กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1044.1 เหนือศีรษะขึ้นไปสามจื่อมีใครอยู่
เฉินผิงอันคิดว่าตัวเองยังเข้าใจนิสัยของฮ่องเต้ซ่งเหออยู่บ้าง ดังนั้นการที่อีกฝ่ายมาหาที่โรงเรียนด้วยตัวเอง เขาจึงไม่ค่อยแปลกใจ นัก กลับกันยังรู ้สึกว่าสมเหตุสมผลดีแล้วแน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่มี ความคิดที่ว่าเชิญสามครั้งปฏิเสธสามครั้งอะไร เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไร ก็คิดไม่ถึงว่ากลุ่มของซ่งเหอจะนอนพักค้างแรมที่นี่ ดูจากท่าทางแล้ว ในเมื่อเจ้าเฉินผิงอันบอกแล้วว่าจะพิจารณาเรื่องนั้นตอนนั่งที่โต๊ะ อาหาร ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะรอคาตอบที่แน่ชัดจากเจ้า รอให้เจ้า พิจารณาเสร็จแล้วค่อยว่ากัน แบบนี้ไม่ถือว่าเล่นแง่หรอกหรือ
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังไม่รู ้เรื่องนี้ ก่อนหน้านี้กินข้าวกันไปแล้วเขา ก็แค่เดินไปส่งที่ประตูเรือนเท่านั้น คิดว่าเดี๋ยวพวกซ่งเหอก็คงไปพักที่ ตัวเมืองในอ าเภอหรือไม่ก็จังหวัดเหยียนโจวเอง
พอจัดหาที่พักเสร็จเรียบร ้อย แน่นอนว่าล้วนเป็ นอวี๋เหมี่ยน และอวี๋อวี๋ที่ง่วนจัดการให้ ผู้ว่าเผยทงและแม่ทัพฉู่เหลียงก็พากันกลับ ที่ว่าการของใครของมันไปแล้ว รองเจ้ากรมจ้าวเหยาก็จากไปแล้ว เช่นกัน ซ่งเหอเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านเพียงล าพัง บ้านหลังเก่าของคน ที่มีฐานะยากจนล้วนทามาจากดินเหนียว ส่วนคนที่มีฐานะหน่อยก็จะ สร ้างบ้านด้วยผนังขาวกระเบื้องดา มีหลังคาเปิดอ้ารับน้าสี่ทิศเข้า มายังโถงเดียวกัน ในหมู่บ้านปูเส้นทางยาวด้วยหินเขียว ถูกรองเท้า
ล้อรถและกีบเท้าวัวเหยียบย่ากลับไปกลับมานานซ้าแล้วซ้าเล่าจน แวววาว พอแสงจันทร ์สาดส่องก็สว่างไสว
คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านล้วนมีแซ่เดียวกัน คนแก่และเด็กต่างก็ นับเรียงกันตามล าดับอาวุโส ในชื่อจะมีตัวอักษรบางตัวอยู่ นั่นก็คือ การบอกถึงรุ่นล าดับอาวุโส
ซ่งเหอออกจากบ้านมา เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ลาพังแค่หมาพันธ ์ พื้นบ้านที่เห่าเขาก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว บอกตามตรง ในใจซ่งเหอรู ้สึก กลัดกลุ้มอยู่บ้าง เพราะกลัวว่าจะถูกกัดเข้าจริงๆ จะให้เขาไปต่อสู้กับ หมาแล้วเดินกะเผลกๆ กลับไปเจอหน้าทุกคนก็ไม่ได้ แบบนั้นคงน่า อายแย่
