กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1046.3 เหล่าศิษย์หลานทั้งหลาย
อู๋ม่านเหยียนกล่าวอย่างกระจ่างแจ้ง “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความ ว่าไม่ต้องมอบกล่องกระบี่กลับคืนไปน่ะสิ?”
ได้ยินถัวเหยียนฮูหยินเล่าว่า เฉินอิ่นกวานท าการค้ากับผู้ฝึ ก กระบี่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะขายเหล้าหรือเป็ นเจ้ามือก็ ล้วนไม่เคยขาดทุน มีแต่ก าไร!
แต่เซียนกระบี่เส้ากลับบอกว่าอันที่จริงใต้เท้าอิ่นกวานไม่เคยได้ เงินมาจากก าแพงเมืองปราณกระบี่แม้แต่เหรียญเดียว
ลู่จือหัวเราะ “จะพูดอย่างนี้ก็ได้”
อู๋ม่านเหยียนเอ่ยชื่นชม “ใต้เท้าอิ่นกวานยังคงเข้าข้างคนกันเอง มากกว่า ไม่เคยเข้าข้างคนนอก!”
เด็กหนุ่มเฮ้อชิวเซิงกลอกตามองบน ในใจรู ้สึกเปรี้ยวฝาด
แล้วตัวท่านล่ะศิษย์พี่หญิง ทุกๆ สามวันห้าวันจะต้องโหวกเหวก ว่าจะออกไปฝึกประสบการณ์ข้างนอกเพื่อเพิ่มพูนความรู ้ ใครบ้างที่ ไม่รู ้ว่าการลงภูเขาของท่านก็เพื่อมุ่งตรงไปยังภูเขาลั่วพั่วของแจกัน สมบัติทวีป
อู๋ม่านเหยียนอดไม่ไหวเอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “สมบัติของป๋ ายอวี้ จิงมีเยอะจริงๆ เจ้าลัทธิลู่เอาสมบัติออกมาง่ายๆ ชิ้นหนึ่งก็มีมูลค่าควร เมืองถึงเพียงนี้แล้ว”
ลู่จืออธิบายด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ของที่เอาออกมาง่ายๆ อะไร ไม่ พูดถึงนครหนันหัวที่ลู่เฉินเป็ นผู้ปกครอง เกรงว่าต่อให้เป็ นห้านครสิบ สองหอเรือนของป๋ ายอวี้จิง สมบัติหนักที่มีระดับขั้นเท่านี้ก็ยังเป็ นของ หายากที่มีน้อยจนนับชิ้นได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่กระบี่แปดเล่มนี้ลู่ เฉินก็หลอมขึ้นมาเองกับมือทั้งหมด ชื่อก็ไม่ได้ตั้งอย่างส่งเดช กระบี่ แต่ละเล่มที่หลอมสาเร็จล้วนหมายความถึงความเข้าใจส่วนตัวที่ลู่เฉิน มีต่อวิถีกระบี่หนึ่งเส้น”
อู๋ม่านเหยียนได้ยินแล้วก็ทอดถอนใจอย่างตกตะลึง “กระบี่พวกนี้ ถึงกับเป็ นกระบี่ที่เจ้าลัทธิลู่หลอมขึ้นเองกับมือเชียวหรือ? หรือว่าเจ้า ลัทธิลู่นอกจากจะเป็ นนักพรตต าแหน่งใหญ่เขียนตัวอักษรได้เก่งกาจ แล้วยังตีเหล็กหลอมกระบี่เป็ นอีกด้วย?”
หากรวมห้าฝันเจ็ดจิตธรรมที่ลู่เฉินได้ครอบครองอย่างที่อาจารย์ เล่าให้ฟังเข้าไปด้วย เจ้าลัทธิลู่แห่งป้ ายอวี้จิงก็เป็ นคนมากความรู ้ ความสามารถขนาดนี้เชียวหรือ?
