กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1042.1 ชื่อนี้ไม่เลว
เฉินผิงอันเดินออกจากบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงและอ าเภอ ไหวหวง พาเสี่ยวโม่เดินไปยังภูเขาที่สูงที่สุดในกลุ่มภูเขาใหญ่ทางทิศ ตะวันตกอย่างมหาบรรพตอุดรภูเขาพีอวิ๋นด้วยกัน
ไปถึงตีนเขาก็เห็นว่ามีผู้มีจิตศรัทธาสัญจรไปมาไม่ขาดสาย รถ ม้ารถเทียมวัวแล่นสวนกันขวักไขว่ ที่นี่ยังมีตลาดภูเขาที่ขายสินค้า บนภูเขาและสมุนไพรโดยเฉพาะ แน่นอนว่าต้องเป็ นของจริง สินค้า บนภูเขาจะปลอมได้อย่างไร เพียงแต่ว่าราคาไม่ถือว่ายุติธรรมสัก เท่าไร ผู้แสวงบุญของฉู่โจวเองจะไม่แวะมาที่นี่ จะตรงไปจุดธูปบน ภูเขาอย่างเดียวเท่านั้น ขอเงินทองขอความรักขอให้สงบสุขปลอดภัย อยากไปขอเรื่องอะไรก็แวะไปได้ทั่วภูเขา ชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาจาก ต่างถิ่นต้องเสียเงินอย่างไม่เป็ นธรรมกันไปไม่น้อย จะโทษพวกเขาก็ ไม่ได้นั่นเป็ นเพราะคนที่มาวางแผงขายของอยู่ที่นี่ล้วนพูดเก่งกันทุก คน หากไม่ใช่เห็ดฝูหลิงที่ขุดมาจากภูเขาด้านหลังของภูเขาพีอวิ๋นก็ เป็ นไม้ฟ้ าผ่าที่ฟันมาจากบนยอดเขาหลังอาว ขอแค่เอาไปวางไว้ใน บ้านก็จะขับไล่ภูตผีกาจัดความชั่วร ้ายได้ หรือไม่ก็เป็ นหลิงจือจาก ภูเขาเซียนฉ่าว ภูเขาเขียนฉ่าว น่าจะเคยได้ยิน เคยรู ้จักมาก่อน กระมัง? หนึ่งในภูเขาเล็กที่อยู่ใต้การดูแลของภูเขาลั่วพั่ว หากลูกค้า จะถามว่าทาไมคนอื่นถึงไม่กล้าไป แต่ข้ากับไปขุดหลิงจือจากที่นั่น มาได้? ถามได้ดี! บังเอิญยิ่งนัก ข้ากับเจ้าขุนเขาที่ชื่อว่าเฉินผิงอัน
เป็ นญาติห่างๆ กันซึ่งเมื่อก่อนพอถึงวันปีใหม่ก็มักจะแวะเวียนไปหา กันเป็ นประจ า ความสัมพันธ ์ของพวกเราสองฝ่ ายไม่ธรรมดา หากว่า เจอกันบนถนนของอาเภอ เขาต้องเรียกข้าว่าท่านลุงด้วยซ้าทุกครั้งที่ กินมื้อข้ามคืนวันที่สามสิบ เจ้าเด็กนั่นก็ดื่มสุราคารวะข้าหลายจอก ไม่เชื่อหรือ? ข้าสามารถคุยกับเฉินผิงอันต่อหน้าให้ดูได้เลย ขอแค่ เจ้าออกค่าเดินทาง ไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็รอดูเถิดว่าเขาจะกล้าไม่ โผล่หน้ามาหรือไม่ จะต้องเรียกข้าว่าท่านลุง จะยอมรับญาติคนนี้ หรือไม่…
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อนั่งยองอยู่ข้างแผง ฟัง ด้วยความเพลิดเพลินคอยพยักหน้ารับถี่ๆ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเห็นว่ามี คนคล้อยตามก็หันมายิ้มให้เฉินผิงอัน
เสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวใช ้คาพูดติดปากของหมี่ ลี่น้อยก็คือฟังแล้วปวดกบาล
