กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1046.1 เหล่าศิษย์หลานทั้งหลาย
คนสามคนหนึ่งคนโตสองเด็กที่เพิ่งจะกลายเป็ นอาจารย์และศิษย์ กันเดินอยู่ที่ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดิน กลาง ท่าเรือตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล บวกกับที่บริเวณใกล้เคียงมี ท่าเรือใหญ่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีป แน่นอนว่าแย่งการค้าไม่ได้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงดูเงียบเหงาอยู่บ้าง
ขยับไปทางเหนืออีกหน่อยก็คือราชวงศ์ต้าตวนที่เป็ นเพื่อนบ้าน แล้ว
เด็กชายคนหนึ่งลักษณะแข็งแรงมีชีวิตชีวาแทะแผ่นแป้ งย่างแผ่น ใหญ่ที่เพิ่งออกจากเตามาสดๆ ร ้อนๆ ถามเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดว่า “อาจารย์ ว่ากันว่าท่าเรือตระกูลเซียนแห่งนี้มีเพียงเรือข้ามฟาก เท่านั้นที่เป็ นของจริง”
ชายหนุ่มชุดขาวยิ้มบางๆ “ไม่ได้เกินจริงขนาดนั้น ก็แค่ว่าราคา แพงไปสักหน่อย มีของปลอมของเลียนแบบอยู่ก็จริง แต่ไม่มาก ค่า เช่าที่แพง ราคาสินค้าก็ย่อมไม่ถูกตามไปด้วย”
เด็กหญิงอีกคนหนึ่งที่อายุเท่ากับศิษย์พี่หลุดหัวเราะพรืด “อาเสียนจอมดื่ม ตอนนี้เจ้ากินขนมแป้ งย่างปลอมหรือ?”
เด็กชายพยักหน้า “มีเหตุผล เพียนเพียนที่เจ้าพูดนั้นมีเหตุผล อย่างมาก ดูท่านอกจากเรือข้ามฟากบนภูเขาแล้ว ขนมแป้ งย่างก็เป็ น ของจริงด้วย”
เด็กชายถามต่ออีกว่า “อาจารย์ ชื่อของท่าเรือแห่งนี้ประหลาด มากเลยนะ ทาไมถึงชื่อว่าท่าเรือลายมือล่ะ?”
ชายหนุ่มชุดขาวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ว่ากันว่ามีเจินเหรินบรรพ กาลท่านหนึ่งที่ประลองมรรคกถากับคนอื่น ร่างร่วงลงมาจากกลาง อากาศจึงใช ้ฝ่ ามือยันพื้นดิน เส้นลายมือก็ได้กลายมาเป็ นหุบเขาและ ท้องน้าในทุกวันนี้”
เด็กชายเดาะลิ้น “ที่แท้ก็มีเทพเซียนอยู่จริงหรือนี่ ใช่แล้วๆ ขนาด ผียังมีเลย ก็ต้องมีเทพเซียนที่จับผีอยู่แล้ว อาจารย์ คนที่เดินอยู่บน ถนนล้วนเป็ นเทพเซียนบนภูเขาตามค าเล่าลือหรือ? ดูเหมือนว่าจะไม่ เหมือนเท่าไรเลยนะ”
เด็กหญิงเอ่ยขัดคออีกครั้ง “อาเสียน เจ้าเพิ่งจะเคยไปเยือน ท่าเรือแค่กี่แห่งเอง พูดเรื่องแปลกไม่แปลกอะไรกัน เคยเรียนใน โรงเรียนมาแค่กี่ปี ไหนลองเล่ามาสิ? เขียนตัวหนังสือยังเขียนได้ไม่ ตรงเลย แสร ้งทาเป็ นคนมีวิชาความรู ้ที่ความรู ้กว้างขวางอะไรกัน”
