กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1041.5 บอกเล่าข่าวคราวของดอกเหมย
ต้นสนโบราณในภูเขาเขียวครึ้มรกหนากลายเป็ นผืนป่า เดินอยู่ บนเส้นทาง เสื้อผ้าของคนที่มาเยือนก็สะท้อนกลายเป็ นสีเขียวไปด้วย
หยวนอิ๋งร ้องอุทานด้วยความตกตะลึง “ว้าว ทิวทัศน์งดงามนัก น่ามอง น่ามองจริงๆ”
มือหนึ่งของลู่ไถจูงลู่เฉิน อีกมือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่า เอ่ยสัพยอก ว่า “จะดีจะชั่วเจ้าก็เป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวที่หลิ่วชี เฉาจู่ เป็ นผู้อบรมสั่งสอนมา เห็นทิวทัศน์นี้แล้วก็ได้แต่ร ้องว้าว ว้าว ว้าว เท่านั้นหรือ?”
หยวนอิ๋งยิ้มตาหยี “ก็เพราะว่ามีเจ้าอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ ไม่ถึงคราว ที่ข้าต้องร่ายบทกวีหรอก”
ทุกวันนี้นางเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่าปี มาจากพื้นที่มงคลสือไผ ซึ่งมี อีกชื่อหนึ่งว่า “พื้นที่มงคลชื่ออวี๋” หยวนอิ๋งมีอาจารย์สองคนคือหลิ่วชี และเฉาจู่ ล้วนเป็ นผู้ฝึกตนของไพศาลที่มาท่องเที่ยวในใต้หล้ามืด สลัว พวกอาจารย์กลับบ้านเกิดกันไปแล้ว แม้หยวนอิ๋งจะเป็ นขอบเขต หยกดิบ แต่กลับไม่ใช่เต้ากวาน ตอนที่นางติดอันดับยังอายุไม่ถึงยี่สิบ ปี เดินขึ้นฟ้ าด้วยก้าวเดียวจากขอบเขตเส้นเอ็นหลิว กลายเป็ น ขอบเขตหยกดิบได้โดยตรง
เมื่อหลายปีก่อนนางได้ร่วมกับลู่ไถเปิดเหลาสุราแห่งหนึ่งใกล้กับ ตลาดปลาบนตั้งท่าเรือของพวกชาวบ้าน หยวนอิ๋งเรียกตัวเองว่าเถ้า แก่เนี้ยะอย่างภาคภูมิใจมาโดยตลอดใครเรียกนางว่าเถ้าแก่เนี้ยะ นาง จะลดให้แปดส่วนทุกคน! หากใครถามว่านางจะจัดงานเลี้ยงมงคล เมื่อไหร่ จะลดให้หกส่วน!
พวกเขาเดินเล่นกันไปเช่นนี้จนถึงยอดเขารุ่นเยว่ ตอนนั้นซินขุ่ ก าลังท าหมึกซงแยนอยู่ในกระท่อมหลังหนึ่ง ลู่ไถกอดไม้เท้าไผ่เขียว ไว้ในอ้อมอก เอนตัวพิงกรอบประตู เพียงแค่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร
หยวนอิ๋งมีนิสัยร่าเริง นางตรงไปที่กองหินระเกะระกะที่อยู่ใกล้กับ หน้าผา มีหินประหลาดก้อนหนึ่งที่ถูกหินกองหนึ่งดันให้ลอยสูง แกะสลักด้วยตัวอักษรใหญ่สี่คาว่า “พื้นที่ประกอบพิธีกรรมอายุยืน” อยู่บนยอดเขาถูกขนานนามว่า “จุดพักเท้าของมรรคาจารย์เต๋า หยวนอิ๋งดีดปลายเท้าเล็กน้อย เรือนกายก็พลิ้วเข้าหาก้อนหินแผ่นนี้ นางกระโดดลงบนก้อนหินสองสามที่แล้วก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอยู่กับ ตัวเอง
ลู่ไถยิ้มกล่าว “ขอแนะนาตัวเองสักหน่อย ข้ามาจากสกุลลู่ แผ่นดินกลางใต้หล้าไพศาลแซ่ลู่นามไถ ขอบเขตต่ามาก แต่เป็ นคน ที่มีอารมณ์ขันอย่างมาก ความสามารถในการแก้เบื่อของข้าก็น้อย คนนักที่จะมีได้ในใต้หล้าแห่งนี้”
