กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1046.2 เหล่าศิษย์หลานทั้งหลาย
เฉาสือยิ้มเอ่ย “ข้ายังต้องเดินทางต่อ รีบกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพ่อ แม่ของพวกเจ้าจะเป็ นห่วง น่าจะโดนตีกันแน่ๆ
เพียงแต่ว่าถึงท้ายที่สุด เฉาสือก็ยังรับพวกเขามาเป็ นลูกศิษย์
คืนนั้นไปที่ตัวอาเภอก่อนรอบหนึ่ง ได้เห็นเด็กทั้งสอง คนหนึ่งถูก ไม้ปัดขนไก่ตีจนมือเล็กๆ บวมแดง แต่กลับไม่ร ้องไห้ อีกคนก็ยิ่งนอน อยู่บนม้านั่ง ถูกตึกจนกันลายพร ้อย แผดเสียงร ้องดังลั่น
แน่นอนว่าเฉาสือต้องพูดความคิดที่อยากจะรับลูกศิษย์ของ ตัวเองให้ผู้ปกครองสองบ้านฟัง บอกว่าพวกเขามีพรสวรรค์ในการ เรียนวรยุทธอย่างมาก จากนั้นก็ไปยังจวนเซียนอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ ที่สุด ขอให้เซียนซือผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรช่วยไปที่ว่าการ อ าเภอให้แทนเพื่อเชิญตัวท่านนายอาเภอให้ออกหน้าด้วยตัวเอง ให้ นายอ าเภอโน้มน้าวคนของสองครอบครัวให้มอบเด็กทั้งสองให้กับตน อย่างวางใจ…เอาเป็ นว่าขั้นตอนเหล่านี้ค่อนข้างซับช ้อนวกวนก็แล้ว กัน ส่วนเรื่องที่ว่าเฉาสือจะพูดชื่อของตัวเองหรือไม่ จะบอกว่าตัวเอง มาจากราชวงศ์ต้าตวนอะไรหรือไม่ ส าหรับอ าเภอห่างไกลที่ไม่ แก่งแย่งชิงดีกับโลกภายนอกข่าวสารก็ถูกปิดกั้นมาอย่างเนิ่นนาน แห่งนี้ พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
เวลานี้อาจารย์และศิษย์สามคนเดินอยู่ที่ท่าเรือ ยิ่งนานก็ยิ่งมี ผู้โดยสารของเรือข้ามฟากปรากฏตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เถ้าแก่ของ ร ้านในพื้นที่ นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวฤดูใบไม้ผลิที่นี่ ไม่รู ้ว่าใคร เป็ นคนตะโกนเรียกชื่อ “เฉาสือ” ออกมาก่อน พอมีคนเริ่มแล้วก็มิอาจ หยุดยั้งกันได้อีก “ดูเหมือนว่าจะเป็ นเฉาสือ!” “เฉาสือจริงๆ ด้วย ตัว จริงแน่นอน!” “เฉาสือมาทาอะไรที่นี่? คงไม่ใช่ว่าเป็ นแค่คนที่หน้า คล้ายเฉาสือหรอกนะ?” “บังอาจ เรียกชื่อตรงๆ ได้อย่างไร พวกเรา ต้องเรียกเขาด้วยความเคารพว่าเทพแห่งการต่อสู้เฉาถึงจะถูก!
ทั่วทั้งท่าเรือมีเสียงตะโกนดังขึ้นๆ ลงๆ เพียงแต่ว่าไม่มีใครกล้า ขยับเข้ามาใกล้ ได้แต่บอกชื่อของตัวเองอยู่ไกลๆ ชื่ออะไรมาจาก ไหน อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาคือใคร…
จีเจี๋ยไม่เคยเห็นเหตุการณ์ที่ประหลาดเช่นนี้มาก่อน เขาจึง ตื่นเต้นอยู่บ้าง กระตุกชายแขนเสื้อของอาจารย์ ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ เฉาสือที่พวกเขาพูดถึงคือใครหรือ?”