เดินไปเดินมา ซ่งเหอที่อกลั่นขวัญผวาอยู่บ้างก็พยายามหาวิธี แก้หน้าให้ตัวเองพลางกวาดตามองไปรอบๆ จากนั้นซ่งเหอก็เห็นเฉิน ผิงอันที่กาลังนั่งสูบยาสูบอยู่กับพวกผู้เฒ่าหน้าหมู่บ้าน อาจารย์สอน หนังสือที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียวมีท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ นั่งยกขาไขว่ห้างเผยให้เห็นรองเท้าผ้าส้นหนา เขาเอียงศีรษะน้อยๆ ไหล่ก็เอียงไปฟังพวกผู้เฒ่าที่อยู่ข้างๆ คุยเล่น คอยพยักหน้ารับด้วย รอยยิ้มเป็ นระยะ ดูจากท่าทางแล้ว แม้เฉินผิงอันจะเป็ นคนต่างถิ่น แต่ ก็คุยกับพวกคนในพื้นที่ได้ถูกคออย่างมาก
ห่างไปไกลอีกหน่อยมีสตรีออกเรือนแล้วและเด็กสาวบางส่วนที่ กาลังพูดเรื่องสัพเพเหระในบ้าน ซ่งเหอเพียงแค่กวาดตามองไกลๆ
ไม่กี่ทีก็สังเกตเห็นว่ามีเด็กสาวหลายคนที่มองดูคล้ายจะสนใจ อาจารย์สอนหนังสือที่บุคลิกสุภาพอ่อนโยน
เห็นเงาร่างของซ่งเหอ เฉินผิงอันก็ส าลักควันยาสูบทันที จะดีจะ ชั่วก็เป็ นฮ่องเต้คนหนึ่งทาอะไรไร ้คุณธรรมขนาดนี้เชียวหรือ คิดว่า วันนี้คือคืนวันที่สามสิบของสิ้นปี ตัวเองมาทวงหนี้ถึงบ้านคนอื่นเขาก็ เลยเลือกหมูตากแห้งที่คนเขาตากไว้ในบ้านหรือไร?
ซ่งเหอเห็นภาพนี้ก็กลั้นขา เดินไปนั่งลงข้างกายเฉินผิงอันเงียบๆ คาว่าเก้าอี้ยาว อันที่จริงก็เป็ นแค่ไม้กระดานแผ่นยาวแผ่นหนึ่งที่วาง พาดไว้บนก้อนอิฐสองก้อน น่าสงสารฮ่องเต้ทีกันครึ่งหนึ่งต้องลอยอยู่ กลางอากาศ
เฉินผิงอันจึงได้แต่ขยับที่นั่งให้ซ่งเหอได้นั่งบ้าง
ซ่งเหอฟังภาษาถิ่นพวกนี้ไม่เข้าใจ เฉินผิงอันก็ช่วยอธิบายให้ฟัง ที่แท้พวกเขากาลังคุยเรื่องใหญ่กัน เมื่อวานในหมู่บ้านมีผู้เฒ่าคน หนึ่งจากไป ถือเป็ นการเสียชีวิตอย่างสงบตามอายุขัย แต่เพียงแค่ เพราะผู้เฒ่าคนละแซ่กับคนในหมู่บ้าน ตามกฎและขนบธรรมเนียม ของที่นี่จึงไม่สามารถวางป้ ายวิญญาณไว้ในศาลบรรพชนของ หมู่บ้านได้ พวกผู้เยาว์ของผู้เฒ่าคนนั้นไม่พอใจ ป่าวประกาศว่าหาก ยังไม่เปิดประตูศาลบรรพชน คืนนี้พวกเขาจะพังประตูเข้าไป ใครกล้า ขัดขวาง ต่อให้ต้องตีคนพวกเขาก็จะเข้าไปให้ได้
ซ่งเหอถาม “หากเป็ นอาจารย์เฉิน จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ อย่างไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ฝ่ายหนึ่งก็มีใจกตัญญู ฝ่ายหนึ่งก็ยึด ขนบธรรมเนียม เรื่องแบบนี้จะยังแก้ไขอย่างไรได้อีก ไม่มีทาง แก้ปัญหาได้หรอก”
เด็กหนุ่มไม่สวมรองเท้าคนหนึ่งตกปลาประหลาดมีหนวดยาว สองหนวดและหัวโตมากมาได้ตัวหนึ่งจากสระอูหนีที่ศักดิ์สิทธิ์ในเรื่อง ของการขอฝน ปลาตัวนี้เป็ นสีทองทั้งตัวยาวเท่าแขนข้างหนึ่งของ ผู้ใหญ่ มันขดตัวอยู่ในข้องปลาที่เด็กหนุ่มห้อยไว้ตรงเอว
เดินผ่านหน้าหมู่บ้าน เฉินผิงอันเหลือบมองข้องปลาแล้วตะโกน เรียกชื่อเด็กหนุ่มคนนั้น กวักมือเรียก
เด็กหนุ่มเดินเร็วๆ มาหาเฉินผิงอัน เอ่ยเรียกว่าอาจารย์เฉิน
