กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1041.7 บอกเล่าข่าวคราวของดอกเหมย
มองแผ่นหลังของสวินชวี่ก็รู ้สึกว่ายิ่งเหมือนอาจารย์เฉินอีกหลาย ส่วน
หลังจากนั้นเจิงเย่ก็ไปหาโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนั้น หากไม่ เป็ นเพราะอาจารย์เฉินเขียนบอกไว้ในจดหมายอย่างละเอียดก็ไม่แน่ เสมอไปว่าเขาจะหาเจอจริงๆ เคาะประตูไปแล้วก็มีผู้ฝึกตนหญิงอายุ น้อยสองคนมาคอยรับรองแขก ห่างไปไกลอีกหน่อยก็มีอีกสองคน เดินอ้อมผ่านก าแพงบังตายังมีอีกสองคน พวกนางล้วนกระตือรือร ้น กันมาก รูปร่างหน้าตาแน่นอนว่าต่างก็งดงาม ดุจสกุณารวมกลุ่มส่ง เสียงเจื้อยแจ้ว พวกนางพูดจากระตือรือร ้นเรียกขานค าแล้วค าเล่าว่า คุณชาย ว่าเซียนซือ แต่กลับท าให้เจิงเย่รู ้สึกไม่สบายตัวเสียเลยเขา ลังเลอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้บอกไปว่าตัวเองคือสหายของ อาจารย์เฉิน แล้วก็ไม่ได้ถามว่าเถ้าแก่โรงเตี๊ยม “ก่ายเยี่ยน” อยู่ หรือไม่ เจิงเย่เพียงแค่จ่ายเงินมัดจาก้อนหนึ่งไปแล้วเข้าพักอาศัย
หลังจากที่เจิงเย่เข้าห้องพักไปแล้ว
ก่ายเยี่ยนที่อยู่ในห้องของตัวเองก็นั่งยกขาไขว่ห้างเปิดดูสมุด บัญชีพลางดีดลูกคิดไปด้วย ไม่เลวๆ กิจการรุ่งเรืองอย่างยิ่ง
ใต้เท้าอิ่นกวานท าการค้าพอจะมีฝีมืออยู่บ้างจริงๆ แค่ช่วยเสนอ แนวคิดให้ไม่กี่ข้อกิจการของโรงเตี๊ยมก็ดีขึ้นได้ทันที
เจิงเย่วางสัมภาระไว้เรียบร ้อยแล้ว ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็หยิบ สัมภาระขึ้นมาสะพายใหม่ ออกไปจากโรงเตี๊ยม ไปยังตรอกเล็กเส้น นั้น
ตรอกเล็กที่อยู่นอกหอเหรินอวิ๋นอื้อวิ๋น อาจารย์และศิษย์สองคน อย่างหลิวเจียและจ้าวตวนหมิงไม่มีเรื่องอะไรให้ทา พวกเขาที่อยู่ใน พื้นที่ประกอบพิธีกรรมเปลือกหอย คนหนึ่งจึงดื่มเหล้า อีกคนกินถั่ว ลิสงโรยเกลือ
ผู้เฒ่ารู ้สึกเสียดายอยู่บ้างเล็กน้อย นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันออกไป จากเมืองหลวงตรอกเส้นนี้ก็ไม่ครึกครื้นอีกแล้ว
แรกเริ่มสุดก็เป็ นปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่มาเยือนที่แห่งนี้ด้วย ตัวเอง อาจารย์และศิษย์สองคนต่างก็จาไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรเมื่อ เทียบกับรูปลักษณ์ที่อยู่ในภาพแขวนของศาลบุ๋นก็แตกต่างกัน ค่อนข้างมาก
ภายหลัง….หลี่เซิ่งก็มาเหมือนกัน!
โชคดีที่เจ้าเด็กจ้าวตวนหมิงพอจะมีแววตาอยู่บ้าง คงเป็ นเพราะ ถูกฟ้ าผ่าอยู่หลายครั้งจนทาให้เกิดไหวพริบขึ้นมา ก าเนิดเฒ่าถึงได้ ไม่เสียมารยาท
หลังจากนั้นก็มีคนทยอยมาเยือนที่นี่ บางคนก็เป็ นคนที่ผู้เฒ่าไม่ กล้าแม้แต่จะฝันถึงบางคนก็เป็ นใบหน้าที่ไม่รู ้จัก
ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ยังมีหลี่ซีเซิ่งที่บอกว่าตัวเองมาจาก อ าเภอไหวหวงหลงโจวมาเยือนที่ตรอกแห่งนี้ เขาเป็ นคนบ้าน เดียวกับเฉินผิงอัน แล้วจะขัดขวางอย่างไร?