แม้ว่าลู่จือจะไม่เต็มใจนัก แต่ก็ยังเอ่ยประโยคที่เป็ นธรรมว่า “นอกจากพลังพิฆาตที่อาจจะไม่สูงพอแล้ว ลู่เฉินก็ไม่มีข้อด้อยอย่าง อื่นอีก”
แน่นอนว่าค าว่าไม่สูงพอของลู่จือก็คือเอาลู่เฉินไปเปรียบเทียบ กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกับอวี๋โต้วที่ได้ครอบครองกระบี่อาคม “เต้าจ้าง
เฮ้อชิวเซิงถามเสียงเบาอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ลู่ ในเมื่อกระบี่ พวกนี้ล้วนเป็ นเจ้าลัทธิลู่ที่ทาขึ้นมาเอง หรือว่าเขาจะยังเป็ นผู้ฝึ ก กระบี่ที่อาพรางตนอย่างลึกล้าคนหนึ่งด้วย?”
ในสายตาของผู้ฝึกกระบี่ ส่วนใหญ่ก็มักจะมองเห็นแต่ผู้ฝึกกระบี่ ลู่เฉินคือผู้ฝึกกระบี่?
ลู่จือไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริงๆ จึงนึกไม่ออกว่าคาตอบ จะเป็ นเช่นไร นางส่ายหน้า คร ้านจะคิดมาก ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้อง อะไรกับนางอยู่แล้ว ไม่สนหรอกว่าเขาจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ลู่จือยิ้ม เอ่ย “ต่อให้ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ลาพังแค่ “บทซัวเจี้ยน” ที่ลู่เฉินเคยเขียน รวมไปถึงหอหนังสือที่ลู่เฉินสร ้างขึ้นในนครอวี้ซู ตั้งชื่อให้ว่าเรือนพิศ พันกระบี่ คิดดูแล้วความเข้าใจที่เขามีต่อวิชากระบี่และวิถีกระบี่คงไม่ ต่าแน่นอน ส่วนสรุปแล้วลู่เฉินจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ สวรรค์เท่านั้นที่ รู ้คาถามประเภทนี้อย่าถามข้าเลย วันหน้าเมื่อพวกเจ้ามีโอกาสก็ลอง ไปถามเฉินผิงอันดู เขาสนิทกับลู่เฉินมาก อีกทั้งพวกเขาสองคนก็ พูดคุยกันได้ทุกเรื่องมาโดยตลอด”
คราวก่อนติดตามอิ่นกวานหนุ่มเดินทางไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง อันที่จริงฉีถิงจี้และลู่จีอก็ไม่ต่างจากการไปเที่ยวเล่นขุนเขาสายน้า
แล้วถือโอกาสเก็บเงินไปตลอดทางด้วย ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล้นนครป๋ ายฮวาส านักอักษรจงจนหมด เกลี้ยง ภายหลังก็มีสถานที่อย่างนครเซียนจานที่มีเรื่องน่าตะลึงระคน ยินดีรออยู่ นี่ทาให้ฐานกาลังทรัพย์ รากฐานคลังสมบัติของส านัก กระบี่หลงเซี่ยงเพิ่มหนาขึ้นมาทันที เผ่าปีศาจแห่งเปลี่ยวร ้างจานวน ไม่น้อย หลังจากที่รอดพ้นหายนะจากเฉินผิงอันและหนิงเหยามาได้ ผลกลับต้องมาเจอฉีถิงจี้และลู่จือที่ตามมาภายหลังอีก แต่ละตนหาก ไม่ถูกฉีถิงจี้ “ส่งเดินทาง” ก็ถูกลู่จือออกกระบี่สังหาร ส่วนศพร่างจริง ของผู้ฝึ กตนเผ่าปี ศาจที่ตายไปอย่างเฉียบพลัน รวมไปถึงสมบัติ อาคมอาวุธวิเศษทั้งหลายที่กระจายเกลื่อนอยู่เต็มพื้น รวมไปถึงโครง กระดูกของวิญญาณวีรบุรุษต่างก็ถูกฉีถิงจี้เก็บมาไว้ในกระเป๋ า ทั้งหมด