เฉาสือยิ้มเอ่ย “หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะเป็ นอาจารย์ของ พวกเจ้าแล้วล่ะ”
ป๋ ายอวี๋กระทืบเท้า “อาจารย์ ที่แท้ท่านก็มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ขนาดนี้เลยหรือ? วันหน้าข้าจะท าอย่างไรดีล่ะ ออกไปข้างนอกจะไม่ ถูกทุกคนเรียกว่าลูกศิษย์ของเฉาลือหรือ?!”
เฉาสือยิ้มอ่อนโยน พยักหน้าเอ่ยสัพยอกว่า “มาเจอกับอาจารย์ ที่เป็ นเช่นนี้ก็ค่อนข้างน่าล าบากใจจริงๆ”
ภูเขาลั่วพั่ว
ช่วงนี้เฉินผิงอันที่สวมชุดเขียวกาลังตั้งใจเรียบเรียงตาราหินฝน หมึกเล่มหนึ่งขึ้นมา
หน้ากระดาษหนังสือล้วนเป็ นพ่อครัวเฒ่าที่ทุบเยื่อกระดาษทา ขึ้นมาเอง ในเมื่อเป็ น “หนังสือโบราณ” ที่ค่อนข้างจะมีอายุแล้วก็ย่อม ต้องออกเป็ นสีเหลืองสักหน่อย สีสันเก่าแก่กลิ่นอายก็ต้องเก่าแก่ถึงจะ ถูก
ช่วยไม่ได้ นับตั้งแต่ที่กวอจู๋จิ่วมาถึงภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันก็ ค้นพบด้วยความเฉียบไวว่าลูกศิษย์คนเล็กผู้นี้กาลังขุ่นเคืองเขาอยู่ และนางยังพยายามแสร ้งท าเป็ นว่าตัวเองไม่ได้โกรธ อาจารย์พ่อยังคง เป็ นอาจารย์พ่อที่ดีที่สุดในใต้หล้า
เฉินผิงอันไม่สะดวกจะถามสาเหตุจากนางโดยตรง คิดไปคิดมาก็ ยังไม่ได้คาตอบที่โน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อได้ เฉินผิงอันจึงได้แต่แอบไป หาจูเหลี่ยน ดูว่าปัญหานั้นอยู่ที่ไหนกันแน่แล้วก็ต้องให้พ่อครัวเฒ่า ลงมือจริงๆ แค่ถามคาถามไม่กี่ข้อ บวกกับที่ตอนเผยเฉียนยังเด็กก็ เคยเล่าเรื่องของกวอจู๋จิ่วไว้ไม่น้อย เพียงไม่นานจูเหลี่ยนก็เดาคาตอบ ได้ แต่เขากลับอมพะน าเอาไว้ก่อน บอกว่าคุณชายท่านยังจ าจานฝน หมึกที่ห้อยอยู่ตรงเอวของกวอจู๋จิ่วได้หรือไม่? ได้รับคาชี้แนะเพียง
เท่านี้ เฉินผิงอันก็กระจ่างแจ้งได้ทันใด จริงด้วย ต้องโทษตน ปีนั้นอยู่ ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันเคยโกหกกวอจู๋จิ่ว บอกว่า วัสดุลวี่ตวนที่ใช ้ทาจานฝนหมึกของนาง ในใต้หล้าไพศาลถือเป็ น วัสดุทาจานฝนหมึกที่มีชื่อเสียงและแพงมาก
หากจะบอกว่าเขาโกหกทั้งหมดก็ไม่ใช่ ในใต้หล้าไพศาล หินฝน หมึกตวนมีชื่อเสียงและแพงมากจริงๆ แน่นอนว่าลวี่ตวนที่เป็ นหนึ่งใน หินตวนกลับราคาค่อนข้างถูกกว่าอย่างอื่น
เฉินผิงอันจึงถามพ่อครัวเฒ่าว่าควรจะชดเชยอย่างไรดี จูเหลี่ยน ยิ้มเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า นี่ก็ง่ายมากเลยไม่ใช่หรือ คุณชายก็เขียน ตาราหินฝนหมึกด้วยตัวเองเลยเล่มหนึ่ง ตั้งชื่อทานองว่าตารา คัดลอกศิลาเรือนศึกษาร ้อยหินฝนหมึก รวบรวมหินฝนหมึกที่มี ชื่อเสียงร ้อยชิ้นที่สืบทอดต่อกันมา หินฝนหมึกลวี่ตวนไม่ต้องให้มี มากนัก ในจานฝนหมึกร ้อยชิ้นก็ให้มีแค่สักห้าหกชิ้นก็พอแล้ว หลักๆ แล้วหินฝนหมึกที่มีชื่อเสียงติดสิบอันดับแรกต้องมีสองชิ้นที่เป็ นจาน ฝนหมึกลวี่ตวนที่มีการสืบทอดอย่างเป็ นระเบียบและมีการเก็บรักษาที่ ชัดเจน จะมากไปกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ไม่ได้ มากเกินไปก็จะไม่มีคน เชื่อ น้อยเกินไปน้าหนักก็จะไม่มากพอ
