กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1045.2 บนเส้นทางไม่กล้ามีเจิ้ง
ในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมถ้าสวรรค์ฉางชุนสานักกระบี่ชิงผิง เฉิน ผิงอันที่ได้ฝึกตนถามมรรคาในภูเขาลึกตามความหมายที่แท้จริงเป็ น ครั้งแรกเคยมีการอนุมานและการตั้งสมมติฐานที่ใจกล้าอย่างมาก สมมติว่าสักวันหนึ่งตนเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบสี่ จะมีศัตรูใน จินตนาการที่สามารถช่วงชิงกับตนบนมหามรรคาเป็ นใครได้บ้าง
ในบรรดาศัตรูในจินตนาการนั้น ไม่กล้ามีเจิ้ง
หันเชี่ยวเซ่อพูดด้วยน้าเสียงที่ติดจะสั่งสอนและบ่นอย่างไม่พอใจ ว่า “เสี่ยวช่านวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ คุณูปการใหญ่เทียมฟ้ าเช่นนี้ เจ้า อย่าพูดให้เป็ นเรื่องเบาสบายเช่นนี้สิ หากไม่ใช่เจ้า สวี่ย่วนและเทียน ซือน้อยแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์คนนั้น และยังมีพวกฉุนชิง พวกเขา สามคนก็ไม่มีทางมีชีวิตรอดออกมาจากใต้หล้าเปลี่ยวร ้างได้เลย”
อันที่จริงก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่กับลู่เฉิน เฉินผิงอันก็ได้ฟังเรื่อง ขั้นตอนคร่าวๆ ของการพบเจอกันบนทางแคบครั้งนั้นมาก่อนแล้ว แม้แต่เรื่องที่กู้ช่านหลอกเอาตัวจอยู่เพิ่งมาก็ยังรู ้อย่างชัดเจน
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “ต้องยกคุณความชอบให้กับใบไหวของบ้านเกิดที่ เหมือนซี่โครงไก่มาโดยตลอด โชคดีที่จ้าว สวี่ เฉา ล้วนเป็ นแซ่สกุล ที่พบเห็นได้บ่อย”
ก่อนจะออกจากบ้านเกิดตอนเยาว์วัย ในตรอกหนีผิงแห่งนั้นก็
เป็ นเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานตัวดาผอมแห้งคนนั้นที่เคยกาชับเจ้าขี้
มูกยึดน้อยว่าจะต้องเก็บรักษาใบไหวกระเป๋ านั้นให้ดี เฉินผิงอันกลับเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น เขาถามว่า “ได้ยินว่าเจ้า
ต่อสู้กับเฉาสือไปรอบหนึ่ง?” กู้ช่านพยักหน้า พูดง่ายๆ ว่า “ก็แค่หาเรื่องสนุกทาเท่านั้น” เฉินผิงอันถาม “เฉาสือไม่เพียงแต่เลื่อนเป็ นขั้นเทพมาเยือนของ
ขอบเขตปลายทาง ยังปล่อยหมัดเปิดทางด้วยขอบเขตสิบเอ็ดด้วย?” กู้ช่านพยักหน้า “เพื่อช่วยเปิดทางให้กับพวกเรา เฉาสือร่วมมือ
กับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจียงซ่างเจิน เขาปล่อยหมัดที่ไม่
สอดคล้องกับขอบเขตของตัวเองออกไป จึงบาดเจ็บไม่เบา” เฉินผิงอันขมวดคิ้วถาม “จะทิ้งโรคแฝงไว้เบื้องหลังหรือไม่?” กู้ช่านตอบ “ข้าเคยถามเฉาสือแล้ว เขาบอกเองว่าไม่” เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก ด้วยนิสัยของเฉาสือ ขอแค่เขายินดีเปิดปากพูดก็มีแต่จะพูดใน
เรื่องที่เป็ นความจริงเท่านั้น แม้ว่าการจากลากันที่ศาลบุ๋น ตนจะขอบเขตถดถอยจากชั้นคืน
ความจริงของขอบเขตปลายทางมาเป็ นชั้นปราณโชติช่วง แต่เฉาสื
อกลับเลื่อนไปเป็ นชั้นเทพมาเยือนของขอบเขตปลายทาง ระยะห่าง ระหว่างกันจึงถูกดึงออกไปอีก
ต่อให้มีความเป็ นไปได้มากว่าระยะห่างระหว่างทั้งสองจะยิ่งมีมาก ขึ้นเรื่อยๆ ยากที่จะเดินเคียงบ่ากันไปได้อีก แต่เฉินผิงอันก็หวังจากใจ จริงให้เฉาสือบุกรุดหน้าไปบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธอย่างห้าว
หาญ ยิ่งเดินไปไกลยิ่งเดินไปได้สูง
ต่อให้จะตามฝีเท้าของเฉาสือไม่ทัน แต่นั่นก็เป็ นเพราะตัวเฉินผิง อันเองไร ้ความสามารถ เขาไม่ต้องการให้เพราะเรื่องไม่คาดฝัน บางอย่างท าให้ฝี เท้าในการเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดบนวิถีวรยุทธของ เฉาสือต้องเฉื่อยช ้าลง
เฉินผิงอันถาม “ครั้งนี้กลับมาที่แจกันสมบัติทวีป ได้กลับบ้าน แล้วหรือยัง?”