สุดท้ายฉีถิงจี้ใช ้เงินเก็บส่วนตัว ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อยันต์ชาระ ล้างกระบี่ของนครอวี้ซูสามแผ่นมาจากลู่เฉิน แล้วจึงน ามามอบต่อ ให้กับลู่จือที่เป็ นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง ดังนั้นช่วงนี้ลู่จือถึงได้สงบใจ อยู่ในสานักที่ทักษินาตยทวีปแต่โดยดี อยู่ในสานักกระบี่หลงเซี่ย งแห่งนี้ นอกจากนางจะต้องคอยดูแลผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลายที่ไม่แน่ว่า เวลาใดอาจต้องปิดด่านฝ่ าทะลุขอบเขตพวกนี้แล้ว ก็ยังหลอมยันต์ ใหญ่สามแผ่นของป๋ ายอวี้จิง น ามาใช ้ขัดเกลาคมกระบี่ของกระบี่บิน แห่งชะตาชีวิต “เป่ยโต้ว’
ตัวลู่จือเองก็ยอมรับว่า นางสอนเวทกระบี่ให้คนอื่นไม่เก่งนัก บาง ทีเส้าอวิ๋นเหยียนที่เป็ นผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขตหยกดิบอาจยังสอนเวท กระบี่ได้เก่งกว่านางด้วยซ้า
เรื่องนี้นางไม่ต่างจากหนิงเหยาที่เป็ นเด็กรุ่นหลังสักเท่าไร เมื่อ คุณสมบัติในการฝึกกระบี่ของตัวผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งดีเกินไปก็มักจะ ไม่อาจท าความเข้าใจความไม่เข้าใจของคนทั่วไปได้….
ทาไมแค่นี้ถึงไม่เข้าใจ? นี่ยังไม่เข้าใจอีกหรือ เจ้าจะให้ข้าสอน อย่างไร?
ดังนั้นถึงแม้ว่าลู่จือจะเป็ นหนึ่งในสิบเซียนกระบี่บนยอดเขาที่มี คุณสมบัติได้เข้าร่วมการประชุมบนหัวก าแพงเมือง แต่นางกลับไม่ เคยรับลูกศิษย์ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเองก็ไม่เคยพูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในความเป็ นจริงแล้วต่อให้จะหวนกลับมายังใต้หล้าไพศาลที่นาง ไม่เคยยอมรับว่าเป็ นบ้านเกิดของตัวเองแล้ว ลู่จือก็ยังไม่มีความคิดที่ จะรับลูกศิษย์อยู่ดี เพราะมันเป็ นเรื่องเหนื่อยยากที่แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
มีเด็กหนุ่ มใบหน้าเหลี่ยมหูโตคนหนึ่งถามอย่างสงสัยว่า “อาจารย์ลู่ ป๋ ายอวี้จิงที่อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว ในเมื่อพวกเขาร ้ายกาจ ขนาดนั้นก็แสดงว่าต้องมีเซียนกระบี่เยอะมากสินะ?”
