กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1044.4 เหนือศีรษะขึ้นไปสามฉื่อมีใครอยู
ตอนนั้นที่นั่งกันอยู่บนโต๊ะสุรา กลับกลายเป็ นว่าเด็กชายชุด เขียวเป็ นคนหันมาสั่งสอนบัณฑิตยากจนอย่างเฉินจั๋วหลิวแทน อย่าได้คิดว่าตัวเองเรียนเวทคาถาเซียนบนภูเขามาเล็กน้อยแล้วปาก จะเอาแต่พร่าพูดเรื่องรบราฆ่าฟัน ยุทธภพจะอยู่กันแบบนี้ไม่ได้ พวก เราออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกต้องทาดีกับผู้อื่น เป็ นคนต้องเหลือ พื้นที่ว่างเว้นไว้ให้กัน วันหน้าจะได้ยังมองหน้ากันติด รู ้หรือไม่ เข้าใจ หรือไม่?
เฉินหลิงจวินกล่าวอย่างลาพองใจว่า “พ่อครัวเฒ่า ข้าคุยกับพี่ น้องที่รักเรียบร ้อยแล้ว คราวหน้าจะให้เขาขออาจารย์ซินให้ช่วย เขียนเทียบอักษรสองแผ่น แผ่นหนึ่งข้าจะเก็บไว้เองแล้วจะน ามามอบ ให้เจ้า เมื่อเป็ นเช่นนี้ก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองน้าใจของเจ้า ส่วนอีกแผ่น หนึ่งให้นายท่านน าไปมอบต่อให้เว่ยป้ อ เหอะ ข้าจะบอกนายท่านไว้ ก่อนว่าอย่าบอกว่าเป็ นคุณความชอบของข้า เว่ยป้ อคนนี้ชอบเล่นตัว แล้วยังรักหน้าตา หากรู ้ว่าข้าช่วยคงจะนินทาอยู่ในใจ ต่อให้เขาได้ สมบัติชิ้นนี้ไปก็ยังไม่รู ้สึกมีความสุขสักเท่าไรอยู่ดี”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “นี่คือเจ้าจะทาเรื่องดีโดยไม่ทิ้งนามสินะ”
เฉินหลิงจวินยกสองแขนกอดอก คิ้วตาเบิกบาน “ก็เรียนรู ้มาจาก นายท่านอย่างไรล่ะ”
จูเหลี่ยนกล่าว “เว่ยป้ อรับของขวัญชิ้นนี้ไปแล้ว ต่อให้จะรู ้ว่าเจ้า ช่วยขอมาให้ เขาก็ยังดีใจมากอยู่ดี”
เฉินหลิงจวินมัวแต่ดีใจอยู่กับตัวเองจึงไม่ทันขบคิดความนัยใน คาพูดประโยคนี้ของจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนรู ้ว่าชีวิตนี้คนที่เว่ยป้ อเลื่อมใสมีน้อยจนนับนิ้วได้ นอกจากมือกระบี่อาเหลียงที่มาจากสายหย่าเซิ่งแล้วก็ยังมีอาจารย์ ซินมังกรแห่งถ้อยคาที่ตอนนี้ออกเดินทางไปข้างนอกไม่อยู่บนภูเขา รวมไปถึงลูกศิษย์ผู้เป็ นที่ภาคภูมิใจบางคนที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ เคยบอกว่า “ห้าวหาญยิ่งกว่าข้า” เป็ นหนึ่งใน “บัณฑิต” ของยุค บรรพกาลที่ติดตามปรมาจารย์มหาปราชญ์ก่อนใคร คนผู้นี้ยังเคยทิ้ง ถ้อยคาที่คล้ายกับเสียงคารามยาวนานหมื่นปีให้กับโลกยุคหลัง นั่น คือประโยคที่ว่า “แม้วิญญูชนจะตาย หมวกก็ไม่หลุดไปจากศีรษะ (เปรียบเปรยว่าต่อให้ถึงคราวตาย วิญญูชนก็ยังรักษามาดและ มารยาทพิธีการ หมวกที่สวมอยู่บนศีรษะมิอาจหล่นร่วง)
