กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1044.5 เหนือศีรษะขึ้นไปสามจื่อมีใครอยู
เซี่ยโก่วใช ้สองมือจับประคองหมวกขนเตียว ไม่มีเรื่องก็หาเรื่อง มาชวนคุย เสี่ยวโม่ มีใครที่เจ้ากลัวหรือไม่?
เสี่ยวโม่บอกว่ามีไม่มาก จอมปราชญ์น้อยต้องถือเป็ นหนึ่งในนั้น ได้แน่นอน
ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล ผู้ฝึกกระบี่เสี่ยวโม่กับป๋ ายจิ่งต่างก็ เป็ นคนประเภทที่ไม่กลัวว่าจะมีเรื่องมากที่สุด มีสหายน้อย ผูกปมแค้น กับคนอื่นไปทั่ว
เซี่ยโก่วหน้ามุ่ย รู ้สึกอัดอั้นอยู่บ้าง บอกว่าข้าเอาชนะหลี่เซิ่ง ไม่ได้หรอกนะ ศักดิ์ศรีครั้งนี้กอบกู้คืนมาไม่ได้แล้ว
เสี่ยวโม่ยิ้มเอ่ยว่าศักดิ์ศรีประเภทนี้ไม่จาเป็ นต้องกอบกู้คืนมา หรอก
เซี่ยโก๋วบอกว่าคราวหน้าที่ไปพื้นที่มงคลรากบัว ข้าจะตามเจ้าไป ด้วยนะ
เสี่ยวโม่ลังเลเล็กน้อย บอกว่าขอให้ข้าได้คุยกับคุณชายก่อน
เซี่ยโก่วกระโดดโลดเต้นอยู่บนทะเลเมฆจนหมวกขนเตียวส่าย สะบัด เสื้อผ้าพลิ้วไสว
เสี่ยวโม่ยิ้มพลางเดินทางไปร่วมกับนาง เพียงแต่ว่าการกระทาที่ เหมือนเด็กน้อยเช่นนี้ของเด็กสาวสวมหมวกขนเตียว เสี่ยวโม่ย่อมไม่ ทาด้วย เพียงแค่มองตามนางไปเท่านั้น
ชายแดนของอ าเภอลุ้ยอันจังหวัดเหยียนโจว ริมลาน้าซี่เหมย หยวนเทียนเฟิงที่สวมชุดขาวผู้ซึ่งเป็ นเค่อชิงแห่งกองโหราศาสตร ์ต้า หลีเดินทางมาพร ้อมกับผู้อาวุโสบนภูเขาท่านหนึ่งแซ่หลิวชื่อเสี่ยง นามจื่อจวิ้น และยังมีนามอีกอย่างหนึ่งคือจวี้จวิน
ฝ่ ายหลังมีรูปโฉมอ่อนเยาว์ ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายตารา เข้มข้น ต่อให้จงใจจะเก็บซ่อนไว้ก็ยังซ่อนได้ไม่มิด ดังนั้นจึงจาต้อง ใช ้วิธีการอันยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งที่สกัดกั้นฟ้ าดินแต่ก็ไม่ขัดต่อการ เชื่อมโยงกันของแม่น้ายาวแห่งกาลเวลาสองจุดอย่าง “น้าบ่อและน้า คลอง” ด้วย
สภาพการณ์เช่นนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับจั่วโย่วตอนที่ออกทะเล ไปเยี่ยมเยือนเซียน
เวลาเดินหลิวเสี่ยงมักเคยชินที่จะเดินหลังค่อม เอวไม่เคยยึดตรง
เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของชาวบ้านทั่วไป บางทีอาจเป็ นเด็กรุ่น หลังคนหนึ่งที่รูปโฉมดี แต่อายุน้อยๆ กลับต้องมาหลังค่อมเสียแล้ว
ก่อนหน้านี้หยวนเทียนเฟิงได้อ่านต าราภูมิศาสตร ์ฮวงจุ้ยก็เลย เสนอแนะให้นักปราชญ์ในท้องถิ่นที่มีชาติกาเนิดจากตระกูล ปัญญาชนสร ้างหอขุยซิงเพื่อรวบรวมปราณม่วง สุดท้ายยังทิ้งคา
ทานายไว้สามประโยค “ปั้งเหยี่ยนเป็ นทัพหน้า จ้วงหยวนย่อมตาม ติด” “หนึ่งตระกูลติดสองอันดับ สามหยวนในร ้อยลี้” “ปราณม่วงมา จากทิศบูรพา ดาวขุยชิงสาดแสงสี่ทิศ
ตั้งแต่ต้นจนจบหลิวเสี่ยงเพียงแค่ยืนยิ้มมองดูอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่ จา
หยวนเทียนเฟิงถาม “อาจารย์จื่อจวิ้น หรือรู ้สึกว่าการที่ข้ายืมใช ้ ค าว่าปราณม่วงมาจากมรรคาจารย์เต๋าไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร?”
