กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1044.2 เหนือศีรษะขึ้นไปสามจื่อมีใครอยู
ซ่งเหอมีความรู ้สึกลวงอยู่อย่างหนึ่ง ราวกับว่าเขาได้กลับไปตอน ที่เป็ นเด็กหนุ่มแล้วได้ฟังอาจารย์ผู้มีพระคุณที่รับหน้าที่เป็ นราชครูซึ่ง พาตนเดินไปตามหมู่บ้านร ้านตลาดในเมืองหลวง เจอกับเรื่องราวและ บุคคลแบบไหนก็พูดหลักการเหตุผลแบบนั้นให้เขาฟัง
และบนโต๊ะสุราของที่นี่ เฉินผิงอันก็เคยได้ยินประโยคนั้น
“มีชีวิตอยู่บนโลก ไม่ประสบความส าเร็จ’
ตอนที่ผู้เฒ่าเอ่ยประโยคนี้ ทั้งไม่ได้ดื่มเหล้ามากไป แล้วก็ไม่ได้ พูดบ่น เพียงแค่เอ่ยด้วยน้าเสียงเรียบเรื่อย สีหน้าสงบนิ่งเท่านั้น
ซ่งเหอเอ่ยขออภัย “ข้าเป็ นคนหูเบา ขออาจารย์เฉินอย่าได้ถือ สา”
ตอนนั้นซ่งเหอยังกังวลถึงเรื่องที่ภรรยาตัวเองตัดสินใจโดย พลการ ด้วยเรื่องของไข่มุกหลิงซีเส้นนั้นอาจทาให้ในใจของเฉินผิง อันไม่สบอารมณ์
อีกอย่างก็คือที่ครั้งนี้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ต่อก็เป็ นความคิดของ ฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ซ่งเหอไม่ได้พูดให้เฉิน ผิงอันฟัง
เฉินผิงอันหันมามองซ่งเหอ
ไม่ใช่ค าพูดเกรงใจตามมารยาท แต่เป็ นค าพูดจากใจจริง
ใช่แล้ว คิดดูแล้วรายงานทุกอย่างของกาแพงเมืองปราณกระบี่คง มีแต่ศิษย์พี่ชุยที่จัดการด้วยมือของตัวเอง ไม่เคยอาศัยมือของคนอื่น
ขอแค่ฮ่องเต้พระองค์นี้พอจะรู ้คราวข่าวของกาแพงเมืองปราณ กระบี่สักเล็กน้อย คืนนี้ก็คงไม่เอ่ยประโยคนี้ออกมา
เหอะ ปีนั้นทั่วทั้งกาแพงเมืองปราณกระบี่ อย่าได้สนว่าชื่อเสียง ของอิ่นกวานแห่งคฤหาสน์หลบร ้อนและเถ้าแก่รองของร ้านเหล้าจะ เป็ นอย่างไร พูดถึงแค่เขากับหนิงเหยา คนหนึ่งดูแลครอบครัว คน หนึ่งเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็ นอย่างดี มีใครบ้างที่ไม่ยกนิ้วโป้ งให้ ภรรยา ควบคุมอย่างเข้มงวด? ไม่มีเรื่องแบบนั้นเสียหน่อย!
