กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1044.3 เหนือศีรษะขึ้นไปสามจื่อมีใครอยู่
เฉินหลิงจวินนวดคลึงปลายคาง ส่ายหน้าเอ่ย “อย่าดีกว่า เทียบ เชิญสองชิ้นก็มากพอเหลือแหล่แล้ว หากขอมากกว่านี้จะดูไม่ พิถีพิถันเกินไป พ่อครัวเฒ่าพูดได้ถูกต้อง ขอตัวอักษรจากนักเขียน พู่กันจีน ควรจะให้มีน้อยแต่ยอดเยี่ยม ไม่ควรให้มีมากเกินไป”
เฉินชิงหลิวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จูเหลี่ยนเป็ นคนมหัศจรรย์ที่พบเห็น ได้น้อยนัก”
เฉินหลิงจวินหัวเราะฮ่าๆ “ต่อให้พ่อครัวเฒ่าจะมีความรู ้ หลากหลายแค่ไหนก็ยังเป็ นชายแก่ขึ้นคานอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
เฉินหลิงจวินหยิบเหล้าสองกาออกมาจากชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้ เฉินจั๋วหลิวหนึ่งกาแน่นอนว่าเขาย่อมไม่รู ้ว่าการที่ได้รับคาวิจารณ์ เช่นนี้จากเฉินชิงหลิวที่เป็ นคนเย่อหยิ่งทระนงตนนั้นหาได้ยากมาก แค่ไหน
เฉินชิงหลิวรับกาเหล้ามาแกะผนึกดินออก เขย่าอยู่สองสามที กลิ่นสุราหอมฉุย มองทิวทัศน์ของภูเขาเคล้าแสงจันทร ์ยามราตรีแล้ว ก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่า “แสงจันทร ์บนภูเขาชวนให้คนลุ่ม หลง กระตุกใจคนได้มากที่สุด”
เฉินหลิงจวินกรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอีก “บางครั้งก็รู ้สึกว่าเจ้า พูดจาเหมือนพี่ใหญ่เจี่ยมาก มักจะโพล่งค าพูดดีๆ ออกมา อย่างเช่น
บอกว่าในและนอกจอกสุราคือฟ้ าดินสองแห่งหรืออย่างเช่นว่านอก โต๊ะสุราไม่แย่งชิงอันดับหนึ่ง นั่งลงบนโต๊ะสุราไม่ควรแย่งชิงสักหน่อย หรือ?”
เฉินชิงหลิวยิ้มเอ่ย “มักจะได้ยินเจ้าพูดถึงเจี่ยเฉิงคนนี้เป็ นประจา หากมีโอกาสจะต้องไปพบเขาสักหน่อยแล้ว”
เฉินหลิงจวินกล่าว “เรื่องเล็กน้อย หากวันไหนพวกเราพี่น้องมา รวมตัวกันครบ ดื่มเหล้าร่วมโต๊ะ นั่นจึงจะเรียกว่ามีความสุขอย่าง แท้จริง”
โต๊ะสุราตัวหนึ่ง มีตัวเขาเอง นักพรตเฒ่าเจี่ยเฉิง สารถีป๋ ายหมาง ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อเฉินจิ๋วหลิว
เฉินชิงหลิวกล่าว “ช่วงนี้อาจจะยังมีสหายอีกคนหนึ่งของซินจี้อัน มาเยือนแจกันสมบัติทวีป หากถึงตอนนั้นซินจี้อันยังอยู่บนภูเขาลั่ว พั่ว อีกฝ่ายก็น่าจะขึ้นเขามาเยี่ยมเยือน”
เฉินหลิงจวินตบอก “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เดี๋ยวข้าจัดการให้ เอง”
เฉินชิงหลิวยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ความเป็ นมาไม่เล็ก นิสัยเจ้าอารมณ์ เจ้าระวังหน่อยล่ะ”
เฉินหลิงจวินเดินตัวลอยหัวเราะหึหึ อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วบ้านตน ใน อาณาเขตของขุนเขาเหนือแห่งนี้ หลายปีมานี้มีคนมหัศจรรย์จาก ต่างถิ่นผู้ใดบ้างที่ตนไม่เคยเจอมาก่อน? เคยขี้ขลาดสักครั้งไหม?
