กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1047.1 สุดท้ายความฝันงดงามก็กลายเป็ นจริง
หลี่ไหวกลับมาถึงบ้านเกิด ข้างกายมีเซียนจิ้งจอกหญิงนามว่า เหวยไท่เจินติดตามมาด้วย นางสวมหมวกคลุมใบหน้า เดินเข้าไปใน ร ้านยาตระกูลหยางด้วยกัน หลายปีมานี้เคยชินกับการที่พานักพรต เนิ่นเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปด้วยกันแล้ว จะหัวเราะยิ้มแย้มจะด่า เกรี้ยวกราด จะพูดจาอะไรก็ล้วนตามแต่ใจ ผ่อนคลายสบายอารมณ์ อย่างมาก ผลคือจู่ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็ นเหวยเซียนซือที่เดินข้างอยู่ข้าง กายตนแทน แล้วนางยังชอบเรียกเขาค าแล้วค าเล่าว่าคุณชาย เรียก จนหลี่ไหวขนลุกไปหมด ทุกครั้งจะต้องบอกให้นางเรียกชื่อของเขา ตรงๆ อย่าเรียกคุณชายอีกเลย เขาคือเด็กยากจนที่ตอนเด็กหากได้ กินน่องไก่ก็เหมือนได้ฉลองปีใหม่ มาถึงบ้านเกิดถูกเพื่อนบ้านใกล้ เรือนเคียงได้ยินเข้า จะไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะแย่หรือ แต่ทุกครั้งขอ แค่หลี่ไหวแนะนาเช่นนี้ นางจะต้องกัดริมฝีปาก ไม่เถียงอะไร เพียงแค่ หลุบเปลือกตาลงต่าไม่พูดไม่จาท่าทางหม่นหมอง ราวกับว่าน้อยเนื้อ ต่าใจยิ่งกว่าหลี่ไหวเสียอีก พอหลี่ไหวเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็รู ้สึก หัวโตเป็ นกระด้ง ตนที่มีชะตาชีวิตยากล าบากจะทนรับความสุข รับ โชคด้านความรักแบบนี้ได้ที่ไหน? ข้าหลี่ไหวคือบัณฑิตผู้เที่ยงตรง นะ!
หากเจิ้งต้าเฟิงที่ในหัวมีแต่คาพูดสัปดนมาเห็นเข้าจะท าอย่างไร ดี? แม่นางเหวยหน้าบาง คงไม่ใช่ว่าฟังคาพูดเจิ้งต้าเฟิงแล้วอับอาย จนพานเป็ นโกรธ ถึงเวลานั้นตนจะช่วยใครก็ผิดทั้งนั้น
มาถึงร ้านยาที่คุ้นเคย หลี่ไหวก็ก้าวเร็วๆ ข้ามธรณีประตูไป เรียก คาหนึ่งว่าสือหลิงซานเหลียวซ ้ายแลขวา ประหลาดนัก ไฉนถึงไม่ เห็นซูเตี้ยน
สือหลิงซานมีความรู ้สึกที่ซับซ ้อนต่อหลี่ไหวอย่างมาก เขาจึงไม่ คิดจะพูดจาตีสนิท มีเรื่องอะไรก็ว่าไปตามนั้น “หูเฟิงของตรอกเอ้อห ลาง ก่อนหน้านี้ไม่นานส่งจดหมายสองฉบับมาที่ร ้าน ฉบับหนึ่งมอบ ให้ข้า ในจดหมายบอกให้ข้าน าความมาบอกเจ้าว่าทุกวันนี้เขาอยู่ที่ ราชวงศ์สกุลหงอวิ๋นเซียวใหม่ทางทิศใต้ ร่วมกับสหายก่อตั้งพรรคขึ้น บนภูเขา หากเจ้ามีเวลาว่างก็แวะไปนั่งเล่นพูดคุยราลึกความหลังกับ เขาได้ เขามีธุระต้องการปรึกษากับเจ้าต่อหน้า”
หลี่ไหวมึนงง เอ่ยอย่างเป็ นกังวลใจว่า “เขาติดค้างน้าใจข้าหรือ ทาไมข้าไม่เห็นรู ้เรื่องเลย หูเฟิงเข้าใจอะไรผิดหรือไม่?”