เด็กชายที่ชื่อเล่นว่าอาเสียนเริ่มโกรธแล้ว “เพียนเพียน หากเจ้า ยังขัดคอข้าอยู่เรื่อยเช่นนี้ ข้าจะแย่งตาแหน่งลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา จากเจ้าแล้วนะ”
ชายหนุ่มชุดขาวใช ้มือกดศีรษะของพวกเขาเอาไว้ ยิ้มเอ่ยว่า “เป็ นคนร่วมส านักอย่าทะเลาะกัน มีอะไรก็คุยกันดีๆ”
เด็กหญิงที่มีชื่อเล่นว่าเพียนเพียนทาหน้าทะเล้นใส่อาเสียน
อาเสียนแสร ้งทาเป็ นมองไม่เห็น “อาจารย์ ทาไมสายตาที่คนเดิน ถนนมองท่านดูไม่ปกติเลยล่ะขอรับ หรือท่านเป็ นคนที่มีชื่อเสียง ยิ่งใหญ่บนภูเขา? แต่ท่านเป็ นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวนินา”
เด็กหญิงหัวเราะคิก “เพิ่งจะสังเกตเห็นหรือ”
อาจารย์ของพวกเขาเอ่ยว่า “ไม่ถึงกับเป็ นคนมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ หรอก แต่พอจะมีชื่ออยู่บ้างเล็กน้อย”
เ ด็ ก ห ญิง ถ อ น ห า ย ใ จ จ า ก นั้ น ไ ม่ น า น น า ง ก็ ท า ตัว ใ ห้ กระปรี้กระเปร่า แล้วพูดร่ายยาว “อาจารย์ก็พูดถึงขนาดนี้แล้ว ถ้า อย่างนั้นก็คงจะมีชื่อเสียงเล็กน้อยแบบที่เล็กมากๆ เลยสินะเฮ้อ มาเจอ กับอาจารย์อย่างท่าน ช่างเถอะ ในเมื่อเป็ นอาจารย์ที่ข้าหามาเอง ต่อ ให้ความสามารถของอาจารย์จะไม่สูงแค่ไหนก็โทษอะไรอาจารย์ไม่ได้ ไม่เป็ นไร วันหน้ารอให้ข้าฝึ กวิชาหมัดประสบความสาเร็จเมื่อไหร่ อาจารย์ก็สามารถพึ่งใบบุญของข้าได้แล้ว ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็มี แต่เสียงร ้องอุทานตกใจ ว้าว มองไม่ผิดใช่ไหม นั่นก็คืออาจารย์ ของป๋ ายอวี่เองหรือ ร ้ายกาจๆ เฉาสือผู้นี้ความสามารถอย่างอื่นไม่มี แต่ความสามารถในการรับลูกศิษย์น่ะหรือ น่าอิจฉา น่าอิจฉา เก่งกาจมากเหลือเกิน!”
ถูกลูกศิษย์เรียกชื่อออกมาตรงๆ ชามหนุ่มชุดขาวที่ชื่อจริงคือ “เฉาสือ” ก็ไม่โกรธ กลับกันยังยิ้มจนตาหยี บุรุษที่เดิมทีก็รูปงามผิด สามัญอยู่แล้ว คิ้วตายิ่งดูอ่อนโยนมากกว่าเดิม “เอาเถอะๆ พอ อาจารย์คิดถึงภาพเหตุการณ์นี้ ตอนนี้ก็รู ้สึกรอคอยอย่างมากแล้ว”
เด็กชายตาหนิอาจารย์ของตัวเองอย่างที่หาได้ยาก “อาจารย์ อาจารย์ผู้เฒ่าของศูนย์ฝึกยุทธที่อยู่ติดกับบ้านพวกเรา ตอนที่เขา ถ่ายทอดวรยุทธให้พวกลูกศิษย์ ความสามารถสูงนิสัยก็เจ้าอารมณ์ ดุร ้ายอย่างมากเลยล่ะ ไม่ว่าใครก็กลัวเขาไปหมด ท่านต้องเรียนรู ้จาก เขาให้มากๆ”
เด็กน้อยก็ไม่คิดบ้างว่าอาจารย์มีลูกศิษย์อย่างพวกเขาแค่สองคน หากดุขึ้นมาจริงๆ ใครเล่าที่น่าสงสาร?
เฉาสือพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่มีปัญหา คนดุเป็ นง่ายมากเลยล่ะ เรียนวรยุทธคือเรื่องล าบาก วันหน้าพวกเจ้าหากใครกล้าแอบอู้ ข้า จะต้องตีหน้าเคร่งสั่งสอนพวกเจ้าแน่”
เด็กน้อยสองคนที่ชื่อเล่นคืออาเสียนและเพียนเพียนก็คือลูกศิษย์ ผู้สืบทอดสองคนที่เฉาสือรับมาใหม่
ก่อนหน้านี้ไม่นานได้เจอกับพวกเขาโดยบังเอิญ เด็กวัยเดียวกัน สองคนที่เพิ่งจะอายุเจ็ดขวบ เป็ นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่เด็ก มีชาติ ก าเนิดจากชาวบ้านในอ าเภอของแคว้นเล็กแห่งหนึ่ง เพียงแค่เพราะ ใกล้บ้านพวกเขามีศูนย์ฝึกยุทธอยู่แห่งหนึ่ง ตั้งแต่เด็กมาก็ชอบพาด
บันไดนอนคว่าบนหัวกาแพงแอบดูคนฝึกหมัด เพิ่งจะ “ดู” วิชาการ ต่อสู้ที่ตื้นเขินที่สุดมาได้แค่ไม่กี่ปี ไม่มีใครสอนคาถาและท่าหมัดท่า เดินให้พวกเขาอย่างแท้จริง เด็กน้อยสองคนนี้ก็กล้าจับคู่กันไปที่ศาล เถื่อนซึ่งถูกปล่อยร ้างตั้งอยู่ห่างไปหลายสิบลี้เพื่อดูว่าบนโลกนี้มีเทพ เจ้ามีผีจริงหรือไม่ ตอนนั้นเฉาสือบังเอิญทะยานลมผ่านทางไปพอดี สังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติบนพื้น ก้มหน้าลงมอง เฉาสือ ก็รีบพลิ้วกายลงไปด้านล่างทันที
เด็กชายถือกระบี่ไม้สั้นเล็กเล่มหนึ่ง ส่วนเด็กหญิงถือกริชที่ทา จากไม้ไผ่เล่มหนึ่ง แม้พวกเขาจะถูกหนึ่งผีหนึ่งปีศาจที่ยึดครองศาล เถื่อนขู่ให้ตกใจกลัวจนหน้าซีดขาว แต่พอเจอกับเรื่องอันตรายเข้า จริงพวกเขากลับลงมืออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย เรือนกายเคลื่อนไหว แผ่วเบา ฝีเท้าว่องไวปราดเปรียว เด็กสองคนพอจะมีลางว่ามีปณิธาน หมัดอยู่บนกายแล้ว
อันที่จริงขอบเขตของหนึ่งผีหนึ่งปีศาจนั้นก็ไม่ได้สูง มีตบะแค่ห้า ขอบเขตล่างเท่านั้นแรกเริ่มก็แค่อยากจะขู่เด็กน้อยสองคนให้กลัว เท่านั้น ไม่ได้คิดจะทาอะไรพวกเขาจริงๆ เด็กตัวเท่ากันสองคน รวมกันแล้วยังหนักไม่ถึงร ้อยจิน ยังยัดซอกฟันของพวกมันไม่พอ ด้วยซ้า อีกทั้งทุกวันนี้ที่ว่าการแต่ละแห่งยังควบคุมอย่างเข้มงวด สถานการณ์ตึงเครียด ไม่ควรเอาชีวิตไปทิ้งเพียงแค่เพื่ออยากกิน อาหารคาวให้หายอยาก ทุกสิ่งที่ทามาจะไม่เสียเปล่าเลยหรอกหรือ
เดิมพวกมันก็แค่อยากหยอกอีกฝ่ ายเล่น เพียงแต่ว่าสู้กันไปสู้กัน มากลับเกิดไฟโทสะขึ้นจริงๆ นั่นเป็ นเพราะเจ้าลูกกระต่ายน้อยสองตัว นั้นประหลาดเกินไป หากจะบอกว่ากระบี่ไม้ฟันมาโดนหรือกริชแทง เข้าเนื้อ ก็ไม่ได้เป็ นอะไร ไม่เจ็บไม่คันเลยด้วยซ้า แต่รอกระทั่งพวก มันหักกระบี่ไม้และบีบกริชให้แหลก ยามที่ในมือไม่มี “อาวุธ” แล้ว เด็กน้อยที่ต้านรับศัตรูด้วยมือเปล่าเท้าเปล่า หมัดแรกของเด็กหญิง กลับต่อยให้ปีศาจตนนั้นเนื้อแตก มันเดือดดาลอย่างหนัก มิอาจข่ม