เว่ยป้ อที่ร่ายเวทอาพรางตามาปรากฏตัวอยู่ข้างกายคนทั้งสอง ยิ้มถามว่า “พวกเจ้าสองคนมีอารมณ์สุนทรีกันขนาดนี้เชียวหรือ?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าไปเจอเศษ เครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งในบ้านของซ่งจี๋ซิน ดูจากขนาด เล็กใหญ่ของเศษกระเบื้องชิ้นนี้ คาดว่าน่าจะขาดแค่ชิ้นสุดท้าย เท่านั้นแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสใดๆ”
เว่ยป้ อกุมมือคารวะยิ้มเอ่ย “ขอแสดงความยินดีด้วย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปวดหัว “ก็ยังขาดอีกชิ้นหนึ่งไม่ใช่หรือ”
เว่ยป้ อถาม “ในเมื่อขาดเศษกระเบื้องแค่ชิ้นสุดท้ายแล้ว ในใจเจ้า ไม่มีการขานรับบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แปลกก็แปลกตรงนี้นี่แหละ เคยมีความรู ้สึก เกิดขึ้นเล็กน้อย แต่ตอนนี้กลายเป็ นว่าไร ้เบาะแสอย่างสิ้นเชิงแล้ว”
ก่อนหน้านี้ตอนที่ขอยืมมรรคกถามาจากลู่เฉินชั่วคราว ดู เหมือนว่าจะอยู่ใกล้มาก แต่พอคืนตบะขอบเขตสิบสี่กลับไปแล้ว การ เชื่อมโยงอันลุ่มลึกที่มองไม่เห็นนั้นก็สลายหายวับไป
หรือว่าเศษกระเบื้องชิ้นสุดท้ายจะอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว?
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าลู่เฉินไม่เคยทาเช่นนี้ และเฉินผิงอันเองก็เชื่อว่า เจ้าลัทธิลู่จะไม่ท าเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจเช่นนี้เหมือนกัน ถ้า อย่างนั้นใครเล่าที่จะเอาไปไว้ที่ใต้หล้ามืดสลัว?
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เรื่องฉายาเทพ เว่ยซานจ วินคิดดีแล้วหรือยัง?”
“ไปคุยเรื่องนี้กันที่โต๊ะเหล้า”
เว่ยป้ อไม่ได้พาพวกเขาขึ้นเขา แต่ไปที่ร ้านเหล้าแห่งหนึ่งใน “เมืองเล็ก’ ตรงตีนเขา เป็ นร ้านของหวงเอ้อเหนียงของเมืองเล็ก นาง จ้างให้คนมาเฝ้ าร ้านให้ ถือเป็ นร ้านสาขา บุตรชายของนางชื่อว่าป๋ าย ซาง เป็ นที่ยอมรับว่าเป็ นเด็กอัจฉริยะ คือเมล็ดพันธ ์บัณฑิตอย่าง
แท้จริงเคยเรียนหนังสือในโรงเรียนที่สกุลเฉินลาธารหลงเหว่ยเป็ นผู้ เปิดอยู่หลายปี ทุกวันนี้สอบติดมีตาแหน่งแล้วจึงไปศึกษาต่อที่ต่างถิ่น วันหน้าจะต้องได้ดิบได้ดีแน่ ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกไม่กี่ปีไปเข้าสอบที่ เมืองหลวงอีกครั้งก็อาจกลายเป็ นนายท่านขุนนางแล้วก็เป็ นได้ หวง เอ้อเหนียงที่ทางบ้านมีฐานะก็ถือว่าได้ลืมตาอ้าปากแล้ว เพียงแต่ หลายปีมานี้นางไม่คิดจะหาบุรุษมาอยู่ด้วย หากใช ้ค ากล่าวของบ้าน เกิด ชายฉกรรจ์ที่หญิงหม้ายแต่งเข้าบ้านมักจะถูกเรียกว่า “รับเท้า” ช่วงแรกๆ พวกผีขี้เหล้าต่างก็คิดว่าเจิ้งต้าเฟิ งคนเฝ้ าประตูทางทิศ ตะวันออกมีโอกาสนี้ ใครบ้างที่ไม่รู ้ว่าทุกครั้งที่เจิ้งต้าเฟิงติดเงินค่า เหล้า อย่าเห็นว่าปากของหวงเอ้อเหนียงจะพูดจาร ้ายกาจทุกครั้ง แต่ ในสายตาของหญิงหม้ายกลับฉายประกายสดใส เพียงแต่ว่าถ่วงเวลา มานานหลายปีขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะจัดงานเลี้ยงสุรา ชาย โสดหญิงหม้ายกันทั้งคู่ ทาเช่นนี้ไม่ถือว่าเสียเวลากันและกันหรอก หรือ