จาได้ว่ามีครั้งหนึ่งกินหม้อไฟกับผู้อาวุโสซ่ง พริกเผ็ดร ้อนกินกับ เหล้า ดื่มจนเด็กหนุ่มหน้าแดงก่า
บอกว่าบุรุษคนหนึ่งเมื่อมีอานาจมีเงินแล้วก็มักจะถูกสตรีสารพัด รูปแบบมาชื่นชอบมาเลื่อมใส นี่เป็ นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่หากว่าเขา ยังควบคุมตัวเองได้ นั่นจึงจะถือว่ามีความสามารถอย่างแท้จริง
นานวันเข้าก็ทาให้พวกนางเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง ข้าคือ บุรุษที่พวกเจ้าไม่มีทางได้ไปครอง นี่เรียกว่าบุรุษที่ดี
คิดถึงตอนที่เป็ นหนุ่ม ออกท่องยุทธภพ ข้างกายมีสตรีพัวพัน น้อยนักหรือ แต่เพราะเขาอาศัยความเที่ยงตรงสลายกลิ่นอายเครื่อง ประทินโฉมทิ้งไปต่างหาก
“แต่งภรรยาควรเลือกคนที่เพียบพร ้อม”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ฝ่าบาทโชคดีแล้ว”
หากไม่เป็ นเพราะรายละเอียดบางอย่างที่ทาให้เฉินผิงอันเปลี่ยน ใจกะทันหัน ข้าก็ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็ นฮ่องเต้ เป็ นผู้ว่าเป็ นแม่ทัพ อะไร ดื่มชาไปแล้วก็สามารถส่งแขกได้แล้ว
ไม่มีทางที่จะรั้งให้กลุ่มของซ่งเหออยู่กินข้าวต่อแน่
อีกอย่างก็คือหากไม่เป็ นเพราะเป็ นฮองเฮาอวี๋เหมี่ยนที่ยื่นกาไล ข้อมือมาให้ ลองให้เป็ นไทเฮาหนันจานที่มาที่โรงเรียนแห่งนี้ดูสิ? ดูสิ ว่าเฉินผิงอันจะให้เสี่ยวโม่สลายตราผนึกเวทกระบี่หรือไม่?
ต้องรู ้ว่าตอนนั้นที่เฉินผิงอันอยู่ในวังหลวง เขายังจงใจทิ้งตะเกียบ ไม้ไผ่ด้ามหนึ่งเอาไว้ให้สตรีผู้นั้นเอามาใช ้ทาเป็ นปิ่นปักผม
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บุรุษผู้หนึ่งเมื่อมีครอบครัวแล้ว การ ใช ้ชีวิตในแต่ละวันก็ห้ามท าให้ภรรยาของตัวเองต้องรู ้สึกอึดอัด ล าบากใจอยู่ตลอดเด็ดขาด”
“ความขัดแย้งทุกอย่างระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ หากวันใดรุนแรง ถึงขั้นที่มิอาจปรองดองกันได้อีก จะว่าไปแล้วก็ยังเป็ นเพราะบุรุษผู้นั้น พึ่งพาไม่ได้ ไม่มีความคิดเห็นเป็ นของตัวเอง ดีแต่ท าตัวเป็ นกาว ประสานใจถึงได้กลายเป็ นว่าไม่เป็ นที่ชื่นชอบของทั้งสองฝ่าย
ซ่งเหอรู ้สึกว่าคากล่าวนี้มีเหตุผลอย่างมาก เพียงแต่ว่าได้ยินแล้ว รู ้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะอยู่บ้าง
เฉินผิงอันถาม “รองเจ้ากรมจ้าวพักอยู่ในหมู่บ้านด้วยหรือ?”
ซ่งเหอส่ายหน้า “เขาออกไปจากอาณาเขตอวิ้นโจวแล้ว ต้องไป จัดการเรื่องเร่งด่วนเรื่องหนึ่ง บางทีอาจต้องพาผู้ฝึกตนแผนภูมิดิน ครึ่งหนึ่งไปด้วย แยกย้ายกันเดินทาง นัดเจอกันที่เมืองลั่วจิงเมือง หลวงส ารอง”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “งานหลวงอะไรถึงต้องให้ รองเจ้ากรมอาญาคนหนึ่งลงมือพร ้อมกับฝึกตนแผนภูมิดิน?”
