กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1046.4 เหล่าศิษย์หลานทั้งหลาย
เฮ้อชิวเซิงหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ฝีมือการแสดงของท่านนักพรตไม่ เลวเลยจริงๆ”
นักพรตถาม “ผินเต้ามีมาดของยอดฝีมือเช่นนี้ คนนอกเห็นเข้า คงไม่รู ้สึกรังเกียจหรอกกระมัง?”
เฮ้อชิวเซิงมึนงงไปกับความคิดบรรเจิดเลิศล้าของนักพรตหนุ่มผู้ นี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
“ขอแค่เก็บค าพูดไว้ในใจได้ก็เรียกว่าไม่เปิดใจ”
นักพรตตบเข่าเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยินดีเอาคาพูดส่งออกมา นอกประตูใจ เรียกว่าเปิดใจ” (ภาษาจีนคือไคซิน แปลตรงตัวว่าเปิด ใจ และยังแปลได้ว่าดีใจ มีความสุขได้ด้วย)
พอเด็กหนุ่มได้ยินสองประโยคนี้ก็รู ้สึกว่าบางทีตนอาจเจอคนรู ้ใจ แล้วก็เป็ นได้
ลู่จือที่มีสีหน้าเย็นชายืนอยู่ยอดบนสุดของน้าตก หลุบตามองลง มายังเจ้าลัทธิลู่ที่ดูท่าแล้วน่าจะว่างงานมากจริงๆ
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนหัวกาแพงเมือง ลู่จือเอ่ยประโยค “ตาม มารยาท” ที่ไม่ต้องคิดเป็ นจริงเป็ นจังออกไปจริงๆ บอกว่ายินดีต้อนรับ
เจ้าลัทธิลู่ให้มาทวงหนี้ถึงบ้าน ถึงอย่างไรสานักก็ตั้งอยู่ริมทะเลใน ทักษินาตยทวีป หาเจอได้ง่ายมาก
แล้วเจ้าก็มาจริงๆ หรือนี่
เป็ นเจ้าลัทธิของป๋ ายอวี้จิงแล้ว ไฉนถึงได้ขี้เหนียวแบบนี้?
นี่เพิ่งจะผ่านไปได้แค่ไม่กี่วันเอง เจ้าสู่เฉินก็มาร่วมแสดงความ ยินดีมาทวงหนี้ถึงบ้านแล้วหรือ?
ลู่เฉินรีบลุกขึ้นยืนทันใด คารวะตามขนบลัทธิเต๋าไปยังจุดสูง “ผินเต้ามาเองโดยไม่ได้รับเชิญ ขออาจารย์ลู่โปรดอภัย”
ลู่จือหยิบกล่องกระบี่ใบนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ คิดว่าจะโยน คืนไปให้กับเจ้าลัทธิลู่ที่เริ่มถูมือยิ้มประจบแล้ว
ในเมื่ออีกฝ่ ายมีหน้ามาทวงหนี้ถึงบ้าน ลู่จือก็ไม่ได้หน้าหนา พอที่จะยกเอาเฉินผิงอันมาขวางเขา
ลู่เฉินรีบโบกมือเป็ นพัลวัน “ฟ้ าดินเป็ นพยาน ผินเต้าไม่ได้มา เพื่อเรื่องนี้ ไม่ใช่แน่นอน! ดังนั้นอาจารย์ลู่รับไว้ได้เลย บัญชีเลอะ เลือนครั้งนี้ หากผินเต้าจะทวงคืนจริงๆ ก็ต้องไปปรึกษากับเฉินผิงอัน ให้ดีก่อน”
ลู่จือกล่าว “ในเมื่อไม่ได้มาเพื่อกล่องกระบี่ แล้วเจ้าลัทธิลู่มาทา อะไรที่นี่?”
