอย่างเวินจื่อซี่ผู้นี้ ไม่ว่าส านักแห่งใดก็ล้วนจะต้องอบรมปลูกฝังให้ดี ลมบนภูเขาพัดแรง เส้นทางภูเขาคดเคี้ยว อย่าให้กลายเป็ นว่าไม่ทันระวังคิดจะตายไป ก่อนวัยอันควรก็ตายไปเสียล่ะ”
เซียงจวินกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “เจ้าก าลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ?”
้
กู้ช่านส่ายหน้า “ผู้เยาว์ก็แค่พูดความจริง ใช ้เหตุผลคุยกัน บอก ให้รู ้ถึงความเป็ นไปได้”
“แล้วนับประสาอะไรกับที่ขอแค่ท่านและข้าไม่หากาลังเสริม หมุน ตัวกลับได้ก็ไปหาอาจารย์ ท่านคิดว่าข้าจาเป็ นต้องเปลืองน้าลายพูด กับท่านด้วยหรือ? เดิมทีก็เป็ นแค่การค้าเท่านั้น แค่แข่งกันว่าเงินมาก หรือน้อย วันนี้มาที่นี่ก็ถือว่าข้าไว้หน้าตาหนักหลิงเฟยและเฉาเทียนจ วินมากแล้ว”
“ภูเขาเหอฮวาน ทะเลสาบซูเจี่ยนน้อย? หากยังเป็ นทะเลสาบซู เจี่ยนจริงๆ เขียนสัญญาเป็ นตายแค่ฉบับเดียว หึหึ ข้าผู้อาวุโสก็จะ เด็ดหัวพวกเจ้าเสีย”
หันเชี่ยวเซ่อขอบเขตสูงที่สุด ทั้งยังเป็ นผู้ฝึ กตนใหญ่ที่มีอยู่ไม่ มากของนครจักรพรรดิขาว นางได้ยินบทสนทนาของทั้งสองฝ่ ายก็ อดจุ๊ปาก ใช ้เสียงในใจสอบถามหลิงเยี่ยนไม่ได้ว่า “ไหนบอกว่าจะ พูดคุยกับเซียงจวินดีๆ อย่างไรล่ะ ท าไมพอถึงเวลาเข้าจริงกลับ เปลี่ยนใจเสียได้ นี่ไม่เหมือนกู้ช่านแล้วนะ”
หลิงเยี่ยนใช ้เสียงในใจตอบกลับด้วยน้าเสียงหวานหยด “ดู เหมือนนายท่านจะอาศัยดวงตาของเวินจื่อซี่ไปมองเห็นคนรู ้จักคน หนึ่ง และคนผู้นี้ก็มีความสัมพันธ ์ที่ไม่ตื้นเขินกับคนผู้นั้น เขาก็เลย โกรธ โกรธมากๆ เลยล่ะ แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่นายท่าน ต่อสู้อย่างดุเดือดกับพวกเราที่เปลี่ยวร ้าง แล้วยังไปต่อสู้กับเฉาสืออีก สองครั้งอย่างโง่เง่า เป็ นการเพิ่มบาดแผลลงบนบาดแผล จิตแห่ง
้
มรรคาจึงไม่มั่นคงอย่างเลี่ยงไม่ได้ บวกกับที่เลื่อนจากขอบเขตหยก ดิบไปเป็ นขอบเขตเซียนเหริน เดิมทีก็เป็ นประสบการณ์บนเส้นทาง หัวใจที่ “แสวงหาความจริง” อย่างหนึ่งอยู่แล้ว ความเกี่ยวข้องนี้จึง ขยายใหญ่มากกว่าเดิม”
หันเชี่ยวเซ่อยิ้มกล่าว “นังแพศยาน้อยเข้าใจกู้ช่านขนาดนี้เชียว
หรือ?”