เด็กหนุ่มผู้ฝึ กกระบี่คนนี้ชื่อว่าหวงหลง คุณสมบัติในการฝึ ก กระบี่ด้อยกว่าอู๋ม่านเหยียนระดับใหญ่ ด้อยกว่าเฮ้อชิวเซิงเล็กน้อย
ไม่ค่อยเหมือนกับคนร่วมสานักคนอื่นๆ เขาชอบสืบข่าวเล็กๆ น้อยๆ ของกาแพงเมืองปราณกระบี่ที่สุดแล้ว
นานวันเข้าระหว่างเพื่อนร่วมสานักก็มีคากล่าวที่ว่า “ไม่รู ้เรื่อง ไหนให้ไปถามหวงหลงแน่นอนว่าเป็ นศิษย์พี่หญิงอู๋ม่านเหยียนที่เป็ น คนพูดก่อน ตัวเด็กหนุ่มเองก็รู ้สึกว่าดีมาก
ลู่จือยิ้มกล่าว “คิดดูแล้วจานวนก็ไม่น่าจะน้อยกระมัง แต่หากใช ้ ค ากล่าวของนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตู ถ้าพูดกันถึงแค่ พรสวรรค์บนวิถีกระบี่ อันที่จริงป๋ ายอวี้จิงมีอยู่แค่สองคนเท่านั้นที่เรียก ได้ว่าเข้าใจเวทกระบี่ นอกจากอวี๋โต้วผู้ไร ้เทียมทานที่แท้จริงแล้วก็ยัง มีเจ้านครและรองเจ้านครของนครอวี้ซู่อย่างกวอเจี่ยและเส้าเซี่ยง”
อู๋ม่านเหยียนถามอย่างสงสัย “นี่ก็ไม่ใช่สามคนแล้วหรือ?”
เฮ้อชิวเซิงกล่าว “ต้องเป็ นกวอเจี่ยกับเส้าเซี่ยงสองคนรวมกันถึง จะถือว่าเป็ นคนหนึ่งน่ะสิ”
อู๋ม่านเหยียนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้ารู ้เยอะจริงๆ เป็ น ขอบเขตหยกดิบตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?”
เฮ้อชิวเซิงเงียบไม่ต่อค า
ก่อนหน้านี้อยู่ที่ท่าเรือเกาะนกแก้วของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง เด็ก หนุ่มเด็กสาวสองคนที่มักจะปะทะฝีปากกันเป็ นประจาผู้นี้เคยบังเอิญ ไปเจอกับเฉินสืออี อิ่นกวานหนุ่มที่ชื่อเสียงเลื่องลือผู้นั้น
ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์นามว่าเฮ้อชิวเซิง ก่อนหน้านี้เห็นศิษย์พี่ หญิงที่ขวัญกล้าเทียมฟ้ า ขนาดอยู่กับอาจารย์เจ้าส านักยังไม่แสดง ความต่าต้อย แต่พอเจอกับเฉินผิงอัน นางกลับอ่อนหวานนุ่มนวลราว กับคุณหนูตระกูลใหญ่ เด็กหนุ่มรู ้สึกเปรี้ยวฝาดในใจ เพราะหัวร ้อน ไปชั่วขณะ เขาจึงนัดหมายกับอิ่นกวานหนุ่มที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันเป็ น ครั้งแรกว่า รอให้วันใดเขาเลื่อนเป็ นห้าขอบเขตบนจะต้องถามกระบี่ กับเฉินผิงอันสักครั้ง
ผลคือรอกระทั่งพวกเขากลับสานักมาได้ไม่นาน เฮ้อชิวเซิงก็ได้ ฉายาว่า “ลูกวัว (มาจากประโยคลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือ) เสียแล้ว
