กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1042.4 ชื่อนี้ไม่เลว
มีชายฉกรรจ์ของหมู่บ้านที่กาลังต้อนหมูคนหนึ่งเดินออกมาจาก ทางหน้าหมู่บ้าน คงเป็ นเพราะซ่งเหอกับจ้าวเหยาเดินอยู่กลางทาง ลูกหมูที่ร ้องอู๊ดๆ ถึงได้เริ่มพากันวิ่งพล่านวุ่นวาย ซ่งเหอถูมือ ม้วน ชายแขนเสื้อก้มหน้าค้อมเอวลง พยายามจะช่วยดักลูกหมูที่วิ่งวุ่นเต็ม ถนนเอาไว้ จ้าวเหยาก็เอาอย่าง กางแขนสองข้างออก ช่วยฮ่องเต้ดัก ทาง ผลคือชายฉกรรจ์ที่ถูกช่วยให้เสียเรื่องอดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็ยังทนไม่ไหว หากยังปล่อยให้อีกฝ่ ายขวางทางส่งเดชแบบนี้ ต่อไป อย่าว่าแต่พวกหมูน้อยจะวิ่งไปในนาเลย คงจะวิ่งลุยไปในน้า ด้วย ถึงเวลานั้นพวกเจ้าจะใช ้เงินให้ข้าไหม? ชายฉกรรจ์ร ้อนใจแล้ว จึงรีบส่งเสียงเตือนเจ้าสองคนนั้นว่าไม่ต้องช่วยแล้ว ตัวเขาเองง่วนอยู่ พักใหญ่กว่าจะรวบรวมลูกหมูมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งซ่งเหอและจ้าว เหยาต่างก็ถูกบ่นกันไปคารบหนึ่ง
ซ่งเหอรีบโบกมือเป็ นพัลวัน ใช ้ภาษากลางของต้าหลีเอ่ยขอโทษ ชาวนาผู้นั้น ชาวนามีสีหน้าดีขึ้นได้บ้าง บ่นพึมพาอยู่สองสาม ประโยค ฮ่องเต้จึงหันหน้าไปมองรองเจ้ากรมอาญา
จังหวัดเหยียนโจวแห่งนี้มีภูเขาทอดสลับตัดกันอยู่มากมาย สม กับคากล่าวที่ว่าสิบลี้มีธรรมเนียมไม่เหมือนกัน ร ้อยลี้พูดกันคนละ สาเนียงอย่างแท้จริง โชคดีที่ชาวนาคนต้อนหมูกับใต้เท้ารองเจ้ากรม
้
อายุน้อยๆ คนหนึ่งฟังออกแต่กลับพูดภาษาทางการไม่ได้ ส่วนอีกคน รู ้ภาษาถิ่นแต่กลับพูดไม่ได้ ก็ไม่ถือว่าเป็ นอุปสรรคต่อการสื่อสารของ ทั้งสองฝ่ าย ไปๆ มาๆ คนทั้งสามก็เริ่มพูดคุยกัน ข้างฝ่ าเท้าของพวก เขาก็คือลูกหมูตัวเหม็นฉึ่งฝูงหนึ่ง รอกระทั่งฮ่องเต้ตามไปทันขบวน รถม้า เข้าไปนั่งในรถ อวี๋อวี๋ก็ยกที่นั่งให้เขาอย่างรู ้ความ อวี๋เหมี่ยน รู ้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ซ่งเหออธิบายให้นางฟังไปรอบหนึ่งแล้วก็ หัวเราะชอบใจอยู่กับตัวเอง อารมณ์ไม่เลว
……
นครของจังหวัดมู่โจว หรือก็คือที่ตั้งของที่ว่าการจังหวัดอวิ้นโจว
อารามเฟิ่งหมิงที่แขวนกรอบป้ ายฝ่ ายเต้าเจิ้งอวิ้นโจวไปพร ้อม กันด้วย วันนี้มีแขกคนสาคัญที่สถานะสูงศักดิ์สามท่านมาเยือน พวก เขาต่างก็มาจากเมืองหลวง
กรอบป้ ายสองกรอบแขวนไว้พร ้อมกัน หมายความว่าสถานที่ แห่งนี้เป็ นทั้งอารามเต๋าในพื้นที่ และยิ่งเป็ นที่ว่าการลัทธิเต๋าที่อยู่ ภายใต้การดูแลของหน่วยฉงซวีต้าหลี
