กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1043.2 เมื่อดอกไม้ผลิบาน ใต้หล้าก็คือวสันตฤดู
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 1043.2 เมื่อดอกไม้ผลิบาน ใต้หล้าก็คือวสันตฤดู
เผยทงทาเป็ นฟังคาหยอกล้อของเด็กสาวแซ่อวี๋คนนั้นไม่เข้าใจ เพราะถึงอย่างไรฮองเฮาก็อยู่ในห้องด้วย ฉู่เหลียงไม่ได้มีความคิด วกวนอะไรมากนักจึงยิ้มกว้าง หางตาเหลือบไปเห็นว่าผู้ว่าเผยนั่งตัว ตรงตามองจมูกจมูกมองใจก็รู ้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง กลัวว่าตัวเองจะ “เสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร ์” เพียงแต่ว่ารอกระทั่งแม่ทัพอวิ้นโจ วท่านนี้ขยับเส้นสายตาออกไปเล็กน้อย เห็นว่าอิ่นกวานหนุ่มกับ ฮ่องเต้ของพวกเขาหัวเราะชอบใจ ฉู่เหลียงก็หัวเราะอย่างโง่งมตามไป ด้วย ล้วนเป็ นบุรุษเหมือนกัน ใต้เท้าผู้ว่าเจ้าจะแสร ้งท าเป็ นวิญญูชนผู้ เที่ยงตรงไปทาไม พวกขุนนางที่ใช ้พู่กันดาบ ไม่ว่าบนหัวจะสวม หมวกขุนนางใหญ่แค่ไหน ถึงอย่างไรก็ไม่ผึ่งผายตรงไปตรงมาอย่าง คนที่ใช ้ดาบของจริงบนหลังม้าอย่างพวกเขา
จ้าวซู่เซี่ยกับหนิงจี๋ช่วยกันล้างชามล้างตะเกียบอยู่ในห้องครัว
เด็กหนุ่มกดเสียงต่าถามอย่างระมัดระวังว่า “ศิษย์พี่จ้าว คนพวก นั้น?”
จ้าวซู่เซี่ยยิ้มเรียบๆ ตอบว่า “เจ้าเดาไม่ผิดหรอก ก็คือฮ่องเต้กับ ฮองเฮา ส่วนขุนนางสองคนข้างกายพวกเขาก็น่าจะเป็ นผู้ว่าเผยและ แม่ทัพอู่ที่อยู่ในอวิ้นโจวแห่งนี้แล้ว”
เด็กหนุ่มยิ้มเอ่ย “ศิษย์พี่จ้าว อย่างอาจารย์นี่ถือว่าคนที่แวะมาหา ล้วนเป็ นผู้มีวิชาความรู ้ แต่ก็คบหาพูดคุยกับคนธรรมดาไร ้ความรู ้ได้ เช่นกันอย่างที่กล่าวถึงในตาราหรือไม่?”
จ้าวซู่เซี่ยหลุดหัวเราะพรืด
หนิงจี๋รีบเปลี่ยนคาพูดใหม่ทันที “ไม่ถูกสิ อาจารย์ทั้งเป็ นคนที่อยู่ ในภูเขาลึกแต่ยังมีญาติห่างไกล ยิ่งเป็ นคนที่ “ใจข้าเรียบง่ายนิ่งสงบ เฉกเช่นเดียวกับแม่น้าใส”
จ้าวซู่เซี่ยอดไม่ไหวเอ่ยสัพยอกว่า “หนิงจี๋อ่า รู ้จักเอาสิ่งที่เรียนรู ้ มาปรับใช ้ได้อย่างดีเลยนะ ศิษย์พี่เล็กต้องรู ้สึกว่าเจ้าเป็ นวัสดุที่สร ้าง ได้แน่นอน คาดว่าวันหน้าคงจะต้องสอนสุดยอดเคล็ดวิชาของภูเขา ลั่วพั่วสองสามบทให้เจ้าแน่ๆ”
หนิงจี๋ยื่นฝ่ามือออกมา บนฝ่ามือล้วนมีแต่เหงื่อ
จ้าวซู่เซี่ยยิ้มเอ่ย “ขนาดเจ้าลัทธิลู่ก็ยังเคยเจอมาแล้ว เจ้าไม่ต้อง ตื่นเต้นขนาดนี้หรอก”
หนิงจี๋ครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู ้สึกว่าคากล่าวนี้ของจ้าวซู่เซี่ยมีเหตุผล จริงๆ
หนิงจี๋ถามอย่างใคร่รู ้ว่า “ทั้งๆ ที่ศิษย์พี่ชุยคือลูกศิษย์คนแรกของ อาจารย์ ท าไมถึงเรียกเขาว่าศิษย์พี่เล็กแล้วเรียกศิษย์พี่หญิงเผยว่า ศิษย์พี่ใหญ่ล่ะ?”