เด็กหนุ่มไม่ต้องเดาก็รู ้ว่าต้องเป็ นค าพูดที่ศิษย์พี่หญิงเป็ นคน แพร่ออกไปแน่นอน ถูกพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องเรียกด้วยฉายานี้ เด็ก หนุ่มไม่โกรธ เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ได้เจอกับศิษย์พี่หญิง พบหน้ากัน พูดคุยกัน เด็กหนุ่มจะรู ้สึกอัดอั้น เสียใจอย่างมาก
“คือความหมายนี้นี่แหละ”
ลู่จือพยักหน้า ยิ้มบางๆ “ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็ นเฉินผิงอันที่เล่าให้ ฟัง ตัวข้าเองไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไร”
ลู่จือกล่าว “หวงหลง ถึงคราวเจ้าที่ต้องเข้าไปฝึกกระบี่แล้ว”
หวงหลงพยักหน้า กลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ เด็กหนุ่มทาจิตแห่ง มรรคาให้มั่นคง ก่อนจะกลายร่างเป็ นแสงกระบี่เส้นหนึ่งพุ่งเข้าไปใน กล่องไม้
ก่อนหน้านี้ที่เฮ้อชิวเซิงยังอยู่ตรงนี้ต่อเพราะเป็ นห่วงกลัวว่าศิษย์ พี่หญิงจะได้รับบาดเจ็บ ส่วนเจ้าเด็กหวงหลงผู้นี้ ในเมื่อมีอาจารย์ลู่ คอยช่วยจับตามองให้ เขาก็ไม่มีทางตายแน่นอน แล้วนับประสาอะไร กับที่เจ้าเด็กนี่ก็ขึ้นชื่อว่าโชคดีทั้งยังดวงแข็ง ในบรรดาสิบแปดกระบี่ ของสานักกระบี่ก็มีแค่หวงหลงที่บ้านอยู่ฝูเหยาทวีปเท่านั้นที่เป็ นผู้ฝึก ตนอิสระที่พลัดที่นาคาที่อยู่ ในความเป็ นจริงแล้วนอกจากศิษย์พี่ หญิง เฮ้อชิวเซิงก็สนิทกับหวงหลงที่สุดแม้แต่เซียนกระบี่เส้าที่ดูแล เรื่องเงินทองก็ยังพูดว่าหวงหลงเป็ นคนดวงแข็ง ให้เด็กหนุ่มไม่ต้องรีบ ร ้อนกับเรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขต
กึ่งกลางภูเขามีน้าตกอยู่เส้นหนึ่ง สายน้าไหลไม่แรงนัก ประหนึ่ง ผ้าต่วนสีขาวที่ห้อยย้อยลงมา
นักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวบนศีรษะคนหนึ่งนั่งยองอยู่ริมน้า เบื้องหน้าคือบ่อน้าลึกสีเขียวมรกต ด้านในมีปลาตัวใหญ่เหมือนเรือ บางครั้งก็สะบัดหางแหวกว่าย พริบตาเดียวก็หายวับไป
นักพรตบิแผ่นแป้ งในมือโยนลงน้าป้ อนปลา
ลู่จือเรียกขานคาแล้วคาเล่าว่า “ลู่เฉิน” ไม่ได้ใช ้เสียงในใจที่เป็ น วิธีการของผู้ฝึกลมปราณด้วยซ้า สาหรับนักพรตแล้วย่อมไม่ต่างจาก เสียงฟ้ าผ่าที่ดังข้างหู เขาจึงจาต้องมาร่วมวงความครึกครื้นด้วย
เฮ้อชิวเซิงที่เดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์มาถึงที่นี่เพียงลาพังหยุด เดิน ใช ้เสียงในใจถามว่า “นักพรตท่านนี้ ท่านเป็ นแขกของบ้านข้า หรือ?”