เฉินผิงอันรู ้สึกเลื่อมใสอีกฝ่ ายอย่างมาก ขณะเดียวกันก็เหล่ตา มองพ่อครัวเฒ่า สร ้างของปลอมเป็ นเรื่องที่เจ้าถนัดจริงๆ เลยนะ
จูเหลี่ยนยิ้มโบกมือ จานฝนหมึกตั้งหนึ่งร ้อยชิ้นนะ แล้วยังต้อง แกะสลัก คัดลอกรูปร่างเขียนตัวอักษรที่ไม่ซ้ากันด้วย บวกกับที่ยัง
ต้องเขียนเรื่องเล่าอันน่าตื่นตาตื่นใจที่สอดคล้องกันไป เป็ นงานใหญ่ มากเลยนะ คุณชายต้องท าเองถึงจะได้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกลับมาที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ แล้วคืนนั้นก็ เริ่มเขียนตาราหินฝนหมึกเล่มนี้เงียบๆ แล้ว
น่าสงสารเจ้าขุนเขาที่เป็ นเถ้าแก่สะบัดมือทิ้งร ้านมาจนเคยชินที่ ต้องปิดประตูแอบท ามิอาจปล่อยให้หน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยมาเห็นได้
ต้องรอให้งานใหญ่สาเร็จเสียก่อนแล้วค่อยให้พวกนางดู จากนั้น ค่อยอาศัยหมี่ลี่น้อยที่เป็ นเทพรายงานข่าวให้เอาข่าวไปบอกกวอจู๋จิ่ว นี่ถึงจะถือว่าราบรื่นไร ้ช่องโหว่
คิดไม่ถึงว่ากว่าเฉินผิงอันจะเรียบเรียงตาราจานฝึกหมึกขึ้นมาได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย หน่วนซู่ที่ตอนทาความสะอาดได้เห็นตาราเล่มนั้นแล้ว แต่เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกลับไม่เข้าใจ
ส่วนหมี่ลี่น้อยที่เวลาปกติชอบไปนอนเล่นที่ชายคาใต้ระเบียงกับ พี่หญิงหน่วนซู่หรือไม่ก็นอนอาบแดดเป็ นเพื่อนเจ้าขุนเขาคนดีก็ยิ่ง ไม่ได้สังเกตรายละเอียดเรื่องนี้
มีวันหนึ่งตอนที่หน่วนซู่เย็บรองเท้าผ้า หมี่ลี่น้อยนอนกลิ้งไปมา บนระเบียงกว้าง เฉินผิงอันจึงได้แต่จงใจบอกว่าจะไปหยิบต าราเล่ม หนึ่งมาอ่านแล้วลุกขึ้นไปหยิบตาราหินฝนหมึกเล่มนั้นมา
คงเป็ นเพราะพวกนางชินตากับตาราที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน แล้ว อีกทั้งเวลาที่หน่วนซู่ท างานในมือก็มักจะมีสมาธิอย่างมาก ส่วน
หมี่ลี่น้อยน่ะหรือ กระโดดโลดเต้นสนุกสนานแม่นางน้อยชุดด าเอาแต่ มองเมฆขาวนอกหน้าผา รอคอยด้วยความคาดหวังว่าจะมีศีรษะสาม ศีรษะลอยผ่านไปหรือไม่…
เฉินผิงอันเริ่มร ้อนใจแล้ว โชคดีที่ระหว่างที่หน่วนซู่กัดด้ายให้ ขาด นางเงยหน้าขึ้นมาเห็นชื่อของตาราหินฝนหมึกพอดี ในที่สุด นางก็เปิดปากถามว่า นายท่าน ตาราเล่มนี้เพิ่งซื้อมาหรือ?