จ้าวซู่เซี่ยส่ายหน้า “ไม่รู ้เหมือนกัน ดูเหมือนว่าตอนที่ศิษย์พี่เล็ก เพิ่งรู ้จักกับอาจารย์เขาไม่ค่อยจะยินดีเป็ นศิษย์พี่ใหญ่สักเท่าไร ยืน กรานจะให้ศิษย์พี่หญิงเผยเรียกเขาว่าศิษย์พี่เล็กให้ได้ ส่วนเขาเรียก ศิษย์พี่หญิงเผยว่าศิษย์พี่ใหญ่ ก็เลยต่างคนต่างเรียกกันไป”
……
สายลมวสันต์ที่พัดโชยเต็มภูเขามิอาจรั้งไว้ได้อยู่ ดวงอาทิตย์ตก ดินดวงจันทร ์ลอยขึ้นมา นกบินเหนือหลังคา ก้อนเมฆลอยพ้น หน้าต่าง สายลมพัดผ่านตัวท่านแว่วเสียงต้นสนดัง
ในเรือนของพ่อครัวเฒ่าบนภูเขาลั่วพั่ว เซี่ยโก่วนั่งอยู่บน ขั้นบันได มองเสี่ยวโม่ที่สานที่โกยผงไม้ไผ่กับอาจารย์ผู้เฒ่าจู รู ้สึกว่า เสี่ยวโม่ที่สีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจทาอะไรสักอย่างช่างน่ามองเหลือเกิน นาง กลืนน้าลาย ข่มกลั้นความวู่วามของเสือโหยที่จะกระโจนเข้าหาลูก แกะยื่นมือไปลูบหมวกขนเตียวบนศีรษะ สีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา อยู่ดีๆ ก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “เสี่ยวโม่ คราวก่อนข้าออกไปจาก ภูเขาลั่วพั่วโดยพลการ เจ้าไม่ได้ไม่วางใจข้า ปล่อยให้ข้าไปจัดการ ธุระเพียงล าพัง ข้ามีความสุขมาก!”
เสี่ยวโม่ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังตอบตามสัตย์จริงว่า “ตอนนั้น คุณชายไม่ให้ข้าตามเจ้าไป”
จูเหลี่ยนที่ก้มหน้ากลอกตามองบน
ตอไม้ทึ่มทื่อหัวทึบสอนยาก หากเจ้าเสี่ยวโม่มีพรสวรรค์ในเรื่อง ของชายหญิงได้สักหนึ่งส่วนหมื่นของเวทกระบี่ตัวเองก็คงไม่โง่ถึง ขนาดหลุดปากพูดความจริงนี้ออกมา
แต่ดูเหมือนว่าเซี่ยโก่วจะยังมีความสุขเหมือนเดิม นางยกสอง แขนกอดอก เงยศีรษะขึ้นสูง พูดเสียงดังลั่นว่า “ข้าไม่สนเรื่องนี้หรอก
ขอแค่เจ้าไม่ได้ตามข้าไป ข้าก็มีความสุขแล้ว!”