กู้ช่านส่ายหน้า บอกตามจริงว่า “ข้าขึ้นฝั่งมาที่ซากปรักนคร มังกรเฒ่า ไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยนมารอบหนึ่ง เจอกับศิษย์พี่หญิงเถียน หูจวินและจ้งเซียวแห่งเกาะหวงหลี ได้ยินเถียนหูจวินบอกว่าแจกัน สมบัติทวีปในทุกวันนี้มีสถานที่ที่ชื่อภูเขาเหอฮวาน ข้าก็เลยไปที่ อารามของเฉิงเฉียนเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นมารอบหนึ่ง ถือโอกาส เจอกับบรรพจารย์เซียงจวินของต าหนักหลิงเฟยด้วย เจรจากับนาง ส าเร็จ พวกเขายินดีตัดใจมอบของรัก เปลี่ยนมาเป็ นให้ข้าจ่ายเงิน เพื่อซื้ออาณาเขตของภูเขาเหอฮวานมา ถือว่าข้าติดค้างน้าใจของ ต าหนักหลิงเฟยพวกเขาครั้งหนึ่ง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ในเมื่อได้พบหน้ากันแล้ว แล้วก็ซื้อมาแล้ว จัดการธุระเสร็จแล้วก็อย่ามัวเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกอีกเลย รีบกลับบ้าน เร็วหน่อยเถอะ”
กู้ช่านอืมรับหนึ่งที เขาถอดรองเท้านั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ จิบเหล้าหนึ่งอีก ดวงตาเป็ น
ประกายเจิดจ้า
อยู่ข้างกายหรือไม่อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน กู้ช่านก็ราวกับเป็ นคน ละคนกันเลย
ยังคงเป็ นคาพูดเก่าแก่ประโยคนั้นที่บอกไว้ว่า วีรบุรุษผู้กล้ากลัว ที่จะเจอกับเพื่อนบ้านมากที่สุด
ก็เหมือนคนคนหนึ่งที่เห็นเด็กสวมกางเกงเปิดก้นผู้หนึ่งเติบใหญ่ มา อีกฝ่ ายโชคดีไปมีชื่อเสียงอยู่ข้างนอก ได้ดิบได้ดีแล้วกลับมายัง บ้านเกิด แต่พออยู่กับเพื่อนบ้านที่รู ้ไส้รู ้พุงกันดี พูดโอ้อวดอะไรไปก็ ไม่ได้น่าสนใจเลยสักนิด
ดื่มเหล้ากันอย่างลวกๆ ไปแล้ว ยังคงเป็ นหันเชี่ยวเซ่อที่เข้าอก เข้าใจผู้อื่นเป็ นอย่างดีแนะนาให้ทุกคนไปเดินเล่นที่ท่าเรือนอกเหลา สุรา
ออกมาจากเหลาสุรา นางก็ให้กู้ช่านไปเดินเล่นกับเฉินผิงอัน เพียงล าพัง ส่วนตัวเองพาเผยเฉียนกับจื่ออู่เมิ่งไปเดินเล่นที่อื่น ยัง
บอกเผยเฉียนว่าหากเจอของที่ถูกใจก็หยิบมาได้เลยไม่ต้องถาม
ราคา นางจะจ่ายให้เอง คนทั้งสองเดินเลียบริมลาคลองเส้นหนึ่งของท่าเรือจิ๋วฮวา กู้ช่าน
ใช ้เสียงในใจถามว่า “เรื่องนั้นที่เจ้าจะทา ข้าช่วยได้หรือไม่” กู้ช่านไม่ได้ถามว่าต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่ เพราะเฉินผิงอันย่อมไม่ต้องการให้เขาลงมือช่วยเหลืออยู่แล้ว เมื่อก่อนเป็ นเช่นนี้ ทุกวันนี้ก็ยิ่งเป็ นเช่นนี้ เฉินผิงอันย้อนถาม “เดาออกได้อย่างไร?”
