กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1043.1 เมื่อดอกไม้ผลิบาน ใต้หล้าก็คือวสันตฤดู
โรงเรียนตั้งอยู่ริมน้า ธารน้าโบราณกับต้นเหมยหนึ่งต้น คนอยู่ ข้างต้นไม้ สายฝนตกถี่ดุจรากเมฆ เสียงน้าสีภูเขาและดอกเหมยงาม งด ราวกับต้อนรับการมาเยือนของท่าน
ไผ่เขียวนับหมื่นต้นในภูเขา เมื่อม่านราตรีมาเยี่ยมเยือนก็น่าจะมี ทิวทัศน์ที่งามแปลกตาออกไป น้าไหลแสงจันทร ์ใสกระจ่าง หลอมรวม เป็ นดั่งสายธารหิมะ
ใต้ชายคานอกห้องเรียน อวี๋เหมี่ยนยอบกายคารวะ อวี๋อวี๋ไม่เหลือ ท่าทางร่าเริงกระโดกกระเดกอีกแม้แต่น้อย กุมหมัดคารวะอิ่นกวาน หนุ่มแต่โดยดี เรียกว่าอาจารย์เฉินเหมือนกับฮ่องเต้ด้วยเสียงที่เบา ราวเสียงยุง
เฉินผิงอันผงกศีรษะให้พวกนาง จากนั้นก็กุมหมัดคารวะอีกสอง คนที่เดินทางมาด้วยกัน ยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์หัน อาจารย์เฝิ ง ให้ผู้ อาวุโสทั้งสองท่านเห็นเรื่องตลกแล้ว สอนหนังสือให้กับเด็กประถม หากมีจุดใดที่ผู้เยาว์ทาไม่เหมาะ หวังว่าพวกท่านจะไม่ขี้เหนียวคา ชี้แนะ”
มีคนนอกอยู่ด้วย บวกกับที่ไม่ควรยื่นมือไปตบหน้าคนที่ยิ้มให้ อาจารย์สองคนจึงพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฟังบทเรียนอยู่ที่นี่ มาเกือบครึ่งชั่วยาม เฉินจี้ผู้นี้ยังเป็ นเหมือนเดิมจริงๆ อายุน้อยแต่
กลับพูดจาวางโตนัก เหอะ ครูสอนหนังสือคนหนึ่งที่ไม่เคยสอนใน โรงเรียนของอาเภอด้วยซ้า ยังจะกล้าพูดเรื่องการข่มผู้อื่นด้วย ผลส าเร็จ โอ้อวดบทความอะไรนั่นด้วยหรือ? เพื่อหาเงินไม่กี่แดงจาก เด็กนักเรียนประถมก็ใช ้แผนร ้ายสารพัดวิธี ยังกล้าพูดว่าเป็ นคน เที่ยงตรงซื่อสัตย์ด้วยหรือไร? ดูท่าแล้วเพื่อจะให้คนต่างถิ่นที่มาเยือน กลุ่มนี้รู ้สึกประทับใจ เขาก็ทุ่มสุดตัวแล้วจริงๆ หน้าตาอะไรก็ไม่ ต้องการอีกแล้ว
เผยทงผู้ว่าอวิ้นโจวและฉู่เหลียงแม่ทัพอวิ้นโจวต่างก็คารวะกัน เงียบๆ ไม่มีใครรีบร ้อนจะแนะนาตัว ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาทั้ง สองท่านต่างคนต่างมีความคิดเป็ นของตัวเองเผยทงคิดว่าบุรุษ ตรงหน้าก็คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเหวินเซิ่ง ศิษย์น้องคนเล็กของ ราชครูชุยฉานและอาจารย์ฉีแห่งสานักศึกษาชานหยาอย่างนั้นหรือ? ส่วนแม่ทัพบู๊ฉู่เหลียงกลับคิดว่าอาจารย์สอนหนังสือสวมชุดกว้าตัว ยาวสีเขียว สวมรองเท้าผ้า ท่าทางสุภาพมีมารยาทตรงหน้าผู้นี้คืออิ่ นกวานคนสุดท้ายของกาแพงเมืองปราณกระบี่ คือคนที่ได้แกะสลัก ตัวอักษร “ผิง” เป็ นคนสุดท้ายจริงๆ น่ะหรือ?