หลิวเสี่ยงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรไม่เหมาะ ดีมากเลยล่ะ อาจารย์หยวนคือยอดฝีมือ”
หยวนเทียนเฟิงเอ่ยอย่างจนใจ “คนอื่นบอกว่าข้าเป็ นยอดฝีมือก็ ช่างเถิด แต่ท่านเป็ นคนพูดกลับรู ้สึกว่ากาลังเย้ยหยันที่ฝีมือผู้เยาว์ไม่ ช านาญมากพอ”
หลิวเสี่ยงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์หยวนก็คิดมากเกินไปแล้ว”
หยวนเทียนเฟิ งเปลี่ยนเรื่องคุย “ทาไมอาจารย์ถึงได้ชอบเรียก ตัวเองว่าขุนนางต่าต้อย?”
หลิวเสี่ยงยิ้มกล่าว “ความรู ้ที่ถูกละทิ้งไม่เอามาใช ้ยิ่งเป็ นช่วงท้าย ก็ยิ่งยากจะเดินเข้าสู่ห้องโถงอันโอ่อ่า เป็ นทั้งโอกาสและชะตากรรม”
หยวนเทียนเฟิงกล่าว “นับแต่โบราณตราบจนปัจจุบัน บัณฑิต ของโลกยุคหลังไม่ควรเดินไปบนทางสุดโต่งเช่นนี้”
หลิวเสี่ยงยิ้มอย่างสง่างาม “คาชื่นชมของเมื่อก่อน ข้าในเวลานั้น ไม่มีโชคมากพอที่จะรู ้จักเสวยสุขกับมัน ค าด่าในโลกยุคหลังก็มิอาจ แบกรับไว้ได้ไหวเหมือนกัน ผลลัพธ ์น่ะหรือ ก็เป็ นอย่างข้าในทุกวันนี้ อย่างไรเล่า”
ก็เหมือนว่าเล็กเท่าภาษาทางการของหนึ่งแคว้น ใหญ่เท่า ภาษากลางของหนึ่งทวีปอันที่จริงเคยมีครั้งหนึ่ง แล้วก็เป็ นเพียงครั้ง เดียวที่ศาลบุ๋นป่าวประกาศชื่อรัชสมัยที่เก้าทวีปในไพศาลใช ้ร่วมกัน แก่ใต้หล้า เป็ นปีแห่งการเริ่มต้น
หยวนเทียนเฟิงถอนหายใจ มีคาถามหนึ่งที่เขาสงสัยใคร่รู ้มาก จริงๆ แต่กลับไม่สะดวกจะเปิดปากถาม
เล่าลือกันว่าช่วงแรกเริ่มสุดที่มีการกาหนดใต้หล้าไพศาลขึ้นมา เคยมีคนที่อยู่คนละฝ่ ายกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ ความคิดทั้งสอง ไม่ตรงกัน เส้นทางแตกต่างย่อมมิอาจร่วมทาง
คล้ายจะเดาความคิดของหยวนเทียนเฟิงออก หลิวเสี่ยงจึงเอ่ยว่า “ข้าจะใช่คนผู้นั้นหรือไม่ ล้วนไม่ขัดต่อการที่เจ้าและข้าได้มาพบกัน”
หยวนเทียนเฟิงถามคาถามที่ไม่ถือว่าละเมิดข้อห้ามเท่าใดนัก “อาจารย์จื่อจวิ้นเคยอยู่ในถ้าสวรรค์หลีจูมาก่อนช่วงระยะเวลาหนึ่งใช่ หรือไม่?”