เฉินหลิงจวินกดเสียงลงต่า “พ่อครัวเฒ่า หากจะพูดถึง ประสบการณ์ที่ผ่านมากับตัวเอง เจ้าไม่ได้เรื่องก็จริง แต่หลักการ เหตุผลยิ่งใหญ่ที่เอ่ยจากปากกลับมีเป็ นชุดๆ ไหนเจ้าลองบอกมา หน่อยสิว่าเจ้าประมุขเกาแห่งพรรคหูชานผู้นั้น ทาไมนางถึงยังอยู่ต่อ ไม่ยอมกลับเสียที นี่มันเรื่องอะไรกัน คงไม่ใช่ว่าถูกใจนายท่านของ ข้าเข้าแล้วหรอกนะ? หากเป็ นเช่นนี้จริง ข้าจะปล่อยตามใจนางไม่ได้ เด็ดขาด ทุกเรื่องล้วนพูดกันได้ มีเพียงเรื่องนี้ที่จะทาเลอะเลือนไม่ได้”
จูเหลี่ยนกล่าว “อย่าคิดมาก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ ์ ชายหญิงอะไร ก็แค่เป็ นคนที่อยากหาเงินให้ได้มากๆ แล้วจู่ๆ ได้เข้า มาในภูเขาเงินภูเขาทอง มองจนตาพร่าลาย ก็เลยอยากจะหอบ กลับไปบ้านให้ได้มากหน่อยเท่านั้น”
เฉินหลิงจวินกล่าวอย่างกังขา “หมายความว่าอย่างไร พูดให้
เข้าใจหน่อยสิ”
จูเหลี่ยนอธิบายอย่างอดทน “ทุกวันนี้เกาจวินคือบุคคลอันดับ หนึ่งในใต้หล้าของพื้นที่มงคล แม้จะบอกว่าสถานการณ์ไม่สมชื่อนัก แต่อยู่ในพื้นที่มงคลรากบัวก็ถือว่าเป็ นผู้นาบนภูเขาได้แล้ว ยิ่งเป็ น ช่วงหลังจากนี้ ขอบเขตของนางยิ่งสูงขึ้นก็จะยิ่งมีบารมีอานาจมาก ขึ้นบวกกับที่นางมีความคิดที่ว่าอยู่ในตาแหน่งใดก็ต้องทาหน้าที่ของ คนตาแหน่งนั้น จึงกังวลว่าคุณธรรมของตัวเองจะไม่สมกับต าแหน่ง ดังนั้นพอมาถึงที่นี่นางจึงเป็ นเหมือนกบในบ่อที่ได้เห็นมหาสมุทร กว้างใหญ่ ไม่ว่าเห็นอะไรก็รู ้สึกว่าเป็ นเรื่องแปลกใหม่ไปเสียหมด นาง จึงอยากจะเข้าใจกฎเกณฑ์ให้มากขึ้น เพื่อที่ว่ากลับไปจะได้วางแผน แต่เนิ่นๆ พยายามที่จะรวบรวมกองก าลังบนภูเขามาเป็ นพรรคพวก ขมวดรวมใจคนของผู้ฝึกลมปราณให้กลายเป็ นเชือกเส้นเดียวกัน สุดท้ายพยายามที่จะช่วงชิง…อิสระที่มากกว่าเดิมจากภูเขาลั่วพั่วมา ให้กับพื้นที่มงคล ถือว่านางหวังดี”
หากไม่ผิดไปจากที่คาด เกาจวินกลับไปยังพื้นที่มงคล คุณชายก็ จะติดตามนางไปเข้าร่วมการประชุม “ยอดเขา” ครั้งหนึ่งเพื่อช่วยกัน วางกรอบกฎระเบียบของใต้หล้าด้วย
เสี่ยวโม่ต้องตามไปด้วยแน่ ก่อนหน้านี้เซี่ยโก่วได้ยินว่ามีเรื่อง เช่นนี้อยู่ นางก็หมายมั่นปั้นมือเต็มที เหตุผลเปี่ยมล้น ข้าต้องไปช่วย
สนับสนุนเจ้าขุนเขาน่ะสิ
“สามารถเข้าใจได้ เจ้าประมุขเกามีใจแล้วจริงๆ”
เฉินหลิงจวินอืมรับหนึ่งที ก่อนจะถามอีกว่า “แล้วจงเชี่ยนล่ะ ได้ ยินมาว่าคือผู้ฝึกยุทธร่างทองอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลรากบัวพวก เรา ไม่ถูกนายท่านเจ้าขุนเขาซ ้อมก็ช่างเถิดแต่เขากลับไม่เคยมาขอ ความรู ้จากคนบ้านเดียวกันอย่างเจ้าเลยหรือ?”