เฉินผิงอันอิ่มรับหนึ่งที ก่อนจะกระแอมอีกสองสามที ใช ้เสียง กระแอมเตือนให้หมี่ลี่น้อยมองมาทางนี้ หมี่ลี่น้อยยื่นหัวเข้ามา เบิกตา กว้างอ่านอยู่พักหนึ่งแล้วก็พลันร ้องอุทานตกใจว่า ตาราชื่อว่าตารา ร ้อยหินฝนหมึกหรือ ชื่อเหมือนตาราตราประทับร ้อยเซียนกระบี่ของ เจ้าขุนเขาคนดีมากเลยนะ!
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแรงๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่าใช่แล้ว ใช่แล้ว
หน่วนซู่ทาท่าครุ่นคิดแล้วก้มหน้าลงกลั้นขา
จากนั้นเฉินผิงอันก็ส่งตาราหินฝนหมึกให้กับหมี่ลี่น้อย บอกให้ นางลองอ่านดู
หมี่ลี่น้อยสะบัดมือ ใช ้สองมือรับตาราหินฝนหมึกมาแล้วเริ่มอ่าน อย่างตั้งใจ
แล้วก็จริงดังคาด ผ่านไปได้แค่ไม่กี่วันกวอจู๋จิ่วก็มาที่ชั้นหนึ่งของ เรือนไม้ไผ่ ดึกมากแล้วนางมายืนอยู่หน้าประตู เคาะประตูห้อง ไม่ได้ เข้าไปข้างใน กวอจู๋จิ่วที่ยืนอยู่นอกประตูจู่ๆ ก็โพล่งประโยคหนึ่งมาว่า
อาจารย์พ่อ ศิษย์โง่เขลา ทาความผิดมหันต์ แต่ผิดเรื่องอะไรคงไม่พูด ถึงแล้ว ลงโทษให้วันนี้ข้าไม่ใช่ลูกศิษย์ของอาจารย์พ่อก็แล้วกัน หาก อาจารย์พ่อยังไม่หายโมโหก็ลงโทษสองวันเลยก็ได้!