พบว่าเจ้าคนผู้นั้นใช ้หางตาเหลือบมองมาทางตน กึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง จ้าวเหยาก็รู ้สึกอ่อนใจอยู่บ้าง ไม่ว่ากับใครเจ้าก็ล้วนพูดง่าย แต่ดัน มาคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับข้า เจ้าคิดเจ้าแค้นถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เมืองหลวงต้าหลี ตนก็แค่พูดล้อเล่นอย่างที่ไม่ได้ มีเจตนาชั่วร ้ายอะไรไม่ใช่หรือ? เห็นอีกฝ่ายไม่คิดจะปล่อยตนไปง่ายๆ
รองเจ้ากรมจ้าวก็ได้แต่บากหน้าเอ่ยเรียกว่า “อาจารย์อาน้อย” เสียง เบา เห็นเฉินผิงอันเผยสีหน้าปลาบปลื้มยินดีดัง “ผู้อาวุโสในตระกูลที่ เห็นผู้เยาว์ในบ้านตัวเองได้ดิบได้ดี” จ้าวเหยาก็ถอนหายใจ เจ้าล าดับ อาวุโสสูง ข้าจะอดทนกับเจ้าก็แล้วกัน
หลังจบคาบเรียนมีเวลาพักหนึ่งเค่อ เนื่องจากมีคนมาเยือนกลุ่ม ใหญ่ พวกเด็กๆ จึงส ารวมกันอยู่บ้าง ไม่ได้เอะอะเสียงดังเหมือนใน เวลาปกติ คนที่ขี้ขลาดหน่อยก็ไม่กล้าเดินออกไปจากห้องเรียนด้วย ซ้า แสร้งท าเป็ นเปิดอ่านต าราอยู่ในห้องพลางลอบมองทิวทัศน์แปลก ใหม่นอกหน้าต่างไปด้วย พวกเด็กผู้ชายให้ความสนใจกับรอยแผล ตรงล าคอของฉู่เหลียง ส่วนเด็กผู้หญิงก็ลอบมองการแต่งกายของ สตรีทั้งสอง
เฉินผิงอันพาทุกคนไปนั่งในห้องโถงใหญ่ซึ่งเป็ นที่พักของตัวเอง โต๊ะแปดเซียนตัวเก่าอีกทั้งยังซื้อมาจากคนในหมู่บ้าน เขาบอกให้จ้าว ขู่เซี่ยไปชงชามารับรองแขก เฉินผิงอันแนะน าสถานะของลูกศิษย์คน นี้ให้ทุกคนได้รู ้จักแล้วก็เอ่ยด้วยน้าเสียงที่แฝงไว้ด้วยการขออภัยว่า “พวกเจ้ามาเร็วไปสักหน่อย ยังไม่ทันถึงช่วงเด็ดใบชา ชาพวกนี้ล้วน เป็ นชาฝนธัญพืชของเมื่อปีก่อน ดื่มให้พอแก้กระหายกันไปก่อน”
อาจารย์หันว่อและเฝิงหย่วนถิงที่เป็ นถงเซิงต่างก็ไม่อยากกลับไป เร็วนัก เมื่อครู่นี้ได้ยินว่าเฉินจี้เอ่ยเชื้อเชิญก็ผลักเรือตามกระแสน้า ตอบตกลงอยู่ต่อ ไปนั่งอยู่ในห้องโถงที่ซอมซ่อด้วยกัน ห้องด้านข้าง ที่ประตูปิดไว้ก็น่าจะเป็ นที่พักควบกับห้องหนังสือของเฉินจี้แล้ว
หนิงจี๋ไม่กล้ารบกวนการรับรองแขกของอาจารย์ จึงยืนอยู่ตรง นาฬิกาแดดที่แกะสลักไว้บนหินในลานตากธัญพืช
ลูกศิษย์สองคน จ้าวซู่เซี่ยค่อนข้างคล้ายคลึงกับลูกศิษย์ที่คอย ติดตามอยู่ข้างกาย มีเรื่องอะไรเขาก็เป็ นคนคอยช่วยเหลือ ส่วนหนิงจี๋ กลับเป็ นลูกศิษย์ที่สืบทอดวิชาอย่างแท้จริง เพิ่งจะมาเข้าเรียนใน โรงเรียนกลางคัน ไม่ต่างอะไรจากเด็กนักเรียนประถม