หลิงเยี่ยนหัวเราะคิก “อย่าพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้สิ ไม่แน่ว่าวัน หน้าข้าต้องเรียกท่านว่าพี่สาวนะ วางใจเถอะ ท่านสามารถเป็ นเมีย หลัก ส่วนข้าเป็ นเมียรองได้”
หันเชี่ยวเซ่อขยับเท้ามายืนอยู่ข้างหลิงเยี่ยน กุมลาคอที่ขาว เนียนลื่นมือของนางแล้วเขย่า “นังเด็กบ้า พูดจาปากไร ้หูรูดนักรี? ใน ปากมีแต่อาจม ใช ้ปากถ่ายแทนทวารหรือไร”
พริบตานั้นบรรยากาศในห้องก็อบอวลไปด้วยปราณสังหารที่ คล้ายกลายเป็ นสิ่งที่จับต้องได้จริง
หลิงเยี่ยนหดคอ ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยวิงวอน เฉิงเฉียนตกตะลึงอยู่บ้าง
นี่คือตีกันเองแล้วหรือ? ไม่เสียแรงที่เป็ นผู้ฝึกตนที่เดินออกมาจากนครจักรพรรดิขาว กู้ช่านกล่าว “กาลังคุยเรื่องเป็ นการเป็ นงาน”
้
หันเชี่ยวเซ่อปล่อยนิ้วมือออก หลิงเยี่ยนนวดลาคอ เปิดปากเอ่ย อย่างขลาดๆ ว่า “นายท่าน จะโทษข้าไม่ได้นะ เป็ นอาจารย์อาหญิง ของท่านที่รังแกผู้อื่น”
เวินจื่อซี่ขวัญกระเจิง
เฉิงเฉียนได้ยินแล้วกลับหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย
อาจารย์อาหญิงของกู้ช่านก็ไม่ใช่ศิษย์น้องหญิงของอาจารย์เจิ้ง แห่งนครจักรพรรดิขาว เซียนเหรินหันเชี่ยวเซ่อหรอกหรือ?!
บนภูเขา ผู้ฝึ กลมปราณในบางขอบเขตจะถูกเรียกว่าเป็ นผู้ที่ โดดเด่นได้หรือไม่ อันที่จริงธรณีประตูก็เรียบง่ายมาก ก็คือจะมองเป็ น ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้หรือไม่
บรรพจารย์ต าหนักหลิงเฟย เฉาหรงเทียนจวินแห่งลัทธิเต๋า แน่ นอนว่าต้องอยู่ในอันดับนี้ด้วย ส่วนหันเชี่ยวเซ่อแห่งนคร จักรพรรดิขาวนั้นก็อยู่ในอันดับนี้ได้เช่นเดียวกัน
บนภูเขามีข่าวลือเล็กๆ ที่ไร ้หลักฐานให้ตามหา เล่าลือกันว่าหัน เชี่ยวเซ่อเคยสาบานว่าจะต้องฝึกเวทคาถาบนมหามรรคาให้ได้สิบ สองชนิด และทุกเส้นทางที่นางเลือกออกมาล้วนเป็ นเส้นทางเดินขึ้น เขาที่ผู้ฝึกตนทาเนียบของนครจักรพรรดิขาวได้แต่มองเท่านั้น ไม่ว่า ข่าวลือจะจริงหรือเท็จ โลกภายนอกก็มีความเห็นร่วมกันอย่างหนึ่งว่า หันเชี่ยวเซ่อต้องสามารถเลื่อนเป็ นขอบเขตบินทะยานได้แน่นอน
้
เซียงจวินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะยกอาณาเขตภูเขาเหอฮวานให้เจ้า ก็แล้วกัน สหายกู้จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินฝนธัญพืชมากมายขนาด นั้น”
กู้ช่านรู ้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ลังเลไปชั่วขณะ ก่อนจะหยิบเงิน ฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช ้สองนิ้วคีบเอาไว้ เดินตรงดิ่งเข้าไปในห้อง เท้าไม่สัมผัสพื้น ไปนั่งยองอยู่ข้างกระดาน หมาก คีบหมากเม็ดหนึ่งมาจากโถเก็บเม็ดหมากฝั่งของเฉิงเฉียน วางลงบนกระดานหมาก ก่อนจะนาเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นวางลง บนขอบของกระดานหมาก เงยหน้าขึ้นยิ้มเอ่ย “ถือเสียว่ากู้ช่านติด ค้างน้าใจตาหนักหลิงเฟยของพวกเจ้าครั้งหนึ่ง พวกเจ้าจะใช ้น้าใจ ครั้งนี้หรือไม่ ข้าล้วนจดจาไว้ในใจ มหามรรคาสูงและยาวไกล เรื่องราวบนโลกแปรปรวนไม่แน่นอน ปณิธานอยู่ที่บินทะยานมานาน อย่างเฉาเทียนจวินก็ดี บรรพจารย์เซียงจวินที่เกินครึ่งน่าจะต้องไปฝึก ตนพิสูจน์มรรคาที่ป๋ ายอวี้จิงก็ช่าง หรือเวินจื่อซี่ที่จะได้เป็ นเจ้า ตาหนักคนถัดไปหรือไม่ยังบอกได้ยาก พานพบกันในภูเขาสายน้า ย่อมมีโอกาสได้กลับมาพบกันใหม่”
กู้ช่านหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็ยิ้มเอ่ยว่า “ต้องให้ผู้เยาว์ช่วยบีบเงิน ฝนธัญพืชเหรียญนี้ให้แตกแทน เพื่อที่ตาไม่เห็นใจจะได้ไม่หงุดหงิด หรือไม่?”