เฉินผิงอันเปิดประตูออกมา ลูบหัวกวอจู๋จิ่ว ยิ้มเอ่ยว่า ทาผิดเรื่อง อะไรคงไม่ถามแล้วแต่ลงโทษแค่วันเดียวก็พอ
อาจารย์และศิษย์สองคนที่ “ตอนนี้ยังไม่ใช่อาจารย์และศิษย์กัน พากันไปนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินริมหน้าผาพลางคุยเล่นกันไป
กวอจู๋จิ่วที่คอยนับเวลาอยู่ตลอดพลันตะโกนเสียงดังลั่น “อาจารย์พ่อ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “อืม”
……
ขุนเขาในใต้หล้าทอดยาวติดกันเป็ นเกาะแก่ง สายน้าบนโลก พร ้อมใจกันไหลลงสู่มหาสมุทร
ริมชายหาดของทักษินาตยทวีปมีเทือกเขาสูงตระหง่านทอดยาว ต่อเนื่องกัน
บนยอดสูงสุดของยอดเขาแห่งหนึ่ง ต้นสนโบราณแผ่กิ่งก้าน ประดุจกระดูกสันหลังของมังกร โค้งงอค้ายัน แสดงอารมณ์อันแรง กล้า เกล็ดและกรงเล็บจับขยุ้ม เข็มสนคลี่กางดุจง้าวขี้เกาะรวมเป็ น กลุ่มก้อน
มีสตรีที่รูปโฉมธรรมดาคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินท่ามกลางร่มเงา ต้นสน บนโต๊ะวางกล่องไม้ไว้ใบหนึ่ง
นางตัวผอมสูง คิ้วสองข้างเรียวยาว จึงทาให้นางดูเป็ นคนเงียบ ขรึมเย็นชาขึ้นอีกหลายสวน
ผู้ฝึ กกระบี่หลายคนที่อายุในการฝึ กตนต่างก็ไม่มากยืนอยู่ ด้านข้าง พวกเขาจ้องมองภาพเหตุการณ์ในกล่องไม้ตาไม่กะพริบ
นางก็คือลู่จือ ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสานักกระบี่หลงเซี่ยง
ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ต่างก็เลื่อนติดอันดับสิบแปดกระบี่ของ สานักกระบี่หลงเซี่ยง เนื่องจากแต่ละคนเจอคอขวดของขอบเขตที่ไม่ เท่ากัน จึงจ าต้องฝึกกระบี่อยู่ในสานัก ปิดด่านเพื่อแสวงหาการเลื่อน ขอบเขต
แรกเริ่มผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ส่วนใหญ่ต่างก็อยากติดตามเจ้าสานัก ไปเข่นฆ่าปีศาจ
ฉีถิงจี้ไม่มีความเห็นต่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแค่เอ่ยเตือนพวก เขาว่าหากอยากจะไปสนามรบของเปลี่ยวร ้างก็ไปเถอะ แต่จะมีชีวิต รอดออกมาจากสนามรบได้หรือไม่ก็ต้องอาศัยความสามารถของ ตัวเอง อย่าได้หวังว่าเขาจะช่วยปกป้ องมรรคาให้
ผลคือลู่จือใช ้คาพูดไม่กี่คาก็คล้ายเป็ นน้าเย็นที่ราดลงบนหัว เหล่าผู้ฝึกกระบี่ที่เลือดร ้อนพุ่งพล่าน
มีใจที่หวังดี ทาอะไรโดยใช ้อารมณ์ มองความเป็ นความตายเป็ น เรื่องไม่สาคัญสามารถเข้าใจได้ แต่ด้วยขอบเขตของพวกเจ้า ในตอนนี้ บนหัวยังสวมตาแหน่งลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฉีถิงจี้ไว้ด้วย ยังไม่มากพอ ไปที่สนามรบของเปลี่ยวร ้าง อย่างมากสุดแค่สองสาม ครั้งก็มีแต่จะเอาหัวไปมอบให้เผ่าปีศาจเปล่าๆ หลังจากที่พวกเจ้ารบ ตายไป ในต าราล าดับเหตุการณ์ประจาปี ของสานักกระบี่หลงเซี่ย งย่อมไม่มีทางจด “คุณูปการอันยิ่งใหญ่” พวกนี้ลงไปแน่