เฉินผิงอันกวักมือเรียกหนิงจี๋ หนิงจี๋ก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาในห้อง เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่า นี่คือลูกศิษย์ที่ข้าเพิ่งรับมา หนิงที่แปลว่าสงบสุข จี๋ที่แปลว่ามงคล เป็ นชื่อที่ดี
หนิงจี๋ประสานมือคารวะทุกคนอย่างเขินอาย
ความสนใจของทุกคนในห้องอยู่ที่ตัวของเด็กหนุ่มผอมดาชื่อ ว่าหนิงจี๋คนนี้มากกว่า
มีเพียงจ้าวเหยาที่มองจ้าวซู่เซี่ยซึ่งเงียบขรึมพูดน้อยแต่กลับ ไม่ให้ความรู ้สึกโดดเดี่ยวแปลกแยกอยู่หลายที
เพราะมีอาจารย์สอนหนังสือในหมู่บ้านใกล้เคียงสองคนอยู่ด้วย ทั้งแขกและเจ้าบ้านจึงไม่ได้พูดคุยเรื่องเป็ นการเป็ นงานกันสักเท่าไร เฉินผิงอันดื่มชาไปหนึ่งชามแล้วก็เอ่ยขออภัย บอกว่าต้องไปสอน หนังสือต่อแล้ว แล้วจึงพาหนิงจี๋เดินออกมาจากห้องด้วยกัน ให้จ้าว ซู่เซี่ยอยู่คุยกับทุกคนในห้องต่อ
หลังจากเฉินผิงอันออกไป ซ่งเหอก็เป็ นฝ่ ายสอบถามถึง สถานการณ์ของโรงเรียนที่หมู่บ้านอู๋ซีจากอาจารย์ทั้งสองท่าน
อยู่กับเฉินจี้ที่เป็ นคนร่วมอาชีพ อาจารย์ทั้งสองยังวางมาดอยู่บ้าง แต่เมื่ออยู่กับคนต่างถิ่นที่ยังไม่รู ้ความเป็ นมากลุ่มนี้ อาจารย์ทั้งสอง กลับไม่ได้ท าตัวสบายๆ อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุรุษแซ่ซ่งที่ คล้ายจะเป็ นผู้นาคนนั้น ไม่รู ้ทาไมบนร่างของอีกฝ่ ายคล้ายจะมีกลิ่น อายขุนนางเข้มข้นอยู่บ้าง เป็ นเหตุให้การถามตอบครั้งนี้ พวกเขา กลับเหมือนเด็กนักเรียนที่ถูกอาจารย์ถามเรื่องการบ้าน อวี๋เหมี่ยนก ระตุกชายแขนเสื้อของฮ่องเต้อยู่ใต้โต๊ะซ่งเหอจึงหยุดพูด หันไป พูดคุยเรื่องสบายๆ อย่างช่วงเวลาการทาเกษตรและขนบธรรมเนียม ท้องถิ่นแทน
หลังจากโรงเรียนเลิก อาจารย์ผู้เฒ่าสองคนก็พากันจากมา ออก ห่างจากโรงเรียนมาไกลแล้ว เฝิงหย่วนถิงขยับคอเสื้อชุดลัทธิขงจื๊อ พรูลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เอ่ยประโยคหยั่งเชิงว่าคนแซ่เหอผู้นั้น คงไม่ได้เป็ นขุนนางใหญ่ในเขตการปกครองแห่งใดหรอกกระมัง? หันว่อแสร ้งคลี่ยิ้มเยือกเย็น หันกลับไปมองทางโรงเรียนแวบหนึ่ง บอก ว่าเป็ นขุนนางใหญ่แค่ไหนบอกได้ยาก แต่กลับแน่ใจในเรื่องหนึ่งได้ นั่นคือคนผู้นี้ต้องเป็ นลูกหลานชนชั้นสูงที่มาจากเมืองหลวงแน่นอน เฝิงหย่วนถิงอดสงสัยไม่ได้ ลูกหลานตระกูลขุนนางชั้นสูงพวกนี้รู ้จัก กับเฉินจี้ได้อย่างไร หันว่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็บอกว่าบางทีคนผู้นั้น