เสี่ยวโม่กล่าว “คุณชายแนะนาเช่นนี้ ข้าเองก็รู ้สึกว่ามีเหตุผล” ล้วนเป็ นความจริง
เซี่ยโก่วสูดจมูก เอ่ยเสียงแผ่วต่าอ่อนโยนว่า “เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่ เจ้าพูดแบบนี้ ข้ายิ่งมีความสุขมากกว่าเดิมอีก!”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า สานที่ตักผงไม้ไผ่ต่ออย่างคล่องแคล่ว
อย่าเห็นว่าชายหญิงคู่นี้ คนหนึ่งอายุมาก อายุขัยในการฝึกตน นานถึงหนึ่งหมื่นกว่าปี แล้ว แต่อันที่จริงพอมาอยู่ในพุ่มบุปผาแห่ง ความรักของชายหญิงก็ยังเป็ นแค่ลูกนกสองตัวอยู่ดีไม่ใช่หรือ
ส่วนคนหนึ่งจาเป็ นต้องพูดเสียงสูงเพื่อนามาปิดบังความผิดหวัง ของตัวเอง ปากบอกว่าไม่สนใจ แต่ในใจจะไม่สนได้หรือ? ส่วนอีกคน ก็ฟังไม่ออกแม้แต่น้อย ไม่ใช่คนโง่แล้วจะเป็ นอะไร
แต่ก็ถือว่าคู่ควรกันดี อันที่จริงก็เหมาะสมกันอย่างมาก
เซี่ยโก่วตาแหลมจึงถามอย่างสงสัยว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าจู เจ้ามี ความเห็นต่างหรือ? พวกเราสองคนสนิทกันขนาดนี้ ไหนลองพูดให้ ฟังบ้างสิ”
จูเหลี่ยนหัวเราะร่วนเอ่ยว่า “ไม่มีความเห็นอะไรหรอก ก็แค่รู ้สึก ว่าพวกเจ้าสองคนเกี้ยวพากันอยู่ในจวนของข้า ช่างน่าสะอิดสะเอียน
นัก”
เสี่ยวโม่เขินอาย
เซี่ยโก่วหัวเราะฮ่าๆ จนไหล่โยก สาหรับคาวิจารณ์นี้ของพ่อครัว เฒ่า นางไม่รู ้สึกอับอายกลับกันยังรู ้สึกภาคภูมิใจด้วยซ้า “หึ ปล่อย ให้เจ้าสะอิดสะเอียนตายไปเลย”
จูเหลี่ยนไม่ถือสาเด็กสาวสวมหมวกขนเตียว เพียงแค่เอ่ยเตือน เสี่ยวโม่ว่า “เสี่ยวโม่อ่าเจ้าก็แค่รูปลักษณ์อ่อนเยาว์เท่านั้น อายุตั้งปูน นี้แล้ว ระวังหน่อย อย่าปล่อยให้บ้านหลังเก่าไฟไหม้ล่ะ”
เสี่ยวโม่ยิ่งกระอักกระอ่วนมากกว่าเดิม นี่มันอะไรกับอะไรกัน
เซี่ยโก่วใช ้หมัดทุบฝ่ ามือ อาจารย์ผู้เฒ่าจูพูดจามีความรู ้เสมอ ฟังปราดๆ ไม่เข้าหู แต่ความจริงแล้วทุกประโยคล้วนเข้าเป้ าตรงเผง เรียกได้ว่าทุกค าล้วนหล่นลงบนจุดอ่อนในหัวใจ!
ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราแห่งนี้คือสถานที่ที่ดี เหล่าเหนียงยิ่งอยู่ก็ ยิ่งสบายใจ ทุกวันมีความสุขยิ่งนัก ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันก็ไม่เข้า ประตูบ้านบานเดียวกันจริงเสียด้วย ต่อให้ใครมาไล่ก็ไม่ไปไหนแล้ว!
เซี่ยโก่วถาม “อาจารย์ผู้เฒ่าจู เจ้าคิดว่าข้าถามกระบี่กับเฉินจั๋ว หลิว จะมีโอกาสชนะสักกี่ส่วน?”
จูเหลี่ยนยิ้มย้อนถาม “สู้ตายหรือไม่?”