หากจะบอกว่าเจ้าประมุขเกาเงินแห่งพรรคหูซานแคว้นซงไล่คือ เซียนดินโอสถทองอันดับหนึ่งตามความหมายที่แท้จริงของพื้นที่ มงคล จึงมี “บัญชาสวรรค์” ที่มองไม่เห็นคอยปกป้ อง ถ้าอย่างนั้นจง เชี่ยนผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอันดับหนึ่งก็ต้องมีโชคชะตาบู๊อยู่บน ร่างอย่างที่มองไม่เห็น เขากับเกาจวินต่างก็ถือว่าเป็ นคนโชคดีที่ สวรรค์โปรดปรานเป็ นพิเศษ
เพียงแต่ว่าพอจงเชี่ยนมาถึงภูเขาลั่วพั่วกลับท าตรงกันข้ามกับ เกาจวินอย่างสิ้นเชิง เวลาปกติเขาคร ้านที่จะปรากฏตัว ว่ากันว่าทุก
วันจะต้องนั่งแทะหอมใหญ่จิ้มเต้าเจี้ยวเอาแต่ดื่มเหล้าอยู่คนเดียว เงียบๆ
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “เขาไม่กล้า ต่อให้มา วันหน้าเขาก็ไม่กล้ามา อีกแล้วจริงๆ”
คนสี่คนในภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีตต่างก็เป็ น บุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้าของยุคสมัยแต่ละคน โดยภาพรวมแล้วก็ คือภายนอกดูเป็ นมิตร แต่ลึกๆ ในใจกลับดูแคลนอีกสามคนที่เหลือ ความสัมพันธ ์ไม่แย่ แต่ขณะเดียวกันก็แอบมีคลื่นใต้น้าระหว่างกัน
โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา หากอายุมาก อายุขัยใน การฝึกตนยาวนาน อาจจะได้ครอบครองความได้เปรียบก่อน คนรุ่น เยาว์ที่อยู่ด้านหลังเมื่อเทียบกันแล้วก็ลืมตาอ้าปากและโดดเด่นได้ ยากกว่า
แต่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว จูเหลี่ยนกลับรู ้สึกว่ามักจะมีภูเขาลูกหนึ่งที่ สูงกว่าภูเขาอีกลูกเสมอวิถีแห่งการเรียนวรยุทธไม่จาเป็ นที่จะต้องให้ ความส าคัญกับอดีตมากกว่าปัจจุบัน
ก็เหมือนอย่างใต้หล้าไพศาล บุคคลอันดับหนึ่งบนยอดเขาของ วิถีวรยุทธ อันดับแรกก็มีจางเถียวเสีย จากนั้นก็มีเผยเปย ทุกวันนี้ยัง มีเฉาสือกับเจ้าขุนเขาบ้านตน
เฉินหลิงจวินจุ๊ปากรัวๆ พ่อครัวเฒ่าเก่งกาจนัก ไม่ต้องดื่มเหล้าก็ พูดจาใหญ่โตได้แล้ว
จูเหลี่ยนกล่าว “หากใช ้คากล่าวของพี่น้องต้าเฟิงก็คือคนที่ไม่คิด จะพัฒนาอย่างจงเชี่ยน จะดื่มเหล้าร่วมกับจิ่งชิงไม่ได้ได้อย่างไร”
เจิ้งต้าเฟิงรู ้สึกว่าวิชาหมัดของจงเชี่ยนไม่มีน้าหนักมากพอจริงๆ จูเหลี่ยนก็รู ้สึกว่าจงเชี่ยนไม่อามหิตต่อตัวเองมากพอ มีผลสาเร็จบน วิถีวรยุทธอย่างทุกวันนี้ได้ก็แค่เพราะเท้าเหยียบเปลือกแตงโมเลื่อน
มาถึงก็เท่านั้น
เฉินหลิงจวินได้ยินก็ไม่สบอารมณ์ทันใด “พ่อครัวเฒ่าค าพูด ประโยคนี้ของเจ้าทาร ้ายจิตใจกันมากเลยนะ”
จูเหลี่ยนถาม “เจิ้งต้าเฟิงเป็ นคนพูด ไฉนมาโทษข้าได้?”
