กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1042.2 ชื่อนี้ไม่เลว
เสี่ยวโม่พยักหน้าเอ่ย “จิ่งชิงอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว พูดถึงแค่ตอนที่ อยู่กับข้า เขาก็ไม่เคยพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับเว่ยซานจวิน พูดแค่ว่าเขา กับท่านเป็ นสหายกันมานานหลายปี ประหนึ่งพี่น้องแท้ๆ ที่พลัดพราก จากกันไปนานแล้วได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง ความรู ้สึก ความสัมพันธ ์ที่มีต่อกันดีมาก”
เว่ยป้ อนวดคลึงปลายคาง รู ้สึกละอายใจเล็กน้อย
เว่ยป้ อพลันเอ่ยว่า “ฮ่องเต้ที่ออกเดินทางลงใต้ก่อนกาหนดได้ เปลี่ยนเส้นทางจากที่ก าหนดไว้ ไม่ได้หวนกลับมาเมืองหลวง แต่ เลือกจะลงใต้ต่อ ตอนนี้ได้เข้าไปในอาณาเขตของอวิ้นโจวแล้ว ดู จากท่าทางน่าจะไปที่อาเภอสู้ยอันจังหวัดเหยียนโจว เห็นได้ชัดว่า ตั้งใจไปหาเจ้า”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “วันหน้าเรื่องแบบนี้ เจ้าก็ ถือเสียว่าไม่เคยรับรู ้แล้วกัน”
เด็กหนุ่มที่เคยแอบดื่มเหล้าเพียงลาพัง ภายหลังคือเถ้าแก่รองที่ ดื่มเหล้าที่โต๊ะและข้างทาง ก็น่าจะเหมือนยุทธภพของเด็กชายชุด เขียว ต่างคนต่างดื่มเหล้า รสชาติสารพัดหลากหลาย มีเพียงไม่มีสุรา ที่ “ทาให้สหายลาบากใจ’ เท่านั้น
เว่ยป้ อยิ้มกล่าว “สารถีเฒ่าที่อยู่ในเขตอวี้จางก็เหมือนหิ่งห้อยที่ ลอยนิ่งไม่ขยับอยู่ในลานบ้าน โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียว ต่อให้ข้าไม่ อยากจะเห็นก็ยังยาก”
เฉินผิงอันกล่าว “นี่ก็ถือเป็ นเหตุผลด้วยหรือ? แน่จริงเจ้าก็หา ข้ออ้างที่มันฟังไม่ขึ้นกว่านี้สิ?”
เว่ยป้ อยกชามเหล้าขึ้นพูดด้วยสีหน้าฮึกเหิม “ข้าผู้อาวุโสอยาก ดื่มเหล้ายังต้องหาข้ออ้างอีกหรือ?”
เฉินผิงอันร ้องโอ้โห ก่อนจะรีบยกกันขึ้น สองมือถือชามเหล้า พูดด้วยใบหน้าประจบสอพลอ “คาพูดนี้กล่าวได้ดี บนโต๊ะเหล้า เหตุผลใหญ่ที่สุดแล้ว! เสี่ยวโม่ อย่ามัวอึ้งอยู่สิ พวกเราสองคนต้องดื่ม
กับเว่ยซานจวินสักหน่อย”
…… จังหวัดอวิ้นโจว เหยียนโจว อ าเภอสู้ยอัน
เทือกเขาเขียวเชื่อมโยงต่อเนื่องกัน น้าใสไหลไกล ผืนนาทอด ยาว ดอกไม้ภูเขาสะพรั่งเบ่งบาน
แสงแดดกาลังดี บนพื้นของลานตากธัญพืชที่อยู่นอกซุ้มประตู ของหมู่บ้านมีแต่ก้อนเยื่อกระดาษขาวที่ส่องกระทบกับแสงจนคล้าย ก้อนเงินวับวาว ลาลากโม่บด พวกชายฉกรรจ์วัยก าย าก าลังพูดคุย กันไปเรื่อยเปื่อย เส้นสายตาคอยมองตามหน้าอกนูนเด้ง และสะโพก ผายอวบอิ่มของสตรีโตเต็มวัยกับแม่นางน้อยที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เหล่า