รอยยิ้มของเซียงจวินยังคงเดิม ส่ายหน้ากล่าว “ไม่จ าเป็ น เก็บไว้ ก็แล้วกัน ก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูด ในอนาคตไม่ว่าข้าไปที่นคร
้
จักรพรรดิขาว หรือเจ้าไปที่ป๋ ายอวี้จิง เชื่อว่าจะต้องมีโอกาสได้พบ เจอกันอีกแน่”
ดวงตาคู่นั้นของกู้ช่านฉายประกายเร่าร ้อนดุจเปลวเพลิงสองกอง จ้องเขม็งไปยังนักพรตหญิงที่มีฉายาว่าต้งถึงผู้นี้
เซียงจวินกลับต้องขยับสายตาเบนไปทางอื่นตามจิตใต้สานึก คล้ายต้องการจะหลบเลี่ยงประกายเฉียบคมของอีกฝ่าย
เพียงแต่ไม่รอให้นางแสดงท่าที กู้ช่านก็ลุกขึ้นยืนพร ้อมคลี่ยิ้ม เดินออกไปจากห้องแล้วหันกลับมาประสานมือคารวะแล้ว “ผู้เยาว์เสีย มารยาท ล่วงเกินแล้ว”
หลังออกมาจากอารามเต๋า หันเชี่ยวเซ่อก็ถามว่า “เสี่ยวซ่าน คิด ดีแล้วหรือที่จะมาสร ้างส านักอยู่ที่นี่?”
กู้ช่านส่ายหน้า “ยังคิดไม่ตก ถึงอย่างไรก็แค่ซื้อที่ดินแห่งหนึ่ง เอาไว้ ค่าใช ้จ่ายก็ไม่ได้สูงเท่าไร”
หันเชี่ยวเซ่อยิ้มถาม “หืม?”
กู้ช่านหัวเราะไม่ได้ร ้องไห้ไม่ออก “ไม่ได้หมายความอย่างนั้น ท่านคิดอะไรอยู่น่ะ”
อันที่จริงหันเชี่ยวเซ่อไม่สนใจเรื่องความรักชายหญิงเลยแม้แต่ น้อย ก็แค่รู ้สึกสงสารกู้ช่าน
้
ปี นั้นกู้ช่านปิ ดด่านเลื่อนจากขอบเขตก่อกาเนิดเป็ นขอบเขต หยกดิบ ผู้ที่ช่วยคุ้มกันด่านให้เขาก็คือหันเชี่ยวเซ่อ
เคยล้มเหลวไปหนึ่งครั้ง แต่ที่ยิ่งทาให้หันเชี่ยวเซ่อกลัดกลุ้ม มากกว่าก็คือหลังจากนางเปิดประตูกลับได้เห็นว่าชายหนุ่มที่รูปร่าง ผอมแห้งคนนั้นมีน้ามูกน้าตาเปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า
ส่วนจิตมารของกู้ช่านคืออะไร อันที่จริงหันเชี่ยวเซ่อเดาได้ตั้ง นานแล้ว
ตอนนั้นคนหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง สองมือกาเป็ น หมัดวางอยู่บนหัวเข่าพึมพากับตัวเองคล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับ ตัว
“ข้าไม่ชอบ….หลักการเหตุผลพวกนี้ ข้าก็แค่เอาชนะพวกมัน ไม่ได้ ข้าก็เลยได้แต่ก้มหัวยอมแพ้ให้กับพวกมัน
“ข้าก็คือข้า กู้ช่านจะเป็ นกู้ช่านไปตลอดกาล ข้าสามารถแก้ไข ความผิดได้ แต่ข้าจะไม่ยอมรับผิดกับเจ้า ข้าไม่ได้ผิด!!