เซี่ยโก่วยิ้มกว้าง “ผู้ที่มาเยือนล้วนเป็ นแขก สู้ตายทาไม แค่ ประลองฝีมือเท่านั้น”
จูเหลี่ยนกล่าว “ไม่มีโอกาสชนะเลย” เซี่ยโก่วถาม “แล้วถ้าสู้ตายล่ะ?”
จูเหลี่ยนตอบ “ไม่มีโอกาสชนะเลย” สายตาเซี่ยโก่วฉายแววไม่พอใจ “พูดจาเหลวไหลอะไร” จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “เจ้าพูดเหลวไหลก่อนนี่นา”
เซี่ยโก่วกลับไม่โมโห เพียงพยักหน้าพูดกับตัวเองว่า “ดูท่าคง ต้องตั้งใจฝึกกระบี่ดีๆ แล้ว”
อันดับแรกก็เป็ นหลวี่เหยียนฉายาฉุนหยาง ต่อมาก็เป็ นบัณฑิตห ลี่ซีเซิ่ง ตอนนี้ยังมีเฉินจั๋วหลิวที่คล้ายจะใช ้การตั้งปณิธานของลัทธิ พุทธในการพิสูจน์มรรคามาเพิ่มอีก
ดีนักนะ ยอดฝีมือของสามลัทธิทั้งขงจื้อ พุทธ เต๋า ล้วนมีครบเลย
เสี่ยวโม่ถาม “อาจารย์จู คุณชายจะรับหน้าที่เป็ นราชครูคนใหม่ ของต้าหลีหรือไม่?”
ความเคลื่อนไหวในอาณาเขตของอวิ้นโจวและเหยียนโจวมิอาจ ปิดบังเสี่ยวโม่ที่อยู่ในภูเขาลั่วพั่วได้
จูเหลี่ยนหยุดมือที่กาลังถักสาน ครุ่นคิดก่อนตอบว่า “น่าจะ กระมัง”
เสี่ยวโม่ถามอย่างสงสัย “ท าไมล่ะ?”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “แต่ไหนแต่ไรคุณชายก็ชอบทาให้ตัวเอง ล าบากใจอยู่แล้ว”
เซี่ยโก่วนินทาในใจไม่หยุด นี่ถือเป็ นคาตอบได้ด้วยหรือ
เกาจวินเดินเล่นเพียงลาพังมาถึงที่นี่ ลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้าย ก็ยังเดินเข้ามาในลานบ้าน ก่อนจะไปยกเก้าอี้ไม้ไผ่มานั่งห่างจากจูเห ลี่ยนไปไม่ไกลอย่างคุ้นชิน
จูเหลี่ยนยิ้มพลางผงกศีรษะให้กับนาง พูดหัวข้อก่อนหน้านี้ต่อ อีกครั้ง “อยากเป็ นคนดีให้ดี ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องคอยท าให้ตัวเองล าบาก ใจอยู่ตลอดหรอกหรือ”
เสี่ยวโม่พยักหน้า “เมื่อได้ยินว่าคนอื่นทาเรื่องดีในใจก็เกิดความ สงสัยว่าจริงหรือไม่ เมื่อได้ยินว่าคนอื่นทาเรื่องไม่ดี กลับเชื่อได้อย่าง ง่ายดายว่าเป็ นความจริง ในใจเต็มไปด้วยปราณสังหาร เมื่อจิตสังหาร นี้บังเกิด ความคิดที่ดีก็ถอยหายไปแล้ว ดังนั้นการมุ่งมั่นท าความดีละ เว้นจากความชั่วทั้งปวงจึงดีถึงเพียงนี้และลาบากถึงเพียงนี้”
จูเหลี่ยนผงกศีรษะรับ “รู ้ง่ายทายาก ยากก็ตรงที่ว่าหากอยากจะ ท าให้หลักการเหตุผลบางอย่างเป็ นจริงได้อย่างแท้จริงก็ต้องสร ้าง หลักการเหตุผลอย่างอื่นขึ้นมาอีกมากมายก าจัดหลักการเหตุผลเดิม ทิ้งไปมากมาย ไปๆ มาๆ ก็ยากยิ่งกว่ายาก”
เซี่ยโกวรีบเอ่ยชื่นชมทันใด “เสี่ยวโม่ เสี่ยวโม่ ไม่เสียแรงที่เจ้า เป็ นคนที่ได้ฟังศาสดาพุทธสอนธรรมมากับหูตัวเองเลยนะ!”