หลิวเสี่ยงพยักหน้า “ปีนั้นได้รับคาเชิญจากชิงถงเทียนจวิน จึง เคยมีการพิศมรรคาและการ….พอจะถือว่าเป็ นการปกป้ องมรรคาครั้ง หนึ่งได้กระมัง เพียงแต่ว่าอยู่ไม่นานข้าก็จากมาแล้ว”
หยวนเทียนเฟิงถอนหายใจ ได้คาตอบที่เป็ นการยืนยันนี้แล้ว จุด เชื่อมโยงบางอย่างที่ก่อนหน้านี้คิดเป็ นร ้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจก็
กระจ่างแล้ว
“นี่ก็ไม่มีอะไรหรอก หมื่นปีที่ผ่านมาใช ้ตัวตนที่แตกต่างกันหลาย ตัวตน ข้าเดินทางผ่านหลายสถานที่แล้ว ช่วงเวลาที่อยู่ในถ้าสวรรค์ หลีจูเพียงดีดนิ้วก็ผ่านพ้นไปแล้ว”
หลิวเสี่ยงยิ้มเอ่ย “บทชะตาฟ้ า” ของเจ้าลัทธิลู่มีคากล่าวที่ว่ายาม แมลงจ าศีลหน้าหนาวเริ่มขยับตัว ข้าใช ้เสียงฟ้ าคารณมาปลุกให้ พวกมันตื่น คนที่ชอบดื่มสุราอย่างพวกเราดื่มเหล้ารสเลิศเหมือนยาม ที่แมลงจาศีลเริ่มเคลื่อนไหว ไป ไปหาร ้านอาหารมื้อดึกเล็กๆ สักร ้าน ดื่มเหล้ากัน”
คนกลุ่มหนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางม่านราตรี มาถึงอาเภอไหวหวง อย่างเงียบเชียบ
พวกเขาแบ่งออกเป็ นสองกลุ่ม ซินจี้อันพาสหายรักไปที่บ่อตรวน มังกร ก่อนจะพากันไปที่ตรอกแห่งหนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “พี่ตวนเจิ้ง ที่นี่ก็คือ ตรอกฉีหลงแล้ว”
ชายฉกรรจ์ร่างกายาที่ถูกซินจี้อันเรียกว่า ‘ตวนเจิ้ง” ตรงเอวห้อย กระบี่เหล็กเล่มหนึ่งแม้ว่าจะสวมชุดลัทธิขงจื๊อ แต่กลับเหมือนคนที่ คลุกคลีอยู่ในยุทธภพมากกว่า
คนผู้นี้คือบัณฑิตที่ถูกทางฝั่งของศาลปุ่นแผ่นดินกลางจัดให้เป็ น ผู้ด าเนินการงานพิธีแต่งตั้งชานจวินมหาบรรพตอุดร
บัณฑิตอีกสามคนที่มีลาดับอาวุโสสูงมากเช่นกันถูกจัดให้พักใน สถานที่ที่ชาวบ้านในพื้นที่ของเมืองเล็กเรียกกันว่าซุ้มก้ามปู
คนหนึ่งในนั้นมาจากนอกฟ้ า เขาเคยเจอหน้ากับอิ่นกวานคน สุดท้ายของก าแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน คือนักบัญชีที่ในอดีตทา หน้าที่ดูแลถุงเงินให้กับบัณฑิตกลุ่มนั้น
เป็ นคนที่หาเงินเก่งมาก ดังนั้นในกลุ่มของบัณฑิตยุคบรรพกาล เขาจึงถือเป็ นพวกแปลกแยก
ข้างกายเขามีคนสองคน คนหนึ่งสีหน้าเฉยชา ตรงเอวห้อย กระบวยตักน้าหนึ่งอัน อีกคนหนึ่งระหว่างที่เดินทางมาก็แทบไม่เคย พูดอะไร