เฉินผิงอันผงกศีรษะยิ้มให้ ก่อนจะใช ้กระบอกยาสูบไม้ไผ่ในมือ เขี่ยไปที่ข้องปลา เด็กหนุ่มมองซ่งเหอที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันแวบ หนึ่ง เข้าใจผิดคิดว่าคืนนี้อาจารย์ของตนจะต้องเปิดเตาเล็กรับรอง แขกเพื่อกินอาหารมื้อค่าอะไร เด็กหนุ่มจึงปลดข้องปลาตรงเอวลงมา ยื่นส่งให้เฉินผิงอันอย่างไม่ลังเล
เฉินผิงอันโบกมือ พูดภาษาถิ่นที่ซ่งเหอฟังไม่เข้าใจอยู่พักหนึ่ง เด็กหนุ่มรับฟังด้วยอาการตกตะลึง มองเฉินผิงอันแล้วพยักหน้ารับ แรงๆ ก่อนจะผูกข้องปลากลับไปที่เดิมอีกครั้ง วิ่งตะบึงจากไป
ซ่งเหอถามเสียงเบา “อาจารย์เฉิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เฉินผิงอันไม่ได้ให้คาตอบทันที เพียงแค่ยกกระบอกยาสูบชี้ไปยัง ทิศทางของภูเขาลูกหนึ่ง เล่าเรื่องที่สระอูหนีศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการขอ ฝนให้ซ่งเหอฟังคร่าวๆ พวกเผ่าน้าอย่างปลาหนีชิว ปลาจี้ที่อยู่ในสระ น้าบนยอดเขาแห่งนั้น ตรงหลังจะมีเส้นสีทองอ่อนจางเส้นหนึ่งอยู่ จริงๆ จากนั้นเฉินผิงอันก็ใช ้กระบอกยาสูบชี้ไปที่ภูเขาด้านหลังตัวเอง บอกว่าจุดที่สูงที่สุดของที่นั่น ชาวบ้านในท้องถิ่นเรียกมันว่ามังกร คารามฟ้ า เป็ นคากล่าวที่มีสืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย
แต่ซ่งเหอกลับคิดจริงจัง หากจะพูดถึงเรื่องเล่านิทานประหลาด ในฐานะจักรพรรดิผู้ครองแคว้นของราชส านักต้าหลี เขาเองก็เคยได้ ยินมาไม่น้อย และยิ่งได้เห็นมาไม่น้อย จึงถามว่า “มีเจียวหลงที่ใน อดีตถูกเนรเทศจากวังมังกรบนบกจึงมาพักอาศัยอยู่ที่สระอูหนี ต้อง กักขังตัวเองอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อเคลื่อนเมฆโปรยฝนเป็ นเวลากี่ ปี เพื่อที่จะได้ทาความดีชดใช ้ความผิดจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่เป็ นคาเล่าลือที่สืบทอดต่อกันมา จริงบ้าง เท็จบ้าง เรื่องจริงเป็ นอย่างไรกลับบอกได้ยากมากแล้ว หากรู ้แต่แรก ว่าเจ้าจะถามเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้าก็คงจะชักไช ้เอาจากลู่เฉินให้ถึง ที่สุด ให้เขาช่วยอนุมานให้”
ซ่งเหอทาอารมณ์ให้สงบ ถามเสียงเบาว่า “เจ้าลัทธิลู่มาที่นี่ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เพิ่งมา สามารถพูดได้ว่าเท้าหน้าของเจ้า ลัทธิลู่จากไป เท้าหลังของพวกเจ้าก็ตามมาแล้ว”
ในใจของซ่งเหอกระจ่างแจ้งทันใด ก่อนหน้านี้ที่จูลู่ขุนนางผู้ช่วย ของส านักทอผ้าในขบวนเดินทางหายตัวไป เกินครึ่งก็น่าจะเกี่ยวข้อง กับเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี้จิงท่านนี้แล้ว
ซ่งเหอถามอย่างใคร่รู ้ “อาจารย์เฉินโน้มน้าวให้เด็กหนุ่มปล่อย ปลาตัวนั้นไปหรือ? คือข้อพิถีพิถันบางอย่างของการฝึกตนบนภูเขา หรือ?”