กู้ช่านยิ้มเอ่ย “ไม่ว่าจะการวางตัวหรือการลงมือทาอะไรเจ้าล้วน ระมัดระวังถึงเพียงนั้นไม่มีทางที่จะปล่อยร่างแยกให้ออกมาท่องเที่ยว ส่งเดชหรอก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “นี่คือความแค้นส่วนตัวระหว่างข้ากับตระกูล หม่าแห่งตรอกซิ่งฮวา เจ้าไม่ต้องสอดมือเข้าแทรก ทาเรื่องของตัวเอง ให้ดีก่อน”
กู้ช่านพูดเสียงเบา “ข้าเดาถูกแล้วหรือ เป็ นเรื่องนี้จริงๆ หรือนี่?”
เฉินผิงอันยกมือขึ้นงอสองนิ้ว น่าจะมอบมะเหงกให้อีกฝ่ าย เพียงแต่ลังเลอยู่เล็กน้อยก็คลายนิ้วออก แล้วก็คงอยากจะตบหัว กู้ช่าน แต่สุดท้ายก็ยังลดฝ่ ามือลงตบไหล่ของคนหนุ่มที่สวมชุดลัทธิ ขงจื๊อเบาๆ
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยภาษาถิ่นของบ้านเกิดด้วยความเคยชินว่า “เพื่อนบ้านที่ย้ายไปอยู่ในตัวเมืองมีเยอะ หากเจอกันบนถนนก็จ าไว้ ว่าให้เรียกคนเขาตามล าดับอาวุโส เป็ นฝ่ ายทักทายไปก่อน อย่าท า
สิ่งที่ไม่ควรทา” กู้ช่านรู ้สึกไม่เต็มใจสักเท่าไร แต่กระนั้นก็ยังพยักหน้า “รู ้แล้วๆ”
เฉินผิงอันหันมามองกู้ช่าน
รู ้อยู่แล้วว่าหลอกเขาไม่ได้ กู้ช่านที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อน ใจจึงได้แต่พูดรับรองว่า “รับปากแล้วต้องท าให้ได้”
เฉินผิงอันก าชับอย่างอดทน “ไม่ได้บอกให้เจ้ายิ้มให้พวกผีขี้ เหล้าที่ทาตัวไม่เหมือนคนพวกนั้น ไม่ว่าจะในหรือนอกตาราก็ล้วนไม่ มีหลักการเหตุผลเช่นนี้ ใช ้คุณธรรมตอบแทนความแค้นแล้วจะใช ้ อะไรตอบแทนคุณธรรม? พวกเขาไม่ได้รับการสั่งสอนจากครอบครัว มาตั้งแต่เด็ก เติบโตกลายเป็ นผู้ใหญ่ ทุกวันนี้ก็กลายเป็ นคนแก่แล้ว ชั่วชีวิตที่ผ่านมาดื่มอะไรกินอะไรเข้าไป ในท้องก็ยังมีแต่น้าเสียๆ (เปรียบเปรยถึงความคิดชั่วร ้าย) อยู่ดี อย่าว่าแต่เจ้าเลย ข้าเจอกับ พวกเขาไฟโทสะก็สุมอกเหมือนกัน ข้าเห็นว่าหลายปีมานี้เจ้าไปที่ตัว เมืองมาหลายรอบแล้ว? ตาไม่เห็นใจก็ไม่หงุดหงิด ดังนั้นข้าจึงพูดถึง แค่พวกเพื่อนบ้านที่ในอดี ความสัมพันธ ์นับว่าพอใช ้ได้ เจ้าสามารถ มีมารยาทต่อพวกเขามากหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ในอดีตถือ ว่ามีคุณธรรมต่อครอบครัวเจ้า เห็นเด็กรุ่นหลัง เด็กเล็กๆ ใน ครอบครัวพวกเขาก็สามารถมอบซองแดงอะไรให้ได้ เตรียมซองแดง