บัณฑิตที่ตรงเอวห้อยกระบวยตักน้าถอนหายใจเบาๆ “ข้าน่ะมีใจ เต็มเปี่ยมแต่ไร ้แรงไร ้กาลัง หากปีนั้นไม่ใช่เพราะตวนเจิ้งอยู่ที่เปลี่ยว ร ้าง จะต้องรีบเร่งเดินทางมาที่นี่แล้วช่วยเหลือฉีจิ้งชุนไว้อย่าง แน่นอน”
บัณฑิตอีกคนเงยหน้ามองกรอบป้ ายหนึ่งในนั้น “มิเกี่ยงงอนต่อ หน้าที่ที่พึงกระทาก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง ขอความเมตตาได้ความ เมตตา คือคุณสมบัติพื้นฐานของบัณฑิต”
จากนั้นเขาก็เหลือบตามองม่านฟ้ า พึมพาอยู่กับตัวเอง เหนือ ศีรษะขึ้นไปสามฉื่อมีเทพอยู่
เว้นเสียแต่จะไม่พูด หากพูดแล้วต้องเข้าประเด็นส าคัญ
พวกเขาสามคนเพิ่งจะเดินผ่านมาทางตรอกซิ่งฮวา ตรอกหนีผิง
สิ่งที่เห็นและได้ยินไม่เหมือนกับศิษย์พี่ศิษย์น้องอีกสองคนที่เหลือ นอกจากเขาจะได้เห็นเรื่องราวในอดีตของเด็กหนุ่มปัญญาอ่อน เด็ก หนุ่มสวมรองเท้าสานและเจ้าขี้มูกยืดน้อยแล้วที่เหลือก็ล้วนเป็ นเรื่องที่ มีความเกี่ยวข้องกับอักษร “กตัญญู” ทั้งสิ้น
และยังได้ยินคาพึมพาบางประโยคของเซียนกระบี่เฉาซีตอนที่อยู่ ในบ้านบรรพบุรุษของตัวเอง
เขาหันไปมองทางนักบัญชีคนนั้น ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าไม่เหมือนกับ พวกเรา ร่างแยกอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว อยู่มานานขนาดนั้นได้ผลเก็บ เกี่ยวอะไรบ้างหรือไม่?”
นักบัญชียิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถึงอย่างไรก็ถูกจากัด ทาอะไรมาก ไม่ได้”
นอกจากเชี่ยวชาญเรื่องของการดูแลเงินทองแล้ว ต้องรู ้ว่าคนผู้นี้ ถือเป็ นนักยุทธศาสตร ์การเมืองและการทูตอันดับหนึ่งบนโลกอีกด้วย
“พวกเราจะแวะไปที่ภูเขาลั่วพั่วกันเมื่อไหร่?”
นักบัญชีถามเองตอบเองว่า “ดูว่าตวนเจิ้งจะไปเมื่อไหร่ดีกว่า ได้ ยินว่าบนภูเขามีคนรู ้จักเก่าอยู่สองคน พวกเราจะได้ไปห้ามทัพได้ พอดี”
ตอนกลางวันของวันนี้ เจิ้งต้าเฟิงลงจากภูเขาไปที่เมืองเล็กมา รอบหนึ่ง เขาไปที่ร ้านยาตระกูลหยาง ก็ไม่รู ้ว่าบนผมของเขาทาอะไร ถึงได้มันเยิ้ม
เจิ้งต้าเฟิงเดินเข้าไปในร ้าน “นังหนูแยนจือล่ะ?”
สือหลิงซานที่เฝ้ าร ้านเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ารู ้ด้วยหรือว่ามี คนร่วมส านักอยู่น่ะกลับบ้านเกิดมาตั้งนานแล้วเพิ่งจะมาเอาป่ านนี้ ศิษย์พี่หญิงออกเดินทางไกลไปแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิ งเอนกายพิงโต๊ะคิดเงิน “รู ้หรือไม่ว่านางจะกลับมา เมื่อไหร่?”