เฉินผิงอันอธิบายด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงนี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบน ภูเขาสักเท่าไร เป็ นค ากล่าวโบร่าโบราณของบ้านเกิดข้าที่มีข้อห้าม อยู่บ้างจริงๆ อยู่กับภูเขากินจากภูเขา อยู่กับน้ากินจากน้า จะไม่เชื่อ เรื่องนี้ก็ไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่เชื่อเรื่องนี้แล้วยังจะเชื่ออะไร ได้อีก หลายๆ เรื่อง หลังออกจากบ้านมาแล้วถึงได้ค้นพบว่าที่แท้ก็มี หลักการคล้ายๆ กัน ยกตัวอย่างเช่นบ้านเกิดกับที่นี่ล้วนมีคาบอกว่า ใครที่ขึ้นเขาแล้วจับกบหินได้ ตัวแรกที่จับได้จะต้องหักขาหนึ่งข้าง แล้วค่อยปล่อยไป ไม่สามารถเอากลับบ้านได้” ตัวแรกที่จับได้จะ
ซ่งเหอกล่าว “ถือเป็ นวิธีการที่ใช ้แสดงความเคารพต่อเทพภูเขา อย่างหนึ่งหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว หากหลังจากนั้นยังเจอกบหิน สามขาบนภูเขาอีก ไม่ว่าจะขึ้นเขาไปจับครึ่งชั่วยามหรือหนึ่งชั่วยาม
ก็ล้วนต้องกลับบ้านได้แล้ว หรืออย่างวันนี้ ปลาใหญ่ที่แค่มองก็รู ้สึกว่า ประหลาด หรือถึงขั้นที่บอกได้ว่าค่อนข้างน่ากลัวคล้ายตัวที่เด็กหนุ่ม คนนั้นตกมาได้ ก็ต้องดูที่ใบหน้าของปลาประหลาดตัวนั้น หาก ใบหน้าอมทุกข์ก็สามารถฆ่ากินได้ ไม่เป็ นไร แต่หากมองดูแล้วเป็ น ใบหน้าที่มีความสุข ทางที่ดีที่สุดควรปล่อยไป”
ซ่งเหอเงียบไปพักหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “สืบสาว ราวเรื่องกันแล้ว ไม่ว่าจะอยู่กับภูเขาอยู่กับน้า ก็ยังต้องกินสิ่งที่สวรรค์ มอบให้อยู่ดี”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบ พ่นควันยาสูบลอยขโมง
ภาษาถิ่นของบ้านเกิดกับภาษาถิ่นของที่แห่งนี้ก็มีจุดเชื่อมโยงที่ ลี้ลับมหัศจรรย์แต่กลับไร ้เหตุผลให้อธิบายอยู่เช่นกัน ทุกๆ ครั้งที่พูด ถึงเรื่องสภาพอากาศ ไม่ว่าจะร ้อนจัดหรือหนาวจัด ชาวบ้านก็มักจะ เคยชินที่จะใช ้คาสามคาเปิดประโยคหรือไม่ก็ปิดท้าย คือคาว่าเทียน กงนี้นะ (เทียนกงหมายถึงเง็กเซียนฮ่องเต้ หรือปู่สวรรค์ ปู่ฟ้ าที่เป็ นชื่อ เรียกอีกชื่อหนึ่ง)
น้าเสียงนั้นไม่ถือว่าไม่พอใจ อย่างมากก็เป็ นแค่ความจนใจ เงย หน้ามองฟ้ าแล้วถอนหายใจเท่านั้น
ชาวนาที่หลังสู้ฟ้ าหน้าสู้ดินเจอกับช่วงอากาศที่ดีฤดูกาลเก็บ เกี่ยวดี แน่นอนว่าย่อมถือว่าสววรรค์เป็ นใจ
ซ่งเหอที่เผชิญกับควันขโมงหนาขันได้แต่อดทนข่มกลั้นเอาไว้
เฉินผิงอันเก็บกระบอกยาสูบ เอ่ยลาพวกผู้เฒ่าแล้วพาซ่งเหอไป เดินเล่นนอกหมู่บ้าน
ซ่งเหอถาม “เมื่อครู่นี้อาจารย์เฉินคุยอะไรกับชายฉกรรจ์คนหนึ่ง หรือ?”