ซ่งเหอไม่ได้คิดจะปิ ดบัง “บุคคลสาคัญคนหนึ่งที่ดูแลเรื่องเรือ กระบี่และเรือข้ามฟากขุนเขาของต้าหลี ผู้เฒ่าท่านนี้ไม่ได้มีหน้าที่ จริงจังอยู่ในกรมโยธา อุตส่าห์ได้ว่างงานทั้งทีจึงพาลูกศิษย์หลายคน ไปผ่อนคลายอารมณ์ทางทิศใต้ แต่ไปเจอกับข้อพิพาทที่แคว้นใต้ อาณัติเก่าแห่งหนึ่งทางทิศใต้ของลาน้าใหญ่ เกี่ยวพันไปถึงราช สานักในท้องถิ่นและจวนเซียนบนภูเขาสองแห่ง”
เฉินผิงอันถาม “เพราะไม่ได้เป็ นฝ่ ายที่มีเหตุผลมากนัก? ตกเป็ น ที่ต้องสงสัยว่ายุ่งเรื่องของคนอื่น?”
ซ่งเหอพยักหน้า “หากไม่ได้เป็ นเช่นนี้ อยู่ในแจกันสมบัติทวีป เหนือนครมังกรเฒ่าขึ้นมาก็ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับราชสานักต้าหลี จริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ก็มีนิสัยดื้อดึง พอ
เจอกับปัญหาก็ไม่ยินดีจะบอกกล่าวแก่กรมอาญาของเมืองหลวงหรือ เมืองลั่วจิง สถานการณ์ก็เลยชะงักค้างอยู่อย่างนั้น”
เฉินผิงอันถามอีก “บุคคลสาคัญถึงเพียงนี้ กรมอาญาไม่เคย มอบป้ ายสงบสุขปลอดภัยให้เขาหรือ?”
ซ่งเหออธิบาย “ข้าพูดโน้มน้าวหลายรอบ แต่ผู้เฒ่าก็ยอมรับไป แค่ป้ ายสงบสุขปลอดภัยระดับล่างสุดเท่านั้น เพราะผู้เฒ่ากังวลว่าคน ข้างกายจะเดือดร ้อนไปด้วยก็เลยได้แต่ฝื นนิสัยเอาป้ ายแผ่นนั้น ออกมาแสดง”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “อีกฝ่ ายเห็นว่าเป็ นป้ ายสงบสุข ปลอดภัยระดับล่างเลยกลายเป็ นว่ายิ่งฮึกเหิมเข้าไปใหญ่? คงคิดจะ อาศัยโอกาสนี้เคาะภูเขากระเทือนพยัคฆ์สินะ?”
ซ่งเหอพยักหน้า “ทุกอย่างเป็ นอย่างที่อาจารย์เฉินคิดเลย”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง
พูดให้ไม่น่าฟังหน่อย ราชสานักต้าหลีในทุกวันนี้ขาดซิ่วหู่ชุย ฉานไปก็เท่ากับขาดที่พึ่งส าคัญ
อันที่จริงนี่คือเรื่องจริงที่ทั้งบนและล่างภูเขาเห็นพ้องต้องกัน ราช ส านักต้าหลีเองก็ยอมรับเรื่องนี้ไปโดยปริยาย
พูดถึงแค่แคว้นใต้อาณัติเก่าทั้งหลายของต้าหลี ก่อนหน้านั้นพอ ได้กอบกู้แคว้น ท าไมถึงได้จงใจปล่อยข่าวบอกว่าจะท าลายป้ ายศิลา บนยอดเขาของจวนเซียนในอาณาเขตการปกครองทิ้ง?
อันที่จริงก็เป็ นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่งที่มีต่อราชวงศ์ซ่งต้าหลี นั่นเอง
ขอแค่ซิ่วหู่ยังอยู่ ทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีป ไม่ว่าจะทางทิศเหนือ หรือทางทิศใต้ก็จะเป็ นอย่างที่ฮ่องเต้ซ่งเหอพูดไว้ เหนือนครมังกร เฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุดของทวีปขึ้นมา ใครเล่าจะกล้าพูดอะไร?