ลู่เฉินใช ้มือดันปลายคาง กลอกตาไปมาว่องไว ก่อนหน้านี้ อยากจะมาลองดูว่าลู่จือจะยินดีมาพบตนแล้วเป็ นฝ่ ายคืนกล่องกระบี่ ไม้ที่มีระดับขั้นเป็ นอาวุธเซียนหรือไม่
แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ลู่เฉินกลับเปลี่ยนใจ จะปล่อยให้เสียการ ใหญ่เพราะเรื่องเล็กทาให้เรื่องสาคัญต้องเสียหายไม่ได้
ช่วยไม่ได้นี่นา ใครให้อาจารย์ของตนมีคาสั่ง บอกกับเขาว่าครั้ง นี้ที่กลับบ้านเกิดให้ช่วยเป็ นคนกลางแทนป๋ ายอวี่จิง เชื้อเชิญให้ลู่จือ ไปฝึกกระบี่ที่นครอวี้ซู
ลู่จือเห็นว่าลู่เฉินแสร ้งใบ้ไม่ยอมตอบก็เอ่ยว่า “หากเจ้าลัทธิลู่มี ธุระก็ว่ามา ไม่มีก็กลับไปได้แล้ว เจ้าส านักฉีไม่อยู่บนภูเขา โปรดอภัย ที่ไม่ต้อนรับแขก”
ลู่เฉินกล่าว “ไม่จ าเป็ นต้องต้อนรับอะไรหรอก ผินเต้าเดินเล่นเอง ได้ ผู้ฝึกตนมีฟ้ าดินเป็ นบ้าน นอนกลางดินกินกลางทรายมาจนชิน แล้ว สานักกระบี่หลงเซี่ยงไม่ต้องจัดหาที่พักให้ผินเต้า”
เฮ้อชิวเซิงทาสีหน้าเหลือเชื่อ จ้องเป๋ งไปยัง “นักพรตหนุ่ม” ที่ เอ้อระเหยลอยชายผู้นั้น
ลู่เฉิน? คือเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ ายอวี้จิงที่ไม่มีใครในใต้หล้าที่ไม่รู ้จัก จริงๆ หรือ?
ลู่เฉินดีดปลายเท้าพลิ้วกายราวบินร่อน ทะยานไปข้างกายลู่จือ ยิ้มเอ่ยว่า “รอให้ครั้งหน้าที่มีการเปิดประตู จะไปเยือนใต้หล้าห้าสีสัก ครั้งไหม?”
ลู่จือกล่าว “แน่นอน” ลู่เฉินพยักหน้ารับแรงๆ “ถ้าอย่างนั้นผินเต้าก็จะบอกกล่าวกับ ศิษย์น้องก่อนว่าอย่าไปมีเรื่องกับนครบินทะยาน”
ลู่จือเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “มีหนิงเหยาอยู่ที่นั่นก็ไม่ต้องให้ข้า ท าอะไรแล้ว”
ลู่เฉินหัวเราะร่วน “ต้องบอกกล่าวกันก่อนแน่อยู่แล้ว หลีกเลี่ยง ไม่ให้ท าลายความปรองดองที่มีต่อสานักกระบี่หลงเซี่ยงโดยไม่ทัน ระวังเพียงเพราะผลประโยชน์เล็กน้อยเท่าหัวแมลงวัน ท าให้มีศัตรู มากมาย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี”
แล้วนับประสาอะไรกับที่ในนครบินทะยานทุกวันนี้ นอกจากหนิง เหยาแล้ว อันที่จริงก็ยังมีเฉินซีที่เปลี่ยนชื่อเป็ นเฉินจีอยู่ด้วย
ในบรรดาเซียนกระบี่อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรทั้งหลาย อันที่ จริงหากจะพูดกันถึงชื่อเสียงก็ยังคงเป็ นเฉินซีที่มีชื่อเสียงดีที่สุด ไม่ว่า จะการวางตัว การหลอมกระบี่ นิสัยใจคอการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม ก็แทบจะเป็ น…..คนสมบูรณ์แบบ
ลู่จือลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า “จั่วโย่ว?”