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างจนใจ “ก็แค่เคยฟังผ่านหูเท่านั้น ไม่เคยหล่นลง บนหัวใจอย่างแท้จริงตอนนี้มาย้อนนึกดูก็ค่อนข้างน่าเสียดายจริงๆ”
เกาจวินฟังจนหนังตากระตุก หากจะบอกว่าเด็กสาวสวมหมวกขนเตียวคือคนที่พูดจา
เหลวไหลได้มากที่สุด
แต่ “อาจารย์เสี่ยวโม่” ที่มอบความประทับใจที่ดีให้กับทุกคน กลับเป็ นบัณฑิตที่แท้จริงซึ่งไม่เคยพูดจาใหญ่โตโอ้อวด
จากนั้นจูเหลี่ยนก็ถามคาถามประหลาดว่า “เสี่ยวโม่ แม่นางเซี่ย เจ้าประมุขเกา พวกเจ้าชอบศึกษาศาสตร ์การค านวณไหม?”
เสี่ยวโม่ตอบ “ไม่ถือว่าชอบ แค่อยู่ข้างกายคุณชายจึงได้รับการ กล่อมเกลามาบ้าง เคยท าความเข้าใจอย่างหยาบๆ ยังไม่ใช่ ผู้เชี่ยวชาญ”
เซี่ยโก่วเงียบไม่ตอบอย่างที่หาได้ยาก เพียงแค่เพราะว่าในบรรดา สามลัทธิและเมธีร ้อยสานักก็เป็ นวิชาการคานวณนี่แหละที่นางไม่ สนใจที่สุด
อันที่จริงผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา แทบทุกคนล้วนหนีความรู ้ด้าน การค านวณไม่พ้น
แต่เซี่ยโก่วอาจเป็ นข้อยกเว้นจานวนไม่มาก เวทกระบี่น่ะหรือ หลับตาก็ฝึกกระบี่ได้แล้ว ไม่ต้องเปิดอ่านตาราด้วยซ้า
เกาจวินกล่าว “ในพรรคมีวิชาเรียนที่คล้ายคลึงกันอยู่ แต่เวลา ปกติข้าก็แค่ศึกษาเรื่อศาสตร ์การคานวณและสัญลักษณ์ของการ ท านายมาบ้าง”
จูเหลี่ยนกล่าวเสียงเรียบ “บางทีการสละอิสรภาพทั้งหมดก็เพื่อ แสวงหาจุดร่วมกันที่ใหญ่ที่สุด”
เสี่ยวโม่ทาท่าครุ่นคิด
เซี่ยโก่วเหลือบมองเสี่ยวโม่ นางเองก็แสร ้งท าท่าครุ่นคิด เหมือนกัน
เกาจวินอดไม่ไหวถามคาถามที่อัดอั้นอยู่ในใจมานาน คาถามนี้ นับตั้งแต่วันแรกที่นางออกมาจากพื้นที่มงคลรากบัว เดินขึ้นภูเขาลั่ว พั่ว นาทีที่นางรู ้ว่าพ่อครัวเฒ่ามีชื่อว่า ‘จูเหลี่ยน” นางก็อยากจะได้ คาตอบที่แน่ชัดแล้ว
“จูเหลี่ยน เจ้าคือจูเหลี่ยนจริงๆ หรือ?”
เซี่ยโก่วหลุดเสียงหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ คาถามโง่ๆ เช่นนี้ก็ถาม ออกมาได้ด้วยหรือ?
จูเหลี่ยนย้อนถาม “ไฉนเจ้าประมุขเกาถึงได้ถามเช่นนี้?”