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่ถือแล้ปัดฝุ่ นในมือเงยหน้ามองกลอนคู่ นอกประตูอารามเต๋า ลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ประตูของอารามใหญ่กว่า หนึ่งเท่าตัว แต่เนื้อหาของกลอนคู่กลับด้อยกว่าของพวกเราไม่ใช่แค่ ระดับเดียวนะ”
้
นักพรตหนุ่มรูปร่างผอมบางหล่อเหลาเอ่ยสัพยอกว่า “หงเต้าเจิ้ง เป็ นฝ่ ายเต้าเจิ้ง เหมือนกัน มีอคติของคนร่วมอาชีพแบบนี้ ไม่สมควร เลยนะ”
นักพรตเฒ่าที่ถูกเรียกขานว่า “เต้าเจิ้ง” ส่ายหน้ากล่าว “นักพรต อย่างพวกเราศึกษาเล่าเรียนอย่างลึกซึ้ง แสวงหาความจริงเท่านั้น จะ เอาอคติต่อคนร่วมอาชีพมาจากไหน เจ้าอย่าได้ขยายความให้เป็ น เรื่องใหญ่ วางยาผินเต้าต่อหน้าเจ้าศูนย์อู๋”
นักพรตวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงกลางยิ้มตาหยี พยักหน้าเอ่ย “เนื้อหาในกลอนคู่ไม่มีนัยชวนให้ขบคิดเท่ากับที่อารามของพวกเจ้า จริงๆ”
แขกไม่ได้รับเชิญสามคนที่อยู่นอกประตู นักพรตเฒ่าแซ่หงก็คือ เต้ากวานผู้ดูแลฝ่ายเต้าเจิ้งของเมืองหลวง
นักพรตหนุ่มคือเต้าลู่เก๋อหลิ่ง เขายังมีสถานะที่อาพรางไว้อีก อย่าง คือหนึ่งในผู้ฝึกตนแผนภูมิดินของต้าหลี
เนื้อหากลอนคู่ที่แปะในที่ว่าการเต้าเจิ้งเมืองหลวงที่พวกเขาอยู่ ค าพูดค าจาวางโตจริงๆ เรียกได้ว่าเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความ โบราณ ต้นสนและต้นป่ ายจวนสีทองหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคล คิดถึงห ลิงซวีสถานที่ฝึกตนบรรพกาล
นอกประตูที่ว่าการ ด้านข้างขั้นบันไดมีป้ ายศิลาตั้งไว้ คนที่ตั้ง ป้ ายศิลาคือเต้ากวานผู้น าหน่วยฉงซวีต้าหลีในทุกวันนี้ เขามียศ
้
ต าแหน่งยาวเป็ นพรวน อู๋หลิงจิ้งหัวหน้าหน่วยฉงซวีแห่งเขตเซ่อจวิ้น ลูกศิษย์ซานต้งผู้รับยศต้าเต้าซื่อเจิ้งแห่งเมืองหลวง
แล้วก็เป็ นอู๋หลิงจิ้งนักพรตวัยกลางคนที่ในนามดูแลกิจธุระของ ลัทธิเต๋าในต้าหลีซึ่งมียศเป็ น “ต้าเต้าซื่อเจิ้ง” ผู้นี้ที่น้าหนักในราช ส านักต้าหลีจะคล้ายคลึงกับตรีปิฏกาจารย์ของลัทธิพุทธ
อู๋หลิงจิ้งไม่ใช่นักพรต “ท้องถิ่น” ของต้าหลี ภูมิลาเนาของเขา อยู่ในแคว้นชิงหลวนที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติ ทวีป หนึ่งในแคว้นใต้อาณัติของต้าหลีในอดีตเคยเป็ นผู้ดูแลอาราม เต๋าขนาดเล็กไร ้ชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