กลั้นจิตสังหารไว้ได้ก็เลยปล่อยหมัดต่อยแรงๆ ใส่นังหนูปากไม่สิ้น กลิ่นน้านมผู้นั้น คิดไม่ถึงว่านางจะกระโดดไปด้านหลัง พลิกตัวกลิ้ง ไปหลายตลบ สามารถหลบหมัดนั้นมาได้อย่างปราดเปรียว ไม่เพียง เท่านี้ ดูเหมือนว่านางจะคานวณจุดที่ร่างจะตกไว้ได้แล้ว เรือนกาย เล็กจ้อยที่ลอยอยู่กลางอากาศของเด็กหญิงเหยียบลงบนกาแพงพอดี สองเข่าของนางงอเล็กน้อยแล้วพลันเพิ่มแรง ร่างทั้งร่างพุ่งทะยาน ออกไปว่องไวดุจธนูที่หลุดจากแล่ง แล้วปล่อยอีกหมัดต่อยลงบน หน้าผากของปีศาจตนนั้น ก่อนที่นางจะใช ้เท้าเหยียบหน้าอกของอีก ฝ่าย อาศัยแรงส่งดีดตัวถอยไปด้านหลัง
ส่วนเด็กชายที่โรมรันอยู่กับผีก็มีสายตาเด็ดเดี่ยวหนักแน่นอยู่ ตลอด ลมหายใจยังถึงขั้นหนักแน่นและทอดยาวกว่าเวลาปกติ เข้าสู่ สภาวะจิตใจสงบนิ่งไร ้สิ่งรบกวนที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
พูดถึงแค่ปีศาจตนนั้นที่โดนไปหนึ่งหมัดหนึ่งเท้าต้องถอยหลัง กรูดไปหลายก้าวก็โมโหจนแทบระเบิดแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ต่อย
เด็กหญิงด้วยความเดือดดาล มันจงใจชะลอความเร็วและลดทอน พละก าลังลง หลีกเลี่ยงไม่ให้ไม่ทันระวังต่อยให้หัวของอีกฝ่ ายแหลก กระจายที่มากกว่านั้นก็คือคิดว่าจะหยุดหมัดอยู่ใกล้กับศีรษะของ เด็กหญิงเพื่อที่จะสอนให้นางรู ้จักหนักเบาดีชั่ว ผลกลับได้รับการ ตอบแทนเช่นนี้…มันนวดคลึงหน้าอก สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือก ใหญ่ สุดท้ายก็พูดเสียงดังกังวานกับผีคนรักที่ไม่ได้เปรียบไปมากกว่า กัน เอ่ยประโยคที่ไม่เป็ นมงคลบอกว่าไปเถอะ ค่อนข้างรับมือได้ยาก ไม่แน่ว่าอาจเป็ นผู้ฝึ กลมปราณบนทาเนียบที่มียอดฝี มือปกป้ อง มรรคาให้อย่างลับๆ ก็เป็ นได้
แต่ผีตนนั้นกลับโมโหอย่างหนัก ใช ้เสียงในใจเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ผายลมเจ้าน่ะสิ จะให้จากไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ? ไม่ซ ้อมเจ้าตะพาบ น้อยสองตัวนี้ให้หนักๆ สักครั้ง โทสะเหล่าเหนียงคงอัดอั้นอยู่อีกนาน หลายปี!
และเวลานี้เอง หน้าประตูศาลที่ถูกทิ้งร ้างมานานหลายปีก็มีคน หนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามา
ดูเหมือนว่าพอหยุดออกหมัด เด็กทั้งสองก็เผยท่าทางตื่น ตระหนกหวาดกลัวที่สอดคล้องกับอายุออกมาอีกครั้ง พวกเขาจับมือ กัน ขยับแผ่นหลังชิดติดผนัง ใบหน้าอ่อนเยาว์ทั้งสองมีแต่เหงื่อ
เฉาสือกล่าว “ในเมื่อสามารถข่มกลั้นสันดานเดิมเอาไว้ได้ พยายามระงับความดุร ้ายของตัวเองอยู่ตลอด ก็ไม่ถือว่าการฝึกตนนี้ พาเดินไปผิดทาง วันหน้าฝึกตนให้ดีๆ อย่าให้เสียเปล่า
ผีสาวกลับด่าเสียงเยือกเย็นชวนขนลุก “เจ้าเด็กหน้าเหม็น เจ้า คือหอมต้นไหน?! บังอาจมาพูดจาวางโต สอนให้พวกเราฝึกตน….