ก่อนหน้านั้นอีกก็มีนักพรตเฒ่าเรือนกายกายา ข้างกายมี ลูกสมุนตัวน้อยติดตามมาเป็ นนักพรตเต๋าที่มีลักษณะเป็ นเด็กหนุ่ม
นักพรตสองคนที่ลักษณะคล้ายอาจารย์และศิษย์กันนี้ลอบมอง เข้ามาในตรอกเล็กอย่างลับๆ ล่อๆ หลิวเจียจะไม่ขวางได้หรือ? ต้อง ขวางแน่อยู่แล้ว
แน่นอนว่ายังมีอาจารย์เจิ้งของนครจักรพรรดิขาวด้วย
โชคดีที่นักพรตเฒ่าเคยเจอกับ “คลื่นมรสุมใหญ่” มาเป็ นพรวน ขอบเขตไม่สูง แต่ฝึ กอบรมจิตใจประสบความส าเร็จแล้ว จิตแห่ง มรรคาของก่อก าเนิดถูกขัดเกลาจนแข็งแกร่งดุจหินผา!
หลังจากที่เจิ้งจวีจงจากไป หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็ก อาจารย์และศิษย์ สองคนหันมามองหน้ากันเอง ตาใหญ่มองตาเล็ก
ตอนนั้นยังคงเป็ นผู้เฒ่าที่เปิดปากเอ่ยก่อน “ตวนหมิงอ่า เหมือน เจ้าจะตื่นเต้นอยู่บ้างนะ ตอนที่เรียกขานอาจารย์เจิ้งคล้ายว่าฟันจะ กระทบกันด้วย?”
เด็กหนุ่มไม่ได้เถียงอะไร เพียงแค่ชี้ไปที่หน้าผากของผู้เฒ่า “อาจารย์ รีบเช็ดเหงื่อเร็วเข้า ฝนตกหรือไร
วันนี้ผู้เฒ่าคีบถั่วลิสงโรยเกลือเม็ดหนึ่งโยนเข้าปาก เอ่ยว่า “ตวน หมิงอ่า เจ้าลองคานวณดูสิว่ายังจะมีบุคคลยิ่งใหญ่คนใดบ้างที่ไม่ ได้มาขานชื่อกับพวกเราที่นี่”
เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่บนพื้น เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อาจารย์ ท่านกล้าพูดว่าขานชื่อเลยหรือช่วงนี้ท่านเหมือนจะตัวลอยไปหน่อย
นะ ควบคุมตัวเองหน่อยเถอะ”
ผู้เฒ่าจิบเหล้าหนึ่งอีกแล้วร ้องเอ๊ะ “มีคนมาแล้ว ตวนหมิง เบิกตา กว้างมองให้ดีว่าใช่ยอดฝีมือบนยอดเขาที่ร ้ายกาจคนใดหรือไม่”
จ้าวตวนหมิงหันกลับไปมอง คือผู้ฝึ กตนหนุ่มลักษณะเหน็ด เหนื่อยจากการเดินทางเขาส่ายหน้ากล่าว “ไม่รู ้จัก เอาเป็ นว่าไม่ตรง กับภาพเหมือนภาพใดที่แขวนไว้ในศาลบุ๋นศาลบู๊ก็แล้วกัน”
ผู้เฒ่าร ้องอ้อหนึ่งที รอกระทั่งเด็กหนุ่มก้มหน้ายื่นมือไปคว้าถั่ว ลิสงโรยเกลือ เขากลับเห็นว่าไม่เหลือถั่วอีกแม้แต่เม็ดเดียวแล้ว
เจิงเย่ยืนอยู่หน้าตรอก กุมมือประสานใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “เจิงเย่ แห่งพรรคห้าเกาะเคยติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์เฉินช่วงระยะเวลา หนึ่ง อาจารย์เฉินให้ข้ามาหาเซียนซือผู้เฒ่าหลิวและเซียนซือน้อย จ้าวที่นี่”
หลิวเจียได้ยินก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันใด เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้ถือว่ายัง รู ้ความอยู่บ้าง รู ้ว่าในเมืองหลวงแห่งนี้ตนเป็ นคนคุม ดังนั้นจึงบอกให้ สหายมาเป็ นฝ่ายทักทายกับตนที่นี่
เปิดตราผนึกของพื้นที่ประกอบพิธีกรรม หลิวเจียลุกขึ้นยืน กุม มือคารวะกลับคืน ยิ้มเอ่ยว่า “น้องชายเข้ามาคุยกันข้างในเถอะ”
เจิงเย่เดินก้าวเข้ามาในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมหยกขาวแห่งนี้ พูดถึงแผนการการเดินทางมาเยือนเมืองหลวงของตัวเองครั้งนี้กับ เซียนซือผู้เฒ่าตามค าบอกกล่าวของอาจารย์เฉินในจดหมาย
จ้าวตวนหมิงอารมณ์ดีอย่างมาก แนะนาเจิงเย่ว่าในเมื่อมาก็ มาแล้ว สามารถไปเดินเที่ยวตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร ์เพิ่มจาก รายการที่เขียนไว้ได้ แม้จะบอกว่าไม่มีความหมายอะไร แต่หากไม่ไป เยือนสักรอบกลับจะยิ่งไม่มีความหมายมากกว่า
หลิวเจียลูบหนวดยิ้มถาม “เจิงเย่ เจ้าคิดจะพักที่ไหน?”