ทุกวันนี้นักพรตวัยกลางคนผู้นี้กลับกลายมาเป็ นผู้นาของหน่วย ฉงซวีต้าหลีแล้วหากว่ากันในบางความหมาย เขาก็คือคนที่ตาแหน่ง ขุนนางใหญ่ที่สุดในบรรดานักพรตหลายแสนคนที่ได้รับธรรม โองการจากราชสานักต้าหลี ไม่มีหนึ่งใน
อู๋หลิงจิ้งกับภิกษุที่เมื่อหลายปี ก่อนได้รับยศตรีปิ ฎกาจารย์ ขณะเดียวกันก็เป็ นผู้ดูแลหน่วยแปลคัมภีร ์ของต้าหลี ถือเป็ นคนบ้าน เดียวกัน มาจากแคว้นชิงหลวนเหมือนกัน หนึ่งนักพรตเต๋าหนึ่งภิกษุ ต่างก็ได้รับคาแนะนามาจากหลิ่วชิงเฟิงอดีตเจ้ากรมพิธีการของเมือง หลวงส ารองต้าหลี นักพรตมาจากอารามป๋ ายอวิ๋นแคว้นชิงหลวน ภิกษุมาจากวัดป๋ ายสุ่ย
้
เพียงไม่นานก็มีนักพรตออกมาสอบถาม พอรู ้สถานะของคนทั้ง สามก็ตกใจอย่างหนักรีบน าพวกเขาเข้าไปในอาราม แล้วไปแจ้งเต้า เจิ้งของตนให้ทราบเรื่องนี้
เพียงชั่วพริบตา นอกจากเต้าเจิ้งของอวิ๋นโจวและเต้าลู่สองคนที่ ทาหน้าที่อยู่ในอารามเต๋าแล้ว พวกเขายังน าพาเต้ากวานในจังหวัด อีกกลุ่มใหญ่ที่ถูกบันทึกชื่ออยู่ในเอกสารของราชส านัก เดินด้วย ฝีเท้าแผ่วเบา กลั้นหายใจทาสมาธิมาพบพวกกลุ่มของอู๋หลิงจิ้งอย่าง ว่องไว
ฝ่ ายเต้าเจิ้งอวิ๋นโจวแห่งนี้มีระบบเดียวกับฝ่ ายเต้าเจิ้งของเมือง หลวง มีหกกองงานอย่างกองท าเนียบ กองด าเนินคดี กองค าเขียว กองตราประทับ กองภูมิศาสตร ์ กองกฎข้อบังคับ เต้ากวานของกอง งานต่างๆ ที่มีตาแหน่งขุนนางในราชสานักล้วนเรียกว่าเต้าลู่ทั้งหมด
แต่หนึ่งเต้าเจิ้งหกเต้าลู่ของฝ่ ายเต้าเจิ้งในแต่ละจังหวัด มีเต้า กวานรวมทั้งสิ้นเจ็ดคนที่ได้รับเงินเดือนจากราชสานัก ระดับขั้นต่า กว่าของเมืองหลวงหนึ่งขั้น นอกจากนี้เต้าลู่หกคนส่วนใหญ่มักจะ ดูแลกิจการงานต่างๆ ในอารามใหญ่ที่สาคัญของแต่ละจังหวัด ฝ่ าย เต้าเจิ้งของเมืองหลวงคืออารามเต๋าที่ประตูหน้าอารามเล็กมาก หาก ชาวบ้านในเมืองหลวงไม่สังเกตให้ดีก็จะมักจะกลายเป็ นสถานที่ที่พอ เดินผ่านแล้วก็คลาดกันไป ที่ว่าการฝ่ ายเต้าเจิ้งของอวิ๋นโจวซึ่งระดับ ขั้นต่ากว่าหนึ่งขั้นกลับกลายเป็ นอารามเต๋าที่โอ่อ่าใหญ่โตจนเรียกว่า เป็ นดินแดนตระกูลเขียนได้ เต้าเจิ้งอวิ๋นโจวที่ดูแลนักพรตในจังหวัดนี้
้
คือผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่ง ที่ว่าการเต้าเจิ้งประจาจังหวัดในท้องถิ่น ของต้าหลีหลายสิบแห่ง ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็ นเช่นนี้ อารามเต๋าบางแห่ง ที่ถูกควบรวมกันซึ่งมีประวัติศาสตร ์ยาวนานก็มักจะมีเจ้าอารามควบ ตาแหน่งเต้าเจิ้งผู้ดูแลไปด้วย