หมาพื้นบ้านตัวนั้นนอนหมอบอยู่ข้างเท้าของลู่ไถแต่โดยดี
คนหนุ่มที่อยู่ในห้องแค่ตั้งใจทาก้อนหมึกอยู่หลังโต๊ะเท่านั้น
ลู่ไถหยิบก้อนหมึกก้อนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วโยนไป บนโต๊ะเบาๆ “ต้นสนโบราณในอ าเภอเขียนหยางภูเขาจงหนาน คุณภาพดีกว่าต้นสนโบราณของยอดเขารุ่นเยว่พวกเจ้ามากนัก บอกไว้ก่อนนะว่า ข้าไม่ได้ยกให้เจ้า ดูแล้วก็จ าไว้ว่าต้องคืนให้ข้าด้วย
คนหนุ่มเหลือบมองก้อนหมึก พยักหน้าเอ่ยว่า ‘ดีจริงๆ สมกับค า เล่าลือ
ลู่ไถหัวเราะร่า “สามารถหยุดแต่พอสมควรได้ ขอบเขตของเจ้า สูง ข้าก็จะถือเสียว่าเป็ นการจ่ายค่าเช่าก้อนหนึ่งให้กับเจ้าของที่ดิน อย่างเจ้าก็แล้วกัน
ชายหนุ่มส่ายหน้า เพียงแค่รวบรวมสมาธิทุบและต าวัตถุดิบก้อน นั้นซ้าไปซ้ามา
ลู่ไถถาม “บนภูเขา นอกจากเหล้าซงฮวาที่หมักเองแล้ว ยังมีของ กินอีกไหม?”
ดูจากท่าทางก็คงได้แต่กินเมล็ดต้นสน กินเผือกหรือไม่ก็พวก เห็ดผู้หลิงกระมัง แต่รสชาติออกจะจืดชืดเกินไปหน่อยหรือไม่?
ซินขู่เงียบไม่ตอบ
อู่ไถเหลือบตามองขลุ่ยไม้ไผ่เลาเก่าที่วางอยู่บนโต๊ะ ถามชวนคุย ว่า “ยังเอาชนะหลินซือไม่ได้อีกหรือ?”
ซินขู่แสร ้งทาเป็ นไม่ได้ยิน ในห้องที่เส้นแสงมืดสลัวมีเพียงเสียง เคาะตีเท่านั้น
ลู่ไถยกเท้าดันหมาพื้นบ้านตัวนั้นให้ขยับออกเบาๆ “ลู่เฉิน อย่า มัวอึ้งอยู่สิ รีบทักทายพี่ซินขู่เร็วเข้า
หมาพื้นบ้านส่งเสียงงึมง า อาหารบนภูเขาแย่ไปสักหน่อย จึง
ค่อนข้างจะไร ้ชีวิตชีวาแล้ว ซินขู่เงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ
เจ้าที่เป็ นลูกหลานสกุลลู่ จะงัดข้อกับบรรพบุรุษบ้านตัวเองเช่นนี้ ไปไย
หลังจากนั้นลู่ไถก็ท าหน้าหนาอยู่ต่อ ใช่ว่าซินขู่จะไม่ลังเลใจ พูด โน้มน้าวดีๆ แล้วก็ยังไร ้ประโยชน์ ออกคาสั่งไล่แขกก็ยังไม่ได้ผล เขา จึงหิ้วตัวลู่ไถ หยวนอิ๋ง แน่นอนว่ายังมีหมาพื้นบ้านตัวนั้นโยนไปที่ตีน เขาพร ้อมกันเหมือนหิ้วลูกเจี๊ยบ ผลคือพวกลู่ไถก็ยังวิ่งตุปัดตุเป๋ ขึ้น เขามา ซินขู่อยากจะสั่งสอนพวกเขาสักหน่อย ไอ้หมอนั่นกลับทิ้งตัว นอนหงายลงบนพื้นแสร ้งท าเป็ นนอนตายไม่กระดุกกระดิก ซินขู่อด ประหลาดใจไม่ได้จึงถามเขาว่าต้องการอะไรกันแน่ ลู่ไถบอกว่า มารอคน ซินขู่ถามว่าต้องรอนานแค่ไหน ลู่ไถบอกว่านานสุดคือหนึ่ง เดือนซินขู่ก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
ผลคือหนึ่งเดือนผ่านไปแล้วก็ยังไม่มีคนที่ลู่ไถรอคอยมาเยือน
ซินขู่รู ้สึกว่าไอ้หมอนี่คิดหาข้ออ้างส่งเดชมาหลอกเขาเพื่อที่จะ ได้กินเปล่าอยู่เปล่าที่นี่หรือไม่ ผลคือลู่ไถกลับยกมือขึ้น ประกบสอง นิ้วเอ่ยว่า “ขอสาบานต่อฟ้ า หากข้าโกหก ตั้งแต่บรรพบุรุษจนมาถึง รุ่นของข้าล้วนจะต้องถูกฟ้ าผ่า ถูกฟ้ าผ่าห้ารอบ!