อาจเป็ นผู้สูงศักดิ์ของเฉินจี้กระมัง เฝิงหย่วนถิงพูดพึมพ า เจ้าตัวดี เหยียบโชคดีขี้หมาแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันเป็ นเจ้าบ้านย่อมต้องนั่งที่ตาแหน่งประธานซึ่งหันหน้า เข้าหาประตู ซ่งเหอกับอวี๋เหมี่ยนนั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง ฝั่งตรง ข้ามคือเผยทง ฉู่เหลียงและอวี๋อวี๋
จ้าวซู่เซี่ยกับหนิงจี๋นั่งตรงข้ามกับอาจารย์ของพวกเขา รอง เจ้ากรมจ้าวที่ลาดับอาวุโสเท่าเทียมกับพวกเขานั่งอยู่ข้างกายจ้าวซู่ เซี่ย ฝั่งตรงข้ามคืออจื่อวี่
โอภาปราศรัยกันไปพักหนึ่งก็ถึงเวลากินข้าว เฉินผิงอันยิ้มถาม ว่า “อาหารบ้านๆ กินได้ไหม? อยู่ในป่ าในเขา คนที่นี่ทางานใช ้ แรงงานกันตลอดทั้งปีจึงกินอาหารรสจัดค่อนไปทางเผ็ดและเค็มอย่าง เลี่ยงไม่ได้ ข้าเองก็กินอาหารรสประมาณนี้อยู่แล้ว ไม่ถือว่าเป็ นการ เข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามอะไร”
หากว่ากินไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้แล้ว เฉินผิงอันที่อยู่ที่นี่เป็ นเพียงคน ธรรมดา ไม่คิดจะแหกกฎให้คนกลุ่มนี้ด้วยการย้ายพวกเขาไปรับรอง แขกที่ภูเขาลั่วพั่ว
ซ่งเหอได้ยินก็รีบหันไปมองฮองเฮาที่อยู่ข้างกายทันที นางพยัก หน้ารับด้วยรอยยิ้ม ซ่งเหอถึงได้เอ่ยว่า “กินได้ พวกเราไม่มีปัญหา”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเข้าครัวทากับข้าวมาให้ ด้วยตัวเอง ฝีมืออาจไม่ได้เรื่องเท่าไร โปรดอภัยด้วย”
เห็นภาพนี้ ในใจของจ้าวเหยาก็มั่นใจได้แล้ว
ฉู่เหลียงคือคนหยาบกระด้างจึงไม่ได้คิดอะไร แต่เผยทงที่เป็ นคน จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมกลับสัมผัสได้ว่าดูเหมือนลมปราณของ เฉินผิงอันจะเปลี่ยนไป ไม่มีท่าทางเย็นชาที่ว่าสองฝ่ ายคุยเรื่องเป็ น การเป็ นงานกันเสร็จก็ส่งแขก
รอไม่นาน จ้าวซู่เซี่ยกับหนิงจี๋ที่เป็ นลูกมือก็พากันยกอาหารมา วางบนโต๊ะ ไม่อาจพูดได้ว่ามีครบทั้งสีสันและรสชาติ เพราะมีหลาย จานที่เป็ นผักตามฤดูกาล มองดูแล้วค่อนข้างจะจืดชืด
เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องครัวปลดผ้ากันเปื้อนออก หนิงจี๋หยิบเหล้า ต้มและเหล้าหมักข้าวเหนียวมา อวี๋อวี๋มองสีหน้าของอิ่นกวานหนุ่ม อย่างระมัดระวัง นางฝืนใจพูดว่าตัวเองดื่มเหล้าหมักข้าวเหนียวก็ได้
เฉินผิงอันหยิบชามเหล้ามา ยิ้มเอ่ยว่า “ทุกคนตามสบาย ข้าขอ ดื่มหมดชามก่อน”