ภาพจาแรกที่ผู้นาของหน่วยฉงชวีท่านนั้นมอบให้กับนักพรตทุก คน ท าให้พวกเขาอดรู ้สึกตึงเครียดไม่ได้ ในวงการขุนนาง อันที่จริง ไม่กลัวคนที่แสร ้งวางมาดให้ภูมิฐาน แต่มักจะกลัวหัวหน้างานที่ยิ้มตา หยีเข้ากับคนได้ง่ายเช่นนี้เสมอ
อู๋หลิงจิ้งไม่ถือสา เต้าเจิ้งอวิ๋นโจวบอกว่าจะพาพวกเขาไปเดิน เที่ยวดูอารามเต๋า เขาก็เดินตามไป บอกว่าจะพาไปดื่มชาก็ดื่มชาไป ด้วย
พูดง่ายขนาดนี้กลับยิ่งทาให้ในใจของเต้าเจิ้งและเต้าลู่สองคน เป็ นกังวล คาดเดาว่านักพรตที่ดูแลกิจธุระของลัทธิเต๋าในหนึ่งแคว้น ซึ่งได้เลื่อนขั้นเป็ นต้าเต้าซื่อเจิ้งอย่างอู๋หลิงจิ้งผู้นี้ ครั้งนี้มาเยือนโดย ไม่ได้บอกกล่าว ไม่รู ้ว่ามาด้วยเรื่องอะไรกันแน่
นักพรตวัยกลางคนที่เคยชินจะหรี่ตามองคนมองสิ่งของผู้นี้ อันที่ จริงขึ้นเขาฝึกตนช ้ามาก มี “อายุขัยในการฝึกตน” แค่ไม่กี่ปีเท่านั้น “ฝึกตนในวัยกลางคน” เพราะโชควาสนาอ านวยอย่างแท้จริง
เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็ นมนุษย์ธรรมดา อู๋หลิงจิ้งคือหนอนหนังสือ อย่างสมชื่อ เขาชอบจุดตะเกียงอ่านต าราตอนกลางคืนอย่างมาก
้
บวกกับที่ตาราที่อ่านมีมากมายหลากหลายไม่ทันระวังดวงตาจึงเสีย เป็ นเหตุให้ไม่ว่ามองอะไรก็ล้วนพร่าเลือน ดังนั้นเขาถึงได้เคยชินที่จะ หรี่ตา หลังจากหันมาฝึกตนแล้ว ความเคยชินนี้ของอู๋หลิงจิ้งก็ยังไม่ เคยเปลี่ยน ไปๆ มาๆ คนก็เล่าลือกันไปว่าเจ้าศูนย์อู๋แห่งหน่วยฉงซวีมี ฉายาว่าเสือหน้ายิ้มอยู่ในเมืองหลวง ว่ากันว่าแรกเริ่มสุดนั้นแพร่มา จากตรอกเล็กของหอเหรินอวิ๋นอื้อวิ๋น แล้วก็บอกว่าเป็ นคากล่าวที่ เจ้ากรมผู้เฒ่าสกุลจ้าวเทียนสุ่ยเป็ นคนแรกที่แพร่ออกมา อู๋หลิงจิ้ง อ่อนใจกับเรื่องนี้มาก คิดไม่ถึงว่าแค่ตนเลื่อมใสและอยากรู ้อยากเห็น จึงไปเยือนตรอกเล็กรอบหนึ่ง ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปด้วยซ้า เพราะ ถูกขวางหน้าตรอกเสียก่อน คุยเล่นกับหลิวเจียก่อก าเนิดเฒ่าไปสอง สามประโยค จากนั้นก็ชี้แนะด้านการฝึกตนให้กับเด็กหนุ่มที่ออกจาก บ้านเมื่อไหร่ก็มักจะถูกฟ้ าผ่าอยู่เรื่อยผู้นั้นด้วยความหวังดี ผลกลับ กลายเป็ นได้ฉายานี้มา
ส่วนการที่อู๋หลิงจิ้งออกจากเมืองหลวงมาครั้งนี้ก็เพราะได้รับคา เชิญจากอาจารย์หยวนของกองโหราศาสตร ์ บอกว่าจะแนะน าสหาย คนหนึ่งให้เขารู ้จัก สถานะของอีกฝ่ ายพิเศษ ไม่สะดวกจะเผยกายที่ เมืองหลวงต้าหลี
อู๋หลิงจิ้งจึงนัดหมายกับอาจารย์หยวนที่อาณาเขตของอวิ๋นโจว
หลิวจื่อจวิ้น?