เจิงเย่จึงบอกชื่อโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนั้นออกไป
หลิวเจียกล่าวอย่างกังขาว่า “มีเงินขนาดนี้เชียวหรือ ถึงได้ไปใช ้ จ่ายที่นั่น? ทุกวันนี้คนในเมืองหลวงต่างก็บอกว่าสถานที่แห่งนั้นเป็ น สถานที่ที่เอาไว้เชือดหมูอย่างผู้ฝึกตนต่างถิ่นโดยเฉพาะ พยายามคิด หาสารพัดวิธีในการหลอกเอาเงินคน เจ้าต้องระวังหน่อยนะ”
จ้าวตวนหมิงพยักหน้ารับอย่างแรง “พี่เจิง จริงๆ นะ ได้ยินว่าเมื่อ ก่อนที่นั่นเงียบเหงาจนแทบจะกางตาข่ายจับนกหน้าประตูได้ ทุกวันนี้ ไม่รู ้ว่าเป็ นอย่างไรถึงได้ร ้ายกาจขึ้นมาเชือดหมูกันเต็มที่เลย”
เจิงเย่ไม่รู ้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
หลิวเจียกล่าว “ประหลาดเสียจริง คราวก่อนเฉินผิงอันมาเยือน เมืองหลวง ตัวเขาเองก็ไม่ได้พักอยู่ที่นั่น ทาไมถึงได้หลอกให้เจ้าไป เสียเงินเปล่าที่นั่นได้นะ หรือว่าได้ส่วนแบ่ง?”
จ้าวตวนหมิงเอ่ยเสียงเบา “คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง พี่ใหญ่เฉินคือ บัณฑิตที่สูงส่งผึ่งผายนะ”
เจิงเย่รีบเปลี่ยนหัวข้อทันทีด้วยการถามว่า “เซียนซือผู้เฒ่าหลิว ขอถามหน่อยว่าคราวก่อนอาจารย์เฉินพักอยู่ที่ไหนหรือ?”
หลิวเจียผงกปลายคาง “เดินเข้าไปในนี้แค่ไม่กี่ก้าว เป็ นโรงเตี๊ยม ชาวบ้าน แม้ว่าจะซอมซ่อไปสักหน่อย แต่จ่ายเงินแค่ไม่กี่แดง ข้าว่า เฉินผิงอันก็พักได้อย่างเคยชินดีนะ”
จ้าวตวนหมิงยิ้มเอ่ย “ได้ยินเถ้าแก่หลิวบอกว่าพี่ใหญ่เฉินยังซื้อ เครื่องกระเบื้องชิ้นหนึ่งมาจากที่นั่นด้วยหรือ”
เจิงเย่ยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม คิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้าจะไปดูที่ นั่นสักหน่อย”
หลิวเจียพยักหน้า “มาถึงที่นี่แล้วก็ตามสบาย เจ้าเด็กตวนหมิงผู้ นี้มองเหมือนจะโง่ แต่อันที่จริงไม่ใช่คนเลวร ้าย แค่ต้องจ าไว้ว่าเวลา เดินอยู่บนถนนกับเขาต้องระวังให้มากหน่อยโดยเฉพาะหากมีฝนตก ฟ้ าร ้องก็พยายามอยู่ห่างเจ้าเด็กคนนี้เอาไว้”
จ้าวตวนหมิงกล่าวอย่างเดือดดาล “อาจารย์ มีใครเขาใส่ร ้ายลูก ศิษย์แบบท่านบ้างเล่า?! มีครั้งไหนที่ข้าโดนฟ้ าผ่าแล้วทาให้คนอื่น เจ็บตัวไปด้วย หา?!”