ซ่งเหอก็ดื่มเหล้าต้มหมดชามตามไปด้วย ผลคือสาลักหน้าดา หน้าแดง ต้องรีบหันหน้าไปปิดปากอีกทาง เผยทงกับฉู่เหลียงคิดจะ พูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ข่มกลั้นเอาไว้
ไม่รู ้ว่าเหตุใด พอได้เจอกับอาจารย์สอนหนังสือที่โรงเรียนแห่งนี้ พวกเขากลับเหมือน…ได้ออกมาจากมาตุภูมิต้าหลีและวงการขุนนาง
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้พูดอะไร หยิบตะเกียบขึ้นมาก่อนพลางเอ่ย เรียกให้ทุกคนกินอาหาร
ซ่งเหออธิบายก่อนว่าทาไมตัวเองถึงต้องมาที่นี่ เพื่อที่จะได้ ‘ตัด” เทพลาคลองเกาเนี่ยงและอวี๋ฮุ่ยถิงออกไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เฉินผิงอัน เข้าใจพวกเขาผิด
เฉินผิงอันรับฟังอย่างอดทนด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ บางครั้งก็พยักหน้ารับ
ซ่งเหอลังเลเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังพูดเข้าประเด็นว่า “อาจารย์ เฉิน ครั้งนี้ข้าบุ่มบ่ามมาเยือนเพราะอยากจะโน้มน้าวท่าน หวังว่าเรื่อง ที่พูดไปในงานเลี้ยงสุราของเมืองหลวงคราวก่อน อาจารย์เฉินจะ พิจารณาดูอีกที”
เฉินผิงอันคีบกับข้าวขึ้นมาเคี้ยวอย่างละเอียด พอกลืนแล้วก็ พยักหน้าเอ่ย “นับแต่วันนี้ไปข้าจะพิจารณาให้ดีๆ”
ใบหน้าของซ่งเหอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เดิมทีเตรียมใจ ไว้แล้วว่าวันนี้ต้องกินน้าแกงประตูปิด คิดไม่ถึงว่าจะได้กินอาหารพื้นๆ ร่วมกับอาจารย์เฉินหนึ่งมื้อ ได้ดื่มเหล้าร่วมโต๊ะ ถึงขั้นที่ว่า ข้อเสนอแนะของตัวเองไม่ถูกปฏิเสธ ต้องรู ้ว่าคราวก่อนที่เฉินผิงอัน พา “โม่เซิง” เข้าไปในวังหลวงได้เกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น ทาง ฝั่งของกองโหราศาสตร ์ต้าหลีตกใจกันไม่เบา ซ่งเหอยังเข้าใจผิดคิด ว่าเฉินผิงอันจะแตกหักกับต้าหลีอย่างสิ้นเชิงแล้วเป็ นเหตุให้ช่วงที่ ผ่านมานี้ ไทเฮาหนันจานที่คล้ายจะเป็ นวัวสันหลังหวะ ไม่ว่าจะอยู่กับ ตนหรืออยู่กับอวี๋เหมี่ยนผู้เป็ นลูกสะใภ้ก็ล้วนมีท่าทางเกรงใจไม่ เหมือน…คนเป็ นแม่สามีในอดีตเลย
หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยต่ออีกว่า “ก่อนหน้านี้ที่ข้า ลังเล หากไม่พูดถึงบุญคุณความแค้นส่วนตัวและบัญชีเก่าเก็บที่ จ าเป็ นต้องสะสางให้เรียบร ้อยก่อน หลักๆ แล้วยังเป็ นเพราะศิษย์พี่ชุย เคยพูดแรงๆ ต่อหน้าข้า เป็ นคาพูดที่ตรงไปตรงมาอย่างมาก คาพูด ไม่กี่ประโยคที่เหมือนฟันแสกหน้าข้านั้น