เฉินหลิงจวินยิ้มกว้าง “ข้าจะรู ้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้ใส่ร ้ายเขา พยายามจะยุแยงให้มิตรภาพระหว่างพี่น้องของข้ากับพี่ใหญ่ต้าเฟิง เกิดรอยร ้าวหรือเปล่า”
จูเหลี่ยนเงยหน้ามองไปนอกเรือน
เฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวโบกมือมาทางเขา บอกเป็ นนัยแก่พ่อ ครัวเฒ่าว่าไม่ต้องลุกขึ้น
เฉินหลิงจวินรีบลุกขึ้น วิ่งไปขอความดีความชอบ
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ยเตือนว่า “ครั้งนี้อย่าได้ตบไหล่ใครส่งเดชอีกล่ะ”
เฉินหลิงจวินวิ่งเหยาะๆ ไปทางหน้าประตูเรือนพลางหันมาถาม อย่างประหลาดใจด้วย “หมายความว่าอย่างไร?”
จูเหลี่ยนกลับไปเอนกายนอนบนเก้าอี้หวายอีกครั้ง โบกพัดใบ ลาน เอ่ยอย่างเกียจคร ้านว่า “ช่างเถอะ ขอแค่เจ้ามีความสุขก็พอ”
บางทีในร ้อยเรื่อง จูเหลี่ยนอาจมีคุณสมบัติพอที่จะสอนหลักการ เหตุผลแปดสิบเก้าสิบข้อให้กับเฉินหลิงจวิน มีเพียงในเรื่องของการ คบหาสหายและการรับรองแขกเท่านั้นที่ไม่ต้องสอน แล้วก็สอนไม่ได้
ด้วย
ตรงหน้าประตูภูเขา
นักพรตเซียนเว่ยสะดุ้งตื่นเพราะเสียงกรนดังดุจฟ้ าร ้องของเจิ้งต้า เฟิงที่อยู่ห้องติดกันพอตื่นแล้วเขาก็ไม่ง่วงอีก ก็เลยยกเก้าอี้ไปนั่งใต้ ซุ้มป้ ายหน้าประตู อาศัยแสงจันทร ์อ่านต ารา
คืนนี้หมี่ลี่น้อยนอนดึก อยู่ว่างไม่มีอะไรทาจึงออกไปเที่ยวเล่น ข้างนอก หากไม่ทันระวังแล้วได้เห็นเผยเฉียนกลับมาบ้านล่ะ
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่การลาดตระเวนภูเขา แม่นางน้อยชุดด าจึง ไม่ได้พกคานหาบสีทองและไม้เท้าไผ่เขียวมาด้วย แค่สะพายกระเป๋ า ผ้าฝ้ าย กระโดดโลดเต้นไปบนเส้นทางภูเขาแล้วจู่ๆ ก็มองเห็นเงาร่าง ตรงตีนเขา จึงฝึกหมัดเดินนิ่งเลียนแบบเฉินยวนจี ขยับเข้าใกล้ประตู ภูเขาก็ฝึกเสร็จพอดี นางยกสองมือกดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน ยิ้ม ตะโกนเรียกว่านักพรตเซียนเว่ย
เซียนเว่ยตอบรับ ก่อนจะใช ้ความเร็วที่ฟ้ าผ่าไม่ทันป้ องหูม้วน ต าราสอดใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ก่อนจะหยิบตาราอริยะปราชญ์ที่อยู่ ในชายแขนเสื้ออีกข้างหนึ่งออกมา
เซียนเว่ยเพิ่งจะหันหน้ากลับไป หมี่ลี่น้อยก็วิ่งตะบึงลงมาจาก ภูเขาแล้ว เซียนเว่ยจึงจะลุกขึ้นไปยกม้านั่งยาวที่อยู่ข้างโต๊ะมาให้
หมี่ลี่น้อยนั่งยองอยู่ด้านข้าง โบกมือเป็ นพัลวันบอกว่าไม่ต้อง นางนั่งยองเอาก็ได้แล้ว
แม่นางน้อยถามว่าคงไม่รบกวนการอ่านต าราของนักพรตเซียน เว่ยหรอกกระมัง?