สักปีกหนึ่งไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่ต้องใส่เงินเทพเซียน ทุกวันนี้พวก เขาเองก็น่าจะรู ้ว่าบ้านเจ้าไม่ยากจนแล้ว มีความเกี่ยวข้องกับภูเขา ดังนั้นหากในซองแดงมีแค่เงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญก็จะดูขี้ เหนียวเกินไปแล้วยังตกเป็ นที่ต้องสงสัยว่าใช ้คุณธรรมสังหารคน ยังสู้ ไม่มอบให้เลยจะดีกว่า ในซองแดงทุกซองอาจจะใส่ใบไม้สีทองไว้สอง สามใบ แบบนี้จะค่อนข้างเหมาะสมแล้ว…”
เสียงพร่าพูดจู้จี้ที่ไม่ได้ยินมานาน กู้ช่านเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ ท้ายทอย บางครั้งก็พยักหน้ารับเบาๆ บางครั้งก็อืมรับ
เฉินผิงอันหยุดพูด
กู้ช่านกล่าว “วันเวลาที่ยากลาบากมีเพียงอดทนให้ผ่านพ้นมา ไม่มีความรู ้อย่างอื่นแต่หลังจากมีเงินแล้ว มีชีวิตที่ดีแล้วกลับ กลายเป็ นว่ามีข้อพิถีพิถันเยอะ หากค าสอนของตระกูลดี ต่อให้ยังไม่ แสดงออกในเวลานั้น แต่ก็ต้องปรากฏในรุ่นของลูกหลานแน่นอน ไม่ มีทางยากจน มีแต่จะได้ดีในช่วงบั้นปลาย ไม่เพียงแต่หลักการเหตุผล เป็ นเช่นนี้เท่านั้น ความเป็ นจริงก็เป็ นเช่นนี้เหมือนกัน พูดถึงแค่บ้าน เกิดของพวกเรา เวลาสั้นๆ แค่สามสิบปีก็มีครอบครัวที่อยู่ดีๆ ก็มีเงิน ขึ้นมามากมายขนาดนั้น ย้ายไปอยู่ในตัวเมือง วันหน้าจะยากจน ยาวนานหรือจะร่ารวยยาวนาน เดี๋ยวก็จะเป็ นดั่งน้าลดหินผุดเอง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เจ้าคิดได้แบบนี้ก็ดีมาก”
กู้ช่านถาม “เจ้ารู ้รากฐานมหามรรคาของหม่าขู่เสวียนหรือไม่ ดู เหมือนเขาจะมาจากกรมสายฟ้ าของยุคบรรพกาล? อีกทั้งเมื่อเทียบ กับสารถีเฒ่าของกองพิฆาตกรมสายฟ้ าผู้นั้นแล้ว บางทีต าแหน่งเทพ ก็อาจจะสูงยิ่งกว่าด้วย?”