ผู้ฝึกตนหญิงที่ชื่อว่าหยวนอิ๋งคนนั้นยังร ้องสนับสนุนอยู่ด้านข้าง
ปากพูดว่าเปรี้ยงๆๆ
ซินขู่จึงบอกว่าจะให้เจ้ารออีกครึ่งเดือน หากยังไม่มีใครมาหาก็ ลงเขาไปซะ วันหน้าพวกเจ้าอย่าหวังจะขึ้นเขามาอีก จะเชื่อหรือไม่ก็ ตามใจเจ้า
ลู่ไถพยักหน้าเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก ตอบตกลงอย่าง ว่องไว จากนั้นก็ไปนั่งที่ธรณีประตู เอ่ยด้วยน้าเสียงที่เต็มไปด้วยความ ปรารถนาดีว่า “พี่ซินขู่ จะปล่อยให้ยอดเขารุ่นเยว่เป็ นอย่างนี้ต่อไป ไม่ได้จริงๆ นะ แต่ละคนต่างก็อาศัยสถานะที่น่าตกใจและขอบเขตที่ สูงคิดว่าที่นี่คือหอโคมเขียวหรืออย่างไร นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา แล้วยังไม่จ่ายเงินอีก!”
ซินขู่เหลือบมองตะพาบผู้นี้ แล้วเจ้าล่ะ?
ลู่ไถพูดอย่างหนักแน่นว่า “ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
ยกเท้าขึ้นแล้วลู่ไถก็กระทืบเท้าหนักๆ “จะลงหลักปักฐานที่นี่ ไม่ ย้ายไปไหนแล้ว”
ซินขู่ที่อยู่ในห้องเอ่ยด้วยน้าเสียงเฉยชา “เจ้าก็ยังไม่จ่ายอะไรอยู่ ดีสินะ
ลู่ไถตบมือ “ข้าก็ว่าแล้วว่าพี่ซินขู่เป็ นคนมหัศจรรย์เหมือนกันกับ ข้า ถูกชะตากันเช่นนี้ไม่สาบานเป็ นพี่น้องกันก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ
ซินขู่กล่าว “เหลืออีกแค่วันเดียวแล้ว หากยังไม่มีใครมาอีกก็อย่า มาโทษว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ
ลู่ไถพยักหน้า แล้วก็ถึงกับไปจุดธูป
ไม่รู ้ว่าจับผลัดจับผลูหรืออย่างไร วันต่อมาก็มีคนขึ้นเขามาจริงๆ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย
ซินขู่เดินออกมาจากกระท่อมอย่างที่หาได้ยาก ยืนเคียงไหล่กับลู่ ไถอยู่ริมหน้าผา มองไปที่ตีนเขา
หยวนอิ๋งนั่งยองอยู่ห่างไปไม่ไกล กาลังเล่นกับหมา