ชายฉกรรจ์กลืนน้าลาย น้าเสียงที่พูดคุยดังเพิ่มขึ้นหลายส่วนอย่างที่ สังเกตไม่เห็น ผู้เฒ่านั่งตากลมอยู่ใต้ร่มชายคา สูบยาสูบ ในใจคิด คานวณว่าเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วจะมีฝนตกกี่มากน้อย นึกถึงผลผลิต ตลอดทั้งปี บนประตูเรือนแปะตัวอักษรฝูและกลอนคู่ที่เด็กรุ่นหลาน เป็ นผู้เขียน ลายเส้นพู่กันอ่อนเยาว์ แต่เผยถึงความมีชีวิตชีวา คนบน ถนนมีสองคนแบกกรงไม้ไผ่ทรงกลมมาสองใบ ด้านในมีลูกเจี๊ยบขน ฟูเบียดเสียดกันส่งเสียงร ้องกันเจี๊ยวจ๊าว
รถม้าสองคันเคลื่อนผ่านเขตที่ตั้งป้ ายหินแบ่งเขตริมอาเภอสอง แห่งมาอย่างช ้าๆ เงยหน้ามองไกลๆ ไปเห็นเจดีย์เหวินชางอยู่หลังหนึ่ง
สายน้าสาขาแยกของลาคลองซี่เหมยแตกกิ่งก้านออกมา ข้าง ทางมีศาลาที่ก่อด้วยผนังขาวกระเบื้องดา มีคนมารอคอยอยู่ตรงนี้ แล้ว
ข้างศาลามีต้นเฝ่ ย (ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งของจีนใช ้เป็ นวัสดุ ก่อสร ้างได้ เมล็ดใช ้กินขับพยาธิในล าไส้ได้) ใหญ่พอโอบได้อายุ หลายร ้อยปีอยู่ต้นหนึ่ง แผ่ร่มใบหนาเหมือนร่มคันใหญ่ยักษ์ สามารถ บังศาลาหลังเล็กที่มีไว้ให้คนพักเท้าได้มิดพอดี ร่มใบครื้มเขียวชอุ่ม ประดุจน้าวสันตฤดู
ขุนนางต้าหลีสองคนในศาลาคือเผยทงกับฉู่เหลียง ทั้งสองต่างก็ มีหน้าที่สาคัญ คนหนึ่งเป็ นผู้ว่าอวิ้นโจว อีกคนคือแม่ทัพ ถือเป็ น บุคคลอันดับหนึ่งในด้านการทหารและการปกครองของจังหวัดใน พื้นที่ พวกเขาออกเดินทางครั้งนี้ ข้างกายพาองค์รักษ์ผู้ติดตาม
ออกมาจากที่ว่าการซึ่งมีการป้ องกันเข้มงวดเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ตามกฎของต้าหลีแล้ว ราชส านักจะต้องจัดหาผู้ฝึ กตนติดตาม กองทัพจานวนไม่เท่ากันให้กับขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาที่มีหน้าที่ ดูแลพื้นที่ในปกครองเหล่านี้ จะมอบตาแหน่ง “เลขาธิการ” ซึ่งไม่เป็ น ทางการให้กับฝ่ ายหลังชั่วคราว สามารถรับเงินเดือนได้สองก้อน เวลาที่กาหนดไม่แน่นอนค่อนข้างจะมีอิสระ ส่วนใหญ่จะรับหน้าที่ นานสามถึงห้าปี นี่ไม่ใช่ชั้นวางดอกไม้อะไร หลังจากที่สงครามใน แจกันสมบัติทวีปปิดฉากลง หลายปีมานี้จานวนครั้งที่มีการลอบฆ่า ขุนนางคนส าคัญในจังหวัดต่างๆ ทางทิศใต้ของต้าหลี ไม่ว่าจะในทาง ลับหรือทางแจ้งก็มีมากนับร ้อยครั้ง นักฆ่ามีทั้งกากเดนเผ่าปีศาจแห่ง เปลี่ยวร ้างที่ปีนั้นหนีออกไปจากแจกันสมบัติทวีปไม่ได้ แล้วก็มีผู้ฝึก ตนของแคว้นต่างๆ ที่เคียดแค้นสกุลซ่งต้าหลี สาหรับฝ่ายหลัง ตอนที่ ราชส านักต้าหลีอยู่ในมือของราชครูชุยฉานก็มีข้อสรุปมานานแล้ว ว่ามิอาจสังหารคนในตระกูลของพวกเขา มิอาจพานโกรธไปยังราช ส านักของแคว้นใต้อาณัติ
