กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1046.6 เหล่าศิษย์หลานทั้งหลาย
ลู่จือไม่ค่อยชอบการคบค้าสมาคมที่เต็มไปด้วยพิธีรีตองไร ้สาระ และยิ่งไม่มีมิตรภาพส่วนตัวกับน่าหลันไฉ่ฮ่วนให้เอ่ยถึง ความทรงจ า เพียงหนึ่งเดียวที่นางมีก็คือน่าหลันไฉ่ฮ่วนชอบเงินแล้วก็หาเงินเก่ง มาก อยู่บนสนามรบก็ไม่กลัวว่าจะต้องบาดเจ็บ กล้าตาย ทุกครั้งนาง จะออกกระบี่ไม่เบา ใช ้วิธีการเหมือนกับหมี่อวี้ตอนก่อนจะเป็ นห้า ขอบเขตบน ฉีโซ่วเด็กรุ่นหลัง แน่นอนว่ายังมีก่อก าเนิดเฒ่านิสัย แปลกแยกที่มักจะไปอาศัยอยู่ในขีดตัวอักษรของหัวก าแพงเมืองเพียง ลาพังผู้นั้นด้วย
ดังนั้นทั้งๆ ที่รู ้ดีว่าน่าหลันไฉ่ฮ่วนเป็ นจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือ ลู่จือก็ยังฝืนนิสัยตัวเองไม่เอ่ยอะไร ถึงอย่างไรก็ให้หน้าน่าหลันไฉ่ฮ่ วนอย่างเพียงพอแล้ว
ได้เจอกับเซียนดินทาเนียบเหล่านั้น ประโยคแรกของลู่จือก็คือ การถามคาถามที่รู ้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว “พวกเจ้าแต่ละคนมีใครเคย สังหารเผ่าปีศาจของเปลี่ยวร ้างมาก่อนบ้าง?”
คนเหล่านั้นตัวสั่นเทิ้ม มีเพียงคนหนึ่งที่ใจกล้าเปิดปากพูดเสียง สั่นด้วยสองคาว่า ไม่เคย คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนกัดฟันแน่น ปิดปากไม่ พูดไม่จา
ลู่จือเอ่ยต่ออีกว่า “ในเมื่อต่างก็ ไม่เคย” วันหน้าก็อย่ามาเดิน เตร็ดเตร่แถวนี้อีกเลยคราวหน้าข้าไปเป็ นแขกที่สานักอวี่หลงของ พวกเจ้าก็จ าไว้ว่าหลบไปไกลๆ หน่อย จะได้ไม่มีใครท าให้ใครต้อง สะอิดสะเอียน
นางเหลือบมองน่าหลันไฉ่ฮ่วนที่ทาสีหน้ามีความสุขบนความ ทุกข์ของผู้อื่น และอวิ๋นเชียนที่ดูเหมือนว่าจะตื่นเต้นยิ่งกว่าเซียนดิน พวกนั้นเสียอีก
ลู่จือกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “จะดีจะชั่วก็เป็ นสานักเก่าแก่แห่งหนึ่ง ควรจะให้ความสนใจในชื่อเสียงบ้าง ตัวพวกเจ้าเองไม่เห็นศักดิ์ศรี หน้าตาเป็ นเรื่องสาคัญแล้วยังมีหน้ามาคาดหวังให้คนอื่นเห็นพวกเจ้า ส าคัญกันอีกหรือ?”