เกาจวินหน้าแดงก่า ทาท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ที่แท้ในคลังลับของพรรคหูซานแคว้นซงไล่ก็ซุกซ่อนภาพเหมือน ของคนผู้หนึ่งเอาไว้ทั้งยังไม่ใช่แค่ภาพเดียว ล้วนมาจากฝี มือของ สตรีที่เป็ นผู้อาวุโสของพรรคหูซาน และพวกนางทุกคนต่างก็เคยเป็ น ที่ยอมรับว่าเป็ นสาวงามของพรรคหูซาน
จูเหลี่ยนคุณชายผู้สูงศักดิ์สมกับเป็ นเจ๋อเซียนมากที่สุด มี ความสามารถและพรสวรรค์เป็ นอันดับหนึ่งในใต้หล้า รูปงามมีเสน่ห์ ไร ้ใครทัดเทียม
บวกกับที่ “คนคลั่งวรยุทธ” ผู้นี้คือบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้า ก่อนหน้าติงอิงประวัติศาสตร ์ห่างจากปัจจุบันไม่ถือว่ายาวไกลนัก ดังนั้นคนในพรรคหูชานจึงมักจะพูดคุยถึงเรื่องของจูเหลี่ยนกันเป็ น ประจ า
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “หากไม่มีเรื่องไม่คาดคิดล่ะก็ ข้าก็น่าจะเป็ นจู เหลี่ยนที่เจ้าประมุขเกาพูดถึงแล้ว”
เกาจวินมอง “พ่อครัวเฒ่า” แวบหนึ่ง
จูเหลี่ยนหัวเราะร่วน “รูปโฉมงดงามลาจากคันฉ่อง บุปผาลาจาก ต้นไม้ เป็ นเช่นนี้มานับแต่โบราณ เมื่ออายุมากเข้ารูปโฉมก็โรยรา ไม่ได้มีเฉพาะแค่สตรีเสียหน่อย ท าให้เจ้าประมุขเกาต้องผิดหวังแล้ว”
เกาจวินถอนหายใจเบาๆ เจ็บใจก็แต่ตนเองเกิดในยุทธภพช ้าไป ร ้อยปี ไม่ได้เห็น “รูปโฉมของจูหลาง” ที่ว่ากันว่าภาพเหมือนมากมาย บนโลกก็ยังพรรณนาเสน่ห์ของรูปโฉมที่แท้จริงได้ไม่ถึงครึ่ง
ในยุทธภพเล่าลือกันว่าศึกบนยอดเขาในเมืองหลวงแคว้นหนัน เยวี่ยนในอดีต จูเหลี่ยนบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้านัดหมายกับอีก เก้าคนที่เหลือในวันที่หิมะปลิวปรายเต็มท้องฟ้ า
คนทั้งเก้าไม่กล้าเข้าเมืองไปเพียงลาพัง แต่ต้องนัดหมายให้ไปถึง พร ้อมกัน เห็นเพียงว่าบนหัวกาแพงเมืองมีคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ เท้าคางด้วยมือข้างเดียว บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีเงิน
หิมะขาวในฟ้ าดินเหมือนโลกแห่งกระจกใส รอกระทั่งคนผู้นั้นลุก ขึ้นยืนช ้าๆ ปรมาจารย์หญิงสองคนในบรรดาคนทั้งเก้ายังไม่ทันได้ลง มือก็บาดเจ็บภายในไปเองก่อนแล้ว
เกาจวินที่อยู่ในพรรคหูชานก็เติบโตขึ้นมากับการฟัง “เรื่องเล่า” มากมายที่คล้ายคลึงกันนี้ สตรีในยุทธภพเช่นเดียวกับนาง ส่วนใหญ่ ล้วนเป็ นเช่นนี้ ไม่มีข้อยกเว้น
ในเวลาร ้อยปี ที่บุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าของยุทธภพ เปลี่ยนเป็ นมาติงอิงก็รู ้สึกกันอีกว่าจูเหลี่ยนเป็ นอย่างไรอย่างไร
จะต้องเป็ นเพราะผู้คนเล่าต่อกันไปอย่างเกินจริง แล้วก็มีคนที่คิดว่า เขาไม่สมกับค าเล่าลือ ผู้คนพากันพูดไปหลากหลาย มักจะทะเลาะ กันบ่อยๆ เพราะคนคนหนึ่งที่ออกจากยุทธภพไปร ้อยกว่าปีแล้ว สตรี ทะเลาะกับบุรุษ และสตรีก็ทะเลาะกับ สตรีด้วย
จูเหลี่ยนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาถักที่ตักผงพลันเงยหน้าขึ้น เอ่ย อย่างขาๆ ปนฉุนว่า “เสี่ยวโม่ ควบคุมแม่นางเซี่ยของเจ้าให้ดี!”