เห็นว่าอาจารย์เฉินที่อยู่ด้านข้างเงียบงันไม่เอ่ยคาใด ซ่งเหอก็ยิ้ม กล่าวว่า “อาจารย์เฉินวางใจได้เลย เรื่องแบบนี้ จ้าวเหยาไปแล้วต้อง
จัดการได้ดีแน่นอน”
เฉินผิงอันเปิดปากกล่าว “ตอนนี้ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณที่มา เป็ นแขกอยู่บนภูเขาลั่วพั่วของข้า มีป๋ ายเติงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยก ดิบที่เพิ่งเดินออกมาจากซากปรักวังมังกรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงนี้ ถือเป็ นผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของต้าหลีครึ่งตัวแล้ว และยังมีผีอีกตนหนึ่ง มีฉายาว่าอิ๋นลู่ เคยเป็ นรองเจ้านครของนครเซียนจานแห่งเปลี่ยวร ้าง เจ้าหมอนี้ไม่เหลือขอบเขตอยู่แล้ว แต่ความคิดกลอุบายยังมีอยู่ สามารถร่วมมือกับป๋ ายเติงที่เกิดมาก็มีนิสัยใจร ้อนฉุนเฉียวได้พอดี นอกจากนี้จิงเฮาแห่งภูเขาชิงกงหลิวเสียทวีปยังพาลูกศิษย์เอก ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งมาด้วย ชื่อว่าเกาเกิง ข้าสามารถเชิญให้ พวกเขาทั้งสามคนเดินทางไปด้วย จากนั้นให้อิ๋นลู่รับอาจารย์ผู้เฒ่า
ท่านนั้นเป็ นผู้อาวุโสในตระกูล ไม่ต้องให้พวกจ้าวเหยาออกหน้าก็ สามารถคลี่คลายความขัดแย้งที่จะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็กนี้ได้ แล้วอีกฝ่ ายอยากจะอาละวาดก็ให้อิ๋นลู่อาละวาดตามไปด้วย ถึงเวลา นั้นค่อยให้สหายเกาเกิงเปิดเผยตัวตน บอกไปว่าตัวเองมาจากภูเขา ชิงกงหลิวเสียทวีป และยังเป็ นเค่อชิงในตระกูลของอาจารย์ผู้เฒ่า
ด้วย”
วิธีหนึ่งคือจัดการเรื่องส่วนรวมด้วยวิธีส่วนรวม ก็คล้ายกับการที่ ให้จ้าวเหยาที่มียศเป็ นรองเจ้ากรมไปจัดการ
แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือทาให้เป็ นเรื่องส่วนตัว ให้อิ๋นลู่ที่อยู่ว่างบน ภูเขาทุกวันนับบรรพบุรุษกลับเข้าตระกูล
ซ่งเหอฟังด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
แบบนี้ก็ได้หรือ?
ดูเหมือนเฉินผิงอันจะไม่สนใจเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะเขาเปลี่ยน เรื่องคุยแล้ว ชี้ไปที่ยอดเขาแห่งหนึ่งเบื้องหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “บังเอิญ หรือไม่ สถานที่แห่งนั้นชื่อว่าสันเขาน้อมส่ง”
ซ่งเหอปรับสภาพอารมณ์ให้เย็นลง มองไปตามทิศทางที่เฉินผิง อันชี้ไป มองไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลแห่งนั้น ยิ้มเอ่ยว่า “ในอดีตทุก ครั้งที่พูดคุยความในใจ ขอวิชาความรู ้จากอาจารย์ ส่วนใหญ่จะต้อง มึนงงไม่เข้าใจก่อน พอฟังอาจารย์อธิบายแล้วถึงจะเหมือนว่าการ