หลิวเจียพยักหน้า “ก็จริงนะ”
เจิงเย่มึนงง แต่กระนั้นก็ยังกุมหมัดขอตัวลาจากไป
รอกระทั่งเจิงเย่ออกมาจากพื้นที่ประกอบพิธีกรรมแล้ว จ้าวตวนห มิงก็ตบศีรษะตัวเองนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “เกือบจะลืมไปแล้วเชียว บอกว่าจะหาตาราเล่มนั้นให้กับนังหนูนั่นกลุ้มใจจริง! อย่าว่าแต่เมือง หลวงเลย ร ้านหนังสือในสถานที่ต่างๆ ข้างนอกต่างก็ไม่จัดพิมพ์ บันทึกการเดินทางเล่มนั้นมานานแล้ว แล้วจะให้ข้าไปหาที่ไหนเล่า เจ้าตะพาบเฉาเกิงซินผู้นั้น ปากก็พูดเสียดิบดี บอกว่าจะต้องช่วยหา ให้ข้าแน่นอน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวเป็ นคนที่พึ่งพาไม่ได้ ผู้หนึ่ง…”
เจิงเย่หาโรงเตี๊ยมแห่งนั้นเจอได้อย่างรวดเร็ว เถ้าแก่ผู้เฒ่ากาลัง ใช ้ไม้ปัดขนไก่ปัดฝุ่นบนโต๊ะคิดเงิน
เถ้าแก่แซ่หลิวเห็นคนหนุ่มที่อยู่หน้าประตูก็ยิ้มถามว่า “ลูกค้า จะ มาพักหรือ?”
เจิงเย่มองประเมินห้องโถงด้านหน้าของโรงเตี๊ยมอย่างละเอียดไป รอบหนึ่งแล้ว นอกจากเครื่องกระเบื้องทั้งหลายที่อยู่บนชั้นวางแล้วก็ดู เหมือนจะไม่มีอะไรประหลาดอีก ก่อนหน้านี้อาจารย์เฉินมาพักที่นี่ก็
น่าจะเป็ นเพราะอยู่ห่างจากตรอกแห่งนั้นไม่ไกล เจิงเย่ยิ้มเอ่ย “แค่ ผ่านทางมาเท่านั้น”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าพยักหน้า “ไม่เป็ นไรๆ”
ในเมื่อเปิดประตูทาการค้า คนที่มาเยือนล้วนเป็ นแขก คนที่จาก ไปก็เป็ นแขกเช่นเดียวกัน
ทางฝั่งของตรอกเล็ก คนผู้หนึ่งที่ตรงเอวห้อยน้าเต้าบรรจุเหล้า แวววาวยืนเอนกายพิงผนังตรอก ยกมือขึ้นโบกตาราเก่าแก่เล่มหนึ่ง ในมือ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “จ้าวตวนหมิง มาโขกหัวขอบคุณพี่เฉาสิ”
จ้าวตวนหมิงแย่งตาราเล่มนั้นมา “ขอบคุณกะผายลมอะไรเล่า เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ถ่วงเวลามาตั้งนานกว่าจะจัดการให้ เจ้าเป็ นใต้เท้า รองเจ้ากรมได้อย่างไร…..ท่านปู่เจ้าเถอะ!”
ที่แท้เด็กหนุ่มก็สังเกตเห็นว่ามีเพียงปกหนังสือที่ถูกต้อง เนื้อหา ด้านในกลับเป็ นต าราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่ง
เฉาเกิงซินเรอกลิ่นสุรา ยื่นมือมากดหัวเด็กหนุ่ม “เอาล่ะๆ บังเอิญ เจอกันบนถนน ข้าก็เลยมอบตาราเล่มนั้นให้แม่นางหลิวไปแล้ว”
จ้าวตวนหมิงกึ่งเชื่อกึ่งกังขา “จริงหรือ?!”