ไม่พูดถึงสามท่านนั้น เพราะต่อให้อยากจะคุยโวให้ใครฟังก็ยัง เปิดปากพูดไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็พูดถึงแค่ลู่เฉินเจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี้จิง ก็แล้วกัน เป็ นอย่างไรล่ะ เจอหน้าเขามาหลายครั้งแล้ว มีครั้งใดที่ตน ไม่หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี ไม่วางตัวต่าต้อยแต่ก็ไม่เย่อหยิ่งบ้าง? ลู่เฉิน คือลูกศิษย์ของมรรคาจารย์เต๋าเชียวนะ ภูมิหลังใหญ่พอแล้วกระมัง
เฉินชิงหลิวยิ้มรับ สหายรักคนนั้นของซินจี้อัน หากจะพูดกันถึง ล าดับอาวุโสบนภูเขาก็เหมือนกับลู่เฉิน คนผู้นี้คือลูกศิษย์ผู้เป็ นที่ ภาคภูมิใจของปรมาจารย์มหาปราชญ์ สามารถเพิ่มคาว่า “หนึ่งใน” ไปได้ แต่จะไม่เพิ่มก็ได้
ป๋ ายเติงที่เพิ่งเดินออกมาจากซากปรักวังมังกรได้แค่ไม่กี่วัน หลายวันมานี้ก็ถือว่าสนิทสนมกับรองเจ้านครเซียนจานที่มีฉายา ว่าอิ่นลู่แล้ว ต่างก็เป็ นคนใบ้กินหวงเหลียน มีความขมขื่นแต่พูด ออกมาไม่ได้ เพราะไม่กล้าพูดจริงๆ รู ้สึกว่าทุกวันนอกจากจะดื่มเหล้า แล้วก็คือเตรียมพร ้อมสาหรับการดื่มเหล้ามื้อถัดไป
เดิมทีป๋ ายเติงอยากจะอาศัยสหายสุราผู้นี้มาทาความเข้าใจกับ ใต้หล้าไพศาลให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขนบธรรมเนียมและ ผู้คนของแจกันสมบัติทวีป ผลคือพอถามก็ต้องมึนงงไปทันที เพราะ อิ่นลู่ก็มีความคิดและความรู ้สึกเช่นนี้เหมือนกัน
อันที่จริงไม่ถือว่าป๋ ายเติงจะถูกชะตากับอิ่นลู่สักเท่าไร เพียงแต่ว่า อยู่ในภูเขาก็ควรต้องหาคนมาชวนคุยแก้เบื่อบ้าง ไม่อย่างนั้นก็จะอุด อู้เกินไป
จิงเฮากับเกาเกิงลูกศิษย์ผู้สืบทอดพักอาศัยอยู่ในเรือนแห่งหนึ่ง คืนนี้พวกเขามานั่งชมจันทร ์อยู่ใต้ชายคา เกาเกิงถามอย่างระมัดระวัง ว่าอาจารย์ พวกเราจะต้องเสียเวลากันอยู่อย่างนี้น่ะหรือ?