สาหรับหูเฟิงที่อายุมากกว่าตนหลายปี อันที่จริงหลี่ไหวไม่มีภาพ จ าอะไร แค่พอจะจ าได้อย่างเลือนรางว่าหูเฟิงมักจะติดตามท่านปู่ ที่ เปิดร ้านขายของงานมงคลแวะเวียนไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ เพื่อ ท างานหาเงินอย่างพวกซ่อมจานชาม ลับมีด ฯลฯ แม้ว่าจะเป็ นคน บ้านเดียวกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เคยคุยกันสักค า ไฉนถึงได้มีหนี้ น้าใจเลอะเลือนนี้โผล่มาได้? ขออย่าให้เป็ นคาพูดที่สลับกัน
กลายเป็ นว่าต้องการทวงหนี้จากตนเลยนะ เพียงแต่พอคิดดูอีกที ใน ความทรงจาหูเฟิงผู้นั้นเหมือนจะเป็ นคนชื่อสัตย์คนหนึ่ง คงไม่ถึงขั้น นั้นกระมัง?
สือหลิงซานกล่าว “ขนาดเจ้ายังไม่รู ้แล้วข้าจะรู ้ได้อย่างไร ข้าแค่ เอาความมาบอกต่อเท่านั้น เรื่องอื่นๆ ข้าก็ไม่สนแล้ว จดหมายที่ส่งมา ให้เจ้าฉบับนั้นวางไว้บนโต๊ะห้องข้างฝั่งตะวันออกที่เจ้าเคยไปพัก ประจ า ไปอ่านเอาเอง”
สือหลิงซานนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงหยิบกุญแจพวงหนึ่งมาวางลง บนโต๊ะ “อีกอย่าง ของทุกชิ้นที่อยู่ในห้องเก็บฝืนของเรือนด้านหลัง ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสเก็บไว้ให้เจ้าทั้งหมด ข้ากับศิษย์พี่หญิงซูไม่กล้า เปิดเข้าไปท าความสะอาด เจ้ามีเวลาว่างก็ย้ายออกไปเถอะ เอาแต่ เก็บไว้ที่นี่ก็ไม่สมควรนัก มาเร็วไม่สู้มาได้จังหวะบังเอิญ วันนี้เลยก็ แล้วกัน ที่ร ้านมีรถเข็นอยู่คันหนึ่ง คาดว่าขนสักสองสามรอบก็น่าจะ หมด”
หลี่ไหวหัวโตขึ้นมาทันใด ขน? ขนไปไหน? บ้านบรรพบุรุษของ ตนใหญ่เท่านั้น หากวันใดท่านแม่รู ้เข้าว่าในห้องของตนมีแต่ของ “ผุ พัง” ที่ขนมาจากร ้านยาตระกูลหยางกองไว้เต็มท่านแม่จะไม่ด่าเขา เป็ นชุดเลยหรือ ไม่ว่าค าพูดไม่น่าฟังอะไรก็คงถูกร่ายออกมาหมด หลักการที่ว่าคนตายสาคัญที่สุด เคารพผู้ใหญ่อะไรพวกนั้น ท่านแม่ ไม่เคยพิถีพิถันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลี่ไหวจึงปรึกษากับสือหลิงซาน ว่าเอาของพวกนั้นไว้ที่เดิมก่อน หากสือหลิงซานรู ้สึกว่าเปลืองพื้นที่
ของเรือนหลังร ้านยาเขาสามารถจ่ายเงินค่าเช่าให้ทุกปีได้…สือหลิง ซานมองชายหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่มีใบหน้าจริงใจผู้นี้แล้วถอน หายใจ โบกมือ บอกว่าค่าเช่านั้นช่างเถิด ไม่ต้องท าตัวห่างเหินกัน ขนาดนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เรือนหลังทั้งแห่งก็เป็ นพื้นที่ของท่าน อาจารย์ หากเจ้าขี้เกียจย้ายไป วันหน้าก็ค่อยว่ากัน
หลี่ไหวรีบเอ่ยขอบคุณ แล้วก็เตรียมจะไปดูที่เรือนด้านหลัง เขา ก้มหัวเลิกม่านไม้ไผ่ออก สือหลิงซานเหลือบมองภูตจิ้งจอกที่ท าท่าจะ ตามหลี่ไหวไปเรือนด้านหลังด้วย เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “ด้านหลัง ของร ้านยา คนที่ไม่ข้องเกี่ยวห้ามเข้าไป”
เหอะ ก็แค่ภูตจิ้งจอกที่ชาติกาเนิดไม่เที่ยงตรงตัวหนึ่ง กล้าจะไป เดินเล่นที่เรือนหลังด้วยหรือ? ใครมอบความกล้าให้เจ้ากัน!