มองเห็นพลันเปิดกว้าง แล้วจู่ๆ อาจารย์ก็จะโยนค าถามออกมาอีก ท า ให้ทิ้งงอยู่แล้วยิ่งงงเข้าไปใหญ่”
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “เจ้าเอาข้าไปเทียบกับศิษย์พี่ชุย เท่ากับ ด่าพวกเราสองคนไปพร ้อมๆ กัน”
ซ่งเหอถามหยั่งเชิง “อาจารย์เฉิน ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าพวกเรานัด
หมายกันไว้เรียบร ้อยแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แต่ต้องรอให้ข้าออกเดินทางไกลก่อน รอบหนึ่ง บางทีอาจไปเยือนหลายสถานที่ ทวีปทั้งหลายที่ไม่เคยไปก็ ต้องแวะไปดูสักหน่อย พอกลับมาแล้วข้าค่อยไปที่เมืองหลวงต้าหลี การเดินทางครั้งนี้ใช ้เวลานานหน่อยก็สี่ห้าปี สั้นหน่อยก็สองสามปี”
ซ่งเหอมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใส อดไม่ไหวคว้าแขนเฉินผิงอันเอาไว้ “ตกลงตามนี้”
เฉินผิงอันตบมือของฮ่องเต้ ยิ้มเอ่ยว่า “ฝ่ าบาทไม่ต้องทาเช่นนี้ หลวงจีนหนีได้แต่วัดหนีไปไหนไม่ได้ ภูเขาลั่วพั่วบ้านข้าไม่ได้มีขา เดินเองได้เสียหน่อย”
ซ่งเหอหันไปมองยังทิศทางของโรงเรียน ท าท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันยิ้มอธิบายว่า “ต้นไม้สิบปีคนร ้อยปี คนที่สอนหนังสือ จ าเป็ นต้องดูผลส าเร็จในระยะยาว หากต้องออกจากบ้านเดินทางไกล ข้าจะทิ้งยันต์ร่างแยกไว้ที่โรงเรียนแห่งนี้เรื่องของการเปิดโรงเรียน สอนหนังสือจะไม่ปล่อยทิ้งไปกลางคันเด็ดขาด”
ซ่งเหอหยุดเดิน จัดเสื้อผ้าให้เป็ นระเบียบ ยืนหันข้างประสานมือ คารวะขอบคุณเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเพียงแค่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอีกฝ่ าย กุมมือคารวะ กลับคืน
คืนนี้เป็ นการดื่มที่ดีอีกมื้อ
ทุกคนดื่มสุรากินข้าวกันไปอิ่มหนาแล้ว ต่างคนก็ต่างกลับที่พัก ของตัวเอง เฉินหลิงจวินออกมาเดินเล่นกับสหายรักเฉินจั๋วหลิว ทุก คนนัดหมายกันว่าพรุ่งนี้เช ้าจะไปดื่มเหล้ามื้อเช ้ากัน ไม่เจอไม่กลับ ไม่เมาไม่เลิกรา
คนทั้งหลายที่ต้องดื่มเหล้าเป็ นเพื่อนเฉินเซียนจวินยังจะท า อย่างไรได้อีก ได้แต่รับปากตกลง
เฉินหลิงจวินไม่ได้ดื่มเหล้าอย่างเต็มคราบคุยโวอย่างสาแก่ใจ อย่างนี้มานานมากแล้ว
เหมือนกับว่าภูเขาลั่วพั่วมีภูเขาลูกเล็กอีกลูกหนึ่งเพิ่มมาชั่วคราว เฉินหลิงจวินเป็ นเจ้าบ้านที่รับผิดชอบคอยรับรองแขก นอกจากสหาย รักเฉินจั๋วหลิวแล้วก็ยังมีสหายใหม่ที่เพิ่งรู ้จักอีกหลายคน