อารมณ์ของอู๋หลิงจิ้งซับซ ้อน
้
หวังเพียงว่าอย่าเป็ นบัณฑิตในตาราประวัติศาสตร ์คนนั้นเลย
เกี่ยวกับคนผู้นี้ คาวิจารณ์ของตาราประวัติศาสตร ์ในโลกยุคหลัง ต่างก็สุดโต่งอย่างมาก แต่ละคนต่างยึดถือความคิดตัวเอง มีทั้งดีและ ไม่ดีปะปนกันไป
แต่อู๋หลิงจิ้งอ่านตารามามาก และยามอ่านตาราเขาก็มักจะมี ความเห็นของตัวเองมาโดยตลอด หากให้เขาวิจารณ์คนผู้นี้ บางที อาจจะค่อนข้างน่าตกใจ แค่ประโยคเดียวเท่า
นับตั้งแต่ยุคบรรพกาลที่หลี่เซิ่งล้มเหลวในการปรับเปลี่ยนระบบ มา เมื่อผ่านการเรียบเรียงตาราประวัติศาสตร ์จากลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ นับหมื่นคนโดยมีคนผู้นี้นาพา กระแสนิยมในใต้หล้า ระบบสายบุ๋นข องไพศาลก็ได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าใหม่ทั้งหมดไปนับแต่นี้
อู๋หลิงจิ้งหรี่ตาลง ถอนหายใจเบาๆ ไยอาจารย์หยวนต้องทาเช่นนี้ นี่ไม่ใช่ทาให้ตนต้องกลายเป็ นคนไร ้น้าใจไร ้คุณธรรมหรอกหรือ?
เพียงแต่ในใจของเขาก็อดเกิดข้อสงสัยไม่ได้ ทาไมตอนนั้น ศาลปุ่นถึงไม่สนใจเรื่องนี้?
หยวนเทียนเฟิงในวันนี้ต้องการอะไรกันแน่?
จากหลงโจวเปลี่ยนชื่อมาเป็ นฉู่โจวมีต้นก าเนิดมาจากการ แบ่งกลุ่มดวงดาว ย่อมมาจากค าเสนอแนะของกองโหราศาสตร ์ใน เมืองหลวง ในความเป็ นจริงแล้วเป็ นฝี มือของ “เค่อชิง” แห่งกอง โหราศาสตร ์อย่างหยวนเทียนเฟิง นอกจากนี้แล้วชื่อเรียกใหม่ของ
้
เขตทั้งหมดในฉู่โจว เช่นชื่อเซียนตู จิ้นอวิ๋น อู่อี้ เหวินเฉิง ฯลฯ ก็ล้วน เป็ นอาจารย์หยวนผู้นี้ที่ช่วยตั้งให้
ส่วนหยวนเทียนเฟิงเวลานี้อยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งของจังหวัดเห ยียนโจว กาลังเสนอแนะให้ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเฒ่าคนหนึ่งที่ไม่มียศ ต าแหน่งบริจาคเงินสร ้างหอขุยซิงไว้ที่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ
ศาลบุ๋นในอาเภอ เพื่อรวบรวมปราณม่วง
ข้างกายหยวนเทียนเฟิงมีบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่ยอมรับและ ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้คล้ายกับกาลังบอกว่าการกระทานี้ดีมาก แต่กลับไม่ ถือว่าดีที่สุด
โรงเรียนแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขา อาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่ง ก าลังถ่ายทอดวิชาความรู ้ อธิบายหลักการเหตุผลในต าราให้พวก เด็กนักเรียนประถมฟัง จากนั้นก็ใช ้ภาษาบ้านๆ ที่เข้าใจง่ายอธิบาย อย่างละเอียดซ้าอีกที
“ข่มคนอื่นด้วยผลงานความสาเร็จของตน โอ้อวดบทความ ล้วน เป็ นการอาศัยสิ่งนอกกาย ต่อให้เจ้าจะก าเริบเสิบสานไร ้ย าเกรง เพียงใดก็ยังต้องมีเวลาที่ต้องก้มหัวให้คนอื่นจิตใจโอบอ้อมอารี มี น้าใจมีเมตตาต่อผู้อื่น ต่อให้จะไม่มีคุณความชอบไม่รู ้จักตัวอักษร แต่ตอนกลางคืนก็ไม่ต้องกลัวว่าผีจะมาเคาะประตู เป็ นคนได้อย่าง ซื่อตรงผึ่งผาย”
้