เฉินผิงอันกล่าว “หม่าขู่เสวียนคิดอยากให้ลูกชายใช ้หนี้แทน
บิดา ก็ปล่อยให้เขาท าไป”
หม่าขู่เสวียนอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นอวี้เซวียนแล้ว
กู้ช่านกล่าว “เจ้าอาจจะต้องระวังคนอีกคนหนึ่ง อวี๋สืออู้ที่มีลาดับ อาวุโสสูงมากในภูเขาเจินอู่คนนั้น อาจารย์เคยบอกว่านอกจากภูเขา เจินอู่แล้ว ศาลโอ่วเสินที่อยู่ใต้น้าของยงโจวใต้หล้ามืดสลัว และยังมี วัดโบราณที่ชื่อว่าวัดเซ่อซานฮว่อเสียของดินแดนพุทธะสุขาวดีอีก แห่งหนึ่ง ในอนาคตอีกไม่นานอาจจะเกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น”
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องบนยอดเขาพวกนี้ เจ้าไม่ต้องคิดมาก แค่รู ้ เรื่องวงในบางอย่างก็พอแล้ว”
กู้ช่านรู ้สึกอัดอั้นอยู่บ้าง “เฉินผิงอัน จะดีจะชั่วข้าก็เป็ นผู้ฝึกตน ขอบเขตหยกดิบที่อายุน้อย มหามรรคาในอนาคตก็มีหวัง แล้วก าลัง จะเป็ นเจ้าสานักแห่งหนึ่งที่กาลังจะรับหน้าที่ด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ที่ตั้งของศาลบรรพชนสานักดั้งเดิมของนคร จักรพรรดิขาว ฟู่ จิ้นศิษย์พี่ของเจ้าคือเจ้าสานักเบื้องบนใช่ไหม?”
กู้ช่านถอนหายใจ
ขอแค่เป็ นเรื่องเหตุผล อยู่กับเฉินผิงอันก็คุยกันได้ยากมาตั้งแต่ เด็กแล้ว
กู้ช่านถาม “จะเจอกับหม่าขู่เสวียนประมาณช่วงไหน?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่นานมาก อาจจะก่อนหรือหลังชิงหมิงของปี นี้”
กู้ช่านนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงเอ่ยว่า “ข้าจาได้ว่าเมื่อก่อนข้างกาย หม่าขู่เสวียนมีผู้ปกป้ องมรรคาคนหนึ่งคอยติดตาม แล้วก็เป็ นเขาที่ พาหม่าขู่เสวียนออกไปจากถ้าสวรรค์หลีจู กลับไปยังสานัก คนผู้นั้น มีล าดับอาวุโสธรรมดาบนท าเนียบของศาลบรรพจารย์ภูเขาเจินอู่ ขอบเขตของเขาก็ธรรมดา ประมาณว่าไม่สูงและไม่ต่า ดังนั้นมองดู เหมือนไม่ว่าอะไรก็ธรรมดามาก แต่หากเอาสถานะของหม่าขู่เสวียน ออกมา ลองย้อนกลับไปมองการปกป้ องมรรคาครั้งนี้ก็จะค้นพบว่านี่ เป็ นเรื่องที่ประหลาดมากเรื่องหนึ่ง”
เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อก่อนก็เคยเจอกับคนผู้นั้น ตอนนั้นมี ความรู ้สึกที่ไม่เลวต่อเขา แค่มองก็รู ้ว่าเป็ นผู้ฝึกตนที่ครองตนซื่อสัตย์ เที่ยงตรงอย่างมาก บางทีการที่เขาช่วยปกป้ องมรรคาให้หม่าขู่เสวียน อย่างลับๆ มาตลอดทาง และพอกลับไปที่ภูเขาเจินอู่แล้ว ก็น่าจะเป็ น การกระทาที่จาใจเพราะทางสานักมีคาสั่งเสียมากกว่า”
กู้ช่านกล่าว “แค่พูดไปอย่างนั้นเอง เป็ นแค่การเตือน ส่วนความ จริงจะเป็ นอย่างไรเชื่อว่าสักวันต้องกระจ่างแน่”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อคนพูดเจตนา คนฟังก็ยิ่ง ต้องมีใจ”
กู้ช่านเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ด่าข้าอีกแล้วนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รอวันใดเจ้าบินทะยานพิสูจน์มรรคา ดูสิว่า ข้าจะยังกล้าต าหนิติเตียนเจ้าหรือไม่”