ในเมื่อถามลู่เฉินว่าจั่วโย่วจะกลับบ้านเกิดเมื่อไหร่ อันที่จริงก็ เท่ากับว่าลู่จือถามถึงสภาพการณ์ของชาติสุนัขบางคนไปด้วย
ลู่เฉินกล่าว “การต่อสู้ครั้งนั้นประหลาดมาก ตามหลักแล้วควร ต้องต่อสู้เสร็จไปนานแล้ว แต่กลับถูกถ่วงรั้งไว้ไม่ได้ผลลัพธ ์เสียที ดังนั้นคาถามนี้ที่เจ้าถาม ผินเต้าตอบไม่ได้จริงๆ”
ลู่จือเอ่ย “ก่อหายนะส่งผลนานพันปี คิดดูแล้วก็คงจะไม่มีปัญหา อะไร”
ลู่เฉินได้ยินค าวิจารณ์นี้ก็ไม่กล้าพยักหน้ารับแล้ว
เจ้าลู่จือกล้าพูดถึงอาเหลียงแบบนี้ แต่ผินเต้าไม่กล้าด้วยหรอก นะ
มือกระบี่คนหนึ่งที่….สามารถผลัดกันรุกผลัดกันรับกับศิษย์พี่อวี๋ ผินเต้าต้องเป็ นมิตรปรองดอง เรียกขานเป็ นพี่เป็ นน้องกับเขา
อีกอย่างทั่วทั้งใต้หล้ามืดสลัว แน่นอนว่าหลักๆ แล้วก็คือพี่ใหญ่ ซุนแห่งอารามเสวียนตูที่ต่างก็พูดว่าผินเต้าคือน้าตาลเหนียวหนึบ นั่นก็เพราะพวกเจ้าไม่เคยสัมผัสกับความสามารถในการตอแยคนอื่น ของอาเหลียงมาก่อน
ลู่เฉินกล่าว “เดี๋ยวข้าจะไปเยือนพื้นที่ใจกลางของเปลี่ยวร ้างสัก รอบหนึ่ง จะไปดูซากปรักสนามรบแห่งนั้นกับตาตัวเอง”
ลู่จือถาม “เจ้าไม่กลัวว่าจะตกอยู่ในวงล้อมโดนรุมซ ้อมหรือ?”
ลู่เฉินหัวเราะฮ่าๆ “พลังพิฆาตไม่มากพอ แต่วิชาหลบหนียัง พอใช ้ได้”
สู้ไม่ได้ ผินเต้าจะยังหนีไม่ได้อีกหรือ?
ลู่จือกล่าว “สัตว์เดรัจฉานของเปลี่ยวร ้างกลุ่มนั้น ทุกวันนี้เดิมทีก็ ไม่สบายกันอยู่แล้วไม่ควรจะไปหาเรื่องป๋ ายอวี้จิงอีกจริงๆ หลีกเลี่ยง ไม่ให้เจอกับศัตรูทั้งหน้าทั้งหลัง”
ลู่เฉินพยักหน้ารัวๆ เป็ นไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “ดังนั้นถึงได้บอก ว่ามีอาจารย์ที่ดีก็ดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด มีศิษย์พี่ที่ดีอีกสักสองคน แน่นอนว่าก็สามารถบุกเดี่ยวเดินกร่างไปทั่วใต้หล้าได้แล้ว เจอกับผู้ อาวุโสบนภูเขาที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยก็บอกกล่าวชื่อแซ่ออกไป ใช ้ ได้ผลยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น เป็ นไม้เด็ดที่ใช ้กี่ครั้งก็ไม่เคยพลาด!”