สือหลิงซานหน้าบูดบึ้ง ศิษย์พี่ในนามผู้นี้วันๆ ไม่ทางานท าการ อะไร แล้วยังชอบพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดอีก “หากเอาหัวลงไปแกว่ง ในกระทะสองสามที่ก็ผัดกับข้าวได้แล้ว ตลอดทั้งปีต้องซื้อน้ามันเพิ่ม ไม่ถึงครึ่งตาลึงด้วยซ้า”
นี่ยังเป็ นลูกกระต่ายน้อยที่มาจากตรอกเถาเย่ พูดจาถือว่าน่าฟัง แล้ว
ชั่วชีวิตนี้มีคลื่นมรสุมใหญ่อะไรที่เจิ้งต้าเฟิ งไม่เคยเจอมาก่อน บ้าง ค าพูดเหน็บแนมประเภทนี้ก็แค่ทาให้เขาเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น “ไม่ รู ้จักเด็กรู ้จักผู้ใหญ่ พูดกับศิษย์พี่แบบนี้ได้อย่างไร”
อันที่จริงเจิ้งต้าเฟิงเดาได้ตั้งนานแล้วว่าศิษย์น้องหญิงซูเตี้ยนต้อง ได้รับคาสั่งจากอาจารย์ให้ไปหา “เซี่ยซินเอิน ศิษย์พี่อีกคนที่ใต้หล้า มืดสลัว
เจิ้งต้าเฟิงพูดคุยกับสือหลิงซานในร ้านยาอีกสองสามประโยคก็ เดินออกมาข้างนอกยื่นมือมาบังตรงตา เงยหน้ามองดวงอาทิตย์
ลังเลอยู่เล็กน้อยก็เดินออกจากเมืองเล็ก ผ่านสะพานหินโค้ง มาถึงสันเขาขนาดเล็ก แห่งหนึ่งที่เชื่อมต่อกับภูเขาสูงทางทิศ ตะวันตก ใต้ฝ่าเท้าคือผืนนาเรียงติดกันยาวหลายไร่
เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่ตรงคันนา ด้านหลังคือหลุมศพขนาดเล็กที่เอา หินกองทับซ ้อนกันไม่มีป้ ายหน้าหลุม ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่สะดุด ตาคน
มองไปจากตรงนี้จะสามารถมองเห็นลาคลองหลงชวีเส้นนั้น
หลุมศพที่อยู่ด้านหลังก็คือหลุมศพของชายใจหญิงที่เป็ นช่าง เตาเผาคนนั้น ตอนมีชีวิตอยู่มีชีวิตอย่างน่าสังเวช คล้ายกับคนที่ไม่มี ที่ให้หยัดยืน ตายไปก็ยึดครองพื้นที่ได้ไม่มาก
ส่วนหลานสาวของเขาก็คือซูเตี้ยน ชื่อเล่นคือแยนจือ
เจิ้งต้าเฟิ งเชื่อว่าก่อนที่แยนจือจะออกไปจากใต้หล้าไพศาล จะต้องเคยมาที่นี่เพื่อพูดคุยความในใจกับท่านอาที่มีชีวิตพึ่งพากัน และกันอย่างแน่นอน
เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นควักเหล้าออกมาหนึ่งกา นั่งยองหน้าหลุมศพ รินเหล้าลงบนพื้นสามครั้งจนเหล้าหมดกา ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง โยนกา เหล้าว่างเปล่าทิ้งไปในลาคลองที่อยู่ห่างไปไกล
นั่งลงบนริมคันนาอีกครั้ง เจิ้งต้าเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนใช ้ เสียงในใจตะโกนเรียก “ลู่เฉิน ข้ารู ้ว่าเจ้าได้ยิน มานั่งด้วยกันหน่อย”
ผ่านไปครู่หนึ่ง นักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวบนศีรษะก็ ปรากฏกายที่ตีนเขา แล้วเริ่มชักเท้าวิ่งตะบึงขึ้นเขามา วิ่งจนเหงื่อ เปียกท่วมหัว แล้วมานั่งแปะลงข้างกายเจิ้งต้าเฟิง
ลู่เฉินยกมือขึ้นโบกลมแรงๆ หอบฮักๆ “เหนื่อยแทบตายเลย”
เจิ้งต้าเฟิงยกนิ้วโป้ งให้เจ้าลัทธิลู่
มารดาเจ้าเถอะ แค่เดินก้าวเดียวก็มาถึงที่นี่ได้แล้ว ไม่รู ้จักหดย่อ พื้นที่มาถึงข้างกายพี่น้องเลยหรือไร?