วันนี้หวงเอ้อเหนียงมาดูแลกิจการที่ร ้านเหล้าด้วยตัวเอง เว่ยป้ อ เลือกโต๊ะตัวหนึ่งได้แล้วก็สั่งเหล้าที่ดีที่สุดจากสตรีที่เป็ นหญิงวัย กลางคนแต่ยังทรงเสน่ห์มาสามจิน พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “นับตั้งแต่ ที่นางรู ้ว่าเจิ้งต้าเฟิงกลับมาบ้านเกิดก็มักจะมาที่นี่ประจา ช่วยประหยัด เหล้าบนภูเขาให้กับกองระเบียบพิธีการของจวนซานจวินไปมาก ไม่ ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือส่วนตัว ตามเหตุตามผลแล้วข้าก็ควร ต้องดูแลการค้าของที่นี่ให้มากหน่อย อาจารย์เสี่ยวโม่ อีกเดี๋ยวคง
ต้องรบกวนให้ท่านช่วยจ่ายเงินให้ด้วย ข้ากลัวว่าเจ้าขุนเขาเฉินจะ อ้างว่าไปเข้าห้องส้วม ใช ้เวลาตอนไปฉี่เผ่นหนีหายไป”
เสี่ยวโม่พยักหน้าตอบตกลงก่อน แล้วจึงช่วยอธิบายให้ว่า “พี่เว่ย เข้าใจผิดแล้วคุณชายของข้าดื่มสุราบนโต๊ะเหล้าอย่างห้าวหาญ ยาม จ่ายเงินก็ยิ่งไม่เลอะเลือน”
เว่ยป้ อยิ้มกล่าว “อ้อ? ทาไมข้าแค่ได้ยินมาว่าเถ้าแก่รองอยู่ที่ กาแพงเมืองปราณกระบี่ความสามารถในการยุให้คนดื่มเป็ นอันดับ หนึ่ง? แต่ไม่เคยให้ใครเชื่อเงินเลยล่ะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะ เอาแต่ดื่มเหล้าของตัวเองไปเงียบๆ ครึ่งชาม เม้มปากพูดด้วยเสียงเบาสีหน้าเป็ นปกติว่า “ก็ใช่ว่าจะไม่เคยให้ใคร เชื่อเงินเสียเลย มีแอบแหกกฏให้อยู่สองครั้ง”
มีเพียงสองครั้งที่ยอมแหกกฎ หลังจากนั้นมาร ้านเหล้าอยากจะ แหกกฎให้ใครเชื่อเงินก็ไม่มีโอกาสแล้ว
โต๊ะเหล้าชามเหล้าและสุราในร ้านเหล้าเล็กๆ ยังคงอยู่มาโดย ตลอด
เฉินผิงอันเป็ นฝ่ ายเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยการถามว่า “ฉายาเทพ ไม่ใช่ ท่องราตรี” หรือ
เว่ยป้ อกล่าว “ไม่ใช่ท่องราตรี ข้าคิดจะใช ้ฉายาที่ตัวเองตั้งเองว่า ‘หลิงเจ๋อ’ ส่วนต าราเล่มนั้นข้าเขียนเสริมไปสามหมื่นกว่าตัวอักษร การลงนามนั้นช่างเถิด วันนี้เจ้าต้องรับปากเรื่องนี้กับข้าบนโต๊ะเหล้า
ก่อน ข้าถึงจะคืนตาราเล่มนั้นให้เจ้า ไม่อย่างนั้นวันหน้าไม่ต้องมา เป็ นเพื่อนกันอีก เฉินผิงอัน เจ้าอย่าคิดว่าข้าล้อเล่น ข้าพูดเรื่องนี้กับ เจ้าอย่างจริงจังมาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เว่ยซานจวินต าแหน่งขุนนางใหญ่ มิกล้า ไม่ท าตาม”
เว่ยป้ อถลึงตาใส่ “ไม่เอาจริงเอาจังใช่ไหม?”