ความหมายคร่าวๆ ก็คือข้า ไม่เหมาะจะเป็ นราชครูต้าหลี เพราะเขารู ้สึกว่าข้าเป็ นคนที่ไม่ เชี่ยวชาญทั้งเรื่องในราชสานักและการเช่นฆ่าบนสนามรบ มีแต่ “จิตใจที่อ่อนไหว” ซึ่งได้แต่สนใจเรื่องของตัวเองก็ไม่มีคุณสมบัติจะ พูดเรื่องการบุกเบิกสถานการณ์อะไรเลย แล้วจะสร ้างภาพ ปรากฏการณ์อย่างใหม่อะไรได้ ยังบอกด้วยว่าการที่ข้าโชคดีประสบ ความสาเร็จเล็กน้อยอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ล้วนเป็ นเพราะ อานาจของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ต้องยกคุณความชอบให้กับการ จัดวางกองก าลังของคฤหาสน์หลบร ้อน ดังนั้นสาหรับกาแพงเมือง ปราณกระบี่แล้ว ข้าได้แค่ปักบุปผาลงบนผ้าแพรเท่านั้น ไม่ถือเป็ น การส่งถ่านท่ามกลางหิมะ หากเปลี่ยนมาเป็ นเขาที่อยู่ในตาแหน่ง เดียวกันและทาเรื่องแบบเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นตาแหน่งของข้าใน คฤหาสน์หลบร ้อนก็จะมีบทบาทเป็ นคนบางคนเท่านั้น หากมีก็ถือว่า ดี แต่หากไม่มีก็ไม่ได้ส าคัญอะไร สรุปก็คือไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ สถานการณ์ใหญ่”
ประโยคนี้ถูกเฉินผิงอันโพล่งออกมา คงเป็ นเพราะเฉินผิงอัน ก าลังบรรยายค าพูดของชุยฉาน และบางทีอาจเป็ นเพราะน้าหนักของ
สองคาอย่าง “กาแพงเมืองปราณกระบี่” และคฤหาสน์หลบร ้อน” ที่กด ทับลงบนหัวใจของทุกคน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็ นฮ่องเต้ซ่งเหอหรือขุนนาง ใหญ่ในพื้นที่ศักดินาที่ปณิธานอยู่กับตาแหน่งเสาค้ายันแคว้นและทูต ลาดตระเวนอย่างเผยทงและฉู่เหลียง ต่างก็กลั้นหายใจ ยึดเอวขึ้น ตรงกันโดยไม่รู ้ตัว
เฉินผิงอันหัวเราะอยู่กับตัวเอง “เหตุผลคือเหตุผลนี้ก็จริง แต่ข้า คิดว่าเรื่องของการปกป้ องรักษากิจการบ้านเรือน ตนเองพอจะมี ความสามารถอยู่บ้าง เมื่อได้รับการไหว้วานจากคนอื่น ปฏิบัติตาม สัญญาที่ให้ไว้ ก็ไม่ถือว่าทาได้แย่เท่าไร”
คนที่นั่งอยู่ที่นี่วันนี้ไม่มีใครที่เป็ นคนโง่ นอกจากเด็กหนุ่มหนิงจี๋ที่ ยังไม่เข้าใจเรื่องทางโลกแล้ว ทุกคนล้วนรู ้ดีอยู่แก่ใจว่าความนัย นอกเหนือจากคาพูดของเฉินผิงอัน อันที่จริงก็คือความนัย นอกเหนือจากคาพูดของศิษย์พี่ชุยฉาน
คนที่เป็ นศิษย์พี่บอกว่าเจ้าไม่ได้เรื่อง นั่นก็คือไม่ได้เรื่อง แค่สร ้าง ผลงานได้เล็กน้อยก็อย่าได้อวดเก่งกับข้า เพียงแต่ว่านี่คือคาพูดของ คนกันเองที่ปิดประตูคุยกันระหว่างศิษย์พี่และศิษย์น้อง เป็ นการว่ากัน ไปตามเนื้อผ้า แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็ นศิษย์น้องเล็กของข้า วันหน้า เจอกับเรื่องอะไรก็ยังต้องแบกรับเอาไว้ให้อยู่