“เจ้าเองก็รู ้ว่านับแต่เด็กมาข้าก็ไม่เคยโกหกเจ้า…ข้าไม่เคย เปลี่ยน เป็ นเจ้าต่างหากที่เปลี่ยนไป
หันเชี่ยวเซ่อหรือจะรู ้จักปลอบใจผู้อื่น นางเพียงแค่ยืนอยู่ ตรงหน้าประตู มองคนหนุ่มที่เจ็บปวดรวดร ้าวปานจะขาดใจ เหมือน สัตว์ป่าตัวหนึ่งที่ไปหลบอยู่ในมุมมืดเพื่อเลียบาดแผลให้ตัวเอง
้
จากนั้นเจิ้งจวีจงผู้เป็ นศิษย์พี่ก็มาปรากฏตัวที่หน้าประตู หันเชี่ยว เซ่ออยากให้ศิษย์พี่ช่วยเหลือ จะได้ช่วยให้กู้ช่านผ่านด่าน ยากลาบาก ข้ามผ่านทัณฑ์ทางใจครั้งนี้ไปได้
เจิ้งจวีจงเพียงแค่ยิ้มเอ่ยว่า “ด้วยสภาพจิตใจอ่อนด้อยแค่นี้ก็กล้า พูดจาเหิมเกริมว่าจะฝึกตนเดินไปบนยอดสูงสุดของมหามรรคาใน นครจักรพรรดิขาวอย่างนั้นหรือ เพียงแค่เพื่อจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเฉิน ผิงอันไม่ผิด ตัวเจ้าเองก็ไม่ผิดเหมือนกัน?”
ผลคือการแสดงออกของกู้ช่านต่อจากนั้นกลับทาให้หันเชี่ยว เซ่อตกใจไม่เบา
คนหนุ่มที่ฝืนควบคุมไม่ให้ตัวเองแสดงความเกรี้ยวกราดเดือด ดาลยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง เพียงแค่ด่าออกมาประโยคหนึ่งว่า “ท่านไส หัวไปซะ!”
ตอนนั้นหันเชี่ยวเซ่ออึ้งไปทันที ไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับ ศิษย์พี่มาก่อนจริงๆ เคยมีหรือ? อาจจะเคยมี แต่จุดจบจะเป็ นอย่างไร แค่คิดก็พอจะรู ้ได้
โชคดีที่ศิษย์พี่ไม่โกรธ เพียงแค่ส่ายหน้ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คน ยากจนปณิธานสั้นลาคลองแคบน้าไหลเชี่ยว น่าสงสารจริงๆ
กู้ช่านเพียงแค่ก้มหน้า หอบหายใจฮักๆ โรคที่ทิ้งไว้หลังการปิด ด่านล้มเหลวเผยให้เห็นทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด เลือดสดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดไม่หยุดชะล้างน้ามูกน้าตาจนสิ้น
้
เจิ้งจวีจงเพียงแค่ยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนธรณีประตู “อย่าคิด เอาเอง อย่ายึดติด อย่าดื้อรั้น อย่ายึดตัวตนเป็ นใหญ่ ใช ้มรรคาเป็ น ขอบเขต ไม่ท าตามอ าเภอใจ”
กู้ช่านเงยหน้าขึ้นช ้าๆ บิดหมุนลาคอ จ้องเขม็งไปที่บุคคลอันดับ หนึ่งแห่งวิถีมารผู้เป็ นอาจารย์ของตนด้วยสายตาน่าสะพรึงกลัว
เจิ้งจวีจงยิ้มกล่าว “หากเฉินผิงอันเห็นเจ้าในสภาพนี้ก็อาจจะ พูดคุยกับเจ้า เพราะเขาสงสารเจ้า แต่เจ้ากับเขาต่างก็ไม่กล้ายอมรับ ว่าขอแค่กู้ช่านยังไม่ตายหนึ่งวัน เฉินผิงอันก็เดินออกไปจาก ทะเลสาบซูเจี่ยนไม่ได้หนึ่งวัน ทาไมเจ้าไม่รู ้จักสงสารเขาบ้าง? เพราะ แม้แต่ความสามารถจะสงสารเขา เจ้าก็ยังไม่มี ทั้งที่เจ้าเกลียดแค้น เขาจนกัดฟัน แต่เจ้ากลับไม่กล้าเกลียดเขา ไม่กล้าแม้แต่น้อย’
หันเชี่ยวเซ่อฟังด้วยความรู ้สึกหนาวไปทั้งสันหลัง ผู้ฝึ กตน ขอบเขตเขียนเหรินผู้ยิ่งใหญ่ถึงกับขนทั่วร่างลุกชัน
ดูเหมือนว่านาทีนั้น ความโมโหของกู้ช่านถึงได้หายวับไป
แต่นาทีนี้เอง เจิ้งจวีจงกลับหมุนตัวจากไปแล้ว เขาเพียงแค่ถาม คาถามนี้กับลูกศิษย์และขณะเดียวกันก็ให้คาตอบที่ไม่ใช่คาตอบนั้น
“วันนี้ไม่ฆ่าเฉินผิงอันที่เป็ นจิตมาร วันหน้าจะปกป้ องเฉินผิงอัน ได้อย่างไร? อาศัยขอบเขตก่อก าเนิดของกู้ช่านอย่างนั้นหรือ?”