เฉินผิงอันรีบยกชามเหล้าขึ้นทันใด “ภูเขาพือวิ่นยังไม่ถูกศาลปุ่ นแต่งตั้งอย่างเป็ นทางการและมอบฉายาเทพให้กับเว่ยซานจวิ นเลยนะ แต่กลับเจ้าอารมณ์ขนาดนี้แล้ว วันหน้าจะไม่ยิ่งแล้วใหญ่ หรอกหรือ ญาติที่ยากจนอย่างข้า เจ้าจะยังแวะเวียนมาเยี่ยมหาอีก
ไหมล่ะ?”
เสี่ยวโม่พยักหน้า ยกชามเหล้าตามไปด้วย ไม่พูดไร ้สาระแม้แต่ ครึ่งคา ดื่มหมดเพื่อแสดงการคารวะก่อน แล้วเสี่ยวโม่ถึงได้เอ่ยว่า “หากวันใดมั่งมีแล้วอย่าลืมกัน เว่ยซานจวินไม่ควรเลย”
เว่ยป้ อยกชามเหล้าขึ้นชนกับเฉินผิงอัน หันหน้ามามองเสี่ยวโม่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนใจ “เสี่ยวโม่ เจ้าอย่าเอาอย่างคน ประเภทนี้ ดื่มเหล้าเก่ง แต่พฤติกรรมยามดื่มเหล้ากลับย่าแย่”
อยู่บนโต๊ะไม่ยุให้เจ้าดื่มเหล้า ไม่เห็นเจ้าเป็ นสหาย มิตรภาพไม่ ลึกซึ้งเท่าที่ควร ดื่มเหล้าก็เหมือนดื่มน้าเปล่า เจ้าไม่ดื่มสุราคารวะข้า
ก็เท่ากับไม่เห็นข้าเป็ นพี่น้อง….ฟังสิฟัง คาพูดแบบนี้เป็ นคาพูดของ คนหรือ?
เฉินผิงอันแสร ้งท าเป็ นไม่ได้ยิน เพียงแค่ท่องสองค าว่า “หลิงเจ๋อ’ ในใจเงียบๆ
ตามค าอธิบายตัวอักษร หลิงเจ๋อมีความหมายแฝงว่าความชุ่ม ชื้นและอุดมสมบูรณ์จากสวรรค์ สามารถน ามาใช ้เปรียบเทียบถึง คุณธรรมและการปกครองในแคว้นได้
ก่อนที่เว่ยป้ อจะมารับหน้าที่เป็ นเทพแห่งผืนดินของภูเขาฉีตุน เคยเป็ นซานจวินของขุนเขาใหญ่แคว้นเสินสุ่ยของราชวงศ์ใหญ่ใน อาณาเขตสู่โบราณมาก่อน
ฉายา “หลิงเจ๋อ” มีกลิ่นอายของความคิดคานึงถึงมาตุภูมิเดิมอยู่ บ้าง ไม่ได้บอกว่านี่เป็ นข้อห้ามในวงการขุนนางภูเขาสายน้าอะไร เพียงแค่ว่าสาหรับเว่ยป้ อแล้วมีทั้งผลดีและผลเสีย บอกตามตรง อันที่ จริงไม่ได้มีแต่ข้อดีไร ้ผลร ้ายอย่างฉายา “ท่องราตรี” เลยด้วยซ้าใน ฐานะซานจวินมหาบรรพตอุดรของในทวีป ฉายาเทพกลับมีความ เกี่ยวข้องกับฝนและน้าค้างหวาน อีกอย่างหากเว่ยป้ อเลือกฉายานี้ ก็ เท่ากับมัดติดกับสกุลซ่งต้าหลีไว้แล้ว เพราะถึงอย่างไรแผ่นดิน ครึ่งหนึ่งของทวีปก็ล้วนเป็ นมาตุภูมิของต้าหลี ค าว่าคุณธรรมและการ ปกครองก็จะหมายถึงว่า หากวันหน้าราชส านักต้าหลีสามารถอยู่ใน ยุคสันติสุขไปได้อย่างยาวนาน การปกครองชัดเจนใสสะอาด เว่ยป้ อ ก็จะได้รับผลประโยชน์ตามไปด้วย แต่ถ้าหากในอนาคตสกุลซ่งต้า