กู้ช่านหัวเราะหยันตัวเอง
อันที่จริงตอนที่เฉินผิงอันอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ได้เคยไหว้ วานเซียนกระบี่ไพศาลที่มีมิตรภาพส่วนตัวไม่เลวต่อกันให้ช่วยนา จดหมายลับสองฉบับมามอบให้กับหลิ่วชื่อเฉิง
ฉบับหนึ่งในนั้นมอบให้กับหลิ่วชื่อเฉิงแห่งหอแก้วใส เนื้อหาใน จดหมายนอกจากจะเป็ นการทักทายปราศรัยแล้ว ช่วงท้ายยังบอกกับ หลิ่วชื่อเฉิงว่าในอนาคตเมื่อกู้ช่านเลื่อนเป็ นขอบเขตก่อกาเนิดแล้ว รวมไปถึงก่อนที่กู้ช่านจะเตรียมปิดด่านเพื่อฝ่ าทะลุขอบเขต ค่อยให้ หลิ่วชื่อเฉิงนา “จดหมายทางบ้าน” ฉบับที่สองไปมอบให้กับศิษย์ หลานกู้ช่าน เป็ นเหตุให้ไม่ควรจะมอบให้เร็วเกินไป และยิ่งไม่ควรจะ มอบให้ช ้าเกินไป
แต่เจิ้งจวีจงกลับจงใจดักจดหมายเอาไว้ ปิดบังกู้ช่าน
ขณะเดียวกันเจิ้งจวีจงก็ให้ศิษย์น้องอย่างหลิ่วชื่อเฉิงทาเป็ นว่าไม่ เคยได้รับจดหมายฉบับนี้
ต่อให้ศิษย์พี่จะไม่ได้พูดประโยคทานองว่าต้องยอมรับผลที่ ตามมาเอาเองอะไร แต่หลิ่วชื่อเฉิงก็ยังไม่กล้าที่จะไม่ทาตามอยู่ดี ศิษย์พี่ทาอะไรไม่เคยอธิบายต้นสายปลายเหตุให้คนอื่นฟังอยู่แล้ว
เขาที่เป็ นศิษย์น้องหรือจะกล้าพูดอะไร ฟ้ าดินกว้างใหญ่ ศิษย์พี่ ใหญ่ที่สุด
กู้ช่านกล่าว “ได้ยินมาว่าหลิวเสี้ยนหยางเป็ นเซียนกระบี่ขอบเขต หยกดิบ เป็ นเจ้าสานักคนที่สองของสานักกระบี่หลงเฉวียนแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เก่งกว่าเจ้าอยู่หน่อยใช่ไหมล่ะ?”
กู้ช่านกระตุกมุมปาก “เขาอายุมากกว่าพวกเรานะ”
หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล
ศาลาริมทางของบ้านเกิดก็ดี วัดเล็กก็ช่าง กู้ช่านเอาถ่านไม้ ออกมา เฉินผิงอันรับหน้าที่พาดบันได หลิวเสี้ยนหยางใช ้ถ่านเขียน ชื่อของพวกเขาสามคนไว้บนจุดที่สูงที่สุดของก าแพง
ไม่ว่าใครคงคิดไม่ถึง แม้กระทั่งตัวพวกเขาเองก็ยังคิดไม่ถึงว่า พวกเขาสามคนจะมีวันนี้ได้
กู้ช่านกล่าว “เดิมนึกว่าข้าซื้ออาณาเขตของภูเขาเหอฮวาน มาแล้วจะต้องโดนด่า ก่อนหน้านี้ถึงได้ไม่กล้าบอกกับเจ้าก่อน”
อันที่จริงมีคาพูดในใจบางอย่างที่พอเติบใหญ่แล้วก็ไม่เหมือน ตอนเด็กที่คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น กู้ช่านไม่กล้าพูดอย่างตรงไปตรงมา ถึงเพียงนั้นแล้ว
หากยังอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน กู้ช่านก็คงจะพูด ศัตรูของพวกเรามี กี่คนก็นับเท่านั้น ข้าจ าไว้หมดแล้ว วันหน้าจะต้องขุดหลุมศพบรรพ บุรุษสิบแปดรุ่นของพวกเขาออกมา ซ ้อมไม่ครบสิบแปดรุ่น ข้าก็จะ ช่วยชดเชยให้บนทาเนียบวงศ์ตระกูลของพวกเขา ทาเรื่องนี้สาเร็จ แล้วค่อยสร ้างห้องส้วมหลายๆ ห้องไว้ด้านข้าง ไม่ว่าจะเป็ นใคร หาก ไปอึที่นั่นก็จะได้รับเงินลูกหลานของคนที่ถูกขุดสุสานบรรพบุรุษขอ แค่ยินดีไปนั่งยองในห้องส้วมก็จะให้เงินเพิ่มเป็ นสองเท่า หากรังเกียจ ว่าน้อยไปยังเพิ่มให้ได้อีก…ข้ากู้ช่านพูดแล้วต้องทาได้แน่นอน!