สุดท้ายลู่จือหัวเราะหยันเอ่ยกับผู้ฝึกตนหญิงสองคนว่า “พูดถึง พวกเจ้าอยู่นะ เจ้าส านักน่าหลัน ผู้คุมกฏอวิ๋นเชียน
น่ าหลันไฉ่ ฮ่วนหน้าหนาเป็ นพิเศษ ไม่เสียแรงที่เคยฝึ ก ประสบการณ์ในห้องบัญชีของเรือนชุนฟานมาก่อน กลับเป็ นอวิ๋น เชียนที่ใบหน้าแดงก่า ละอายใจยิ่งนัก
ลู่จือยิ้มเอ่ยแนะนาว่า “หากพวกเจ้าแลกเปลี่ยนพื้นที่มงคลกับ ภูเขาปี้เซียวก็คงดี แต่ละคนต่างก็ได้ผลประโยชน์
ในการประชุมคราวก่อน ศาลบุ๋นเอาพื้นที่มงคลออกมารวดเดียว ถึงสี่แห่ง มอบให้กับกองกาลังสี่ฝ่ าย นอกจากภูเขาปี้เซียวที่เหลือแต่
ชื่อของหลิวทุ่ยแล้วก็มีนครมังกรเฒ่าที่กลายเป็ นซากปรักไป เช่นเดียวกัน รวมไปถึงสานักกุยหยกและสานักกระบี่หลงเซี่ยง
อิงตามคุณูปการด้านการสู้รบน้อยใหญ่ ระดับขั้นของพื้นที่มงคล ก็มีสูงมีต่า
ลู่จือขมวดคิ้วกล่าว “เหตุผลที่เป็ นรูปธรรม?”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก จะให้ไปพูดกับฉีถิงจี้ง่ายๆ ว่าลู่เฉินบอกมา เช่นนี้พวกเราก็ทาตามนี้คงไม่ได้
ลู่เฉินกล่าว “ก็แค่พูดถึงเท่านั้น ไม่ต้องคิดเป็ นจริงเป็ นจัง”
เหอะ เจ้ายังติดค้างกล่องกระบี่ใบหนึ่งกับข้าอยู่เลยนะ ผินเต้าก็มี อารมณ์ได้เหมือนกันแล้วยังเจ้าอารมณ์ไม่น้อยด้วย
ลู่จือเองก็ไม่ปล่อยให้เจ้าลัทธิลู่ได้สมใจ เจ้าไม่เต็มใจจะพูดก็อย่า พูดเลย
หึ ดูนิสัยเกรี้ยวกราดของผินเต้านี่สิ เจ้าไม่ถามใช่ไหม ผินเต้าก็ จะพูดออกมาให้หมดเปลือกเลย…
ทว่าประโยคถัดมาของลู่จือกลับท าให้เจ้าลัทธิลู่ต้องกลืนค าพูด กลับลงท้องไปแต่โดยดี
“ลู่เฉิน เจ้ามาเยือนครั้งนี้ ความตั้งใจเดิมก็คืออยากโน้มน้าวให้ ข้าไปฝึกกระบี่ที่ป๋ ายอวี้จิงหรือ? ข้ารู ้ว่าเจ้าหวังดี ไม่ได้มีแผนการร ้าย อะไร เรื่องนี้ข้าต้องรับน้าใจอย่างแน่นอน”
ลู่เฉินพลันไม่รู ้ว่าควรจะตอบอย่างไร อดยื่นมือไปจับประคอง กวานเต๋าบนศีรษะไม่ได้รู ้สึกว่าก่อนหน้านี้ที่ปูพื้นไปมากมายล้วนไหล หายไปตามสายน้าหมดแล้ว
ไม่เสียแรงที่เป็ นลู่จือที่แม้กระทั่งเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสโน้มน้าว นาง นางก็ยังไม่หวั่นไหว
สตรีที่ห้าวหาญเช่นนี้ที่ใต้หล้ามืดสลัวก็มีเหมือนกัน ยกตัวอย่าง เช่นหวังซุน ศิษย์พี่หญิงของเจ้าอารามซุนแห่งอารามเสวียนตู
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ไม่ไปก็ไม่ไป ผินเต้ามาเยือนครั้งนี้ต้องกลับไปมือ เปล่าก็ไม่มีอะไรให้ต้องไม่พอใจ”
สตรีอย่างพวกนาง บนโลกมนุษย์มีเพิ่มมาหนึ่งคนก็มีความ งดงามเพิ่มมาหนึ่งส่วน
เห็นใครบางคนแล้วเกิดความชื่นชอบก็เป็ นเรื่องปกติทั่วไป บุรุษ ที่มองจนตาลายจิตใจหวั่นไหว นั่นก็เรียกว่าดวงตามีแวว!
ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าลู่จือแห่งกาแพงเมืองปราณกระบี่จะ ไม่งามล่มบ้านล่มเมืองได้อย่างไร?