เสี่ยวโม่มึนงง เห็นเพียงว่าเซี่ยโก่วที่เป็ น “ตัวการร ้าย” แสร ้งทา เป็ นไม่รู ้ไม่ชี้ แล้วก็เห็นว่าเกาจวินมองมายังจูเหลี่ยนอย่างเหม่อลอย สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด ถึงขั้นที่ว่ามีความตกใจ…อยู่ หลายส่วน
เซี่ยโก่วเห็นว่าปิดบังเสี่ยวโม่ไม่ได้ก็ยื่นมือมาป้ องข้างปาก พูด ขอความดีความชอบ “เสี่ยวโม่ คราวก่อนข้าได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ของอาจารย์ผู้เฒ่าจู แต่ก็ไม่ได้เสียกิริยาอย่างเจ้าประมุขเกานะ”
เสี่ยวโม่เอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “ยังไม่รีบถอนปณิธานกระบี่ออกไป อีก!”
เซี่ยโก่วเบ้ปาก เก็บปณิธานกระบี่ที่เป็ นเหมือนน้าฝนชาระล้าง “หน้ากากที่กลบทับบนใบหน้า” ของจูเหลี่ยนส่วนนั้นมา
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าประมุขเกา ปีนี้เมื่อหิมะใหญ่ตกครั้งแรกใน เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ข้ากับคุณชายของข้าจะไปถามหมัดกัน หากเจ้าประมุขเกามีเวลาว่าง ถึงเวลานั้นก็ไปชมศึกอยู่ด้านข้างได้”
เกาจวินอึ้งตะลึงไร ้คาพูด
เซี่ยโก่วกระแอมอยู่สองสามที เอ่ยเตือนว่า “เจ้าประมุขเกา เจ้า ประมุขเกา ตื่นได้แล้ว
เกาจวินลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบ นางไม่บอกลาจูเหลี่ยนสักคา เพียงแค่เดินตรงอออกไปจากเรือนเท่านั้น
เซี่ยโก่วยังทอดถอนใจอยู่กับตัวเองไม่เลิก “หากภูเขาลั่วพั่วเปิด บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้าจริงๆ จะได้เงินเทพเซียนสักเท่าไร กันนะ”
เซี่ยโก่วถามเสียงเบา “เสี่ยวโม่ มีผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตสิบสี่ที่มี ความแค้นกับภูเขาลั่วพั่วหรือไม่?”
ถึงเวลานั้นจะได้ให้จูเหลี่ยนแสดงฝี มืออย่างไรล่ะ แต่งตัวให้ดี หน่อย ถอดหน้ากากออก แค่ไปยืนอยู่ตรงนั้น รับรองว่าได้ผลดียิ่ง กว่าใครแน่นอน
เสี่ยวโม่ถลึงตาเอ่ย “อาจารย์จูใจกว้าง ไม่ถือสาการหยอกล้อ เช่นนี้ของเจ้า เจ้าเองก็ควรจะรู ้กาลเทศะ อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก”
เซี่ยโก่วร ้องอ้อหนึ่งที ยิ้มถามหน้าทะเล้นเอ่ยว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน เคยเห็นโฉมหน้าของอาจารย์ผู้เฒ่าจูหรือไม่?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยวโม่กลับรู ้ความลับเรื่องหนึ่งที่ฟังมาจากเว่ยป้ อ เพียงแต่เขา ไม่ได้บอกความจริงกับเซี่ยโก่ว หลีกเลี่ยงไม่ให้นางปากมากพูดส่ง เดชไปทั่วบนภูเขา
เซี่ยโก่วถาม “คิดอย่างไรถึงจะถามหมัดกับเจ้าขุนเขาเฉิน?”