เฉาเกิงซินตบหัวของเด็กหนุ่ม “ไปเล่นดินเหนียวตรงโน้นไป ข้า มีธุระจะคุยกับอาจารย์เจ้า”
จ้าวตวนหมิงเซถลา คิดไปคิดมาก็รู ้สึกว่าต่อให้เจ้าเฉาเกิงซินผู้นี้ จะไม่เป็ นผู้เป็ นคนแค่ไหนก็ไม่น่าจะถึงขั้นแกล้งหลอกตน จากนั้นเด็ก หนุ่มก็เห็นว่าเจ้าตะพาบที่บอกว่าจะคุยธุระกลับเริ่มกอดคออาจารย์ ของตนแล้วดื่มเหล้าด้วยกัน
เจิงเย่เดินออกจากโรงเตี๊ยมด้วยความรู ้สึกผิดเล็กน้อย
ในเมื่อจ่ายเงินไปแล้ว เจิงเย่ก็คิดว่าจะไปพักที่โรงเตี๊ยมตระกูล เซียนแห่งนั้นเหมือนเดิม
บนถนนมีเด็กสาวคนหนึ่งเดินมาด้วยท่าทางดีใจมีความสุข นาง ถึงกับเดินพลางก้มหน้าอ่านหนังสือไปพลาง
ฮ่าๆ ในที่สุดก็ได้มาอยู่ในมือเสียที! ตาราเล่มนี้นางอยากได้มา
นานมากแล้ว
แม้ว่าแท้จริงแล้วจะเคยอ่านเนื้อหาในบันทึกการเดินทางเล่มนี้มา นานแล้ว แต่มีต าราหรือไม่มีจะเหมือนกันได้หรือ?
เมื่อก่อนล้วนติดตามสหายไปอ่านตาราที่ร ้านหนังสือ วันนี้อ่าน สองสามหน้า พรุ่งนี้อ่านอีกสองสามหน้า ไม่สะใจมากพอ!
เด็กสาวที่วันๆ ไม่เคยอยู่ติดบ้านกังวลว่าหากเข้าไปในร ้านแล้วจะ ถูกบิดาสั่งสอนอีกไม่แน่ว่าอาจปรนนิบัตินางด้วยไม้ปัดขนไก่ก็เป็ นได้ นางจึงไปนั่งยองเปิดตาราที่มุมกาแพงเสียเลย
เด็กสาวยื่นมือข้างหนึ่งมาบังแสงแดด หลีกเลี่ยงไม่ให้แสบตา เกินไปตอนอ่านหนังสือ
นางอ่านอย่างติดลม อ่านรวดเดียวจบไปหลายหน้า ในที่สุดนาง ก็ค้นพบความผิดปกติ ดูเหมือนว่าจะไม่มีแสงแดดแล้ว จึงขยี้ตา เงย หน้าขึ้นมอง ถึงได้สังเกตเห็นว่าใกล้ๆ กันนั้นมีบุรุษแปลกหน้าคนหนึ่ง
ยืนอยู่
ดูเหมือนว่าเงาของเขาจะบังแสงส่วนหนึ่งไว้พอดี แต่ไม่ขัดขวาง การอาศัยแสงอ่านต าราของนาง
อันที่จริงความคิดส่วนใหญ่ของนางยังจมจ่อมอยู่ในเรื่องเล่า ภูเขาสายน้าของนิยายเล่มนี้ ดังนั้นพอเงยหน้าขึ้นจึงยังมึนงงอยู่บ้าง
เล็กน้อย
หากเป็ นเมื่อก่อน คาดว่าความคิดแรกของนางคงคิดว่าเจอกับ อันธพาลเสเพลเข้าให้แล้ว เพียงแต่คราวก่อนเจอแขกแซ่เฉินที่มาพัก อยู่ในร ้านบ้านตัวเองจึงรู ้สึกว่าทาแบบนี้อาจเป็ นการเข้าใจคนอื่นผิด จะไม่ค่อยดีนัก
ตอนที่เด็กสาวอ่านตารานางชอบพึมพาพูดกับตัวเองไปด้วย จะ พูดว่าเฉินผิงอันในตาราก็ช่างเจ้าชู้เหลือเกิน ไฉนเจอสตรีกี่คนก็ ชอบทุกคนตลอดเลยละ
แต่เด็กสาวก็ชอบกระโดดข้ามหน้าอ่าน เพราะถึงอย่างไรฉาก และเนื้อหาในตารานางก็ท่องจาได้ขึ้นใจมานานแล้ว ดังนั้นจึงจะเลือก