้
“หากเจ้าไปยังจุดที่สูงยิ่งกว่า ต่อให้ปืนก็ต้องปืนไปให้ถึงจุดที่สูง ที่สุด สักวันหนึ่งเมื่อใช ้หนี้หมดแล้วก็จงบอกกับเฉินผิงอันว่า เป็ นเจ้า ที่ผิด เป็ นข้าที่ถูก
เจิ้งจวีจงเดินจากไปไกลแล้ว ในห้องเงียบงันกันไปนาน ก่อน กู้ช่านจะเปิดปากพูดด้วยน้าเสียงแหบพร่าว่า “ช่วยปิดประตูให้ที ข้า
จะปิดด่าน
หันเชี่ยวเซ่อจดจาได้อย่างชัดเจนว่าวันนั้น ใช ้เวลาไม่ถึงหนึ่ง ก้านธูป กู้ช่านที่เพิ่งจะปิดด่านล้มเหลวก็ออกจากด่านมาได้ส าเร็จ
……
มี่โจวแห่งใต้หล้ามืดสลัว บนทุ่งราบกว้างที่มองไปไกลสุดลูกหูลูก ตา ยอดเขารุ่นเยว่ตั้งอยู่เพียงลาพังอย่างโดดเดี่ยว
มีคนมาสร ้างกระท่อมไว้บนยอดเขาแห่งนี้อยู่หลายหลัง นับแต่ เด็กมาเขาก็มองท้องฟ้ าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
เพราะยอดเขารุ่นเยว่สูงทะลุเข้าไปในก้อนเมฆ ธารน้าตื้นไหล เอื่อยๆ ตรงตีนเขาเหมือนงูตัวเล็กที่เลื้อยคดเคี้ยวใต้เปลือกตา
ผู้ฝึ กยุทธซินขู่ อยู่ในอันดับล่างสุดของสิบคนแห่งใต้หล้าใหม่ เอี่ยม แม้จะบอกว่าอยู่อันดับล่างสุด แต่กลับทิ้งระยะห่างจากตัวสารอง ทั้งหลายมาไกลอย่างชัดเจน
้
ภูเขาที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ช่วงนี้กลับครึกครื้นอย่างที่หาได้ยาก ครึกครื้นจนซินขู่ที่แต่ไหนแต่ไรมาแทบไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เริ่มรู ้สึก ร าคาญบ้างแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณคนแรกที่ขึ้นเขามาก่อนใครคือเจ้าคนที่ชื่อว่าลู่ไถ เขาจูงหมาพื้นบ้านที่ไม่รู ้ว่าจูงติดมือมาจากข้างทางของหมู่บ้าน ชนบทแห่งใด ตั้งชื่อจริงให้มันว่าลู่เฉิน ชื่อเล่นคือลิ่วเอ๋อร ์
สตรีที่ขึ้นเขามาพร ้อมกับลู่ไถชื่อหยวนอิ๋ง อายุขัยในการฝึกตน ยังสั้นมาก ทว่าสถานะกลับไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง หากไม่เป็ นเพราะมีฉุน ชิงเด็กสาวที่มาจากถ้าสวรรค์จูไห่ ถ้าอย่างนั้นในกลุ่มตัวส ารองคนรุ่น เยาว์สิบคนของหลายใต้หล้า นางก็จะเป็ นคนที่เด็กที่สุด
ภูเขาลูกหนึ่งมีตราผนึกก็คือสัจธรรมพายุหมัดทั่วร่างของผู้ฝึ ก ยุทธซินขู่
อีกทั้งปณิธานหมัดส่วนนี้ยังสอดคล้องกับการผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนของตะวันจันทรายามกลางวันและกลางคืน ตอนกลางวัน พายุหมัดจะรุนแรงกร ้าวแกร่ง แต่ในยามที่แสงจันทร ์เหมือนสายน้า พายุหมัดจะเปลี่ยนมาเป็ นอ่อนโยนละเอียดถี่