เอาแต่ดื่มเหล้าเป็ นเพื่อนเฉินเซียนจวินอยู่อย่างนี้ ดูจะไม่ค่อย เข้าท่าสักเท่าไรเลยนะ
ภูเขาชิงกงไม่ใช่พรรคเล็กอะไรสักหน่อย กิจธุระยุ่งวุ่นวาย ตาราง รายการหลายอย่างของแต่ละวันที่ยังไม่ได้ข้อสรุปจากการประชุมเมื่อ ปีก่อนกองเป็ นพะเนินอยู่นานแล้ว
อาจารย์ยังดี อยู่ที่นี่ยังพูดคุยบนโต๊ะสุราได้บ้าง น่าสงสารเกาเกิง ที่ก็ถือว่าเป็ นวีรบุรุษผู้กล้าของบนภูเขาหลิวเสียทวีปเหมือนกัน ทุก ครั้งล้วนจะต้องนั่งอยู่ในที่นั่งอันดับท้ายสุดอย่าว่าแต่ทุกประโยคเลย ทุกคาที่พูดล้วนต้องใคร่ครวญอย่างระมัดระวัง ตอนนี้เกาเกิงรู ้สึก เพียงว่าหากตนลงจากภูเขากลับไปยังบ้านเกิด บางทีอาจจะไม่อยาก ดื่มเหล้าไปอีกหลายปีเลย
ทินีมีคนแปลกๆ และเรื่องประหลาดเยอะเกินไปแล้ว
คนเฝ้ าประตูตรงตีนเขาคือนักพรตตัวปลอมที่ชอบอ่านตารา ต้องห้ามไม่มีสาระ ชายฉกรรจ์ที่มักจะหาบเหล้ามาให้ที่เรือนผู้นั้นก็ดู เหมือนจะเป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ขอบเขตบนวิถีวรยุทธสูงน่าดูชม ดู เหมือนจะเป็ นคนในพื้นที่ของถ้าสวรรค์หลีจู คือคนเฝ้ าประตูคนก่อน ของภูเขาลั่วพั่ว
มีผู้ฝึกยุทธหญิงแซ่เฉินคนหนึ่งที่ทุกวันจะต้องเดินนิ่งฝึกหมัดอยู่ บนเส้นทางภูเขา ต่อให้เห็นอิ่นกวานหนุ่ม นางก็ไม่เคยหยุดทักทาย
ภูตน้าน้อยที่ทุกวันจะต้องลาดตระเวนภูเขาสองรอบเช ้าเย็น ถึงกับเป็ นผู้พิทักษ์ฝ่ ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว คือผู้ถวายงานพิทักษ์ ภูเขาของสานักเบื้องบน
คนหนุ่มที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียว ใบหน้าประดับรอยยิ้ม อ่อนโยนมักจะอยู่กับแม่นางน้อยชุดด าบ่อยๆ อาจารย์บอกว่าอาจารย์ เสี่ยวโม่ที่เป็ นมิตรน่าใกล้ชิดผู้นี้จะต้องเป็ นเซียนกระบี่ขอบเขตบิน ทะยานคนหนึ่งอย่างมิต้องสงสัยแน่นอน
และยังมีผู้ฝึกตนเด็กสาวที่ตรงเอวพกจานฝนหมึกสีเขียวชิ้นหนึ่ง ว่ากันว่าคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอิ่นกวานหนุ่ม ข้างกายซ ้ายขวา ของนางจะต้องมี “ลูกสมุน” คอยติดตามมาด้วย คนหนึ่งคือ “เด็กสาว หมวกขนเตียว’ ที่ทาให้อาจารย์กริ่งเกรง และยังมีเด็กชายผมขาวที่ เวลาเจอกับเกาเกิงบนถนนมักจะชอบแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมใส่
สานักที่เป็ นเช่นนี้ เกาเกิงมิอาจทาความเข้าใจได้จริงๆ ยิ่งยากที่ จะเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม
จิงเฮากับลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ไม่ได้ความคนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ที่ว่ากันว่าจูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วเป็ นผู้ท าเองกับมือ
ได้ยินประโยคเหลวไหลประโยคนี้ของลูกศิษย์ จิงเฮาที่เดิมที อารมณ์ดีใช ้ได้ สีหน้าก็มีพยับเมฆแผ่ปกคลุมทันใด สัมผัสได้ถึงกลิ่น อายที่เปลี่ยนแปลงไปของอาจารย์ เกาเกิงก็รีบหุบปากทันที
จิงเฮาหรือจะอยากเปลืองเวลาอยู่ที่นี่ สาหรับเฉินเซียนจวินที่มี “เมตตา” ต่อภูเขาชิงกงจิงเฮาได้ตัดสินใจมานานแล้วว่าจะท าเพียง เคารพอยู่ไกลๆ เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าอยู่บนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ ทุกวันจะ ได้ดื่มเหล้าอย่างน้อยสองมื้อ แรกเริ่มเขาจะต้องดื่มสุราคารวะ “พี่ชาย น้องชาย” แซ่เฉินสองคนนั้นก่อนทุกครั้ง แทบอยากจะเอาชามเหล้า วางไว้ใต้โต๊ะแล้วก้มลงไปดื่มให้ต่าจนต่าไปมากกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว คงเป็ นเพราะการที่เขาทาอย่างนี้ทาให้เด็กชายชุดเขียวมึนงงไม่ เข้าใจ ก็เลยไปขัดตาเฉินเซียนจวินเข้า จนอีกฝ่ายใช ้เสียงในใจเตือน จิงเฮาว่า ทาไมเจ้าไม่นอนดื่มสุราคารวะบนพื้นไปเลยเล่า…
เงียบงันไปนาน มีคาพูดที่หากไม่พูดออกมาก็จะคับข้องใจมาก จริงๆ จึงใช ้เสียงในใจเอ่ยว่า “อาจารย์ สหายจิ่งชิงผู้นี้ช่างใจกล้า เหลือเกิน สมกับเป็ นวีรบุรุษยิ่งนัก”
ลองคานวณดูคร่าวๆ เด็กชายชุดเขียวที่เป็ นเจียวน้าขอบเขต ก่อก าเนิดตบไหล่เฉินเซียนจวินไปไม่ต่ากว่าสามสิบครั้งแล้ว ทั้งกล้า งอนิ้วดีด ทั้งกล้าเป่าลมใส่หน้าเฉินเซียนจวิน
จิงเฮามีสีหน้าซับซ ้อน “แต่ละคนมีชะตาต่างกันไป อิจฉาไปก็ เท่านั้น”
เด็กชายชุดเขียวย้อนจากยอดเขาจี๋หลิงกลับมายังยอดเขาจี้เซ่อ พร ้อมสหาย หลังจากแยกย้ายกันแล้วก็สะบัดชายแขนเสื้อแรงๆ ส่ง เสียงเรอดังลั่น เดินผ่านสถานที่หนึ่งเห็นว่าประตูเรือนไม่ได้ปิดไว้ พ่อ ครัวเฒ่านอนเอนกายบนเก้าอี้หวายพลางโบกพัดไปด้วย อยู่คนเดียว เพียงล าพัง มองแล้วน่าสงสารนัก
เฉินหลิงจวินจึงเดินเตร่ไปหยุดอยู่ข้างกายจูเหลี่ยน นั่งแปะลงบน เก้าอี้ไม้ไผ่ด้านข้างโยกไหล่พาทั้งคนทั้งเก้าอี้ “เดินไปถึง” ข้างกายจู เหลี่ยน จงใจอ้าปากกว้างพ่นกลิ่นสุราใส่พ่อครัวเฒ่า “พ่อครัวเฒ่า ทาอะไรน่ะ ค่าคืนยาวนาน นอนไม่หลับหรือ ฮ่า คิดถึงแม่นางคนใด หรือ?”
จูเหลี่ยนนอนนิ่งไม่ขยับ เพียงแค่ใช ้พัดโบกไล่กลิ่นสุรา “ไปเดิน เล่นกับเฉินจั๋วหลิวมาอีกแล้วหรือ?”