ช่วงตอนที่จาได้อย่างลึกซึ้ง หรือบางทีอาจเป็ นถ้อยคาที่มีความหมาย งดงาม อย่างเช่นประโยคในตาราที่บอกว่าสติปัญญาของชาตินี้ได้มา จากการอ่านต าราของชาติก่อน ความโชคดีของชาติหน้าได้จาก การอ่านต าราในชาตินี้…วันนี้ได้เจออีกแล้ว ในเมื่อถือเป็ นหนังสือ ของตนแล้ว เด็กสาวจึงพับหน้าหนังสือไว้เบาๆ และบางทีก็อาจอ่าน เนื้อหาที่ชวนให้เสียใจ ยกตัวอย่างเช่นใกล้ๆ ช่วงท้ายของเรื่องราว เด็กหนุ่มที่ฝึกวิถีผีในตาราคนนั้นก็ยังไม่เคยบอกกับแม่นางที่ตัวเอง รักว่าเขาชอบนาง
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ
ไม่รู ้ว่าเหตุใดบุรุษประหลาดผู้นั้นถึงได้หันหน้าไปมองถนนฝั่งตรง ข้ามอยู่เป็ นนาน
นับตั้งแต่ที่เดินทางจากทะเลสาบซูเจี่ยนจนมาถึงวันนี้ อดีตเด็ก หนุ่มที่เดินทางมาถึงที่นี่ เวลานี้ใบหน้าเขาขึงเกร็ง พยายามอย่างยิ่งที่ จะไม่หันไปมองนาง
บางทีคงกลัวว่าน้าตาที่ไหลอาบหน้าของตนอาจไปทาให้นาง ตกใจ บางทีอาจเป็ น เพราะไม่รู ้ว่าจะเปิดปากพูดอย่างไร ไฉนอีกแค่ นิดเดียวก็จะเดินสวนไหล่คลาดกันไปอีกแล้วเล่า
เด็กสาวตบหนังสือปิ ดหนักๆ ถอนหายใจหนึ่งที น่าเสียดายที่ ตาราเล่มนี้ไม่มีเล่มต่อ
นางก็ยิ่งไม่รู ้แล้วว่าภายหลังเด็กหนุ่มคนนั้นหาตัวแม่นางซูที่ ตัวเองรักเจอแล้วหรือยัง?
นางลุกขึ้นยืน เดินย่องเตรียมจะกลับบ้าน เพียงแต่ลังเลเล็กน้อย เด็กสาวก็ยังเอ่ยขอบคุณคนที่ประหลาดมากๆ ผู้นั้นด้วยน้าเสียงแผ่ว ต่า
คนผู้นั้นยกแขนขึ้น น่าจะเช็ดเหงื่อ เขากระแอมเบาๆ สองสามที หันหน้ามามองนางประโยคแรกที่เปิดปากพูดก็คือ “ขอถามแม่นาง ท่านนี้ ไม่ทราบว่าใกล้ๆ นี้มีโรงเตี๊ยมหรือไม่?”
เด็กสาวอึ้งตะลึง จะทาอย่างไรดี ขออย่าให้เป็ นคนโง่เลยนะ! อยู่ห่างแค่ไม่กี่ก้าวนี่เอง เขากลับมองไม่เห็นป้ ายโรงเตี๊ยมบ้าน
ตนอย่างนั้นหรือ
เด็กสาวถอนหายใจ ยกแขนขึ้น ใช ้มือข้างที่ถือหนังสือชี้ไปยัง กรอบป้ ายโรงเตี๊ยมบ้าน ตัวเอง “ที่นี่ก็มี”
เจิงเย่ยิ้มกว้างสดใส “ตกลง ขอบคุณมาก”
เด็กสาวรู ้สึกว่าเรื่องนี้ดูลึกลับแปลกประหลาดอยู่บ้าง ครุ่นคิด อย่างจริงจังก็นึกออก! ยังไม่รีบร ้อนกลับบ้านดีกว่า นางแสร ้งเดินแนบ ก าแพงไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับโรงเตี๊ยม
เจิงเย่เดินไปทางโรงเตี๊ยม หันหน้ากลับมา เด็กสาวก็หันหน้ามา ทางเขาพอดี
เจิงเย่หยุดเดิน เอ่ยด้วยน้าเสียงแหบพร่า “ข้าชื่อเจิงเย่” เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ หรือว่าจะแซ่เดียวชื่อเดียวกับเจิงเย่ในตาราผู้นั้น? เด็กสาวลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินไปทางเขา โบกตาราที่
อยู่ในมือ ยิ้มเอ่ยว่า “บังเอิญยิ่งนัก โรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็คือบ้านข้า” เจิงเย่พยักหน้ารับแรงๆ “บังเอิญมากจริงๆ” ไม่ว่าจะในหรือนอกตารา พวกเขาก็ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
หลังจากลากันไปนาน