เซียนเว่ยยิ้มเอ่ยว่าจะเป็ นไปได้อย่างไร
จูเหลี่ยนกับเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อครัวเฒ่า จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู ้เรื่องหนึ่ง เพราะ “ข้อสรุปแน่นอน” บางอย่าง เกี่ยวกับสาวงามบนถนนหรือไม่ก็เด็กสาวในหอซิ่วโหลวของสองฝ่าย ในอดีต เมื่อช่วงก่อนหน้านี้ได้ถูกหมี่ลี่น้อยนาไปบอกเล่าให้เจ้า ขุนเขาคนดีที่กลับมาบ้านฟัง ถึงได้มีการนัดถามหมัดในเมืองหลวง แคว้นหนันเยวี่ยนเกิดขึ้น
พวกเจ้าแต่ละคนพูดเก่งกันนักใช่ไหม กล้าพูดจาปากไร ้หูรูดต่อ หน้าหมี่ลี่น้อย ไม่กลัวว่าจะสอนให้หมี่ลี่น้อยของข้าเสียคนบ้างเลย หรือไร?
ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่สานักกระบี่ชิงผิง เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ ถึงมักจะรู ้สึกว่าใต้เท้าอิ่นกวานมองตนด้วยรอยยิ้มเย็นชาบ่อยๆ ตอน นั้นหมี่อวี้ยังไม่เข้าใจ ไม่รู ้ว่าตัวเองทาอะไรผิดไปตรงไหน เพียงแต่ว่า เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ก็คร ้านจะคิดลึก ถึงอย่างไรเรื่องที่ตัวเองท าดีก็มี ไม่มากอยู่แล้ว ก็คิดเสียว่าหมูตายไยต้องกลัวน้าร ้อนลวกไปเสียเลย ไม่ว่าจะอยู่ในห้องบัญชีของเรือนขุนฟานหรือคฤหาสน์หลบร ้อนก็ ไม่ใช่เขาที่ว่างงานที่สุดหรอกหรือ? ที่เกินกว่าเหตุยิ่งกว่านั้นก็คือยัง ถูกผู้ฝึ กกระบี่รุ่นเยาว์เหล่านั้นสัพยอกว่า “คุณความชอบครึ่งหนึ่ง เป็ นของหมี่อวี้” ส่วนใครเป็ นคนเริ่มพูดเก่อน ต่งปู้ เต๋อหรือหลินจวินปี้ หรือจะเป็ นประโยคเป็ นธรรมของกู้ฉางหลง เขาก็ไม่สนใจแล้ว
หมี่ลี่น้อยถามเสียงเบา “นักพรตเซียนเว่ย นอนไม่หลับเพราะ
คิดถึงบ้านเกิดหรือ?”
“ในตาราบอกว่าไม่ลืมบ้านเกิดก็คือผู้ที่มีเมตตา ไม่อาลัยอาวรณ์ มาตุภูมิเดิมก็คือคนใจกว้าง”
เซียนเว่ยม้วนตาราที่เดิมทีก็แค่แสร ้งอ่านให้พอเป็ นพิธีเท่านั้น ครุ่นคิดแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นหากอิงตามหลักการข้อนี้ การที่ นักเดินทางคิดถึงบ้านเกิดก็เป็ นความรู ้สึกทั่วไปของมนุษย์ เพียงแต่ ว่าหาเลี้ยงชีพอยู่ไกลบ้านก็ต้องท าใจให้กว้างสักหน่อย”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้า ปรบมือแรงๆ แต่กลับไร ้เสียง “มีเหตุผล ประโยคนี้ของนักพรตเซียนเว่ยพูดโดนใจข้าเลยล่ะ ฮ่า หลักการ
เหตุผลที่ดีเช่นนี้ พวกเราต้องปิ ดประตูอยู่ร่วมกับมันให้ดีๆ ไม่อาจ ปล่อยให้มันแอบหนีออกไปได้นะ”
เซียนเว่ยร ้องเอ๊ะหนึ่งที ใช ้ม้วนตาราเคาะฝ่ ามือ “หลักการเหตุผล ข้อนี้ของหมี่ลี่น้อยเหมือนว่าจะพูดได้ดียิ่งกว่านะ ได้เรียนรู ้แล้ว ได้ เรียนรู ้แล้ว”
หมี่ลี่น้อยเห็นว่านักพรตเซียนเว่ยอารมณ์ดีมากก็เกาแก้ม ถาม ว่า “นักพรตเซียนเว่ยเล่นเอ้อหูเป็ นหรือไม่? มันเพราะมากเลยนะ ข้า อยากฟังมาตลอด แต่ตอนกลางวันมีคนอยู่เยอะก็เลยไม่กล้าเปิ ด ปาก”
เซียนเว่ยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม รีบลุกขึ้นยืนทันใด “รอเดี่ยว
ข้าจะไปเอาเอ้อหูมา”
มีคนช่วยสนับสนุน ไยจะไม่ยินดีท าเล่า อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วบ้านตน มีใครบ้างที่ไม่ชอบหมี่ลี่น้อย?