บอกว่าเจ้าท าไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีค่าพอให้ข้าชุยฉานเอ่ย วาจา คนอื่นๆ ก็ยิ่งทาไม่ได้ พวกคนที่คิดว่าตัวเองทาได้และพวกคนที่
คิดว่าตัวเองท าไม่ได้ของราชส านักต้าหลีเหล่านั้น อันที่จริงล้วนไม่มี ใครท าได้
ดังนั้นคราวก่อนที่เฉินผิงอันไปเยือนเมืองหลวงต้าหลี นอกจาก จะไปจัดการกับเรื่องเศษเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตแล้ว ก็ยัง อยากจะเห็นกับตาตัวเองด้วยว่าศิษย์พี่ชุยได้หาตัวส ารองคนที่จะเป็ น
ราชครูไว้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นจ้าวเหยา
อาหารค่าและสุราหนึ่งมื้อผ่านไป คนที่เป็ นฝ่ ายลุกเก็บจานชาม คือฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนและอวี๋อวี๋ที่คิดว่าตัวเองต้องแสดงท่าทีต่อหน้าอิ่ นกวานหนุ่มบ้าง
เดินออกมาจากโต๊ะอาหาร ภายหลังเฉินผิงอันก็เชิญให้ฮ่องเต้ และขุนนางคนส าคัญในท้องถิ่นที่ดูแลเรื่องการทหารในจังหวัด แน่นอนว่ายังมีศิษย์หลานของตนอย่างจ้าวเหยาให้ไปนั่งในห้อง หนังสือของตน ดื่มชาพูดคุยกัน
พอคุยกันถึงได้รู ้ว่าปู่และบิดาของผู้ว่าเผยทงต่างก็เคยศึกษาอยู่ที่ ส านักศึกษาซานหยาเก่าของเมืองหลวงซึ่งฉีจิ้งชุนรับหน้าที่เป็ นเจ้า ขุนเขา แน่นอนว่าทุกวันนี้เปลี่ยนเป็ นสานักศึกษาชุนซานซึ่งเป็ นของ ทางการไปแล้ว
เห็นเพื่อนร่วมงานอย่างผู้ว่าเผยพูดคุยกับอิ่นกวานหนุ่มได้อย่าง ถูกคอ ฉู่เหลียงก็รู ้สึกร ้อนใจเล็กน้อย คิดไปคิดมาก็ยังหาเรื่องมา พูดคุยตีสนิทกับเฉินผิงอันไม่ได้
อวี๋เหมี่ยนยืนอยู่หน้าประตูห้องข้างงอนิ้วเคาะประตูห้องเบาๆ
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ริมขอบเตียงหันหน้ามา ยิ้มเอ่ยเรียก “อจื่อวี่ ยกม้านั่งยาวเข้ามาเถอะ”
เฉินผิงอันนั่งไขว่ห้าง สองมือกอดเข่า ระหว่างที่พูดยังยกเท้าสอง ข้างลอยพ้นพื้นด้วย
ในห้องรวมแล้วมีเก้าอี้หมวกขุนนางแค่สองตัวเท่านั้น เฉินผิงอัน กับฮ่องเต้จึงยกให้เผยทงกับฉู่เหลียงไป ส่วนพวกเขานั่งกันอยู่ริม เตียง
ฉู่เหลียงอยากจะยกเก้าอี้ให้ฮองเฮากับอวี๋อวี๋ แต่กลับถูกเผยทง ใช ้สายตาห้ามปรามไว้พิถีพิถันอะไรส่งเดช เจ้าคิดจะให้ใครนั่งบน เก้าอี้ที่ก้นเจ้าแนบจนร ้อนแล้ว? เหมาะสมเสียที่ไหน!