ลู่เฉินยิ้มถาม “พี่น้องต้าเฟิง ต้องการให้น้องชายชี้แนะเรื่องใด หรือ? บอกไว้ก่อนนะว่าหากเป็ นเรื่องใหญ่เกิน น้องชายแขนขาเล็ก บาง บางทีอาจแบกไม่ไหวยกไม่ขึ้น…..
เจิ้งต้าเฟิ งกล่าว “ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่อยากเห็นว่า ก่อนนังหนูแยนจือจะเดินทางไกล นางพูดอะไรบ้าง”
ลู่เฉินสูดลมหายใจดังเฮือก “เรื่องทานองนี้น้องชายทาได้ก็จริง แต่ไม่ค่อยดีเท่าไรกระมัง?”
เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมากดไหล่ของเจ้าลัทธิลู่ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ไม่ เจอกันแค่ไม่กี่วันก็ห่างเหินกันแล้วจริงๆ ด้วย ปีนั้นตอนที่พวกเราสอง พี่น้องไปนั่งมุมกาแพงแอบฟัง…”
“หยุดเลยๆ เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้มันลอยหายไปตามสายลม เถอะ”
ลู่เฉินปัดมือของเจิ้งต้าเฟิงออก แต่อีกฝ่ ายไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่ น้อย จึงได้แต่กล่าวว่า “ก็ได้ๆ น้องชายจะพยายามสุดความสามารถ ที่มี ร่ายวิชาบนภูเขาออกมาให้ดู”
เจิ้งต้าเฟิงถึงได้ดึงมือกลับมา ครู่หนึ่งต่อมาก็มีริ้วคลื่นกระเพื่อม เป็ นระลอก หญิงสาวคนหนึ่งเอากระดาษมาแขวนไว้ที่หน้าหลุมศพ แล้วก็นั่งลงห่างจากพวกเขาไป ไม่ไกล สองมือของนางยันไว้บนดิน ริมคันนา
ก่อนที่ซูเตี้ยนจะออกไปจากบ้านเกิด สถานที่แห่งนี้คือ ทัศนียภาพของมาตุภูมิที่นางเห็นเป็ นครั้งสุดท้ายจริงๆ หลังจากนาง บอกความในใจกับท่านอาแล้ว สุดท้ายนางก็คลอเพลงพื้นบ้าน
โบราณที่เนื้อหาฟังยากบทหนึ่ง ต่อให้เป็ นคนแก่ที่เกิดและเติบโตมา ในเมืองเล็กก็อาจจะฟังไม่เข้าใจ
ค่อนข้างคล้ายค าอธิษฐานในบทขอฝนจากสวรรค์
เช ้าตรู่รุ ้งพาดทางประจิม อีกไม่นานฝนต้องตก…
ฝนตกฝนตก ดวงตะวันกลับเจิดจ้า…
ต้องเป็ นเพลงที่ชายใจหญิงที่ชื่อว่าซูหานผู้นั้นร ้องเป็ นประจา ตอนที่รอบกายไม่มีคนนอกอยู่ด้วย ชูเตี้ยนได้ฟังมามากเข้าก็เลยร ้อง เป็ น
ลู่เฉินพลันขมวดคิ้ว เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ลู่เฉิน ถือว่าข้า ติดค้างน้าใจเจ้าครั้งหนึ่ง”
ลู่เฉินถอนหายใจ พยักหน้า “อย่าพูดเรื่องน้าใจไม่น้าใจอะไรเลย ถือว่าเจ้าติดค้างเหล้าข้าหนึ่งกาก็แล้วกัน”