จาได้ว่าตอนที่เพิ่งไปถึงป๋ ายอวี้จิง มีอยู่หลายครั้งที่ท่องเที่ยวอยู่ ข้างนอก ลู่เฉินถูกอีกฝ่ ายตามตอแยจนร าคาญมากแล้วจริงๆ ก็เลย บอกสถานะให้พวกเขารู ้ ไอ้ที่ต่อสู้เอาเป็ นเอาตายก่อนหน้านี้ก็ หยุดชะงักทันที มีบางคนที่สีหน้าเดี่ยวมืดเดี่ยวสว่าง มีบางคนที่หน้า เขียวคล้า และยิ่งมีคนที่เอ่ยขออภัยบอกว่าเข้าใจผิด สรุปก็คือสนุก มาก
มีเพียงครั้งเดียว….หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือมีแค่สองครั้งที่เป็ น ข้อยกเว้น ก็คือตอนที่เจอกับเจ้าอารามซุนและเกากูแห่งต าหนัก หัวหยาง ไม่บอกตัวตนยังดี พอลู่เฉินบอกไปว่าตัวเองคือเจ้าลัทธิคน
ใหม่ของป๋ ายอวี้จิง เจ้าตัวดี สหายสองคนที่เดิมที่ยังออมมือให้กันอยู่ บ้างกลับปลดปล่อยฝีไม้ลายมือออกมาเต็มที่ ง่วนอยู่กับการเรียกใช ้ ท่าไม้ตายวิชากันกรุสารพัดอย่าง
ภายหลังกลับกลายเป็ นว่าลู่เฉินกลายเป็ นเพื่อนพวกเขา อย่า เห็นว่าพี่ใหญ่ซุนแห่งอารามเสวียนตูพูดจาไม่น่าฟังไปสักหน่อย ช่าง ประชดประชันเหน็บแนมไปสักหน่อย แต่ก็ว่ากันว่าตีเพราะรักด่า เพราะสนิทใจไม่ใช่หรือ ความสัมพันธ ์ของพวกเขาจึงดีอย่างมาก
ลู่จือไม่เปิดปากพูดอะไรอีกแล้ว
ลู่เฉินเหลือบมองสีหน้าของลู่จืออย่างระมัดระวัง ระหว่างคิ้วของ นางมีแต่พยับเมฆ
คงไม่ใช่ว่า?
ตอนอยู่กาแพงเมืองปราณกระบี่ นางกับอาเหลียงมีเรื่องราวอะไร ที่บอกคนอื่นไม่ได้หรอกนะ?
ลู่เฉินหันหน้าไปโบกมือให้เด็กหนุ่มที่อยู่ริมน้า เอ่ยหยอกเย้าว่า “ผินเต้าไม่ใช่สาวงามที่รูปโฉมสะคราญใจเสียหน่อย เจ้าหนุ่มเจ้ายืน ชื่อเป็ นห่านทาไม”
เฮ้อชิวเซิงจากไปอย่างเหม่อลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย
แล้วจู่ๆ เด็กหนุ่มก็พลันอารมณ์ดีมีความสุข ก้าวเร็วๆ เดินขึ้น เขา จะไปเล่าให้ศิษย์พี่หญิงฟังว่าเมื่อครู่ตนได้เจอกับลู่เฉินเจ้าลัทธิ
แห่งป๋ ายอวี้จิง แล้วยังคุยเล่นกับผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ท่านนี้ไป ไม่น้อย เจ้าลัทธิลู่ยังพูดด้วยว่าวันหน้าตนจะต้องได้ดิบได้ดีมีอนาคต …
กาแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต ฉีถิงจี้เจ้าประมุขตระกูลสกุลฉี บนถนนไท่เซี่ยง อู๋เฉิงเพ่ยที่มักจะหลอมกระบี่อยู่บนหัวกาแพงเมือง เพียงลาพัง ซุนจวี่เฉวียนที่ได้ครอบครองเรือนเซียนกระบี่ส่วนตัว บวกกับหมี่อวี้ที่มีพี่ชายเป็ นเซียนกระบี่คอยปกป้ อง พวกเขาสี่คนล้วน เป็ นชายงามที่คนของกาแพงเมืองปราณกระบี่ให้การยอมรับ
แรกเริ่มใครบางคนอยากดึงต่งซานเกิงมาเข้าพวกด้วย บอกว่า อาศัยรูปโฉมของพวกเราสองพี่น้องจะไม่ได้ยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งได้ หรือ? พี่ใหญ่ต่งท่านเบียดฉีถิงจี้ให้ตกไป น้องชายอย่างข้าจะท าให้ เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ต้องไสหัวไปเอง ลาดับรายชื่อนี้ก็จะไม่ยิ่งสมชื่อ มากกว่าเดิมหรอกหรือ?