คนที่ขึ้นภูเขามามีสามคน ลู่ไถยิ้มแนะนาให้ทุกคนได้รู ้จักกัน “จางเฟิ งไห่แห่งนครอวี้ซูป๋ ายอวี้จิง ขาดอีกแค่ครึ่งก้าวก็จะได้เป็ น ขอบเขตสิบสี่แล้ว รอคอยให้ถึงช่วงเวลาที่สายฝนเทกระหน่าลงมา เขาก็น่าจะข้ามครึ่งก้าวที่เหลือนั่นไปได้แล้ว ร ้ายกาจใช่ไหมล่ะ คนที่ เดินตามกันจางเฟิงไห่มาคือหลวี่ปี้เสียเซียนอิสระหนึ่งในตัวสารอง ของใต้หล้า จะเรียกเขาว่าเนี่ยปี้เสียก็ได้ ขาดอีกนิดเดียวก็จะเป็ น ขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบ ขอบเขตต่าสุดกลับเป็ นคนที่เดิน
เคียงบ่ามากับจางเฟิงไห่ คือซือสิงหยวนบรรพจารย์หญิงแห่งพรรค เซียนจั้ง ฉายาว่า “เซ่ออวิ๋น” …ว้าว สมกับเป็ นสาวงามจริงๆ
หยวนอิ๋งลุกขึ้นยืนทันใด วิ่งไปหยุดอยู่ข้างกายลู่ไถ ไหนๆๆ
ลู่ไถยื่นนิ้วชี้ไปยังเส้นทางภูเขา สตรีผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายจางเฟิง ไห่ เรือนกายของนางโปร่งอรชร แต่กลับสวมชุดผ้าป่าน สวมรองเท้า สาน ปักปิ่นไม้ อีกทั้งเนื่องจากต้องทางานใช ้แรงงานอยู่ในถ้าแยนเสีย ตาหนักเจิ้นเยว่มานานหลายปีจึงทาให้ผิวของนางดาคล้า หากจะ บอกว่าเป็ นสาวงามก็พอจะใกล้เคียงอยู่บ้าง แต่พอหลุดออกมาจาก ปากของลู่ไถที่รูปโฉมงามล้าแล้วกลับเหมือนว่าจะไม่สมกับคากล่าว สักเท่าไร
ซือสิงหยวนคือคนที่มีขอบเขตต่าสุดในบรรดาคนทั้งสาม ดังนั้น จึงมิอาจได้ยินบทสนทนาของคนที่อยู่บนยอดเขา
แต่หลวี่ปี้เสียกลับเงยหน้าขึ้นมองมา ผลคือเจ้าคนที่ยากจะ แยกแยะได้ว่าเป็ นชายหรือหญิงผู้นั้นกลับเผ่นหนีไปเสียแล้ว
นางหายตัวไปในใต้หล้ามืดสลัวนานมาก ยืมอาศัยอยู่ หรือควร จะพูดว่าซุกซ่อนตัวอยู่ในจิตวิญญาณของ ซือสิงหยวน มานานมาก
ส่วนซือสิงหยวนนั้นกลับหาวิธีแฝงเข้าไปในถ้าแยนเสียด้วย ตัวเอง
ออกมาจากกรงขังแห่งนั้นได้ แน่นอนซือสิงหยวนต้องแอบยินดี ชั่วชีวิตนี้นางไม่อยากจะหวนกลับคืนไปยังสถานที่เดิมอีกแล้ว
ในถ้าแยนเสียแห่งนั้น ขอบเขตเซียนเหรินของซือสิงหยวนได้ถูก ลดทอนไปทีละนิดจนกลายมาเป็ นขอบเขตหยกดิบแล้ว
ความเสียดายเล็กน้อยเพียงอย่างเดียวก็คือจะไม่ได้เห็นทุ่งข้าว สาลีที่การเติบโตของมันช่างน่ามอง และผลเก็บเกี่ยวก็น่าจะดีกว่าปี ก่อนๆ ถึงสามส่วนอีกแล้ว
ลู่ไถนั่งยองอยู่บนพื้น ลูบหัวหมาพันธ ์พื้นบ้านตัวนั้นแล้วเงยหน้า ยิ้มกล่าว “พี่ซินขู่ ไม่สู้พวกเรามาเดิมพันกันดีไหม?”