ปีศาจรีบขยับมาอยู่ตรงหน้านาง กระตุกชายแขนเสื้อของนาง แล้วเอ่ยเตือนเสียงเบา “ข้าก็บอกแล้วว่าต้องเป็ นผู้ปกป้ องมรรคาของ เด็กสองคนนั้นแน่เลย
ผลคือคนหนุ่มชุดขาวกลับยิ้มแนะนาตัวว่า “ข้าแซ่เฉานามสือ ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาอะไร เป็ นแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว มาจาก ราชวงศ์ต้าตวนทางทิศเหนือ
ผีสาวร ้องเพ้ย ใช ้เสียงในใจกล่าวว่า “หากเจ้าคือเฉาสือจริงๆ พวกเราจะยังมีชีวิตรอดอยู่ได้อีกหรือ?!!
เฉาสื่อคลี่ยิ้ม เพียงแค่บิดปลายเท้าก็มีภาพเหตุการณ์ผิดปกติ เกิดขึ้นในฟ้ าดิน ราวกับว่าแม่น้าแห่งกาลเวลาทั่วทั้งศาลเกิดการ บิดเบือนเปลี่ยนเส้นทางไปนับแต่นี้
ผีสาวกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “จะคิดว่าเจ้าคือเฉาสือก็แล้วกัน ข้า จะโขกหัวให้เจ้า คืนนี้ปล่อยพวกเราสองสามีภรรยาไปได้หรือไม่?
เฉาสือกล่าว “คนที่ปล่อยพวกเจ้าไป ไม่ใช่ข้า แต่คือตัวพวกเจ้า เอง ยังคงเป็ นประโยคนั้น วันหน้าตั้งใจฝึกตนให้ดี ผู้ที่ฝึกบาเพ็ญตน ยินดีให้ความเคารพต่อฟ้ าดิน แน่นอนว่าเมื่อมีจิตศรัทธาอย่างแท้จริง ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะบังเกิด
ผีสาวเอ่ยอย่างขลาดๆ เขินอาย “พวกเราจะถือว่าเป็ นผู้ฝึ ก บ าเพ็ญตนได้อย่างไร เจ้าต้องไม่ใช่เฉาสือแน่นอน ใช่แล้ว เจ้าต้อง แสร ้งข่มขู่ให้กลัว แต่อันที่จริงกลับสู้พวกเราไม่ได้อยากจะข่มขู่ให้ พวกเราถอยหนี…
ปีศาจตกใจจนแทบขวัญกระเจิงแล้ว หันหน้ามาเอ่ยด้วยสีหน้า หม่นหมอง “เมียจ๋าอย่าได้อวดเก่งอีกเลย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนเชื่อฟัง เจ้า มีเพียงเรื่องนี้ที่ฟังสามีสักคา ไปกันเถอะ!”
เฉาสือยิ้มเอ่ย “หากยังไม่ไปอีก ข้าก็ต้องรั้งพวกเจ้าไว้พูดคุยสัก สองสามประโยคแล้วจริงๆ
ผีสาวกลายร่างเป็ นกลุ่มควันเข้มข้นลอดทะลุหน้าต่างออกไป ปีศาจร่างใหญ่ก าย าไม่มีเวลามาสนอะไรอีกแล้ว หมุนตัวกลับได้ก็ กระโดดขึ้นสูงพุ่งทะลุหน้าต่างออกไปโดยตรงผีสาวตวาดเสียงแหลม ด่าเขาว่าคนล้างผลาญ
เฉาสือนั่งคุกเข่าข้างเดียว ยิ้มถามว่า “ข้าชื่อเฉาสือ พวกเจ้าชื่อ ว่าอะไรกันบ้าง?”