คงเป็ นเพราะตาเฒ่าต่งรู ้สึกว่าใบหน้าของตัวเองไม่เหมาะสมกับ ต าแหน่ง อายเกินกว่าจะตอบตกลง แต่คนบางคนกลับยังไม่ยอมถอด ใจ ภายหลังก็ไปหาเฒ่าหูหนวกเพื่อปรึกษาเรื่องนี้
เฒ่าหูหนวกเป็ นคนผึ่งผายตัดสินใจว่องไว บอกว่านี่จะนับเป็ น อะไรได้ ไม่มีปัญหาเลยขอแค่พี่น้องอาเหลียงมีความสุขก็พอ เชิญ ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปได้เลย
คราวนี้กลับถึงคราวที่คนบางคนใจคอไม่ดีบ้างแล้ว ทั้งมองตรงทั้ง ตะแคงมองรูปโฉมของเฒ่าหูหนวก ก่อนจะตบศีรษะของผู้เฒ่า บอก ว่าช่างมันเถอะ หลีกเลี่ยงไม่ให้พี่ใหญ่ที่อายุตั้งปูนนี้แล้วต้องถูกคนด่า ไปด้วย
แล้วก็เป็ นคนที่ไม่ยี่หระสิ่งใดไม่สนโลกผู้นี้ที่ถึงกับมีช่วงเวลาที่ ยอมรับว่ารูปโฉมของตัวเองมิอาจเรียกได้ว่าหล่อเหลาอย่างที่หาได้ ยาก
เขาเคยทิ้งประโยคจากใจจริงประโยคหนึ่งไว้ให้กับลู่จือ
ข้าไม่หล่อ เจ้าเองก็ไม่สวย พี่หญิงลู่จือ เจ้าลองว่ามาสิว่าพวกเรา สองคนเหมาะกันมากเลยใช่ไหม?
ผลคือลู่จือไม่ได้เปิดปากพูด แค่การเคลื่อนไหวทีเดียวก็ทาให้คน ผู้นั้นจากไปอย่างเศร ้าโศกขุ่นเคือง ลงจากหัวกาแพงเมืองไปดื่มเหล้า กับเพื่อนพ้องในเมือง
ที่แท้ตอนนั้นนางแค่ยื่นมือออกมาวางเหนือศีรษะ จากนั้นก็ปาด ฝ่ ามือไปในแนวขวางเหนือหัวคนผู้นั้น ผลคือฝ่ ามือของลู่จือห่างจาก ศีรษะนั้นไม่ใช่ระยะทางน้อยๆ
นี่ยังเป็ นเพราะเจ้าหมอนั่นแอบเขย่งปลายเท้าแล้วด้วย
หลังจากนั้นมา ผ่านไปไม่นานเท่าไร หนึ่งในห้าสุดยอดเก่าของ ก าแพงเมืองปราณกระบี่ หนึ่งในนั้นก็มีความงามล่มบ้านล่มเมืองของ ลู่จือรวมอยู่ด้วย
ลู่จือคร ้านจะสนใจเรื่องไร ้สาระพวกนี้
ถึงอย่างไรขอแค่ไม่ท าให้นางได้ยินต่อหน้า พวกเจ้าอยากจะพูด พล่ามบนโต๊ะเหล้าอย่างไรก็ตามแต่ใจ
ดูเหมือนว่าในบรรดาป้ ายสงบสุขปลอดภัยที่แขวนไว้บนกาแพง ของร ้านเหล้าเล็กแห่งนั้นก็มีเนื้อหาในป้ ายหลายแผ่นที่เกี่ยวข้องกับ