ซินขู่ส่ายหน้า
ลู่ไถเป็ นพวกพูดมาก ต่อให้ไม่สนใจเขา อีกฝ่ ายก็สามารถพูด จ้อต่อไปได้เรื่อยๆ อยู่ร่วมกันมานานขนาดนี้ ซินขู่ก็ยังไม่เคยชินเสีย
ที
ลู่ไถจึงเปลี่ยนวิธีการ ไปเดิมพันกับจางเฟิงไห่แทน เดิมพันว่าเขา จะต้องทาสิ่งที่ปรารถนาได้สาเร็จแน่นอน เมื่อทาสาเร็จแล้วก็จะต้อง ตอบตกลงเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งกับเขาลู่ไถ
จางเฟิ งไห่ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล ผู้ฝึ กตนที่เป็ นฝ่ ายละทิ้ง สถานะของเต้ากวานป๋ ายอวี้จิงอย่างไม่ลังเลผู้นี้ถึงขั้นไม่ได้ถามอีก ฝ่ายว่าเป็ นใคร และเรื่องเล็กที่ว่าคือเรื่องอะไร
ลู่ไถเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง ไม่เสียแรงที่เป็ นเจ้าสานักจางของพวก เรา ใจกว้างล้นเหลืออยู่กับเขาจะต้องได้กินอิ่มแน่นอน!”
จากนั้นจางเฟิงไห่ก็เดินมาถึงยอดเขา ผลักก้อนหินใน “จุดพัก เท้าของมรรคาจารย์เต๋า” ให้กลิ้งไปที่ตีนเขา หล่นลงไปในน้า แล้วจึง ไปคุยธุระกับซินขู่ในห้อง
อย่าว่าแต่ซือสิงหยวนเลย ต่อให้เป็ นหลวี่ปี้เสียที่เจอกับคลื่น มรสุมใหญ่ๆ มาจนชินและหยวนอิ๋งที่เป็ นคนใจกว้างมาโดยตลอดก็ยัง
อดตกตะลึงไม่ได้
มีเพียงท่าทางตกใจของลู่ไถที่เสแสร ้งแกล้งทา เขายกนิ้วโป้ งไป ทางแผ่นหลังของจางเฟิงไห่ “เจ้าสานักจางช่างเผด็จการยิ่งนัก!
ซินขู่นั่งลงหลังโต๊ะ บนโต๊ะด้านหน้าคือก้อนหมึกซึ่งผ่านการทุบ ตามานับแสนครั้งที่วางเรียงกันเป็ นแถว จางเฟิ งไห่ยกสองแขน กอดอก เอนกายพิงกรอบประตู เอ่ยว่า ข้าคิดว่าจะเลือกยอดเขารุ่น เยว่เป็ นที่ตั้งของสานัก เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ซินขู่ขมวดคิ้ว “รอให้เจ้าเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ก่อนแล้วค่อยมา คุยเรื่องนี้
จางเฟิ งไห่กล่าว “เจ้าไม่ต้องเป็ นเจ้าส านัก เพราะเจ้าเองก็ไม่ เหมาะที่จะเป็ น ต่อให้เป็ นก็เป็ นได้ไม่ดี ดังนั้นเจ้าแค่ต้องแขวนชื่ออยู่ ในท าเนียบของส านักก็พอ ข้าจะเป็ นเจ้าส านักเอง”
ซินขู่ลุกขึ้นยืน
จางเฟิงไห่ยิ้มกล่าว “อย่าเพิ่งโกรธสิ หลังจากที่มรรคาจารย์เต๋า สลายมรรคา ใต้หล้ามืดสลัวจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เจ้าหลบไม่พ้น แทนที่จะรอคอยอยู่เฉยๆ ก็ไม่สู้ชิงตัดหน้าไปก่อน
ซินขู่ถาม “เจ้ากับลู่ไถตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วหรือ?”
จางเฟิงไห่ส่ายหน้า “เพิ่งเจอกันครั้งแรก
ลู่ไถแผดเสียงเอ่ยคล้อยตาม “ฟ้ าดินเป็ นพยาน!