ผู้ติดตามสองคนที่เป็ นผู้ฝึ กตนนั่งตัวตรงอยู่หน้าประตูศาลา รูปลักษณ์ล้วนอ่อนเยาว์กันอย่างมาก พวกเขามาจากแม่น้าทงเทียน ภูเขาเจินอู่และร่องต้าหนีของศาลลมหิมะ
ครั้งนี้ขุนนางบุ๋นบู๊คนสาคัญสองคนที่มีชาติกาเนิดยากจนอย่าง เผยทงและฉู่เหลียง ก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งได้รับโองการลับฉบับหนึ่ง บอกให้พวกเขามารอรับเสด็จที่ชายแดนของอ าเภอสุ้ยอันวันนี้
รถม้าสองคันจอดลงข้างทาง ฮ่องเต้ซ่งเหอเลิกผ้าม่านขึ้น โบก มือบอกเป็ นนัยแก่ผู้ว่าเผยและแม่ทัพฉู่ว่าไม่ต้องมากพิธี
ในเมื่อไม่ได้อยู่ในตาหนักหน้าหรือวังหลังของเมืองหลวง ฮ่องเต้ ซ่งเหอก็ท าตัวตามสบายอย่างมากแล้ว เอื้อมมือไปด้านหลัง นวดก้น ของตัวเอง พูดหยอกล้อว่า “นั่งรถม้ามาตลอดทางจนกันข้าเกือบจะ
แตกลายแล้ว”
เผยทงรู ้ใจได้ทันใด ถนนทางหลวงในอาณาเขตของจังหวัดเห ยียนโจวคงต้องซ่อมแซมให้ดีสักรอบแล้ว
ซ่งเหอไม่ถือสาที่ผู้ว่าเผยจะคิดมากเพราะเรื่องนี้ เดินตรงดิ่งเข้า ไปในศาลา เลขาธิการทั้งสองกุมหมัดคารวะฮ่องเต้ ซ่งเหอยิ้มพลาง เรียกชื่อพวกเขาสองคนแล้วชวนคุยสองสามประโยค
ขยับชายชุดคลุมตัวยาว ซ่งเหอนั่งลงบนม้านั่งหินตัวยาวใน ศาลาอย่างง่ายๆ ผนังด้านที่อยู่ติดแม่น้ามีรูโหว่ขนาดใหญ่ สายลม เย็นพัดโชยมาเฉื่อยๆ อากาศเย็นสบาย บนผนังมีรอยขีดเขียนด้วย ก้อนถ่านของเด็กๆ ในหมู่บ้านชนบท ซ่งเหอเงยหน้ามองอยู่หลายที ก่อนจะยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่า ยิ้มบอกให้ทุกคนนั่งคุยกัน ฮองเฮาซ่งเหมี่ยนนั่งอยู่ข้างกายฮ่องเต้ อวี๋อวี๋ผู้ฝึกตนอักษรซวีของ แผนภูมิดินนั่งอยู่ข้างกายนางอีกที
จ้าวเหยารองเจ้ากรมอาญาและหลี่เป่าเงินขุนนางสานักทอผ้าอวี๋ โจวนั่งอยู่ด้วยกัน
หลงโจวเก่าของต้าหลี ฉู่โจวใหม่ของทุกวันนี้ไม่มีแม่ทัพประจา มณฑล ดังนั้นฉู่เหลียงที่เป็ นแม่ทัพของอวิ้นโจวจึงเหมือนกับเฉาเม่า แม่ทัพแห่งอวี๋โจวที่ดูแลหงโจวควบไปด้วย เขาเองก็รับผิดชอบดูแล กองทัพที่ประจาการอยู่ในอาณาเขตของฉู่โจวและหน้าด่านทั้งหลาย เช่นกัน
ซ่งเหอยิ้มเอ่ย “ระหว่างที่เดินทางมา ข้าเพิ่งจะอ่านอักขรานุกรม ของอ าเภอสู้ยอันมาสองสามเล่ม พบว่าช่วงร ้อยปีที่ผ่านมานี้มีการ ก่อตั้งสานักศึกษาส่วนตัวกันเยอะมาก ทั้งน้อยและใหญ่ มีมากถึงหก สิบกว่าแห่ง”