นอกโรงเรียนมีคนต่างถิ่นแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งมาเยือน เวลานี้ยืน อยู่ใต้ชายคานอกหน้าต่าง ไม่ได้ส่งเสียงรบกวนการสอนของอาจารย์ ท่านนั้น
นอกจากนี้ยังมีอาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนหนังสือในหมู่บ้านอู๋ซีอีกสอง คน ก่อนหน้านี้ได้ยินความเคลื่อนไหวในหมู่บ้าน บอกว่ามีรถม้ามา
เยือนสามคัน โอ่อ่าหรูหราอย่างมาก
เป็ นเพราะอยากรู ้ว่าคนต่างถิ่นที่มาเป็ นใครจึงนัดหมายกันมาสืบ ดูที่นี่ให้รู ้แน่ชัดอาจารย์ผู้เฒ่าอายุมากสองคน คนหนึ่งคืออาจารย์ใน โรงเรียนอู๋ซี ถงเซิงเฒ่าเฝิ งหย่วนถิงอีกคนหนึ่งชื่อว่าหันว่อ นาม ว่าอวิ๋นเฉิง ทุกวันนี้เป็ นอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนส่วนตัวของ ตระกูลที่ร่ารวยเป็ นอันดับหนึ่งในหมู่บ้าน ผู้เฒ่าไม่มียศตาแหน่ง แต่ สอนนักเรียนให้สอบติดซิ่วไฉได้หลายคนแล้ว เพราะถึงอย่างไรใน ราชสานักต้าหลีทุกวันนี้ โดยเฉพาะทางทิศเหนือ ตาแหน่งจวี่เหรินก็ ไม่ได้ล้าค่าธรรมดาเท่านั้นแล้ว
อาจารย์ผู้เฒ่าสองคนใช ้หางตามองประเมินกลุ่มคนที่อยู่ห่างไป ไม่ไกลพลางซุบซิบกันไปด้วย
ถงเซิงเฒ่าเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ใหญ่หัน แค่มองก็รู ้ว่าพวกเขาต้อง เป็ นขุนนาง ใช่หรือไม่?”
หันว่อเป็ นคนที่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อน พยักหน้าเอ่ยว่า “ต าแหน่งขุนนางไม่เล็ก”
้
จากนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าก็เสริมประโยคของคนที่เชี่ยวชาญมาอีก ว่า “เกินครึ่งน่าจะเป็ นพวกลูกหลานตระกูลร่ารวย ฝึกปรือฝีมืออยู่ใน วงการขุนนาง ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกไม่กี่ปีก็คงคว้าต าแหน่งขุนนางใน ที่ว่าการของหกกรมเมืองหลวงมาได้ หรือไม่ก็ไปรับหน้าที่ในอาเภอ ในเขตชานเมืองหลวง ขณะเดียวกันก็ได้ต าแหน่งขุนนางดีๆ อย่างผู้ ตรวจทานต าราหรือไม่ก็เลขาผู้แก้ไขตัวอักษรมาเป็ น”
เฟิ งหย่วนถิงได้ยินก็เดาะลิ้นทันที ในอนาคตจะไม่เริ่มต้นที่ ต าแหน่งท่านนายอ าเภอเลยหรือ?
ราชส านักต้าหลีขีดเส้นแบ่งไว้เส้นหนึ่ง มีจู่โจวเป็ นอาณาเขต พอดี ทางทิศเหนือของฉู่โจวถือเป็ น “ต้าหลีเก่า” ทางทิศใต้ของฉู่โจว ทางเหนือของลาน้าใหญ่ถือเป็ น “ต้าหลีใหม่”
ถ้าอย่างนั้นคนที่เป็ นขุนนางในอวิ้นโจวและทางเหนือขึ้นไป เมื่อ เทียบกับเป็ นขุนนางทางทิศใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคว้นใต้อาณัติ ทั้งหลายที่อยู่โดยรอบเมืองลั่วจิงเมืองหลวงส ารองของต้าหลี ต าแหน่ง ก็จะสูงกว่าระดับหนึ่ง
เพียงแค่หยุดพักระหว่างคาบเรียน ยังไม่เลิกเรียน เฉินผิงอันเดินออกมาจากในห้องเรียน ยิ้มพลางกุมหมัดคารวะ ซ่งเหอประสานมือกล่าว “ซ่งเหอคารวะอาจารย์เฉิน”
ซ่งเหอ?
้
อาจารย์ผู้เฒ่าสองคนได้ยินแล้วก็อึ้งตะลึงกันไปก่อน จากนั้นก็ หันหน้ามายิ้มให้กันต่างก็รู ้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก ใช ้ได้ๆ ไฉนคน หนุ่มถึงได้ตั้งชื่อเช่นนี้นะ เป็ นชื่อที่ยิ่งใหญ่ไปหน่อยแล้ว