เฉินหลิงจวินยังคงพูดความในใจของตัวเองไป “พ่อครัวเฒ่า ข้า ไม่ได้ว่าเจ้าจริงๆ นะเรื่องบางอย่าง บุรุษอย่างพวกเราอายุมากแล้วก็ ต้องยอมรับชะตากรรม พี่น้องต้าเฟิงถ้าแต่งเนื้อแต่งตัวเข้าหน่อย บาง ทีอาจจะหลอกเอาสตรีสักคนกลับบ้านมาเป็ นภรรยาได้ ส่วนรูป โฉมน่ะหรือ ถึงอย่างไรก็พิถีพิถันอะไรไม่ได้อยู่แล้ว พี่น้องต้าเฟิงมีดี อยู่อย่าง นั่นคือขอแค่เป็ นสตรีก็ได้หมด ไม่มีข้อเรียกร ้องอะไร อาศัย ว่ามองแล้วถูกชะตา แค่ให้ไปวัดไปวาได้ก็พอ พอดับไฟมืด ตลบผ้า ห่ม เตียงก็ขยับได้แล้ว”
จูเหลี่ยนโบกพัดใบลานเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยังมีเรื่องอะไรที่มี ข้อเรียกร ้องยิ่งกว่าการไม่มีข้อเรียกร ้องอีก พี่น้องต้าเฟิงมีมาตรฐาน สูงจะตายไป”
เป็ นคนชอบดื่มเหล้าเหมือนกัน โดยทั่วไปแล้วใช ้ดวงตาที่ปรือ เพราะเมาสุรามองโลกใบนี้ เจิ้งต้าเฟิงเป็ นคนที่สายตาเย็นชาแต่จิตใจ ร ้อนเร่า แต่บางคนกลับตะกละดื่มอย่างเดียวเท่านั้น โลกมนุษย์จึง ย่อมมีความต่างระหว่างเซียนสุรากับผีสุรา
ส่วนเฉินหลิงจวินก็น่าจะถือเป็ นคนประเภทที่สาม
เพียงแต่ว่าอย่าได้พูดหลักการเหตุผลกับนายท่านใหญ่เฉินคนนี้ ไม่ใช่เข้าหูซ ้ายทะลุออกหูขวาอะไรด้วยซ้า แต่ไม่ผ่านสมองเลย
ต่างหาก
จูเหลี่ยนถาม “หลายวันมานี้ดื่มเหล้าจนติดใจแล้วสินะ?”
เฉินหลิงจวินส่ายหัว “ติดใจไม่ติดใจอะไรเล่า ดื่มมากไปก็อ้วก อ้วกเสร็จแล้วค่อยดื่มใหม่ มีความสุขนัก”
ก่อนหน้านี้ได้กลับมาพบกับเฉินจั๋วหลิวอีกครั้งหลังจากลากันไป นาน สหายสองคนต่างก็เป็ นคนเปิดเผย เฉินจั๋วหลิวไม่ได้ปิดบังอะไร บอกว่าตัวเองข้ามทวีปมาท่องเที่ยวครั้งนี้ก็แค่มาเที่ยวเล่นเท่านั้น ไม่ได้เจอกับเรื่องยากลาบากอะไร แต่เรื่องค่าเดินทางน่ะสิที่ขาดแคลน อยู่บ้างเล็กน้อยจริงๆ
เฉินหลิงจวินได้ยินว่ามีแค่เรื่องเล็กเท่าเมล็ดงานี้ก็ถอนหายใจโล่ งอก รู ้สึกมีความสุขแทนพี่น้องคนดีของตน ก็เหมือนอย่างที่พ่อครัว เฒ่าพูด วันนี้ไร ้เรื่องใดก็คือเรื่องดี
ขณะเดียวกันก็รู ้สึกเสียดายนิดๆ ที่ตนมีสารพัดวิชาติดตัว แต่น่า เสียดายที่วีรบุรุษไม่มีพื้นที่ให้แสดงฝี มือ หากเจอกับเรื่องอะไรเข้า จริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องช่วยออกหน้าให้พี่น้องคนดีให้ดีๆ สักครั้ง
หน่วนซู่นังเด็กโง่ผู้นั้น หลายวันมานี้แสดงออกได้ไม่เลว ยกน้า ส่งชาท ากับแกล้ม เอาผลไม้มามอบให้….มีระเบียบมีขั้นตอน ไม่เลอะ เลือนแม้แต่น้อย
ไปๆ มาๆ นางก็เริ่มสนิทกับสหายของเฉินหลิงจวินแล้ว ก่อนหน้า นี้เฉินจั๋วหลิวถามนางว่า ได้ยินเจ้าขุนเขาของพวกเจ้าบอกว่าเจ้ายัง ไม่สร ้างโอสถทอง มีเรื่องลาบากตรงไหนหรือไม่?
เฉินหน่วนซู่เพียงแค่ยิ้มแล้วส่ายหน้า
รอกระทั่งเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูออกไปจากเรือน เฉินชิงหลิว ก็ถามเด็กชายชุดเขียวอีกว่า นางไม่ร ้อนใจ เจ้าก็ไม่ร ้อนใจหรือ?