เฉินผิงอันเอ่ย “คนผู้นั้นเป็ นคนดีมาก คือบิดาของเด็กนักเรียน ประถมคนหนึ่งในโรงเรียน ที่บ้านค่อนข้างยากจน เขาเป็ นช่าง ก่อสร ้าง เหนือเขาขึ้นไปมีคนแก่ ล่างเขาลงมามีเด็ก ไม่ว่าจะเป็ นงาน อะไรที่หาเงินได้ล้วนยินดีทาทั้งหมด แบกต้นไม้ เผาถ่าน เลี้ยงไหม เก็บชา ไม่ว่าอะไรก็ทาทั้งนั้น ดื่มเหล้าไม่เก่งแต่กลับชอบดื่มเหล้ามาก อีกทั้งพฤติกรรมยามดื่มเหล้าออกจะแย่ไปสักหน่อย เมื่อครู่นี้ข้าเกลี้ย กล่อมให้เขาห้ามปากตัวเองตอนอยู่โต๊ะเหล้าบ้าง อย่าดื่มเหล้ามาก ขนาดนั้น พอนั่งลงบนโต๊ะก็ดื่มเหล้าหมดไปหลายจอก ขวางอย่างไร ก็ขวางไม่อยู่ พอเมาก็อาละวาด ไม่ว่าค าพูดแบบใดก็กล้าพูด”
“ข้าจึงเอ่ยหยอกล้อไปว่า อย่างเจ้านี่ไม่ได้เรียกว่าดื่มเหล้า แต่ เป็ นเหล้าดื่มคน ยังดีที่เขาได้ยินแล้วไม่โกรธ”
“แล้วก็เกลี้ยกล่อมเขาว่าอยู่บนโต๊ะเหล้าอย่าเอาแต่พูดถึงข้อเสีย ของผู้อื่น คนในหมู่บ้านล้วนเป็ นญาติกัน เงยหน้าไม่เห็นก้มหน้าก็ ต้องเห็น บางทีแม้แต่ค ากระซิบกระซาบในโปงผ้าห่มก็อาจจะยังถูกคน มาได้ยินเข้า แล้วนับประสาอะไรกับคาพูดบนโต๊ะสุราเช่นนี้ พอเมา แล้วก็ไม่ควรพูดจาชวนให้คนอื่นรังเกียจ จะถูกคนอื่นอาฆาตแค้นเสีย
เปล่า เวลานานวันเข้าคนรุ่นเดียวกันไม่พูดถึง แต่กลับอาจจะท าให้ คนรุ่นถัดไปต้องเดือดร ้อน”
ได้ยินมาถึงตรงนี้ซ่งเหอก็รู ้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก จึงยิ้มถามว่า “เขาคิดว่ามีเหตุผลหรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าว “ตอนนี้น่าจะฟังเข้าหูแล้ว แต่ไม่รู ้ว่าคราวหน้าที่
นั่งลงบนโต๊ะสุราจะยังจ าได้อีกหรือไม่?”