เมื่อก่อนท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลาพัง เพราะต้องหาเลี้ยงชีพ เซียนเว่ยที่สวมรอยเป็ นนักพรตมีชื่อจริงว่าเหนียนจิ่ง อันที่จริงได้ เรียนรู ้ทักษะมาหลายอย่าง เล่นหมากล้อมกับคนอื่นเพื่อหาเงินก็คือ ทักษะอย่างหนึ่งในนั้น
เอ้อหูนี่เขาก็เล่นเป็ นมาตั้งนานแล้ว แต่พอมาถึงภูเขาลั่วพั่ว อันที่ จริงนักพรตเซียนเว่ยไม่เคยคิด อีกทั้งก็ไม่มีโอกาสที่จะได้กลับมาทา อาชีพเก่า เพียงแต่ว่ามีครั้งหนึ่งได้ยินพ่อครัวเฒ่าเล่นบนม้านั่งใน
บ้านของเขาเอง ตอนนั้นเซียนเว่ยฟังอย่างเคลิบเคลิ้มตื่นตาตื่นใจ จึง ขอความรู ้จากจูเหลี่ยนอย่างนอบน้อมอยู่หลายครั้ง จูเหลี่ยนจึงยก เอ้อหูตัวนั้นให้กับเซียนเว่ยในความเป็ นจริงแล้วพ่อครัวเฒ่าที่มาก ความสามารถ อย่าว่าแต่เอ้อหูเลย ต่อให้เป็ นผีผาที่ส่วนใหญ่สตรี มักจะเล่นกัน จูเหลี่ยนก็ดีดได้ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งเขายังสามารถใช ้ท่วงทานองอ่อนโยนละมุนละไมที่สตรีเล่นกันมา แสดงให้เห็นถึงอารมณ์อันอ่อนหวานของความรักชายหญิงได้อย่างดี เยี่ยม
น่าเสียดายก็แต่จูเหลี่ยนมีข้อพิถีพิถันของตัวเอง ส่วนใหญ่มักจะ เล่นแค่ตอนที่หมี่ลี่น้อยและเฉินหน่วนซู่อยู่ด้วย ไม่มีคนนอก แม่นาง น้อยสองคนเปิดปากบอกว่าอยากฟัง เขาถึงจะแสดงฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ที่ตัวเขาเองบอกว่าไม่มีค่าพอให้พูดถึงนี้ออกมา
เซียนเว่ยรู ้สึกว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจูตอนที่เป็ นหนุ่ม หากรูปโฉม ดีกว่านี้สักเล็กน้อย ไม่ต้องหล่อเหลาปานใด ขอแค่ดูสุภาพเรียบร ้อย สักหน่อย เกรงว่าคงต้องมีสาวงามคนรู ้ใจเยอะมากแน่นอน
เคยมีครั้งหนึ่งนั่งฟังบทสนทนาอยู่ข้างๆ สหายจิ่งชิงถามจูเหลี่ยน ว่า “พ่อครัวเฒ่า มีเรื่องไหนที่เจ้าทาไม่เป็ นบ้างไหม?”