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานและผู้ฝึกยุทธ ขอบเขตปลายทางเท่านั้นที่ถึงจะขึ้นเขามาได้
้
แน่นอนว่าก็มีข้อยกเว้น คงเป็ นเพราะสวรรค์ไม่ทอดทิ้งคนที่ตั้งใจ จริง หลายปีมานี้มีหลายคนที่ขอบเขตไม่ถือว่าสูงที่ยังแอบขึ้นมาบน ภูเขาได้ แน่นอนว่าเป็ นเพราะซินขู่ไม่ยินดีจะทาร ้ายผู้บริสุทธิ์ด้วย
สาหรับสิ่งมีชีวิตบนโลกมนุษย์ผู้ฝึกยุทธซินขู่มีความรู ้สึกใกล้ชิด สนิทสนมอย่างที่บอกไม่ถูกอยู่อย่างหนึ่ง เว้นเสียจากมนุ ษย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตน
ซินขู่สร ้างกระท่อมฝึกตนพักอาศัยอยู่ที่นี่เพียงลาพัง ผู้ฝึกยุทธ หนุ่มที่ไม่สนใจรูปลักษณ์ตัวเองผู้นี้มีเรือนร่างผอมบาง ใบหน้าเต็มไป ด้วยหนวดเครา เนื้อตัวมอมแมม ไม่รู ้ว่ามาจากไหน แล้วก็ไม่รู ้ว่าจะ ไปที่ไหน
ตอนเป็ นเด็กน้อยก็เหมือนสติปัญญาจะเปิดออกและจ าความได้ แล้ว ความทรงจ าทั้งหมดก่อนหน้านั้นล้วนเป็ นเพียงความว่างเปล่า เดินอยู่บนพื้นที่ราบของมีโจวอย่างมึนๆ งงๆ เพียงแค่เพราะเงยหน้า ขึ้นแล้วมองเห็นภูเขาสูงลูกนี้แล้วเกิดใจใกล้ชิดสนิทสนมจึงเดินเลียบ ริมน้าที่ไหลเอื้อยไปตลอดทาง ไม่มีความรู ้สึกเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ภายหลังเด็กน้อยถึงเพิ่งรู ้ถึงความแปลกประหลาดของตัวเอง ที่แท้ก็ ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถหลอมลมปราณได้ด้วยการหายใจ เพียงแค่ ก้าวเดินก็มีปณิธานหมัดอยู่บนร่าง สร ้างความแข็งแกร่งให้กับเรือน กายอย่างต่อเนื่องจนคล้ายกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด
เวลาปกติมีงานอดิเรกเพียงอย่างเดียวก็คือการท าหมึก และใน ขั้นตอนของการทาหมึกก็ไม่เคยถ่วงรั้งการฝึกหมัดของซินขู่
้
ก่อนหน้านี้มีชายหญิงอายุน้อยคู่หนึ่งคล้ายคู่รักพาสุนัขตัวหนึ่ง ขึ้นเขามาภายใต้เปลือกตาของซินขู่
แรกเริ่มซินขู่ก็ไม่ได้สนใจ ไม่ว่าจะใช ้วิธีการอะไรของตระกูล เซียน ในเมื่อขึ้นเขามาได้ก็ถือเป็ นความสามารถ ขอแค่ไม่อยู่ที่ยอด เขารุ่นเยว่นานเกินไปนัก โดยทั่วไปแล้วซินขู่ก็ไม่คิดจะสนใจนัก
เพียงแต่ว่าเหลือบมองบุรุษหล่อเหลาที่สวมชุดขาวพลิ้วไสวผู้นั้น แล้ว ดูเหมือนจะอยู่ในสภาวะของการปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกล
ส่วนผู้ฝึกตนหญิงสาวที่หน้าตาคล้ายจะดูไม่ดีเท่าบุรุษก็มองออก ว่าคุณสมบัติของนางไม่เลว หากอิงตามค ากล่าวของลู่เฉินก็คือ มักจะต้องมีลูกรักแห่งสวรรค์กลุ่มหนึ่งที่คนอื่นต้องปืนขึ้นเขา แต่พวก
เขาคือ “ภูเขามาพบข้า”