นางด้วย ลู่จือก็ไม่ได้สนใจอีกเหมือนเดิม
ผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นของกาแพงเมืองปราณกระบี่
อันที่จริงในสายตาของผู้ฝึ กกระบี่ต่างถิ่นอย่างลู่จือ พวกเขา หลายๆ คนหน้าบางเกินไปใจอ่อนเกินไป ขี้ขลาดเกินไป
มีคาพูดมากมายที่ควรพูดกับใครแต่เนิ่นๆ ทว่าไม่ทันได้เอ่ย ออกมา
นอกเสียจากดื่มเหล้า
ลู่จือรู ้ว่าร ้านเหล้าร ้านนั้นยังคงอยู่ในนครบินทะยานของใต้หล้า ห้าสี ไม่ว่าจะโต๊ะ ม้านั่งหรือชามเหล้าก็ล้วนคงเดิม
สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาพจิตใจอันละเอียดอ่อนของ ลู่จือ แต่ลู่เฉินก็ไม่ได้ไปสารวจว่าในใจนางคิดเรื่องใด เพราะจะเป็ น การเสียมารยาท
แต่คลื่นอารมณ์ขึ้นลงของลู่เฉินกับคล้ายภาพน้าตกที่ไหลลงสู่ สระน้า ตบะของเจ้าลัทธิลู่วางอยู่ตรงนั้น ต่อให้หลับตาก็ยังมองเห็น
ลู่เฉินถอนหายใจเบาๆ
มิเน่าลู่จือที่อยู่กาแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้เป็ นที่ชื่นชอบของ ผู้คน นอกจากสังหารปีศาจในสนามอย่างไม่เคยใจอ่อนแล้ว ยังเป็ น เพราะนางเห็นที่นั่นเป็ นบ้านเกิดจริงๆ
ลู่จือกล่าว “นอกจากแซ่ลู่เหมือนกันแล้ว เพียงเรื่องเดียวที่ เหมือนกันก็คือพวกเราต่างก็เคยชินที่จะเห็นต่างบ้านต่างเมืองเป็ น บ้านเกิดใช่ไหม?”
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “เจ้าเป็ นเช่นนี้ แต่ข้าอาจไม่ถึงขั้นนั้น ต่างบ้านต่าง เมืองก็คือบ้านเกิดแห่งใจ คือสถานที่พักผ่อน แต่มาตุภูมิกลับจะยัง เป็ นมาตุภูมิไปตลอดกาล เป็ นอย่างยาวนาน คือสถานที่ที่จิตใจ เลื่อมใสแสวงหา ต่อให้ผ่านไปอีกเจ็ดพันปี หรือหมื่นปีผ่านไปก็จะ ยังคงเป็ นเช่นนี้ ลู่จือ หากเจ้าไม่เชื่อ อีกเจ็ดพันปีให้หลังก็ลองถามข้า ต่อหน้าดูอีกครั้ง ข้าจะยังต้องตอบแบบนี้แน่นอน”
ลู่จือกล่าว “นักพรตคนหนึ่ง เรียกตัวเองว่าข้าๆๆ ไม่ควรเรียก ตัวเองว่าผินเต้าหรอกหรือ?”