ในอาเภอแห่งหนึ่งมีสานักศึกษาอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เสียงอ่านตารา ดังกังวาน บางทีอาจไม่ใช่ตระกูลสูงอะไร แม้แต่ตระกูลที่มีชื่อเสียงใน ท้องถิ่นก็ยังไม่ใช่ เป็ นเพียงแค่ตระกูลปัญญาชนที่สืบทอดตระกูลกัน มาด้วยการทานาและเล่าเรียนเขียนอ่านเท่านั้น เป็ นเหตุให้ โชคชะตาบุ๋นของจังหวัดเหยียนโจวไม่ถือว่าเข้มข้นนัก แต่ก็มีดีกว่าที่ การสืบทอดเป็ นระบบระเบียบ บางทีในสายตาของนักมองลมปราณ ในจวนใหญ่ทั้งหลายมีโชคชะตาภูเขาสายน้ามารวมตัวกันในบ้านแต่ ละหลัง ประหนึ่งอัญมณีหลากสีสันเม็ดแล้วเม็ดเล่าที่ส่องประกาย สะดุดตา เพียงแต่ว่าระหว่างกันและกันมีความต่างค่อนข้างมาก ถ้า อย่างนั้นอาเภอสู้ยอันแห่งนี้ก็คล้ายถาดหยกขาวใบหนึ่งที่บรรจุไข่มุก โชคชะตาบุ๋นเล็กใหญ่ไม่เท่ากันเอาไว้
เผยทงเอ่ยทันทีว่า “กราบทูลฝ่ าบาท นับแต่โบราณมาอ าเภอลุ้ย อันก็เป็ นสถานที่แห่งกลิ่นหอมของตารา แม้จะบอกว่าผลผลิต แร ้นแค้น แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นให้ความสาคัญกับการท าไร่ท านา และศึกษาเล่าเรียน ในบรรดาอ าเภอหลายสิบแห่งที่อยู่ในอาณาเขต ของจังหวัดอวิ้นโจว อ าเภอสุ้ยอันนั้นเรียกได้ว่าเป็ นหนึ่งในอาเภอที่มี วัฒนธรรมการอบรมสั่งสอนที่ดีที่สุด แต่อันที่จริงสานักศึกษาครึ่งหนึ่ง ล้วนเพิ่งสร ้างขึ้นมาใหม่ในช่วงยี่สิบปี นี้ นอกจากนี้ยังมีส านัก ศึกษาอวิ๋นหลินของจื่อถงและสานักศึกษาเจียวฉือของเหิงถัง ขนาด ล้วนไม่ใหญ่ มีทั้งปราชญ์ในท้องถิ่นที่รวบรวมเงินสร ้างขึ้นมา แล้วก็มี ขุนนางที่เป็ นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปี จากนั้นลากลับ บ้านเกิดตอนอายุมากที่ควักเงินของตัวเอง จากนั้นก็ใช ้เส้นสายส่วน ตัวอย่างไม่เสียดาย เชื้อเชิญเหล่าผู้รอบรู ้และคนมีชื่อเสียงในวงการ การประพันธ ์ให้มาสอนหนังสือที่นี่ นานวันเข้าจานวนของสานัก ศึกษาก็มีมากที่สุดในเหยียนโจว อีกทั้งสานักศึกษาของอ าเภอสุ้ยอัน ยังมีความพิเศษอย่างหนึ่งนั่นคือขอแค่เปิดสอนแล้วก็แทบจะสามารถ สอนสืบเนื่องไปได้อีกนานหลายปี ในสานักศึกษาจะมีอาจารย์ที่ ถ่ายทอดวิชาและมีนักเรียนนักศึกษาอยู่ตลอด ไม่เหมือนกับที่อื่นที่ มักจะต้องละทิ้งไปกลางคันเพราะสาเหตุต่างๆ”
แม้ว่าจะเป็ นขุนนางเหมือนกัน ฉู่เหลียงที่คิดว่าตัวเองคือคนที่ หยาบกระด้าง อันที่จริงมีโอกาสพูดคุยสื่อสารกับเผยถึงที่มาจากการ สอบเคอจวี่ไม่มากนัก แต่วันนี้แค่ได้ยินประโยคนี้ของผู้ว่าเผย แม่