อวี๋อวี่ยกม้านั่งยาวที่อยู่ข้างโต๊ะแปดเซียนเข้ามาในห้อง แล้วนั่ง ลงเคียงบ่ากับฮองเฮา
ซ่งเหอที่เดาความคิดของอีกฝ่ ายออกส่ายหน้า บอกเป็ นนัย กับอวี๋เหมี่ยนว่าเรื่องนั้นสามารถชะลอไว้ก่อนได้
ฮองเฮากลับยืนกรานในความคิดของตัวเองอย่างที่หาได้ยาก สายตาของนางเด็ดเดี่ยว ซ่งเหอถอนหายใจเบาๆ ได้แต่พยักหน้า
อวี๋เหมี่ยนกล่าว “มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอโทษอาจารย์เฉิน แล้วก็ อยากจะขอให้อาจารย์เฉินช่วยเหลือ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เชิญพูดมาได้เลย”
อวี๋เหมี่ยนหยิบก าไลข้อมือพวงหนึ่งที่ร ้อยจากไข่มุกหลิงซี ออกมาจากชายแขนเสื้อ อวี๋อวี๋รีบช่วยรับมาถือไว้ ลุกขึ้นยื่นส่งให้กับ ใต้เท้าอิ่นกวาน
เฉินผิงอันรับกาไลข้อมือมา เอ่ยว่า “ไข่มุกหลายเม็ดในนี้ถูก เสี่ยวโม่ใช ้เวทกระบี่ร่ายตราผนึกไว้จริง คราวหน้าข้าจะให้เขาคลาย ตราผนึกแล้วค่อยให้เว่ยซานจวินช่วยให้ของได้กลับคืนสู่เจ้าของ”
อวี๋เหมี่ยนถอนหายใจโล่งอก เอ่ยขอบคุณอาจารย์เฉิน
ซ่งเหอก็ยิ่งรู ้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
บัญชีเลอะเลือนนั้น คาว่าบัญชีเก่าที่อาจารย์เฉินพูดถึง ถือว่ายุติ ลงได้แล้ว? ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร ์ที่อ่านยาก หลายๆ เรื่องราว ต่อให้ เป็ นขุนนางผู้มีฝีมือก็ยากที่จะตัดสินเรื่องในบ้านได้ ต่อให้เขาจะเป็ น เจ้าเหนือหัว เป็ นจักรพรรดิผู้ครองแคว้นของราชวงศ์ต้าหลี แต่ถึง อย่างไรก็ยังเป็ นบุตรชายของไทเฮาหนันจาน
ในเมื่อเฉินผิงอันพูดถึงเว่ยป้ อ ซ่งเหอจึงถือโอกาสพูดไปถึงเรื่อง การแต่งตั้งห้าขุนเขาด้วย
เฉินผิงอันไม่ได้บอกรายละเอียดมากนัก กลับเป็ นอวี๋อวี่ที่หัวเราะ ร่าเอ่ยสัพยอกว่า ขอแค่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเว่ยซานจวิ นสักครั้ง ก็จะเข้าใจเองว่าไฉนบุรุษบนภูเขาถึงได้ชอบดูบุปผาในคัน ฉ่องจันทราในสายน้ากันนั