ลู่จือถอนหายใจ คงเป็ นเพราะนางไม่เคยเป็ นคนที่คิดไม่ตก พอ บางครั้งที่คิดไม่ตกก็จะรู ้สึกล าบากใจมากเป็ นพิเศษ
ลู่เฉินรีบพูดปลอบใจทันที “ลู่จือ อย่าเป็ นแบบนี้ เจ้าไม่เคยชิน ข้าก็ยิ่งอึดอัด ไม่ควรเลย จะไปหรือไม่ไปป๋ ายอวี้จิง ก็ไม่สู้เดินก้าว
หนึ่งดูกันไปก้าวหนึ่ง อย่างเช่นว่าวันใดในอนาคต ไม่ว่าจะผ่านไป ร ้อยปีหรือพันปี ขอแค่เจ้าเกิดความคิดขึ้นมากะทันหันก็สามารถพก กระบี่ออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลไปยังภูเขาอวี้จิง…”
ลู่จือถามอย่างสงสัย “ภูเขาอวี้จิง? ไม่ใช่ป๋ ายอวี้จิงหรือ?”
ลู่เฉินหุบปากฉับทันใด โบกมือเป็ นพัลวัน “ผินเต้าไม่เคยพูด เจ้า เองก็ไม่เคยได้ยิน”
ลู่จือพยักหน้า
ฉีถิงจี้เคยโน้มน้าวลู่จือมาตั้งนานแล้วว่าหากมีโอกาสก็ไปเยือน ป๋ ายอวี้จึงสักครั้ง ไปฝึกกระบี่ที่นั่นให้ดีๆ
ต่อให้จะออกจากท าเนียบของส านักไปเข้าร่วมกับป๋ ายอวี้จิงก็ยัง ไม่เป็ นปัญหา
สามารถท าให้ฉีถิงจี้ที่ส่วนลึกในใจเลื่อมใสในความรู ้เรื่องคุณ ความชอบและลาภยศอย่างมากพูดจาเปิดเผยแบบนี้ด้วยได้ บางที อาจมีแค่ลู่จือคนเดียวแล้ว
กาแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยมีความแค้นกับป๋ ายอวี้จิง ถึงขั้น ที่ว่ายังมีความสัมพันธ ์ควันธูปที่จะมีหรือไม่มีก็ได้อยู่ส่วนหนึ่ง พูดถึง แค่ภูเขาห้อยหัวกับกาแพงเมืองปราณกระบี่ก็เป็ นเพื่อนบ้านกันมา หลายพันปี ทั้งสองสถานที่อยู่ร่วมกันได้อย่างปรองดอง ภูเขาห้อยหัว ที่ช่วยให้ใต้หล้าไพศาลเชื่อมโยงเข้ากับกาแพงเมืองปราณกระบี่คือ ตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็มีลูกศิษย์ใหญ่ผู้สืบทอด
ของอวี๋โต้วนั่งบัญชาการณ์ อีกทั้งนักพรตน้อยเจียงอวิ๋นเซิง รวมไป ถึงนักพรตหญิงสายของเรือนซือเตาก็คอยช่วยเฝ้ าประตูให้เป็ น ประจา ดังนั้นผู้ฝึ กกระบี่ของกาแพงเมืองปราณกระบี่จึงไม่เคยมี ความรู ้สึกเลวร ้ายอะไรต่อป๋ ายอวี้จิงและใต้หล้ามืดสลัว
ก็เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ที่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเฉิงเฉวียนนาพากลุ่ม คนไปเยือน เป็ นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์กลุ่มที่มีต่งฮว่าฝูเป็ นหนึ่งในนั้นไป อยู่นครเสินเซียวก่อน ภายหลังก็มีสิงกวานหาวซู่ที่ไปฝึ กตนในป๋ า ยอวี้จิง
เพียงแต่ว่ามีความสัมพันธ ์ชั้นนี้อยู่กลับทาให้ภูเขาห้อยหัวแห่งนี้ เคยถูกผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลบางคนด่าว่าเป็ น “หมาเฝ้ า ประตู” มานานหลายปี
แน่นอนว่าคาพูดทานองนี้เป็ นแค่คานินทาในทางส่วนตัวเท่านั้น ไม่มีใครกล้าป่าวประกาศออกมาอย่างแน่นอน
ลู่จือคิดว่าอันที่จริงตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่โลกภายนอกเล่า ลือกัน