เหวยไท่เจินสีหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย ภูตจิ้งจอกที่มีนิสัยนุ่มนิ่ม อ่อนโยนรีบยอบเข่าคารวะไปทางโต๊ะคิดเงิน เป็ นการขออภัยอย่างไร ้ เสียงต่อผู้ฝึกยุทธคนนั้น
ไม่รู ้ว่าหลี่ไหวคิดอย่างไร แต่ถึงอย่างไรผู้ฝึ กยุทธหนุ่มคนนี้ใน สายตาของเหวยไท่เจินด้านหลังของเขาก็เหมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอย ปกป้ องคุ้มครอง ส่องแสงสีทองเจิดจ้า ราวกับว่าสามารถสยบภูตผี ปีศาจทั้งหมดได้โดยธรรมชาติ
พอเหวยไท่เจินเข้ามาในร ้านก็สัมผัสได้ถึงภาพบรรยากาศของ พลังอ านาจอันเฉียบคมนี้ได้ทันที สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ร่างทองบริสุทธิ์องค์
หนึ่งลืมตาขึ้นช ้าๆ หลุบตาลงต่ามองมายังภูตจิ้งจอกตนนั้น เหวยไท่ เจินไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย
หลี่ไหวหันหน้ามายิ้มอธิบายว่า “สือหลิงซาน กฎเดิมของร ้านยา ข้าย่อมรู ้อยู่แล้ว แต่ว่าแม่นางเหวยคือสหายรักของข้า ไม่ต้องยึดมั่น ในกฎเกณฑ์เช่นนี้ วางใจเถอะ ข้ารับรองว่าแม่นางเหวยตามข้าไปที่ เรือนหลังจะไม่มีทางจับพลิกข้าวของใดๆ แน่นอน”
เห็นสือหลิงซานไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ หลี่ไหวก็กุมมือคารวะ ยิ้มหน้าทะเล้นช่วยพูดขอร ้องแทนให้ “อะลุ้มอล่วยให้หน่อย รบกวน อะลุ้มอล่วยให้หน่อย”
ในเมื่อหลีไหวพูดถึงขนาดนี้แล้ว สือหลิงซานก็ได้แต่พยักหน้ารับ
ไม่ใช่เพราะสือหลิงซานจงใจหาเรื่องภูตจิ้งจอกที่ไม่รู ้ความ เป็ นมาตนนั้น หรืออยากจะทาให้หลี่ไหวขายหน้าอะไร แต่เป็ นเพราะสื อหลิงซานรู ้ชัดเจนดีว่าเรือนหลังของร ้านยาแห่งนี้ไม่ใช่ว่าใครก็จะ สามารถเข้าไปเยือนได้จริงๆ ทุกวันนี้ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสไม่อยู่แล้ว สือหลิงซานจึงอยากจะรักษาระบบสืบทอดนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด
หลี่ไหวใช ้เสียงในใจอธิบายว่า “แม่นางเหวย อย่าได้โกรธเลย สื อหลิงซานเป็ นคนแบบนี้เอง เขาให้ความสาคัญกับกฎระเบียบที่สืบ ทอดมาจากคนรุ่นก่อนๆ มาก สนแต่เรื่องไม่สนคน”
เหวยไท่เจินพยักหน้ารับแรงๆ
ส่วนการรวมเสียงให้เป็ นเส้นของผู้ฝึกยุทธเต็มตัว การใช ้เสียงใน ใจพูดคุยของผู้ฝึกลมปราณ อยู่ดีๆ หลี่ไหวก็เรียนเป็ นเสียอย่างนั้น
บางครั้งหลี่ไหวก็จะทอดถอนใจว่าหากตนหัวไวเรื่องการเรียน แบบนี้บ้างก็ดีน่ะสิ ส่วนทาไมถึงเป็ นเช่นนี้ หลี่ไหวเป็ นคนไม่คิดอะไร มาก เรื่องที่คิดแล้วไม่เข้าใจมีถมเถไป จะสิ้นเปลืองสมองให้มากมาย ไปไย
เรือนด้านหลังมีหลังคาเปิดอ้า ทุกครั้งที่ฝนตกลงมาก็จะเป็ นภาพ ที่น้าจากสี่ด้านไหลมารวมกันในห้องโถงเดียว
ห้องหลักที่สูงพ้นพื้นมามีบันไดหลายขั้น ชายคาฝั่งตรงข้ามวาง ม้านั่งไม้ตัวยาวไว้ตัวหนึ่ง