หลีเจอกับฮ่องเต้ทรราช การปกครองที่เสื่อมทรามและไร ้ระเบียบ ร่าง ทองที่บริสุทธิ์ของซานจวินเว่ยป้ อย่อมต้องได้รับผลกระทบในระดับที่ แน่นอน
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงถามอีกครั้งว่า “คิดดีแล้วจริงๆ หรือ?” เว่ยป้ อกล่าว “เป็ นซานจวินแห่งขุนเขา มีฉายาเทพเกี่ยวกับน้าก็
ไม่ใช่ว่าเรื่องดีครบสมบูรณ์หรอกหรือ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากเว่ยซานจวินอธิบายเช่นนี้ก็พอจะมี เหตุผลอยู่บ้างจริงๆ”
ในเมื่อเว่ยป้ อตัดสินใจดีแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่เจ้ากี้เจ้าการแล้ว ชน ชามเหล้ากันหนึ่งทีต่างคนต่างดื่มเหล้าในชามจนหมด
เฉินผิงอันกล่าวว่า “ฮ่องเต้จะต้องประหลาดใจ อืม ต้องตกตะลึง ระคนดีใจอย่างมากแน่นอน จะรู ้สึกว่าความไว้ใจและการให้การ สนับสนุนที่มีต่อภูเขาพีอวิ๋นมาตลอดหลายปีไม่เสียเปล่า”
เว่ยป้ อยิ้มเอ่ย “พูดให้ตรงหน่อยก็คือฮ่องเต้จะรู ้สึกโชคดีว่าตัวเอง ไม่ได้เลี้ยงหมาป่าตาขาวที่ให้อาหารเท่าไรก็ไม่รู ้จักคุณคนสินะ?”
เฉินผิงอันบ่น “ประโยคนี้พูดได้ไม่น่าฟังเสียเลย ไม่มีใครเขา ประเมินตัวเองต่าอย่างเจ้าหรอกนะ เร็วเข้า รีบดื่มลงโทษตัวเองชาม หนึ่ง เทให้เต็มชามเลย”
เว่ยป้ อมองไปทางเสี่ยวโม่ “ความสามารถในการยุให้ดื่มเหล้า ของคุณชายเจ้าเป็ นอย่างไร? ข้าเข้าใจเขาผิดหรือไม่?”
เสี่ยวโม่ไม่พูดพร่าทาเพลงก็ดื่มเองไปก่อนหนึ่งชาม “คาพูด ประโยคนี้ของคุณชาย แม้จะเป็ นการยุให้ดื่มเหล้า แต่ก็มีเหตุผลนะ”
เว่ยป้ อจุ๊ปาก “เจ้าขุนเขาเฉิน ผู้ติดตามที่เป็ นเช่นนี้ หาให้ข้าสัก
คนสิ?”
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งอีก สูดเหล้าดังซู้ด “มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่มี สาขาแยกแล้ว”
เสี่ยวโม่ฟังด้วยความอารมณ์ดี จึงอยากจะเอาอย่างเจิ้งต้าเฟิง เสนอให้คุณชายของตัวเองยกชามดื่ม ผลคือถูกเฉินผิงอันใช ้สายตา บอกเป็ นนัยว่าอย่าตีกันเอง เสี่ยวโม่จึงขยับชามไปทางเว่ยป้ อเงียบๆ “ข้าดื่มเองก่อนหนึ่งชาม เว่ยซานจวินจะยกชามหรือไม่ ยกขึ้นแล้ว ยินดีดื่มมากน้อยเท่าไร จะยอมดื่มหมดชามหรือไม่ก็ต้องดูว่า มิตรภาพของพวกเราตื้นหรือลึกแล้ว”
เว่ยป้ อไม่รู ้ว่าโทสะผุดมาจากไหน “เจ้าตัวดี นี่พวกเจ้าสองคน ร่วมมือกันมารุมข้านี่นา ลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่เป็ นถิ่นของใคร?”