ยกตัวอย่างเช่นปี นั้นนางฟังคาแนะนาของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้ อาวุโส เก็บซ่อนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต “เป่ยโต้ว” เอาไว้ตลอดเวลา ไม่เคยเรียกออกมาสังหารศัตรูบนสนามรบสักครั้ง
คงเป็ นเพราะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมองเห็นจากร่างของ ลู่จือมานานแล้วว่า นางมี “ความไม่แน่นอน” และ ‘ความเป็ นไปได้” มากกว่าพวกต่งซานเกิง ฉีถิงจี้ เฉินซี ฯลฯ
ส่วน “เป้ าผู่” กระบี่บินอีกเล่มของลู่จือกลับเป็ นที่รู ้จักของผู้คน แต่จากการคาดเดาของฉีถิงจี้มันมีความเป็ นไปได้อย่างหนึ่ง นั่นคือ หากลู่จืออาศัยการอ่านและศึกษาต าราลับของป๋ ายอวี้จิงก็จะสามารถ ช่วยให้นางค้นหาวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างที่สามของกระบี่ บินเล่มนี้ได้
นิสัยของลู่จือเป็ นทั้งสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กาเนิด แล้วก็มีส่วนที่ ได้รับอิทธิพลจากกระบี่บินสองเล่มด้วย เป็ นเหตุให้ลู่จือที่เดิมทีก็มี นิสัยนิ่งเฉยไร ้ความปรารถนายิ่งดูเย็นชามากกว่าเดิม
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าลู่จือยอมฟังคาแนะนาในครั้งนี้ก็เพราะเซียน กระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสทิ้งประโยครุนแรงและความในใจเอาไว้ ซึ่งล้วนเป็ น สิ่งที่หาได้ยากอย่างมาก
“ลู่จือ เจ้าอยู่ที่กาแพงเมืองปราณกระบี่จะมีโอกาสเรียกกระบี่บิน แห่งชะตาชีวิต “เป่ยโต้ว’ ออกมาใช ้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น
“คนของพวกเราที่นี่นึกจะจากไปก็จากไป แล้วยังมีผู้ฝึ กกระบี่ หญิงที่ไม่ได้เอ่ยอะไรสักคาก็ตายไปแล้ว คนเหล่านี้มีมากพอแล้ว ไม่ได้ต้องการคนต่างถิ่นอย่างเจ้ามาเพิ่มอีก
ความนัยนอกเหนือจากคาพูดประโยคนี้ของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้ อาวุโสตื้นเขินเข้าใจง่ายอย่างยิ่ง เจ้าลู่จือมีโอกาสที่จะไม่ฟังค าแนะน า แค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็สามารถไปจากก าแพงเมืองปราณ กระบี่ได้แล้ว
จะดีจะชั่วก็ยังมีชีวิตอยู่
กล้าท าหน้าหนาไม่ยอมไปไหน?
หลักการเหตุผลของผู้ฝึกกระบี่อยู่ที่เวทกระบี่เท่านั้น วิถีกระบี่ของเจ้าลู่จือสูงมากนักหรือ? สูงแค่ไหน?
ก็แค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งที่เนิ่นนานก็ยังมิอาจ เลื่อนเป็ นขอบเขตบินทะยานได้เท่านั้น ไม่สู้ลองกระโดดแรงๆ อีกสัก สองสามที ดูสิว่าหัวของเจ้าจะมาถึงหัวไหล่ของข้าเฉินชิงตูได้ หรือไม่?
ไม่เพียงแต่ลู่จือเท่านั้น สาหรับผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นทุกคน แต่ไหน แต่ไรมาเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็ยินดียอมแหกกฎพูดคุยกับพวก เขามากหน่อย
แน่ นอนว่าเงื่อนไขก็คือพวกเขากล้ามาอยู่ตรงหน้าเขา ยกตัวอย่างเช่นเว่ยจิ้นผู้ฝึกกระบี่แห่งหอเทพเซียนของศาลลมหิมะ แจกันสมบัติทวีป เขาเองก็ได้มาสร ้างกระท่อมหลอมกระบี่อยู่บนหัว ก าแพงเมืองไม่ใช่หรือ?