เทพเซียนผู้เฒ่าจิงเฮา ผู้ฝึ กกระบี่ป๋ ายเติง ผีอิ๋นลู่ และยังมีลูก ศิษย์ผู้สืบทอดของจิงเฮาขอบเขตหยกดิบ ชื่อว่าเกาเกิง เขาขึ้นภูเขา มาค่อนข้างช ้า เป็ นน้าเต้าตันคนหนึ่ง ไม่ว่าจะบนโต๊ะสุราหรือนอก โต๊ะก็ล้วนไม่ชอบพูดคุย
โชคดีที่เรือนพักที่ว่างอยู่บนยอดเขาจี้เซ่อมีค่อนข้างมาก นี่ต้อง ยกคุณความชอบให้กับการทุ่มทองพันชั่ง ไม่เห็นเงินเป็ นเงินของโจว อันดับหนึ่ง หากจะพูดว่าอาศัยแค่การโปรยเงินของโจวอันดับหนึ่ง อย่างเดียวย่อมยังไม่พอ ต้องบวกกับพ่อครัวเฒ่าที่เป็ นคนใช ้เงินเก่ง ไปด้วยอีกคน การก่อสร ้างในภูเขาล้วนเป็ นฝี มือของพ่อครัวเฒ่า ทั้งสิ้น เป็ นเหตุให้จวนทั้งหลายบนภูเขามีความพิเศษแตกต่างกันไป เอามาใช ้รับรองผู้ฝึกตนที่ขึ้นเขามาก็มีหน้ามีตาอย่างมาก ไม่ถือว่า เป็ นการลดเกียรติอย่างแน่นอน
ทุกครั้งที่ดื่มเหล้ากันไปแล้ว เฉินหลิงจวินกับเฉินจั๋วหลิวมักจะ ชอบเดินเล่นไปถึงศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อแล้วค่อยเดิน ย้อนกลับมา เพื่อนรักสองคนพูดคุยกันอย่างมีความสุข ระหว่างทางก็
แอบดื่มเหล้าไปอีกสองกา
ไม่ว่าจะอย่างไร แม้จะถูกชะตากับสหายใหม่อย่างมาก พูดคุยกัน ถูกคอมาก แต่เฉินหลิงจวินกับเฉินจั๋วหลิวก็คือเพื่อนร่วมทุกข์ร่วม ยาก คือพี่น้องที่มอบชีวิตให้กัน มอบใจให้กันได้อย่างแท้จริง
เดินอยู่บนเส้นทาง เฉินหลิงจวินถูมือ รู ้สึกล าบากใจอยู่บ้าง
เฉินชิงหลิวเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มเอ่ย “มีเรื่องจะปรึกษาหรือ? แต่ไม่รู ้ว่าควรจะเอ่ยเช่นไร?”
เฉินหลิงจวินกล่าว “นายท่านของข้าบังเอิญพูดเรื่องหนึ่งกับข้า ดูเหมือนว่าเว่ยซานจวินจะเลื่อมใสอาจารย์ซินอย่างมาก อยากจะช่วย ขอเทียบอักษรจากเขาสักสองเทียบ ถือเป็ นเรื่องดีที่มาเป็ นคู่”
อันที่จริงจนถึงตอนนี้ เฉินชิงหลิวไม่พูด เฉินผิงอันก็ไม่พูด เฉิน หลิงจวินจึงยังไม่รู ้ความเป็ นมาของอาจารย์ซินท่านนั้น แล้วเขาก็ คร ้านจะถามเรื่องนี้ ขอแค่อีกฝ่ายเป็ นเพื่อนของเฉินจั๋วหลิวก็พอ ถาม โน่นถามนี่น่าเบื่อจะตายไป หรือถ้ารู ้ว่าอีกฝ่ ายคือคนบนภูเขาใหญ่ ลูกใดแล้วจะตั้งใจดื่มสุราคารวะบนโต๊ะมากกว่าเดิม หากไม่มีภูมิหลัง ก็จะละเลยไม่ใส่ใจอย่างนั้นหรือ? มีวาสนาได้มารวมตัวกันบนโต๊ะสุรา แล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลผายลมเช่นนี้
เฉินชิงหลิวมองเด็กชายชุดเขียวแวบหนึ่งแล้วยิ้มเอ่ยว่า “จิ่งชิง ร ้อยคนรวมกันก็ยังมีอุบายได้ไม่มากเท่าเฉินผิงอันคนเดียว เรื่องดีมา เป็ นคู่อะไรกัน เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาต้องการขอสองชิ้นเพื่อที่ตัวเองจะ ได้เก็บไว้ชิ้นหนึ่ง ส่วนเว่ยป้ อที่ไม่รู ้เรื่องไม่รู ้ราวก็จะซาบซึ้งใจในตัว เขาเฉินผิงอัน”