เฉินผิงอันโบกมือ บอกเป็ นนัยแก่เว่ยป้ อว่าอย่าอึอืดอาด ก็แค่ดื่ม เหล้าเท่านั้น เจ้านี้มีค าพูดผายลมเยอะเสียเหลือเกิน
เว่ยป้ อเอ่ยอย่างขาๆ ปนฉุน “เสี่ยวโม่ ข้าไม่วางตัวห่างเหินกับเจ้า หรอก วันนี้จะพูดให้ชัดเจนไปเลยว่า เจ้ายุให้ข้าดื่มครั้งหนึ่ง ข้าก็จะ
ดื่ม เอาเป็ นว่าทุกครั้งที่ดื่มครั้งหนึ่ง มิตรภาพของพวกเราก็จะจางลง หนึ่งส่วน”
เสี่ยวโม่พลันรับมือไม่ถูก
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กลัวอะไรเล่า มิตรภาพของพวกเจ้าสองคน ลึกล้าดุจมหาสมุทรคิดอยากจะดื่มจนสุราเหลือติดก้นชามก็ต้องดื่ม ข้ามร ้านเหล้าไปอีกหลายร ้านติดกันถึงจะได้เว่ยซานจวินคิดใช ้วิธียั่ว ยุกับเจ้าต่างหาก”
เว่ยป้ อพูดไม่ออกไปทันที ได้แต่ยกสองมือขึ้นกุมหมัดวิงวอน
เฉินผิงอันใช ้เสียงในใจถาม “ทุกวันนี้หยางฮวาฉางชุนโหวแห่ง ลาน้าฉีตู้ นางมีชาติกาเนิดเหมือนกับเจ้า ถือเป็ นสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางองค์ ของแคว้นเสินสุ่ยเก่าที่มาจุติใหม่หรือไม่?”
เว่ยป้ อยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันจึงไม่ถามให้มากความอีก
เว่ยป้ อจุ๊ปากกล่าว “นายท่านใหญ่เฉินบ้านเจ้านี่ใช ้ได้เลยนะ ดื่ม เหล้าในบ้านตัวเองยังไม่สาแก่ใจ ยังจะพาสหายทั้งหลายมาเดินเล่นที่ ตีนเขานี่อีก ดื่มเหล้ามื้อเช ้าที่นี่กันไปมื้อหนึ่งขาดก็แค่ไม่ได้แหกปาก บอกให้ข้าออกมารับรองแขกก็เท่านั้น”
เด็กชายชุดเขียวเดินอาดๆ พาสหายสามคนมาด้วยกัน คนหนึ่ง คือคนพิฆาตมังกรขอบเขตสิบสี่ คนหนึ่งคือขอบเขตบินทะยานแห่ง
หลิวเสียทวีป อีกคนหนึ่งคือเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ เห็นได้ชัดว่า ตั้งใจมาโอ้อวดเขาเว่ยป้ อ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ใครใช ้ให้ปีนั้นเจ้าทาให้เขาต้องกินน้าแกง ประตูปิ ดอยู่หลายมื้อล่ะในใจก็อัดอั้นน่ะสิ แต่ต้องบอกกับเจ้าให้ กระจ่างสักหน่อย จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า จิ่งชิงไม่เคยพูดถึงเจ้า ในทางที่ไม่ดีให้ข้าฟังสักคา จะบ่นสักครึ่งคาก็ยังไม่มี สิ่งที่พูดออกมา กลับกลายว่ามีแต่คาพูดดีๆ เจ้าไม่รู ้หรอกว่าภาพเหตุการณ์เช่นนั้น ทั้งที่ในท้องเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่าใจ แต่กลับยังฝืนนิสัยกลั้นใจ พูดถึงเจ้าดีๆ สร ้างความล าบากใจให้เขาแค่ไหน”
เว่ยป้ ออดประหลาดใจไม่ได้ ยังนึกว่าเจ้าตะพาบน้อยเฉินหลิง จวินจะพร่าบ่น เอาแต่พูดถ้อยคาร ้ายๆ เกี่ยวกับตนเป็ นกระบุงโกยให้ นายท่านตัวเองฟังเสียอีก