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลู่จือ ความคิดของผินเต้ากับเฉินผิงอัน คล้ายกันมาก มีความต่างแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขารู ้สึกว่า ผลสาเร็จบนวิถีกระบี่ของเจ้าในอนาคตอาจจะสูงกว่าฉีถิงจี้ แต่ผิน เต้ากลับรู ้สึกว่าไม่ใช่ “อาจจะ” แต่เป็ น “แน่นอน” รอกระทั่งเจ้าหลอม กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มได้อย่างแท้จริง แล้วผสานรวมเส้นสาย กระบี่แปดเส้นที่ซุกซ่อนวิถีกระบี่อยู่ในกระบี่ทั้งแปดให้รวมเป็ นหนึ่ง เดียวกัน หล่อหลอมลงในเตาเดียวกัน ก็จะเหมือนขนมหมาฮวาที่บิด เป็ นเกลียว ภาพบรรยากาศบนวิถีกระบี่ของเจ้าจะยิ่งใหญ่น่าดูชม นอกจากนี้ผินเต้าไม่รู ้ว่าเจ้าคิดอย่างไรถึงได้ไม่เคยบุกเบิกช่องโพรง ลมปราณ ผินเต้าเองก็เห็นขอบเขตเซียนเหรินมาทั่วใต้หล้าแล้ว คนที่ มีช่องโพรงลมปราณน้อยนิดอย่างเจ้า พูดประโยคที่ไม่เกินจริงสักคา ก็เรียกได้ว่ามีแค่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
ดังนั้นในสายตาของลู่เฉิน ความเป็ นไปได้ที่แท้จริงของลู่จือก็คือ หลังจากที่นางเลื่อนเป็ นขอบเขตบินทะยานแล้วยังสามารถพัฒนา รุดหน้าไปได้อีกขั้น มีโอกาสที่ลู่จือจะยึดครองวิถีกระบี่ที่กว้างขวางไป เพียงล าพัง
ลู่จือยิ้มเอ่ย “ตามคากล่าวของเจ้า น้าใจที่ข้าติดค้างเจ้าจะไม่ ใหญ่เกินไปหน่อยหรือวันหน้าจะใช ้คืนอย่างไร?”
ลู่เฉินย้อนถาม “ผินเต้าก็แค่ปล่อยไปตามโชคชะตา เดินไป ตามใจปรารถนา เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าลู่จือด้วย? ยังจะมีอะไรได้ เจ้า ใช ้คืนมา ผินเต้าไม่รับไว้ แล้วไยต้องใช ้คืน?”
ลู่จือรู ้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ไม่รู ้ว่าควรจะตอบโต้ อย่างไร ได้แต่เอ่ยว่า “เถียงไม่ทันพวกเจ้า”
ลู่เฉินพลันเอ่ยว่า “ผินเต้ายังมีธุระให้ต้องไปท า คงไม่อยู่นานแล้ว วันหน้าค่อยเจอกันใหม่!”
ไม่รอให้ลู่จือพูดอะไร เรือนกายของลู่เฉินก็หายวับไปแล้ว มา อย่างรีบร ้อนและจากไปอย่างรีบร ้อน
ลู่จือที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเดินไปเดินมา ในที่สุดนางก็พลันคืน สติ หากข้าต้องชดใช ้น้าใจคืน เจ้าลู่เฉินจะรับหรือไม่รับแล้วเกี่ยว ผายลมอะไรกับข้าด้วย?!
เพียงแต่พอคิดอีกที ลู่จือก็รู ้สึกว่าเหมือนจะมีอะไรตรงไหนไม่
ถูกต้อง ……
วันนี้ตรงหน้าประตูของภูเขาลั่วพั่วมีบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อหลาย คนเดินเท้ามาจากทางเมืองเล็ก
มีบุรุษร่างกายา สวมกวานสูงพกกระบี่ สีหน้าเด็ดเดี่ยวหนักแน่น เปี่ยมบารมีแม้ไม่แสดงอาการโกรธ
แล้วก็มีบัณฑิตเงียบขรึมที่ตรงเอวห้อยกระบวยตักน้า
วันนี้หมี่ลี่น้อยลาดตระเวนภูเขาเสร็จแล้วจึงมาคุยเล่นกับนักพรต เซียนเว่ยที่ตีนเขา นี่คือหนึ่งในการบ้านของนางทุกวัน
เซียนเว่ยพลันหรี่ตาลง ลุกขึ้นยืนช ้าๆ บอกหมี่ลี่น้อยด้วยน้าเสียง อ่อนโยนว่าให้นางนั่งต่อไป จากนั้นเขาก็เดินมาเบื้องหน้าแม่นางน้อย นักพรตเซียนเว่ยสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เพียงแต่ว่าลางสังหรณ์ท าให้นักพรตตัวปลอมฉายาเซียนเว่ย นามจริงคือเหนียนจิ่งผู้นี้รู ้สึกว่าตัวเองต้องมายืนอยู่ตรงหน้า วันนี้เขา ต้องเป็ นคนรับรองแขกด้วยตัวเอง
เมืองหลวงต้าหลี ใต้ซุ้มดอกไม้ของศาลเทพอัคคี
นักพรตหนุ่มสวมกวานดอกบัวบนศีรษะนอนหงายอยู่บนม้านั่ง หิน สองมือสอดรองต่างหมอน เหม่อมองซุ้มดอกไม้
เฟิ งอี๋ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะหินหลุดหัวเราะพรืด “ไม่รังเกียจว่าแข็ง กระด้างบ้างหรือ?”