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง พูดถึงแค่เรื่องของการดื่มเหล้า แม้แต่ ตัวเฉินผิงอันเองก็ต้องเรียนรู ้จากจิ่งชิงให้มากจริงๆ อยู่บนโต๊ะสุรา หากรู ้สึกว่าใครร ้ายกาจก็ล้วนถือว่าอีกฝ่ ายคือวีรบุรุษคือลูกผู้ชาย อันดับหนึ่งในโลก
ประเด็นส าคัญคือเขายังจริงใจอย่างมาก
เพราะคาพูดยามดื่มเหล้าของเฉินหลิงจวินก็คือคาพูดในใจของ เขา
ซ่งเหอพึมพ าหลักการเหตุผลอยู่กับตัวเอง “สุภาษิตบอกไว้ว่า “อยู่ในบ้านแสดงโทสะอยู่นอกบ้านไม่กล้าเกรี้ยวกราด’ การพิสูจน์ ความจริงอาศัยหูเพื่อฟังเสียง อาศัยตาเพื่อดูรูปร่าง แต่การเข้าใจ เรื่องราวอย่างแท้จริงจะต้องอาศัยประสาทสัมผัสไปสัมผัสจึงจะได้ ชื่อ เรียกของสิ่งของเดิมนั้นไม่มี แต่เป็ นมนุษย์ที่ตั้งชื่อให้พวกมัน เมื่อคุ้น ชินจึงกลายเป็ นชื่อเรียกแต่หากไม่คุ้นชินชื่อนั้นก็จะหายไป”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
สิ่งที่ซ่งเหอกล่าวคือการเปลี่ยนวิธีมาพูดดีๆ ถึงอาจารย์ของตน
ซ่งเหอเผยสีหน้าหวนระลึกถึง สายตามองตรงไปเบื้องหน้า เอ่ย เสียงเบาว่า “ปี นั้นอาจารย์เคยบอกกับข้าว่ามีภิกษุนิกายวินัยที่มี ความสามารถมากอยู่คนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะออกบวชได้เคยพูดสอง ประโยคซึ่งเป็ นคากล่าวที่ดีมาก บอกว่าผู้ที่มีคุณธรรมเหนือใครใน โลกนี้ล้วนมีจิตใจที่สงบเป็ นกลาง สามารถยอมรับได้ทั้งข้อดีและ ข้อเสียของผู้อื่น ปากจึงมักจะเอ่ยชื่นชมผู้อื่นอยู่เสมอ ส่วนคนที่ไร ้ คุณธรรมมักใจแคบเย่อหยิ่ง ไม่ว่าจะเห็นเรื่องดีหรือเรื่องร ้ายก็ล้วน รังเกียจ ในสายตาจึงมักจะมีแต่แววดูแคลนเดียดฉันท์ สุดท้าย อาจารย์บอกว่าฝ่ ายแรกสามารถเดินให้เส้นทางใต้ฝ่ าเท้าขยายกว้าง ขึ้นเรื่อยๆ ส่วนฝ่ายหลังกลับมีแต่จะยิ่งเดินทางยิ่งแคบลง”
“คงเป็ นเพราะคนผู้หนึ่งมีวิสัยทัศน์เช่นนี้ ถึงสามารถเห็นคนเต็ม ถนนเป็ นคนมีความสามารถ ในใต้หล้าไม่มีใครที่เป็ นคนไม่ดี”
เฉินผิงอันไพล่มือที่ถือกระบอกยาสูบไปไว้ด้านหลัง เอากระบอก ยาสูบเคาะแผ่นหลังของตัวเองเบาๆ พยักหน้ายิ้มเอ่ย “ยังคงเป็ น หลักการเหตุผลของฝ่าบาทที่มีความรู ้ยิ่งกว่าสุภาพไพเราะยิ่งกว่า”
ซ่งเหอกล่าว “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ นคาสอนของอาจารย์”