เฉินหลิงจวินหัวเราะเสียงดังลั่น ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ ฮ่า
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะไปหัวเราะมาก็หยุดเสียงลง เกาหัว
เฉินชิงหลิวยิ้มตาหยีบอกว่านังหนูนั่นมีชาติกาเนิดจากงูหลาม ไฟชะตาบุ๋น คิดอยากจะเดินลงน้าให้สาเร็จก็ไม่ง่ายเท่าไรเลยจริงๆ
ตอนนั้นเฉินหลิงจวินประหลาดใจอยู่บ้าง ขนาดเรื่องนี้นายท่าน บ้านตนก็เล่าให้พี่น้องของตนฟังด้วยหรือ
คิดไปคิดมา ในที่สุดเฉินหลิงจวินก็ได้คาตอบ คิดดูแล้วนายท่าน คงตั้งใจจะทาให้ตัวเองมีหน้ามีตาต่อสหายตนเองสินะ? บวกกับที่ทั้ง สองต่างก็เป็ นบัณฑิตเหมือนกัน พอพบเฉินจั๋วหลิวก็เหมือนคนที่รู ้จัก
กันมานาน ก็เลยไม่ท าตัวห่างเหินกัน?
หากนายท่านอยู่ด้วย ตนจะไม่ต้องยกดื่มก่อนสามชามหรือไร?
สุดท้ายเฉินชิงหลิวถามเฉินหลิงจวินว่า วันหน้าหากเฉินหน่วนซู่ ต้องเดินลงน้ากลายเป็ นเจียว ต้องการให้เขาช่วยพิทักษ์มรรคาให้นัง หนูนั่นหรือไม่
ส่วนเหตุผลก็สมกับเป็ นเฉินจั๋วหลิวอย่างมาก บอกว่าถึงอย่างไร ทุกคนก็แซ่เฉิน ถือเป็ นวาสนาอย่างหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ กับแกล้มที่กินมาหลายวันนี้จะกินเปล่าดื่มเปล่าไม่ได้
เฉินหลิงจวินถูกหยอกจนหัวเราะทันใด เดิมทียืนอยู่บนม้านั่งยาว กุมท้องหัวเราะก๊ากเป็ นเพราะขาจนท้องคัดท้องแข็งก็เลยนอนคว่าลง ไปบนโต๊ะ มือหนึ่งทุบโต๊ะ อีกมือหนึ่งชี้ไปที่สหายรักของตน เอ่ยว่า อย่างเจ้าเนี่ยนะ?
จากนั้นเฉินหลิงจวินก็เริ่มเวียนดื่มสุราคารวะต่อเทพเซียนผู้เฒ่า จิงและพวกเซียนกระบี่ป๋ าย ปล่อยเฉินชิงหลิวไว้อย่างนั้นไม่ไปสนใจ
แต่กลับไม่รู ้ว่าพวกคนที่ถูกดื่มสุราคารวะต่างก็ระแวดระวัง ยิ้ม กระอักกระอ่วน เหลือบมองสีหน้าของเฉินเซียนจวินอย่างระมัดระวัง คนหนึ่งสามารถไปพบบรรพบุรุษบ้านตนได้ทุกเมื่อ ฟันกระทบกันดัง กึกๆ ไม่กล้าเหลือบมองคนพิฆาตมังกรผู้นั้นเลยด้วยซ้า คู่พี่น้องร่วม ทุกข์ร่วมยากบนโต๊ะสุราคู่นี้ยากจะเอื้อนเอ่ยความขมขื่นออกมาจริงๆ สหายจิ่งชิง ล้วนเป็ นสหายกันแล้ว ไฉนต้องกลั่นแกล้งพวกเราด้วย
“น้องจิ่งชิง มีคนที่เจ้ากลัวหรือไม่ ต้องการให้พี่น้อง…ช่วย แบบนี้ หรือไม่ หืม?”