ซินขู่หัวเราะหยัน “หากจ าไม่ผิด มรรคาจารย์เต๋าเคยพูดเองว่า ข้ามีสมบัติสามชิ้นที่สามารถครอบครองได้ ชิ้นแรกคือความรักความ เมตตา ชิ้นที่สองคือความประหยัดมัธยัสถ์ ชิ้นที่สามคือการไม่กล้า อยู่เหนือผู้อื่นในใต้หล้า
จางเฟิงไห่เงียบไปพักใหญ่ “สมองเจ้าไม่ค่อยมีไหวพริบสักเท่าไร เลยจริงๆ
ลู่ไถยกเท้ากล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้าส านักจางเจ้าช่างบังอาจ นัก ห้ามพูดจาแบบนี้กับพี่ซินขู่ของข้า!
จางเฟิงไห่ยิ้มกล่าว “แต่เจ้านี่ก็นิสัยดีจริงๆ อุตส่าห์ทนกับเขาได้ ตั้งนาน”
ลู่ไถนอนคว่าอยู่บนขอบหน้าต่าง อธิบายว่า “ความหมายของ เจ้าส านักจางไม่ซับซ ้อนก็คือบอกว่าเขาหลุดพ้นจากป๋ ายอวี้จิงแล้ว แม้กระทั่งนครอวี่ชูก็ไม่ต้องการแล้ว ทุกวันนี้จะใช่นักพรตเต๋าหรือไม่
ก็ยังบอกได้ยาก จากนั้นก็เป็ นกฎทองบัญญัติหยกของมรรคาจารย์ เต๋าที่วางไว้ในใต้หล้ามืดสลัว ไม่ว่าใครก็เหมาะจะน ามาใช ้ ไม่ว่าใคร ก็ล้วนต้องรับฟัง ต่อให้ไม่ยินยอมก็ต้องอดทนข่มกลั้นเอาไว้ ทางที่ดี ที่สุดคือต้องยินยอมทั้งกายและใจ แต่ขอแค่มีเจ้าซินขู่ที่ไม่ว่าทาอะไร ก็ไม่ยากล าบาก (ซินขู่) ก็ไม่ต้องสนใจได้ เพราะมีเพียงเจ้า แล้วก็ บังเอิญมีแค่เจ้า ดังนั้นข้าถึงได้มาที่นี่ เจ้าสานักจางก็มีเหตุผล เดียวกัน แต่ความเห็นแก่ตัวของข้าเข้มข้นมากกว่า ก็แค่อยากจะมี สถานที่สาหรับรับรองแขกที่กว้างขวางเท่านั้น วันหน้าจะได้มีหน้ามี ตาตอนที่ได้กลับมาพบเจอกับสหายอีกครั้ง เจ้าสานักจางกลับ… ยุติธรรมอย่างมากต้องการเป็ นตัวแทนของมรรคาจารย์เต๋า ท าให้ เรื่องบางเรื่องที่เขารู ้สึกว่าไม่ถูกต้องค่อยๆ เข้าร่องเข้ารอยไปทีละก้าว
หลวี่ปี้เสียสูดลมหายใจเข้าลึก
ซือสิงหยวนก็ยิ่งจิตแห่งมรรคาไม่มั่นคง
หากไม่เป็ นเพราะเจ้าหมอนั่นเปิดเผยความลับสวรรค์ อันที่จริง พวกนางก็ไม่รู ้เลยว่าจางเฟิงไห่ต้องการจะท าอะไรกันแน่
บนยอดเขามีเพียงเสียงต้นสนที่พัดส่ายเป็ นระลอกดุจเสียงน้าขึ้น
ยังคงเป็ นเจ้าหมอนั่นที่ทาลายความเงียบ “เจ้าสานักจาง ถึง อย่างไรก็เป็ นจุดพักเท้าของมรรคาจารย์เต๋า พวกเราย้ายหินก้อนนั้น กลับมาที่เดิมเถอะ หากเจ้ารู ้สึกว่าขายหน้าก็สามารถเรียกพี่หญิง หลวี่ให้ไปงมก้อนหินตรงน้าตื้นแห่งนั้นได้
ได้ยินประโยคที่ตรงไปตรงมาไม่สนใจสิ่งใดประโยคนี้ หลวี่ปี้เสีย และซือสิงหยวน และยังมีหยวนอิ๋งต่างก็ถอนหายใจแทบจะเวลา เดียวกัน
ซินขู่กล่าว “รอให้เจ้าเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่เมื่อไหร่ค่อยมาคุย เรื่องนี้”
จางเฟิงไห่พยักหน้า “ตกลง
อันที่จริงเป็ นคาพูดแบบเดียวกันแต่กลับมีสองความหมาย
ก่อนหน้านี้หมายถึงว่าเมื่อจางเฟิงไห่เป็ นขอบเขตสิบสี่แล้วค่อย มาต่อสู้กัน
ตอนนี้ความหมายของซินขู่คือหากเจ้าสามารถเลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบสี่ได้ก็จะมีคุณสมบัติมาเปิดสานักตั้งพรรคอยู่ที่ยอดเขา รุ่นเยว่แห่งนี้
ลู่ไถถูมือเอ่ย “ดี เจรจากันได้ส าเร็จก็ดีแล้ว ต้องฉลองสักหน่อย ไม่สู้พวกเราฆ่าหมามากินเนื้อกันดีกว่า กินเนื้อหมาตุ๋นตอนหน้า หนาว รสชาตินั้นก็ช่าง…..”