นอกจากนี้สานักกระบี่ก็เพิ่งจะรับลูกศิษย์ฝ่ ายนอกที่ยังไม่ได้รับ การบันทึกชื่อมาอีกกลุ่มหนึ่ง จานวนคนมีมากถึงหกสิบกว่าคน คนที่ อายุน้อยที่สุดเพิ่งจะห้าขวบเท่านั้น อายุมากสุดก็ไม่เกินสิบหกปี
พวกเขาต่างก็เป็ นตัวอ่อนกระบี่ที่ราชสานักของแคว้นต่างๆ ใน ทักษินาตยทวีปเป็ นฝ่ ายมอบมาให้ ก่อนจะออกเดินทาง ผู้อาวุโสใน ตระกูลหรือไม่ก็จักรพรรดิเจ้าเหนือหัวล้วนกาชับเด็กๆ พวกนี้ซ้าไป ซ้ามาว่า เมื่อมาถึงสานักกระบี่หลงเซี่ยงแล้วต้องรู ้จักทะนุถนอม โอกาสให้ดี ตั้งใจฝึกตนให้ดี พยายามกลายเป็ นลูกศิษย์ที่ได้รับการ บันทึกชื่อของสานักกระบี่ในอนาคตให้ได้ จากนั้นก็ให้ถูกบันทึกชื่อ ลงทาเนียบ ก่อนจะเลื่อนขั้นไปอยู่ในศาลบรรพจารย์ของส านัก
หากโชคดีได้เป็ นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าส านักฉีหรือผู้ถวาย งานลู่ แน่นอนว่าย่อมดียิ่งกว่า และยังมีประมุขตระกูลหรือไม่ก็ฮ่องเต้ จานวนไม่น้อยที่ต่างก็ถือโอกาสเอ่ยประโยคหนึ่งเหมือนกันโดยไม่ได้ นัดหมายว่า วันหน้าหากอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นเดินทางไกลข้ามทวีปมา
เยือนสานักกระบี่หลงเซี่ยง พวกเจ้าได้เจอเขาก็สามารถทาหน้าหนา เชิญเฉินอิ่นกวานให้มาเป็ นแขกที่บ้านได้ จะสาเร็จหรือไม่ ไม่ส าคัญ แต่ต้องเปิดปากเอ่ยเชื้อเชิญให้ได้ ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็อายุยังน้อย ไม่ได้มีข้อห้ามอะไรมากนัก ไม่ถือว่าเป็ นการละลาบละล้วงอะไรด้วย ซ้า แต่หากทาสาเร็จ นั่นก็จะกลายเป็ นเรื่องเล่าอันงดงามของบน ภูเขาแล้ว
ท่ามกลางร่มเงาของต้นสน บนโต๊ะมีแค่กล่องกระบี่ขนาดจิ๋วหนึ่ง ใบ อันที่จริงก็คือฟ้ าดินเล็กที่พื้นที่กว้างขวางไร ้อาณาเขตสิ้นสุดแห่ง หนึ่ง ภาพบรรยากาศภายในสามารถเทียบเคียงได้กับพื้นที่ประกอบ พิธีกรรมถ้าสวรรค์ในตานานได้เลย
หากเพียงแค่เปิดกล่องกระบี่แล้ววางไว้บนโต๊ะก็จะเห็นกระบี่แปด เล่มในกล่องที่เล็กบางเหมือนเส้นด้าย ประหนึ่งมังกรตัวน้อยที่ขดตัว อยู่ภายใน
กล่องกระบี่เล็กๆ กลับมีฟ้ าดินอีกแห่งหนึ่งซ่อนอยู่ ลู่เฉินเจ้าของ คนเก่าใช ้วิชาอภินิหารเขาพระสุเมรเมล็ดงา จึงทาให้กระบี่ยาวแปด เล่มในกล่องมีขนาดเล็กจิ๋วเหมือนกระบี่บิน