ลู่เฉินตอบ “ก็ต้องดูด้วยว่าคุยกับใคร”
ก็เหมือนอยู่ในใต้หล้าไพศาล จวนปรมาจารย์มหาปราชญ์ จวน หย่าเชิง ลูกหลานอริยะในตระกูลพวกนี้ ถึงอย่างไรสถานะก็สูงศักดิ์
ดังนั้นจึงไม่ค่อยเหมาะที่จะพูดสองคาว่า “เหมี่ยนกุ้ย” (เป็ นคาที่แสดง ถึงการถ่อมตัว หรืออย่างคาว่าผินเต้าที่นักพรตใช ้ ก็เป็ นคาแทนตัวที่ ใช ้แสดงถึงการถ่อมตัวเช่นกัน)
ส่วนใต้หล้ามืดสลัว แม้จะบอกว่าเจ้าลัทธิทั้งสามไม่มีลูกหลาน แต่เต้ากวานและชาวบ้านที่ใช ้สามแซ่อย่างโค่ว อวี๋และลู่ ตอนที่ แนะนาตัวเองก็ล้วนไม่ต้องพูดคาว่าเหมี่ยนกุ้ย
ยกตัวอย่างเช่นอาเหลียง เวลาที่เจอกับคนอื่นก็ไม่เหมาะจะพูดว่า “เหมี่ยนกุ้ยแซ่เหมิ่ง”
ชื่อจริงของอาเหลียง แซ่เหมิ่งนามเหลียง
ไม่ว่าจะเป็ นเหลียงที่แปลว่าชื่อบนประตู หรือเหลียงที่แปลว่าคาน หรือจะเป็ นเหลียงสะพานจากคาว่าผืนน้ากว้างขวางต้องมีไม้กับไม้ เชื่อมโยง
ล าพังแค่ตั้งชื่อให้กับบุตรชายคนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าหย่าเซิ่งฝาก ความหวังไว้กับเขามาก
แต่ขณะเดียวกันหย่าเซิ่งกลับตั้งนามให้บุตรชายคนนี้ว่า “ปู้ (ไม่) กวง” (芝) ค าว่ากวงคานี้ค่อนข้างหาได้ยาก ในยุคโบราณเป็ นคา เดียวกับค าว่า ‘กวง’ (光 แสง) แต่จากการอธิบายความหมายของค า โบราณซึ่งเป็ นบทเรียนประถม กวงประกอบจากอักษรกานและฮว่อ (ไฟ) กาน ภาษาโบราณแปลว่าเร็ว เมื่อมารวมกันก็มีความหมายว่า ไฟที่ลุกโชนรวดเร็วทั้งยังส่องแสงสว่างเจิดจ้า ถ้าอย่างนั้นแซ่เหมิ่งชื่อ
เหลียง นาม “ปู้ กวง” ก็มีความหมายว่าหวังให้บุตรชายประสบ ความสาเร็จในตอนอายุมากแล้ว ถึงขั้นที่ว่าหากจะเก็บซ่อนประกาย แสงไม่เปิดเผยไปชั่วชีวิตก็ยังไม่เป็ นไร
ในฐานะหย่าเซิ่ง จึงหวังให้บุตรชายของตนสามารถแบกรับภาระ หนักหน่วงในอนาคตกลายเป็ นดั่งเสาคานของศาลบุ๋นได้
แต่ในฐานะที่เป็ นบิดา กลับหวังด้วยว่าชั่วชีวิตนี้บุตรชายจะไร ้ ทุกข์ไร ้ภัย มีชีวิตสงบสุขปลอดภัย หากในอนาคตไม่ได้ดิบได้ดีก็ไม่ เป็ นไร ไม่ต้องคิดอยากจะสร ้างชื่อเสียงเกียรติยศให้วงศ์ตระกูลมาก เกินไป
ส่วนเรื่องที่ว่าทาไมตอนออกท่องยุทธภพ อาเหลียงถึงได้ชอบ เรียกตัวเองว่า “ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงที่แปลว่าดีงาม
คิดดูแล้วก็คงเพราะคาว่า “เหลียง” ดีงามนี้ออกเสียงเดียวกับ “เห ลียง” ที่แปลว่าเสาคาน นอกจากนี้หนึ่งในรากฐานความรู ้ของหย่าเซิ่ง ก็อยู่ที่ว่า “สันดานของมนุษย์เดิมนั้นดีงาม’
ถ้าอย่างนั้นปี นั้นอาเหลียงที่อยู่บนหัวกาแพงของกาแพงเมือง ปราณกระบี่ ทาไมถึงแกะสลักอักษรคาว่า “เหมิ่ง” ก็ยิ่งเข้าใจได้แล้ว
ลู่เฉินหัวเราะร่าถามว่า “ดูจากท่าทาง เจ้านครเจิ้งคงเคยมาเยือน สานักกระบี่หลงเซี่ยงแล้วสินะ?”
ลู่จือมีสีหน้าดุร ้ายในทันที
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องตื่นเต้น ฟ้ าไม่กลัวดินไม่เกรง เป็ นศัตรูกับ ใครก็อย่าได้ท้าทายอาจารย์เจิ้ง”
เว้นเสียจากว่าถูกบีบบังคับจริงๆ