หากจาไม่ผิด เฉินผิงอันก็เคยหลอกเอาเทียบอักษรชิ้นหนึ่งไป จากจูเหลี่ยนแล้ว เรื่องดีมาเป็ นคู่จริงๆ เขาไม่ได้พูดผิดเลย
“อย่าพูดเหลวไหล เรื่องขอเทียบอักษรเป็ นความคิดของข้าเอง ไม่เกี่ยวกับนายท่านนายท่านก็แค่พูดขึ้นมาเท่านั้น ส่วนข้าก็แค่จา ได้”
เฉิงหลิงจวินบ่น “อีกอย่างหากเป็ นแบบนี้จริงๆ แล้วจะทาไม พี่ชายเจ้าอย่ามัวอิดออดอยู่เลย เจ้าบอกมาเถอะว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย หากว่าล าบากใจก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูด เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว ก็ มีแต่เจ้านั่นแหละที่พูดไร ้สาระมากมาย”
เป็ นคนต้องหัดเอาใจเขามาใส่ใจเรา ข้าเห็นสหายของเจ้าเป็ น สหายของตัวเอง เจ้าก็ห้ามมานินทาใส่ร ้ายนายท่านของข้าลับหลัง
หลายปีมานี้ที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินหลิงจวินคิดว่าตัวเองไม่เคย สร ้างคุณูปการใดๆ ในใจจึงรู ้สึกผิดมาโดยตลอด
แล้วนับประสาอะไรกับที่แม้เว่ยป้ อจะขี้เหนียวจะใจแคบกับตนก็ จริง แต่ความสัมพันธ ์ระหว่างเว่ยซานจวินกับนายท่านกลับดีมาก จริงๆ พูดถึงแค่เรื่องท่าเรือหนิวเจี๋ยวก็เป็ นภูเขาพีอวิ๋นที่ช่วยสาน สะพานความสัมพันธ ์กับสกุลซ่งต้าหลีให้ ภูเขาลั่วพั่วบ้านตนถึงได้มี ส่วนแบ่งกับเขาด้วย น้าใจส่วนนี้เฉินหลิงจวินรู ้สึกว่าควรต้องเก็บมา ใส่ใจ ควรต้องจดจ าเอาไว้ จะไม่เห็นเป็ นส าคัญไม่ได้ พอคิดถึงภูเขา พีอวิ๋นมหาบรรพตอุดรก็จะคิดถึงงานเลี้ยงท่องราตรีแล้วก็จะคิดถึง ฉายาที่เลื่องลือไปทั้งใต้หล้า เว่ยท่องราตรี เฉินหลิงจวินจึงอดหัวเราะ หึหึไม่ได้
เฉินชิงหลิวพยักหน้า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
หากเปลี่ยนเป็ นคนอื่นที่ไปขอเทียบอักษร ก็คอยดูเถอะว่าซินจี้ อันจะสนใจหรือไม่ เพียงแต่ว่าหากตนเป็ นคนเปิดปากกลับเป็ นคนละ
เรื่องกันแล้ว จะขอสักหนึ่งกระบุงก็ยังไม่ยาก อีกทั้งยังไม่ใช่ผลงานที่ เขียนไปตามมารยาทด้วย ทุกตัวอักษรล้วนจะต้องเต็มเปี่ยมไปด้วย พลัง
เฉินหลิงจวินเองก็ไม่เกรงใจ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้เจ้าจัดการ แล้วกัน บอกไว้ก่อนนะว่านี่ไม่ใช่การคุยโวบนโต๊ะสุรา เจ้าอย่าทาให้ ข้ารอเก้อล่ะ ถึงเวลาจะโดนด่า ถ้าข้าด่าใครขึ้นมาก็ไม่เคยเลอะเลือน หรอกนะ”
เฉินชิงหลิวยิ้มถาม “ไหนๆ ก็เปิดปากขอร ้องคนไปแล้ว ทาไมไม่ ขอเพิ่มไปอีกหน่อยเล่า?”
เฉินหลิงจวินเงยหน้าขึ้นมอง ถามว่า “ทาได้จริงๆ หรือ? ไม่
ล าบากใจหรือ?” เฉินชิงหลิวพยักหน้า