น้าเสียงของเด็กหญิงยังแฝงไว้ด้วยการถอนสะอื้น แต่กระนั้นสี หน้าก็ยังดื้อดึง เชิดศีรษะขึ้นสูง “ท่องอยู่ในยุทธภพ เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่! ข้าชื่อป๋ ายอวี่ อวี่ที่แปลว่าฝนตกแรงมาก ฝน กระหน่าที่ใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลือง ทั่วทั้งฟ้ าดินมีแต่สีขาวโพลน
เด็กชายก็พูดเสียงสั่นตามไปด้วย “ข้าชื่อจีเจี๋ย ไม่ใช่จี้แปลว่าสี่ ฤดูกาล คืออักษรเหออยู่ด้านข้าง บวกกับอักษรโยวและอักษรซาน และอักษรเจี๋ยจากคาว่าประหยัด
เฉาสือเอ่ยเสียงเบาว่า ไม่ต้องกลัว ข้าคือคนตัวเป็ นๆ เหมือนกับ พวกเจ้า อีกทั้งยังฝึกวรยุทธด้วย ก็คือฝึกวิชาหมัดมานานกว่าพวก เจ้าค่อนข้างหลายปี ดังนั้นถึงได้ทาให้พวกตกใจหนีไปได้
เห็นว่าพวกเขาไม่พูดไม่จา เฉาสือก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ย รีบกลับ บ้านเถอะ พวกเจ้าสองคนต้องจาไว้ว่าวันหน้าอย่าบุ่มบ่ามแบบนี้อีก ระหว่างภูเขาสายน้ามีเทพและสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่มากมาย ต่างคน มีนิสัยแตกต่างกันไป
เฉาสือหมุนตัวเดินออกไปจากศาลก่อน
เด็กสองคนแอบซุบซิบกัน หลังจากปรึกษากันแล้วก็คิดว่าควรจะ ตามชายชุดขาวที่ไม่เหมือนกับคนเลวผู้นั้นไปดีกว่า
เฉาสือเดินไปถึงตีนเขาแล้วหยุดเดิน ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าจะคุ้มกัน พวกเจ้าไปส่ง
เด็กชายกากระบี่ไม้ที่หักเป็ นสองท่อนไว้แน่น ส่วนเด็กหญิงก็หลั่ง น้าตาเงียบๆ กาลังเสียดายกริชที่ทาจากไม้ไผ่ซึ่งถูกบีบจนแหลกไป แล้วเล่มนั้น
จีเจี๋ยปลุกความกล้าเอ่ยว่า “ท่านก็เป็ นวิชาหมัดวิชาการต่อสู้ ด้วยหรือ?”
เฉาสือพยักหน้า “เป็ น”
จีเจี๋ยมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใสทันที “วิชาหมัดของท่านสูงมาก หรือ?”
เฉาสือหลุดหัวเราะพรืด
เขาไม่รู ้จริงๆ ว่าจะตอบคาถามข้อนี้อย่างไร
ป๋ ายอวี่เช็ดหน้า เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “อาเสียนจอมทึ่ม เขา สามารถขู่ให้สิ่งอัปมงคลในศาลถอยออกจากภูเขาไปได้ ต้องมีวิชา หมัดเท้าที่ร ้ายกาจอย่างแน่นอน
เฉาสือยิ้มเอ่ย ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงน้า หรือไปเยี่ยมเยือนเซียนถาม มรรคา จ าไว้ว่าต้องจ าข้อห้ามบางอย่างเอาไว้ ไม่สามารถเอ่ยค า จาพวก “สิ่งอัปมงคล” ได้
แม่นางน้อยอึ้งตะลึง พยักหน้า ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่มี ก็ล้วน ฟังท่าน
ใบหน้าของจีเจี๋ยเต็มไปด้วยความวาดฝัน ถามว่า “ถ้าอย่างนั้น ท่านรู ้จักยอดฝี มือในยุทธภพไหม? จอมยุทธใหญ่ที่กล่าวถึงใน ตาราน่ะ! แบบที่มีฉายายาวมากๆ หรือฉายาที่คนอื่นตั้งให้ มีบารมี มี อ านาจ ท่านมีฉายาไหม?”
ดูเหมือนจะเป็ นคาถามที่น่าอ่อนใจอีกคาถามหนึ่ง เฉาสือคิดแล้ว ก็เอ่ยว่า “พอจะรู ้จักยอดฝีมืออยู่บ้าง แต่ข้าไม่มีฉายาอะไรหรอก
ป๋ ายอวี่กล่าว “หากท่านเอาชนะอาจารย์ผู้เฒ่าหลิวที่อยู่ในศูนย์ ฝึกยุทธข้างบ้านพวกเราได้ ข้าจะรับท่านเป็ นอาจารย์! เป็ นอย่างไร?”
จีเจี๋ยเอ่ยเสริม “ทางที่ดีที่สุดคือประมือกับอาจารย์ผู้เฒ่าหลิวได้ อย่าให้เป็ นการท้าทาย เพราะในยุทธภพมีข้อพิถีพิถันอยู่ ดูเหมือนว่า การท้าทายก็เท่ากับต้องขึ้นเวทีประลองแล้ว ขาดก็แค่ไม่ได้ลงนาม เป็ นตายเท่านั้น ฟังแล้วน่ากลัวมากเลย”