ครู่หนึ่งต่อมา ในมือของซูเตี้ยนก็ถือสมบัติหนักไว้ชิ้นหนึ่ง เรือน กายของนางเปล่งแสงวาบหนึ่งทีก็เดินทางไกลไปยังมืดสลัวแล้ว ทว่า ในภาพแห่งกาลเวลานี้กลับมีคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อหลังค่อมคน หนึ่งโผล่มากะทันหัน เขาเอาสองมือไพล่หลัง เดินขึ้นเขามาช ้าๆ มายังจุดที่ซูเตี้ยนนั่งและหลุมศพแห่งนี้ตั้งอยู่ เขาเงยหน้ามองดวง อาทิตย์ที่ลอยสูง ท้องฟ้ าสีครามสดใสไกลหมื่นลี้ พึมพากับตัวเองว่า “น้าค้างริมทางเปียกชิ้น ไม่อยากออกเดินทางโดยเร็วหรือ? ทว่าบน
เส้นทางมีน้าค้างมากเหลือเกิน กลัวน้าค้างจะเปียกตัว หากคนคน หนึ่งทา เรื่องที่ผิดมารยาท ย่อมต้องเจอกับความอับอาย
“ผู้ที่เป็ นเจ้าลัทธิ คนเฝ้ าประตู ใช่หรือไม่ใช่?”
สุดท้ายเขายิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งแล้วโบกมือ “ขณะที่ซ่อมเกวียน พลันเจอฝนตก ขอทุกท่านร่วมกันแก้ปัญหานี้
ความรู ้ของเจ้าลัทธิลู่ไม่จาเป็ นต้องพูดมาก ต่อให้เป็ นเจิ้งต้าเฟิง อยู่ในถ้าสวรรค์หลีจูที่มียอดฝี มืออยู่มากมาย บอกว่าเขาคือคนที่ “ความสามารถเปล่งประกายจากภายใน ความรู ้เชี่ยวชาญลึกซึ้ง” อัน ที่จริงก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด
ดังนั้นเนื้อหาขอฝนของซูเตี้ยนก็ดี หรือคาพูดของบัณฑิต ประหลาดที่มาตอนหลังนี้ก็ช่าง พวกเขาทั้งสองล้วนฟังเข้าใจ และยิ่ง กระจ่างแจ้งถึงความหมายลึกล้าที่ซ่อนอยู่
เคยมีสตรีคนหนึ่งใช ้ชื่อว่าซูหาน เป็ นเทพพิรุณที่จุดไฟ จะไม่น่า สงสารได้อย่างไร เทพพิรุณขอฝน แต่กลับยังมิอาจได้ดังหวัง
ชีวิตคนมักเจอเรื่องลาบากทุกข์ยากอยู่เสมอ ทาให้คนอยากร่า ไห้แต่ไร ้น้าตา กลับกลายเป็ นว่าได้แต่แสร ้งหัวเราะรื่นเริงเหมือนไม่มี อะไรเกิดขึ้น แสร ้งพูดถึงความไม่ง่ายบางอย่างด้วยท่าทางผ่อนคลาย สบายอารมณ์
บุรุษที่ผิดหวังต่อวิถีทางโลกคนนี้ ถึงวาระสุดท้ายในชีวิตกลับ หวังให้สวรรค์ที่งีบหลับลืมตา เพื่อที่จะได้ให้เด็กหนุ่มที่ไม่ได้เป็ นญาติ
ไม่ได้สนิทสนมกันมีชีวิตที่สงบสุขปลอดภัยเป็ นคนดีที่ได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน
หลังจากเงียบงันกันไปนาน เจิ้งต้าเฟิงกับเจ้าลัทธิลู่ก็เอ่ยสามค า ออกมาในเวลาเดียวกัน
นักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวที่นั่งยองอยู่ริมคันนายกสองมือ กุมหัว เคี้ยวต้นหญ้าสายตามองไปบนฟ้ า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เทียนกงนี่ นะ”