ลู่เฉินกล่าว “ได้ยินมาว่าในยุคบรรพกาล มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่ ทาหน้าที่เป็ นหุนเจ่อคอยรับผิดชอบดักทางพวกผู้ฝึ กลมปราณใน โลกยุคหลังที่พยายามจะทวนกระแสน้ามาโดยเฉพาะหรือ?”
เฟิงอี๋เงียบไม่ตอบ
ลู่เฉินหันหน้ามามองเฟิงอี๋
เฟิงอี๋ถอนหายใจเบาๆ “นั่นมันปฏิทินเหลืองเก่าแก่แล้ว จะไปพูด ถึงมันท าไม”
ทางฝั่งของอาเภอไหวหวง หลี่ไหวที่เดินทางจากสานักศึกษา ซานหยากลับมายังบ้านเกิด ข้างกายของเขาไม่มีนักพรตเนิ่นอยู่ด้วย แต่กลับมีสหายบนภูเขาของพี่สาวตัวเองเพิ่มมา เพียงแต่ไม่รู ้ว่าเหตุ ใดผู้ฝึ กตนหญิงคนนี้ถึงชอบบอกว่าตัวเองคือสาวใช ้ของเขา นี่ทา ให้หลี่ไหวนึกอยากจะขุดรูดาดินหนีลงไป เกลี้ยกล่อมนางไม่เป็ นผล จะไล่ก็ไล่ไม่ไป แล้วยังพูดจาแรงๆ อะไรด้วยไม่ได้อีก หลี่ไหวทุกข์ใจ นัก หากเฉินผิงอันรู ้เข้าล่ะก็…เฉินผิงอันรู ้ก็ไม่เป็ นไรหรอก แต่หาก เผยเฉียนรู ้เข้า เดิมทีก็ไม่ได้มีชื่อเสียงดีๆ อยู่แล้ว คราวนี้อาจไม่เหลือ ชื่อเสียงอะไรเลยก็ได้ แล้วจะเลื่อนขั้นเป็ นท่านผู้นาได้อย่างไร
ซูเตี้ยนผู้ฝึกยุทธหญิงแห่งร ้านยาตระกูลหยางมาอยู่ที่ต่างบ้าน ต่างเมืองแล้ว นางเจอตัวศิษย์พี่อย่างราบรื่น เขาก็คือ “เซี่ยซินเอิน’ แห่งเมืองเล็กบ้านเกิด
บุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีวรยุทธของใต้หล้ามืดสลัว หลินซือ “หลินเจียงเซียน” แห่งยาซาน
หลินเจียงเซียนแน่ใจในตัวตนของนางแล้วก็ยิ้มถามว่า “หยาง เหล่าโถวสั่งอะไรไว้หรือไม่?”
ซูเตี้ยนเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “อาจารย์บอกแค่ประโยคเดียวว่า “ทาดี กับศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้าหน่อย ถือเสียว่าตอบแทนบุญคุณของ อาจารย์”
หลินเจียงเซียนถามอย่างประหลาดใจ “ศิษย์น้องเล็ก?”
ซูเตี้ยนกล่าว “เขาชื่อหลี่ไหว อาจารย์บอกว่าหลี่ไหวก็คือลูก ศิษย์ปิดส านักของท่านผู้อาวุโส เพียงแต่ว่าหลี่ไหวไม่รู ้เรื่องนี้ อันที่ จริงอาจารย์เห็นเขาเหมือนหลานชายแท้ๆ มาโดยตลอด การที่พูด แบบนี้บางทีอาจเป็ นเพราะอาจารย์กังวลว่าหากเปลี่ยนคาเรียกขาน ต่อให้ศิษย์พี่หลินได้ยินก็คงไม่เก็บมาใส่ใจสักเท่าไร”
หลินเจียงเซียนพยักหน้า ยิ้มเอ่ย “หลี่ไหว? ข้าจ าไว้แล้ว”