อันที่จริงคาถามนี้คือคาถามที่คนมากมายในภูเขาลั่วพั่วอยาก ถามมานานแล้ว
จูเหลี่ยนยิ้มด่าว่า “ผายลมน่ะสิ ต้องมีแน่อยู่แล้ว”
เฉินหลิงจวินทาหน้าไม่เชื่อถือ “ยกตัวอย่างเช่น?” อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ให้กาเนิดบุตร
ยามค่าคืนที่มีแสงจันทร ์ นักพรตเซียนเว่ยเดินเร็วๆ กลับไปหยิบ เอ้อหูที่ห้องแล้วกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ เซียนเว่ยกระแอมอยู่สอง สามที่ให้ลาคอชุ่มชื้น ก้มหน้าปรับสายเล็กน้อย
นักพรตดีดสายร ้องเพลงละเมียดละไม เสียงเพลงของนักพรตดัง ขึ้นมาในภูเขาทีเงียบสงบ
เมื่อเซียนเว่ยหลับตา เงยหน้าน้อยๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ ร ้องประโยคที่ว่ากันว่าตัวพระสูงวัยในการแสดงงิ้วเป็ นผู้ขับร ้องว่า “ข้า ตั้งใจมอบหัวใจให้จันทราเพียงหนึ่งเดียวแต่ไฉนดวงจันทร ์จึงเอาแต่
ส่องแสงไปยังร่องคูน้า”
ต่อให้หมี่ลิ่น้อยจะฟังมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังรู ้สึกว่านักพรต เซียนเว่ยในเวลานี้ร ้องได้…น่ามองมากเลย
เกี่ยวกับคากล่าวนี้ เมื่อก่อนเผยเฉียนเคยพูดหยอกล้อหมี่สี่น้อย ปีนั้นมีแค่พ่อครัวเฒ่าที่บอกว่าคากล่าวนี้ของนางมีความรู ้อย่างมาก
บนเส้นทางภูเขา เด็กชายชุดเขียวชูแขนร ้องตะโกนเสียงดังว่า ยอดเยี่ยม เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่เขาทันที
เซียนเว่ยรีบหยุดเล่นเอ้อหู เขินอายอย่างหนัก หมี่ลี่น้อยหันหน้า ไปมอง เอานิ้วชี้วางทาบบนปากบอกเป็ นนัยแก่จิ่งชิงว่าอย่ารบกวน นักพรตเซียนเว่ย
เฉินผิงอันเพียงแค่คุยเล่นกับเซียนเว่ยที่หน้าประตูไม่กี่คาก็มอง ไปยังทิศที่ตั้งของเมืองเล็ก แล้วจึงพาเฉินหลิงจวินย้อนกลับขึ้นภูเขา
ไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
บนภูเขา เมื่อครู่นี้เสี่ยวโม่ได้พาเซี่ยโก่วไปที่หอบูชากระบี่แล้ว
เสี่ยวโม่ให้เหตุผลโดยไม่ปิดบัง แม้ว่าเซี่ยโก่วจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่พอคิดถึงเจ้าประมุขกวอก็ได้แต่ฝืนใจมาที่หอบูชากระบี่
ระหว่างที่ทะยานลมนางยังบ่นเจ้าขุนเขาที่ทาเรื่องเล็กให้เป็ นเรื่อง ใหญ่ว่าไม่รู ้จักสานสัมพันธ ์กับปฏิทินเหลืองบ้างเล่มเองบ้างเลย นาง กับแขกอีกสองคนที่กาลังจะมาถึงมีความสัมพันธ ์กันดีมากเลยล่ะ
เสี่ยวโม่กลับรู ้ไส้รู ้พุงนางดี จึงเปิ ดโปงคาโกหกที่เซี่ยโก่วพูด อย่างไม่อายปากไปโดยตรงว่า ดีมาก? ไม่ได้ดีอย่างปากว่ากระมัง ปี นั้นเจ้าไปถามกระบี่กับบัณฑิตสองคนนั้นพร ้อมปราณสังหารพุ่ง ทะยาน จะมีความสัมพันธ ์ที่ดีต่อกันได้อย่างไร
แต่เซี่ยโก่วกลับคิดว่าขอแค่มีเสี่ยวโม่อยู่ด้วย นางก็จะไม่ถือสา เฉินผิงอันแล้ว