พวกมันไม่ได้หยุดลอยนิ่งอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง แต่เคลื่อนที่ว่ายวน อยู่ภายในไปเรื่อยๆ
กระบี่ยาวแปดเล่มนี้ เจ้าลัทธิลู่ตั้งชื่อให้พวกมันว่าชิวสุ่ย โหยวฝู เค่ออี้ จ๋าวเชี่ยว หนันหมิง โหยวเริ่น เถียวเจี่ย ซานมู่
ผู้ฝึกกระบี่เด็กสาวคนหนึ่งที่มัดผมหางม้ากระโดดออกมาจาก “ถ้าสวรรค์” ที่มีปราณกระบี่ตัดสลับฉวัดเฉวียน
ระหว่างที่ขี่กระบี่ แสงกระบี่รวมตัวกันเป็ นเส้นเส้นหนึ่งปล่อย ประกายแสงเจิดจ้าประหนึ่งสายรุ ้งแหวกผ่าอากาศ งดงามปาน ภาพวาด คล้ายกับภาพที่เซียนกระบี่พิสูจน์มรรคาด้วยรุ ้งขาวบิน ทะยาน
มีกระบี่ยาวสองเล่มไล่ตามมา พอขยับเข้าใกล้ “ม่านฟ้ า” ของ กล่องไม้ กระบี่ยาวสองเล่มที่ไล่ตามเด็กสาวอย่างไม่ลดละก็พลันหยุด นิ่ง แสงกระบี่ของแต่ละเล่มเปล่งวาบแล้วพลัน “ย้อนกลับไปทางเดิม
เด็กสาวพลิ้วกายลงข้างโต๊ะหิน ปาดเหงื่อบนหน้าผาก นางยัง หวาดผวาไม่หาย “เกือบจะโดนฟันเสียแล้ว หากกระบี่นั่นผ่าลงมาบน ร่าง ร่างข้าจะไม่ขาดออกเป็ นสองท่อนเลยหรือ”
ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิงท่านอย่า พูดจาอัปมงคลเช่นนี้”
เด็กสาวมัดผมหางม้าที่มีชื่อว่าอู๋ม่านเหยียนกลอกตามองบนใส่ เด็กหนุ่ม นางนั่งลงบนม้านั่งหิน ใช ้มือโบกลมแทนพัด ถามอย่างใคร่ รู ้ว่า “อาจารย์ลู่ สมบัติชิ้นนี้ท่านได้มาอย่างไรอาศัยคุณความชอบ ทางการสู้รบที่สะสมมาตอนอยู่กาแพงเมืองปราณกระบี่ แลกมาจาก หอภูษาหรือ?”
ในสานักกระบี่หลงเซี่ยง คนส่วนใหญ่ล้วนชอบเรียกลู่จือว่า อาจารย์ลู่ตามเจ้าส านัก
ลู่จือไม่ได้ปิ ดบัง บอกเล่าที่มาของกล่องไม้ใบนี้อย่างเปิ ดเผย “คราวก่อนระหว่างที่เดินทางไปยังภูเขาทั่วเยว่ ใต้เท้าอิ่นกวานขอยืม มาจากเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี้จิง แล้วใต้เท้าอิ่นกวานก็เอามามอบต่อ ให้ข้าอีกที”
ความนัยในประโยคนี้ก็คือกล่องกระบี่ใบนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับลู่ เฉินแล้ว ต้องเป็ นของนางลู่จือแล้ว
หากวันใดลู่เฉินอยากเอาสมบัติหนักชิ้นนี้กลับคืนไปก็ต้องผ่าน ด่านของเฉินผิงอันไปก่อน
ในบรรดาเซียนกระบี่ของกาแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้คนให้การ ยอมรับว่าลู่จือมีพลังสังหารสูงที่สุด น่าเสียดายที่การป้ องกันของนาง ค่อนข้างอ่อนด้อยเมื่อเทียบกัน
ตอนนี้นางได้กล่องกระบี่ใบนี้มาครองก็เท่ากับว่าอยู่ดีๆ ก็มีกระบี่ พกแปดเล่มซึ่งสามารถสร ้างเป็ นค่ายกลฟ้ าดินเล็กมาเพิ่มในรวด เดียว จึงเป็ นการชดเชยข้อด้อยข้อนี้ให้กับลู่จืออย่างที่มองไม่เห็น