แต่ในความเป็ นจริงแล้วกู้ช่านกลับได้แต่ถอนหายใจ ถึงอย่างไร ก็หวนกลับคืนไปไม่ได้แล้ว
บ้านเกิดกับมาตุภูมิ ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องแบบนี้มีอะไรให้ต้องด่า”
กู้ช่านกล่าวอย่างน้อยใจ “ก็ไม่ใช่เพราะถูกเจ้าด่ามาเยอะเกินจึง ทิ้งเงามืดไว้ในใจหรือไร”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างข าๆ ปนฉุน “รู ้ว่าตั้งแต่เด็กมาเจ้าก็มีความ อดทนข่มกลั้นดีเยี่ยม นี่เป็ นเรื่องดี แต่อย่าได้เจ้าอารมณ์ให้มากนัก”
กู้ช่านเอ่ยเสียงเบา “แต่ก็มาแล้วไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันตบป้ าบเข้าที่ท้ายทอยของกู้ช่าน
กู้ช่านแค่หัวเราะหึหนึ่งที
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบาว่า “ต่างคนต่างฝึกตน ย่อมได้อยู่ด้วยกัน น้อยกว่าแยกจากกันวันนี้จะพูดจู้จี้กับเจ้าอีกสักสองสามประโยค บุรุษ คนหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดควรรับผิดชอบต่อตัวเองให้ได้ก่อน แล้วค่อย รับผิดชอบครอบครัวและตระกูลที่ใหญ่ยิ่งกว่า สุดท้าย หากว่ายินดีก็ ลองทาเรื่องที่พอจะมีความหมายต่อโลกใบนี้ดูบ้าง หากเรื่องนั้นมี ความหมายขณะเดียวกันก็ยังทาให้คนที่ทารู ้สึกว่ามีความหมายด้วย ก็จะยิ่งดีกว่าเดิม ในเมื่อเป็ นคนที่เตรียมจะเป็ นเจ้าส านักแล้ว ท าอะไร ต้องคิดหน้าคิดหลังให้มาก วางแผนก่อนแล้วค่อยลงมือ บางครั้งเจอ กับด่านยากลาบากก็ไม่ลองถอยมาก้าวหนึ่งแล้วคิดดูใหม่”
จะฟังหลักการเหตุผลหรือไม่ ฟังแล้วจะทาหรือไม่ เป็ นเรื่องของ กู้ช่านเองแล้ว แต่จะพูดหรือไม่พูดกลับเป็ นหน้าที่ของเฉินผิงอัน บน เส้นทางของชีวิตคน ค าพูดต้องมีหลักการการกระทาต้องมีเหตุผล นี่ ก็คือหลักการเหตุผล
สุดท้ายกู้ช่านใช ้ภาษาถิ่นของบ้านเกิดถามเสียงเบาว่า “เมื่อไหร่ เจ้าถึงจะมีชีวิตที่สบายได้เสียที”
เฉินผิงอันพลันเพิ่มเสียงสูงปรี๊ด ใช ้ภาษาท้องถิ่นเช่นกัน ถลึงตา กล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ช่วยท าให้ข้าเบาใจหน่อย! เป็ นคนแซ่กู้ แต่ ทาอะไรอย่าได้สน (กู้) แต่หัวไม่สนบั้นท้าย”
กู้ช่านย่นจมูกด้วยความเคยชิน
เฉินผิงอันพลันยื่นมือมาตบแขนของกู้ช่านด้วยท่าทางอ่อนโยน เอ่ยว่า “การเดินทางไปเยือนเปลี่ยวร ้าง ทาได้ไม่เลว”
เจ้าขี้มูกยึดน้อยในตรอกเก่าโทรมของวันวาน เติบใหญ่ กลายเป็ นชายหนุ่มที่สง่างามดุจต้นไม้หยกรับลมแล้ว
คงเพราะคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคาชื่นชมเช่นนี้จากปากของเฉินผิง อัน
คนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่ท่าทางสุภาพอ่อนโยนดุจหยกงาม พลันคลี่ยิ้มกว้างสดใส