เฉินผิงอันกล่าว “ในเมื่อเจ้าฟังเข้าหูก็ถือเป็ นหลักการเหตุผล ของเจ้าแล้ว”
คงเป็ นเพราะซ่งเหอรู ้สึกว่าบรรยากาศในการเดินเล่นค่าคืนนี้ไม่ เลว จึงเริ่มพูดความคิดในใจของตัวเองออกไปอย่างจริงใจ “ปัญญาชนผู้มีความรู ้มักจะชอบพูดว่าภูเขาสายน้าสายลมแสงจันทร ์ ไม่มีเจ้าของที่แน่นอน มีเพียงคนว่างงานเท่านั้นที่เป็ นเจ้าของ บอก ตามตรง ข้าเดินทางลงใต้มาครั้งนี้ ความตั้งใจเดิมคือหยุดอยู่ที่ศูนย์ ตัดต้นไม้เขตอวี้จางหงโจวการที่เปลี่ยนเส้นทางเดินทางมาที่นี่เป็ นแค่ ความนุ่มบ่ามอย่างหนึ่งเท่านั้น ข้ากลัวว่าอาจารย์เฉินจะผิดหวังต่อ ราชส านักต้าหลีของพวกเราเกินไป พูดไปแล้วก็ไม่กลัวว่าท่านจะ หัวเราะเยาะ ข้าถึงขั้นไม่กล้าเตือนพวกขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาที่ คล้ายกับเป็ นขุนนางอยู่ใต้เปลือกตาของอาจารย์เฉินอย่างพวก เผยทงแห่งอวิ้นโจวและอู๋ยวนแห่งฉู่โจวด้วยซ้า กลัวว่าจะเป็ นการเพิ่ม ปัญหาแทรกซ ้อน เป็ นการวาดงูเติมขา หลังถูกจับได้ก็จะกลายเป็ น ตัวตลกยิ่งกว่าเดิม ระหว่างที่ข้าเดินทางมาได้เห็นต้นเหมยริมน้าตรง สะพานก็เลยจอดรถไว้ที่นั่น ข้าเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ทั้งกลัวสภาพ จิตใจของอาจารย์เฉินในตอนนี้ เมื่อชีวิตไม่ได้ดั่งใจปรารถนา อ านาจ จักรพรรดิจะมีประโยชน์อะไรกับข้า? เพียงแต่ว่าพอคิดดูอีกที หากมี ต้นเหมยต้นหนึ่งอยู่ริมธารน้าโบราณจริงๆ เส้นทางยาวไกลภูเขาลึก แค่ไหนก็ย่อมมีความงามรออยู่ รอคอยให้แสงจันทร ์มาพบข้า…แบบนี้ ก็ดีเหมือนกัน ต่อให้จะต้องมากินน้าแกงประตูปิดที่หน้าบ้านอาจารย์ เฉิน ข้าถามใจตัวเองก็ไม่ละอายแล้ว”
เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่แสดงท่าทียอมรับ กลับกันยังได้คืบจะเอา ศอก เอ่ยสัพยอกกึ่งจริงกึ่งเล่นว่า “อ้อ? นี่คือถามใจตัวเองก็ไม่ละอาย แล้วหรือ?”
ซ่งเหอบื้อใบ้พูดไม่ออกไปทันที
ไฉนถึงได้รู ้สึกว่าตัวเองยังสู้ชาวบ้านที่พฤติกรรมยามดื่มเหล้าไม่ ค่อยดีคนหนึ่งที่ทาอาจารย์เฉินมีความอดทนต่อเขาอย่างดีเยี่ยม ไม่ได้ จะพูดจะจาอะไรก็ต้องระวังให้มาก?
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เวลาหนึ่งขุ่นมีค่าเท่าทองหนึ่งชุ่น เหตุผลที่ดี เช่นนี้พูดให้ใครฟังล่ะ? เกรงว่าบัณฑิตสามารถฟังเข้าหูได้ก็ถือว่าดี มากแล้วกระมัง”