ทัพอวิ้นโจวก็เริ่มนับถือในทักษะการพูดคุยของเผยทงแล้ว ไม่เสียแรง ที่เป็ นบัณฑิตซึ่งมีชาติกาเนิดมาจากจิ้นซื่อ พูดจาแฝงความนัยชวน ให้ขบคิด ในเมื่อสานักศึกษาของอาเภอสุ้ยอันส่วนใหญ่ล้วนสร ้าง ขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ก็ไม่เท่ากับเป็ นคุณความชอบในการเน้นย้า เรื่องการให้ความรู ้ของฮ่องเต้หรอกหรือ? ส่วน “คุณูปการด้านการ ต่อสู้” ของฮ่องเต้ ตลอดทั้งไพศาลล้วนรับรู ้กันว่า ต่อให้จะยกแผ่นดิน ครึ่งหนึ่งคืนไปให้กับแจกันสมบัติทวีปแล้ว ทุกวันนี้ต้าหลีก็ยังเป็ นหนึ่ง ในสิบราชวงศ์ใหญ่ของไพศาลอยู่ดี
ซ่งเหอพยักหน้า เอ่ยว่า “จาได้ว่าในอักขรานุกรมเล่มหนึ่งมี บันทึกไว้ว่า เคยมีอาจารย์ต่างถิ่นท่านหนึ่งมาสอนหนังสืออยู่ที่นี่ ได้ ทิ้งคาสั่งสอนประโยคหนึ่งไว้ให้แก่สานักศึกษา จะสอนหนังสือต้อง สอนคนก่อน สอนให้คนเป็ นคนที่แท้จริง?”
เผยทงต่อค าได้ทันใด “หากข้าน้อยจ าไม่ผิดล่ะก็ น่าจะมาจาก เจ้าขุนเขาคนแรกของสานักศึกษาอู่เฟิง ประโยคนี้มีแกะสลักไว้บน ป้ ายหิน”
ซ่งเหอคลี่ยิ้ม ดูท่าการที่ผู้ว่าเผยได้คาประเมิน “ยอดเยี่ยม” ที่พบ เห็นได้ไม่บ่อยนักในการประเมินของกรมขุนนางสองครั้งใหญ่ติดกัน ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียแล้ว
ชุยฉานเป็ นทั้งราชครูต้าหลี แล้วก็เป็ นทั้งอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา ให้กับฮ่องเต้ซ่งเหอตอนที่ซ่งเหอยังเป็ นองค์ชายก็เคยถ่ายทอด “คาถาทางใจ” ในวงการขุนนางให้กับซ่งเหอบทหนึ่ง บอกว่า
ลูกหลานเมล็ดพันธ ์แม่ทัพในเมืองหลวงต้าหลีเป็ นขุนนางเพราะ ละโมบในชื่อเสียง ไม่ได้ละโมบในเงินทอง เพราะพวกเขารู ้สึกว่า แผ่นดินนี้เป็ นคนรุ่นบิดาที่ต่อสู้ช่วงชิงมาได้ เกิดมาก็มีจิตใจห้าวเหิม ที่อยากจะปกป้ องรักษาผืนแผ่นดินเอาไว้ แต่เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็ง่ายที่จะ ชอบสร ้างคุณความชอบโดยที่ไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมของชาวบ้าน ในท้องถิ่น ทาอะไรก็มักจะเดือดร ้อนชาวบ้าน ผลาญเงินทอง มีแต่ ปณิธานเสียเปล่า ไม่รู ้จักคาว่าพอ ดังนั้นราชส านักจะต้องคอย ป้ องกันความหยิ่งทระนงและหุนหันพลันแล่นของพวกเขา
ส่วนขุนนางที่มีชาติกาเนิดยากจนที่มาจากสถานที่กันดารใน ชนบท นับแต่เล็กมาก็กลัวความยากจน ยิ่งยากจะผ่านด่านอักษรคา ว่าเงินไปได้ เดินขึ้นสูงทีละก้าวในเส้นทางของการเป็ นขุนนาง ง่ายที่ จะละโมบในทรัพย์สินเงินทอง ต่อให้ตัวเองไม่โลภ ก็มิอาจขัดขวาง ไม่ให้ญาติสนิทคนในตระกูลร่ารวยที่ขึ้นมากะทันหันลืมกาพืดตัวเอง ได้ ใจคนยากที่การรู ้จักพอวางอ านาจบาตรใหญ่โอ้อวดบารมีอยู่ใน ท้องถิ่น อันที่จริงกลับเป็ นการบั่นทอนชื่อเสียงของราชส านักในใจ ชาวบ้านให้เสียเปล่า ราชส านักจึงจ าเป็ นต้องห้ามปรามให้พวกเขา รู ้จักถ่อมตัวและท าตัวให้ใสสะอาด