จูเหลี่ยนกล่าว “สาหรับคุณชายแล้ว บางทีอาจจะเป็ นแค่การยืด เส้นยืดสาย แต่สาหรับข้าแล้วจะต้องทุ่มกาลังอย่างเต็มที่ นอกจาก สถานะตัวตนแล้ว หมัดก็มีการแบ่งบ้านกัน ใช ้หินของภูเขาลูกอื่นมา กลึงหยกของตัวเองอย่างไรล่ะ”
ตรงหน้าประตู มีคนสองคนเดินย่องจากไปเงียบๆ กวอจู๋จิ่วใช ้ หมัดทุบฝ่ ามือ “หน้าตาของพ่อครัวเฒ่าไม่เลว เทียบกับอาจารย์พ่อ แล้วด้อยกว่าแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น!”
เด็กชายผมขาวที่เดินตามก้นเจ้าประมุขกวอต้อยๆ อ้าปากกว้าง ต่อให้บรรพบุรุษอิ่นกวานจะดีแค่ไหน แต่หากจะให้เปรียบเทียบรูป โฉมกับเจ้าคนที่อยู่ในลานบ้านจริงๆ ก็ต้องผิดต่อมโนธรรมในใจแล้ว ต่อให้เด็กชายผมขาวจะหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีแค่ไหนก็ยังพูดไม่ออก จริงๆ
พึ่งใบบุญ ได้พึ่งใบบุญแล้ว คืนนี้บังเอิญได้เห็นโฉมหน้าของพ่อ ครัวเฒ่า เด็กชายผมขาวสะบัดชายแขนเสื้อ จุ๊ปากไม่หยุด หากว่า การถกมรรคาและการถามหมัดในใต้หล้าแข่งกันเรื่องหน้าตาก็ดีน่ะสิ
อย่าว่าแต่เรียกตัวเองว่าเป็ นที่สองไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าเป็ น ที่หนึ่งอะไรนั่นเลย เกรงว่าหากจูเหลี่ยนเรียกตัวเองว่าเป็ นที่หนึ่งก็คง ไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าเป็ นที่สองแล้วล่ะ
เกาจวินอารมณ์ซับซ ้อนอย่างถึงที่สุด เดินไปถึงหน้าประตูเรือน ของตัวเอง นางยังไม่ได้ผลักประตูเดินเข้าไป เพียงแค่เดินเล่นจนไป
ถึงลานกว้างหยกขาวที่อยู่บนยอดเขาจี้เซ่อ
ไม่ใช่ว่านางที่เป็ นผู้ฝึกตนจะรู ้สึกหลงรัก ‘จูเหลี่ยน” ตั้งแต่แรก เห็น เพียงแต่ว่าเป็ นบุรุษคนหนึ่ง หน้าตาแบบนั้นก็น่ามองเกินไป หน่อยหรือไม่ ไร ้เหตุผลสิ้นดี
นางเก็บอารมณ์มากมายกลับมา ค่อยๆ ท าให้จิตแห่งมรรคาให้ ใสกระจ่าง เกาจวินหัวเราะ แม้จะบอกว่าเวลาในยุทธภพผ่านมาร ้อยปี แต่นางก็ยังคิดไม่ถึงว่าจะยังได้พบกับคนบ้านเดียวกันในต่างบ้านต่าง เมืองได้
เกาจวินตบราวรั้วหยกขาวหนักๆ พึมพากับตัวเองอย่างห้าม ตัวเองไม่ได้
ได้เห็นรูปโฉมเช่นนี้ เมื่อดอกไม้ผลิบานใต้หล้าก็คือวสันตฤดู