เป็ นครั้งแรกที่หยวนอิ๋งมีความเห็นไม่ตรงกับลู่ไถ นางถลึงตา กล่าว ‘ลู่ไถ!”
ลู่ไถยิ้มกว้างสดใส “ก็แค่เห็นว่าพวกเจ้าแต่ละคนมีท่าทางเบื่อ หน่ายเลยล้อเล่นให้สนุกเท่านั้น ดูเจ้าตื่นเต้นเข้าสิ”
จากนั้นคนทั้งสองกลุ่มก็ได้พักอยู่ที่นี่แล้ว
มีลู่ไถอยู่ด้วย เพียงไม่นานสองฝ่ายก็สนิทสนมกัน
คงเป็ นเพราะนอกจากป๋ ายอวี้จิงแล้วก็เป็ นสถานที่แห่งนี้ที่อยู่ใกล้ ดวงจันทร ์มากที่สุดในใต้หล้า
ท่ามกลางม่านราตรีของวันนี้ ลู่ไถลากซินขู่และทุกคนมานั่งลง บนก้อนหินด้วยกัน ต่างคนต่างดื่มเหล้า ภายใต้การนาพาของลู่ไถ ทุกคนเริ่มมองไปยังอนาคตด้วยกัน
คนหกคนที่อยู่ดีๆ ก็ได้มารวมตัวกัน หากอิงตามลาดับก่อนหลัง ก็คือซินขู่ ลู่ไถ หยวนอิ๋ง จางเฟิงไห่ หลวี่ปี้เสีย ซือสิงหยวน
ภูเขาลูกหนึ่งที่ยังไม่มีชื่อเรียกสานัก มีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวหนึ่งคน และผู้ฝึกลมปราณห้าคน
ตามการตั้งสมมติฐานของลู่ไถ เจ้าสานักต้องเป็ นจางเฟิ งไห่ บรรพจารย์ผู้คุมกฏคือหลวี่ปี้เสีย คนที่รับผิดชอบดูแลเงินทองคือซื อสิงหยวน
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง เดิมควรเป็ นซินขู่ ทว่าบุคคลอันดับสอง บนวิถีวรยุทธในใต้หล้ามืดสลัวผู้นี้กลับปฏิเสธ
ดังนั้นลู่ไถจึงเสนอตัวเอง รับภาระหน้าที่อย่างมิอาจเกี่ยงงอน หยวนอิ๋งจึงกลายไปเป็ นผู้ถวายงานอันดับที่สอง
“สานักแห่งนี้ของพวกเรามีคนสิบคนก็เพียงพอแล้ว หาก มากกว่านี้ก็จะเป็ นการเลี้ยงเศษสวะให้สิ้นเปลืองแล้ว พี่หญิงซือ เจ้า ถลึงตาใส่ข้าท าไมกัน ข้าไม่ได้พูดถึงเจ้าเสียหน่อย
ซือสิงหยวนกล่าวอย่างจนใจ “ข้าไม่ได้มองเจ้า พูดเหลวไหล อะไร”
นางไม่ได้คิดว่าลู่ไถพูดจาไม่น่าฟังอะไรเลยจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็เป็ นข้าที่เข้าใจพี่หญิงซือผิดไปแล้ว”