เวลานี้ฮ่องเต้มองเผยทงที่ได้เป็ นถึงผู้ว่าจังหวัดแล้ว ยิ้มเอ่ยว่า “ก่อนจะออกมาจากเมืองหลวง ข้าตั้งใจไปขอเทียบอักษรสองแผ่นมา จากนายท่านผู้เฒ่าจ้าวของกรมคลังมาโดยเฉพาะ เป็ นคาสั่งสอน
ประจาตระกูลของสกุลจ้าวเทียนสุ่ยพวกเขา อยู่บนรถม้านั่นแหละ เดี๋ยวจะเอามามอบให้พวกเจ้า”
เผยทงและฉุ่เหลียงรีบลุกขึ้นเอ่ยขอบคุณทันที
ซ่งเหอกล่าว “แม่ทัพคู่มีชาติก าเนิดมาจากผู้ฝึ กยุทธผู้มี คุณูปการ ทุกวันนี้ดูแลกิจธุระด้านการทหารในสองจังหวัด นอกจาก ตาราพิชัยยุทธแล้ว เวลาว่างก็ไม่ถ่วงรั้งการอ่านตาราอริยะปราชญ์ หลายๆ เล่ม”
ฉู่เหลียงที่เพิ่งนั่งลงลุกขึ้นใหม่ กุมหมัดน้อมรับคาสั่ง ถึงอย่างไรก็ เป็ นแม่ทัพจากบนสนามรบ ยามเปิ ดปากพูดจาจึงเปี่ ยมไปด้วย พละก าลัง
ซ่งเหอกล่าวต่ออีกว่า “ตลอดทางที่เดินทางมานี้ ข้าว่าอาณาเขต ของอวิ้นโจวคู่ควรกับค าสั่งสอนประจาตระกูลที่บอกว่า “ภาพ บรรยากาศทั้งเงียบสงบทั้งสูงส่ง ส่วนการศึกษาหาความรู ้อย่างลึกซึ้ง และการวางตัวซื่อสัตย์เที่ยงตรงของตัวผู้ว่าเผยเองก็ไม่มีปัญหาใดๆ เลย หวังว่าวันหน้าผู้ว่าเผยจะไม่เพิกเฉยเกียจคร ้าน พยายามต่อไป อย่าได้ย่อท้อ”
สีหน้าของเผยทงเป็ นปกติ รีบลุกขึ้นขอบคุณการยอมรับจาก ฮ่องเต้
เพียงแต่ว่าในใจของขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาที่อายุไม่ถึงห้า สิบปีผู้นี้กลับมีคลื่นยักษ์ถาโถม ฮ่องเต้เอ่ยค าว่า “ตัวเอง? ถ้าอย่างนั้น
ตระกูลของเขาเผยทงล่ะ? แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้ากรมจ้าวแห่ง กรมคลังคือผู้สร ้างอักษรก่วนเก๋อถี่ ส่วนคาสั่งสอนประจาตระกูลจ้าว เผยทงย่อมท่องจาได้ขึ้นใจนานแล้ว จาได้ว่าหลังคาว่า “วางตัว ซื่อสัตย์เที่ยงตรง” ก็คือประโยค “ยามเลือกสีควรเลือกสีที่นุ่มนวลและ สุภาพ” ในใจเผยทงวางแผนทันใด กลับจวนผู้ว่าครั้งนี้จะต้องส่ง จดหมายกลับไปที่บ้านฉบับหนึ่ง ให้ในตระกูลทาการตรวจสอบเป็ น การภายใน หากพบว่ามีลูกหลานคนใดกล้าทาชั่ว ไม่ว่าจะเป็ นการ รีดนาทาเร ้นชาวบ้านหรือมีคดีฟ้ องร ้อง หากเป็ นความผิดที่ควรส่งไป ที่ว่าการก็ต้องส่งตัวไป จะไม่มีคากล่าวว่าให้ลงโทษเพียงเล็กน้อยเพื่อ เป็ นบทเรียนเด็ดขาด จะต้องถูกขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูลทั้งหมด
ซ่งเหอยิ้มกล่าว “ครั้งนี้เรียกพวกเจ้ามาเพราะอยากจะให้ไปพบ คนคนหนึ่งเป็ นเพื่อนข้าหน่อย”