ระหว่างที่พูดเฉินชิงหลิวก็ยกมือขึ้นทาท่ามือเป็ นมีดที่ฟันลงมา
เฉินหลิงจวินชอบเฉินจั๋วหลิวในเรื่องนี้มากที่สุด อยู่บนโต๊ะสุราก็ ไม่รู ้แล้วว่าตัวเองเป็ นใคร นิสัยเหมือนตนเลย
หากจะคิดจริงจัง อยู่ที่บ้านเกิดของนายท่านแห่งนี้ มีใครบ้างที่ไม่ กลัว? หลายปี ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเฉินหลิงจวินจะต้องเสียเปรียบ เพราะ ‘ค าพูดตรงไปตรงมา สองมือนับก็ยังนับไม่หมด?
ทุกวันนี้เหล้าที่ดื่มแต่ละมื้อล้วนจดจาความขมขื่นลิ้มรสความ หวานล้าทั้งนั้น
เฉินชิงหลิวยิ้มมีเลศนัย “ถ้าอย่างนั้นก็พูดชื่อมา ฉายาก็ได้ ค่อนข้างกลัวใคร?”
เฉินหลิงจวินมองไปทางผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างจิง เฮาตามจิตใต้ส านึกแน่นอนว่าไม่ได้กลัวสหายสุราอย่างจิงเฮา แต่
กลัวเทพเซียนผู้เฒ่าที่กินอิ่มว่างงานแล้วชอบแสร ้งท าเป็ นว่าตัวเองคือ “คนที่ผ่านทางมา” พวกนี้
พูดถึงแค่ในร ้านตีเหล็กของเมืองเล็กปีนั้น ช่างตีเหล็กหร่วนที่ เป็ นอริยะผู้เฝ้ าพิทักษ์คนสุดท้าย มองแล้วคล้ายชาวนามาก ดังนั้น เฉินหลิงจวินที่ซื่อตรงปากไวถึงได้ก่อเรื่องเข้าใจผิดกัน
จิงเฮาตกใจสะดุ้งโหยง
สหายจิ่งชิง เจ้าหันมามองข้าหามารดาเจ้าหรือ?!
ใบหน้าเฉินหลิงจวินเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ผลคือพอคิดไปถึง ใครคนหนึ่ง คนที่เขาไม่กลัวมากที่สุด
เฉินหลิงจวินก็ตัวสั่นเยือก ต้องรีบดื่มเหล้าระงับความตกใจ
กลัวสิ ท าไมจะไม่กลัวล่ะ
หลังจากเดินลงน้ากลายเป็ นเจียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ยินว่าอีก ฝ่ ายปรากฏตัวในการประชุมของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง เฉินหลิงจวิน ก็รู ้สึกหัวโต จนถึงทุกวันนี้ก็ยังกลุ้มใจกับเรื่องหนึ่งมาโดยตลอด
ด้วยคุณสมบัติในการฝึ กตนและความมานะหมั่นเพียรของตน แล้ว อย่าได้กลายเป็ นว่าไม่ทันระวังก็กลายร่างเป็ นมังกรที่แท้จริงอะไร เลยนะ ถึงเวลานั้นจะไม่ถูกคนพิฆาตมังกรตามมาหาถึงบ้านหรือ?
เพียงแต่ว่าเรื่องประเภทนี้ พูดออกไปแล้วก็อายคน เขาหน้าบาง ไม่กล้าคุยเรื่องนี้กับนายท่านด้วยซ้า
ต่อให้มีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชนมากแค่ไหน อยู่ร่วมกับ คนอื่นในสังคมอย่างมีไหวพริบมากเท่าไร ก็มิอาจต้านทานบารมี อานาจที่สะสมมาอย่างลึกล้าของศึกพิฆาตมังกรเมื่อสามพันปีก่อนได้
เป็ นเหตุให้หน้าแรกของ “รวมเล่มคนผ่านทาง” ที่เฉินหลิงจวิน ตั้งใจเรียบเรียงขึ้นมาถูกปล่อยว่างไว้
ไม่กล้าเขียนชื่อคนผู้นั้นลงไปด้วยซ้า
ภายหลังก็ใช ้กาวปิดหน้านั้นแนบไปกับหน้าปกเสียเลย
ราวกับว่าเมื่อทาเช่นนี้ก็ไม่ต้องเดินสวนไหล่กับคนพิฆาตมังกร ในตานานผู้นั้นแล้ว