นักพรตหันหน้ามาเปิดปากยิ้มเอ่ย “เด็กหนุ่มอย่างเจ้าช่างชอบ พูดตลกเสียจริง คนที่มาเยือนล้วนเป็ นแขก ดังนั้นเจ้าควรเปลี่ยน คาถามใหม่ ถามว่าผินเต้าคือผู้มาเยือนที่มีเจตนาร ้ายซึ่งมาเองโดย ไม่ได้รับเชิญ หรือเป็ นสหายที่สนิทกับอาจารย์ลู่ถึงจะถูก”
เฮ้อชิวเซิงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นท่านนักพรตก็ไร ้เรื่องไม่มาเยือน ต าหนักซานเป่าสินะ”
นักพรตยิ้มถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
เฮ้อชิวเซิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบก “ใครบ้างที่ไม่รู ้ว่าทั่วทั้งใต้หล้า ไพศาล ลู่อันดับหนึ่งของพวกเรามีสหายอยู่แค่ไม่กี่คน อย่างมากสุด ก็แค่หนึ่งมือนับเท่านั้น”
นักพรตก็ยกแขนโบกฝ่ ามือตามไปด้วย สุดท้ายยกนิ้วหนึ่งตั้งขึ้น “บังเอิญยิ่งนัก ผินเต้าอยู่ในคนกลุ่มนี้พอดี”
เฮ้อชิวเซิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เพ้อเจ้อน่ะสิ หากคิดจะตีสนิท จะดีจะชั่วหากเปลี่ยนเป็ นเซียนกระบี่เส้า ข้ายังจะเชื่อเจ้าบ้าง ท่าน นักพรตอย่ามัวเปลืองน้าลายอยู่เลย รีบบอกชื่อมาเถอะ เป็ นราชครู หรือเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นของแคว้นใด?”
ประหนึ่งเป็ ดคุยกับไก่ นักพรตเอาแต่ยิ้มถามตัวเองว่า “ทาไมถึง ไม่ไปรายงานผู้อาวุโสในส านัก แล้วยังมีอารมณ์สุนทรีพอจะพูดคุย กับผินเต้าอีก ความอดทนของเจ้าช่างดีเหลือเกินดี! ขอแค่มีความ อดทนดีเยี่ยมก็ต้องมีอนาคตอย่างแน่นอน”
เฮ้อชิวเซิงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไม่ต้องสนว่าเป็ นเทพเชียน จากที่ใด ขอแค่มาถึงส านักบ้านข้า เข้าภูเขามาแล้วจะยังสร ้างเรื่อง ก่อราวอะไรได้อีกอย่างนั้นหรือ ถอยไปพูดหนึ่งก้าว หากท่านนักพรต มีความสามารถเช่นนี้จริง ก็ถือว่าเจ้ามีฝีมือ ในเมื่อข้าได้เจอกับท่าน นักพรตแล้วก็ต้องไม่มีทางหนีพ้นแน่”
นักพรตยกนิ้วโป้ งให้เด็กหนุ่ม “ความคิดจิตใจละเอียดรอบคอบ นี่ยิ่งดีกว่าเดิมอีกต้องได้ดิบได้ดีแน่”
พูดจาคล้องจ้องกันเสียด้วย
เด็กหนุ่มถอนหายใจ ดูจากสภาพเช่นนี้ของนักพรต คิดดูแล้ว ขอบเขตคงไม่สูงไปยังไง
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งท่านนั้นนิสัยดีจะตายไป คิดดูแล้วนักพรต ขอบเขตไม่สูงกลับจะกลายเป็ นเรื่องดี เพราะลู่จือคงไม่มีทางออก กระบี่ไล่คน
นักพรตหนุ่มโยนแผ่นแป้ งส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่ลงน้า ปัดฝ่ ามือ “เจ้าหนุ่ม เจ้าอย่าเห็นว่าผินเต้าอายุน้อย หน้าตาอ่อนเยาว์ เหอะ พูด ไปแล้วก็ไม่กลัวว่าจะท าให้เจ้าตกใจหรอกนะ ผินเต้าไม่เพียงแต่มี
มิตรภาพส่วนตัวกับอาจารย์ลู่ ยังมีมิตรภาพที่แลกชีวิตให้กันได้ กับเฉินผิงอัน คือเพื่อนรักกันเลยล่ะ!”
พอได้ยินชื่อของอิ่นกวานหนุ่ม เฮ้อชิวเซิงก็อัดอั้นขัดใจขึ้นมา ทันที ไม่โทษศิษย์พี่หญิงต้องโทษเฉินอิ่นกวานถึงจะถูก
นักพรตร ้องเอ๊ะ “ทาไมหรือ ในบรรดาคนร่วมสานักมีศิษย์พี่หญิง หรือศิษย์น้องหญิงที่ชอบเฉินผิงอันหรือไร?”
ประโยคนี้พูดออกมาไม่ได้ทาให้เด็กหนุ่มเสียใจ แต่กลับทาให้ เขากลุ้มใจอย่างมาก
เฮ้อชิวเซิงเอ่ยอย่างเดือดดาล “ไม่รู ้อะไรสักอย่างก็อย่าพูด เหลวไหล!”
“ข้าไม่กล้าพูดเหลวไหลหรอก ตัวอักษรบนต ารา ค าพูดจากปาก แต่ละประโยคล้วนมีพลังมีน้าหนัก”
นักพรตหนุ่มโบกมือ หลังจากเอ่ยหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่แล้ว นักพรตหนุ่มก็ร ้องตวาดเบาๆ หนึ่งที บิดปลายเท้ากระโดดตัว เรือน กายลอยเอียงไปหาหินเขียวริมน้า ตอนที่พลิ้วกายลงพื้นคล้ายจะยืน ไม่มั่นคงเท้าจึงพลิก ข้อต่อส่งเสียงลั่นกร๊อบเบาๆ นักพรตกัดฟันแน่น ไม่ยอมส่งเสียง สะบัดชายแขนเสื้อชุดคลุมเต๋าสองข้างอย่างแรง งอ เข่าลงนั่งขัดสมาธิแล้วตบเข่าเบาๆ ใบหน้าประดับยิ้มแสร ้งทาเป็ น ผ่อนคลาย
สามารถเข้ามาอยู่ในสานักกระบี่หลงเซี่ยง กลายเป็ นหนึ่งในสิบ แปดกระบี่ได้ เฮ้อชิวเซิงย่อมไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นเด็กหนุ่มถึงได้คิดแล้ว ไม่เข้าใจ เคยได้ยินแค่ว่าใต้หล้ามีคนที่ชอบสวมรอยเป็ นยอดฝีมือ แต่ ไม่รู ้เลยว่าจะมีคนที่จงใจเป็ น… “ท้ายฝีมือ” เช่นนี้ด้วยหรือ?
แต่หากจะบอกว่าอีกฝ่ ายคือเจินเหรินพสุธาที่ชอบออกมาเที่ยว เล่นในโลกมนุษย์หาความสุขส าราญจริงๆ ก็จ าเป็ นต้อง “ออกแรง” เหยียบย่าตัวเองแบบนี้ด้วยหรือ?
นักพรตหนุ่มพยักหน้า สองมือวางยันไว้บนหัวเข่า “ไม่เลว แวว ตาไม่เลวเลย คิดดูแล้วเจ้าน่าจะมองไปเห็นความจริงแล้ว ผินเต้าคือ ยอดฝีมือชั้นเลิศที่คุณสมบัติน่าตะลึงพรึงเพริดไม่ว่าจะเรียนรู ้เรื่องใด ก็สาเร็จจริงๆ คือยอดฝี มือนอกโลกที่ชอบออกมาเที่ยวเล่นในโลก โลกีย์นิสัยประหลาด ชอบใช ้สองเท้าวัดขุนเขาสายน้าหมื่นลี้ ใช ้ สายตาเย็นชาจิตใจเร่าร ้อนมองผู้คนสารพัดแบบบนโลกใบนี้…อย่าง ที่กล่าวถึงในตาราจริงๆ! ครั้งนี้ผินเต้าเดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้แล้ว เห็นว่าฐานกระดูกของเจ้ามหัศจรรย์ กลิ่นอายแห่งมรรคาไม่ตื้นเขิน มีโชควาสนาเขียนบนภูเขาลึกล้า ผินเต้าจึงอดไม่ไหวเผยกายมา พูดคุยกับเจ้า…อืม พูดจนเริ่มคอแห้งแล้ว มีสุราหรือไม่?”