เวลานี้เหวยไท่เจินมีลางสังหรณ์ที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง แต่ บางทีนี่ก็อาจเป็ นความรู ้สึกลวงได้เหมือนกัน
เพราะพอเข้ามาที่นี่นางก็หายใจได้ไม่คล่อง เรือนกายคล้ายจะ เล็กจ้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าอยู่ในตาหนักโอ่อ่าโอฬารที่สูง จนมองไม่เห็นฟ้ า ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึง
นางถึงขั้นรู ้สึกว่าทุกลมหายใจของตนคล้ายจะเป็ นการทา ความผิดที่มีโทษสมควรตาย
หากไม่เป็ นเพราะมีหลีไหวอยู่ด้วยก็คงจะมีอสนีฟาดผ่าลงมาที่หัว ของนาง ท าให้จิตวิญญาณของนางแหลกสลายไปนับแต่นี้
ปีนั้นเหวยไท่เจินที่มาจากภูเขากระจกวิเศษของชายหาดโครง กระดูก หลังจากเลื่อนเป็ นเซียนดินโอสถทองแล้วก็รับคาสั่งลับจาก นายท่านติดตามหลี่ไหวและเด็กสาวที่มีชื่อว่าเผยเฉียนออกเดินทาง ท่องไปในอุตรกุรุทวีป จาได้ว่าตอนนั้นเผยเฉียนยังเป็ นผู้ฝึ กยุทธ ขอบเขตหก คิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้นางจะเป็ นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขต ปลายทางที่มีน้อยจนนับนิ้วได้แล้ว
และหลี่ไหวที่อยู่ในสานักศึกษาซานหยาต้าสุยของแจกันสมบัติ ทวีปก็ถึงกับกลายไปเป็ นนักปราชญ์ของสานักศึกษาท่านหนึ่งของใต้ หล้าไพศาลแล้ว
ในความรู ้สึกส่วนตัวเหวยไท่เจินคิดว่า ดูเหมือนการที่แม่นางเผย “กระโดด” จากขอบเขตหกไปยังขอบเขตปลายทางจะเป็ นเรื่องที่ ยอมรับได้ง่ายมากกว่า?
แม้ว่าหลี่ไหวเองก็ตั้งใจศึกษาหาวิชาความรู ้ แต่เขาก็ไม่ใช่เมล็ด พันธ ์บัณฑิตเลยจริงๆ จาได้ว่าระหว่างที่ออกทัศนาจร หลี่ไหวมักจะ ท่องตาราหนึ่งบทลืมไปครึ่งบทเสมอ ปีนั้นระหว่างที่แบกหีบหนังสือ ออกทัศนศึกษา อย่าว่าแต่เผยเฉียนเลย แม้แต่เหวยไท่เจินก็ยังท่อง ได้คล่องปาก นอกจากจะตั้งใจอ่านตารา ขยันหมั่นเพียรแล้ว ในเรื่อง ของการแสวงหาวิชาความรู ้ เหวยไท่เจินก็เคยครุ่นคิดอย่างจริงจัง ตามหาค าตอบอย่างยากล าบากให้กับคุณชายท่านนี้ แต่คาตอบที่ได้ กลับเป็ นว่า หลี่ไหวไม่มีพรสวรรค์ใดๆ ในการเรียนหนังสือเลย!
ทุกวันนี้อันที่จริงเหวยไท่เจินคือเซียนจิ้งจอกขอบเขตก่อกาเนิด อย่างแท้จริงแล้ว
ก่อนหน้านี้ที่ไปจากข้างกายหลี่ไหวก็เพราะว่านายท่านหรือก็ คือหลี่หลิ่วกังวลว่าตอนที่เหวยไท่เจินขยับเข้าใกล้คอขวดโอสถทอง และยังไม่สามารถปิดด่านฝ่ าทะลุขอบเขตได้นั้นจิตแห่งมรรคาจะไม่ มั่นคง รวบรวมกลิ่นอายภูตจิ้งจอกบนร่างตัวเองมาไม่ได้ แล้วจะ กลายเป็ นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ล่อลวงใจคนจริงๆ มีแต่จะส่งผลกระทบต่อ การเล่าเรียนศึกษาวิชาความรู ้ของหลี่ไหวน้องชายตน จึงให้นางไป ตั้งใจฝึกตนอยู่ในพื้นที่ประกอบพิธีกรรมของยอดเขาสิงโตแต่โดยดี เมื่อไหร่ที่ฝ่ าทะลุขอบเขตแล้วก็ค่อยลงจากภูเขามาติดตามรับใช ้อยู่ ข้างกายหลี่ไหว คอยดูแลการกินการอยู่ให้กับน้องชายของนางอีก ครั้ง
คราวก่อนเลื่อนเป็ นโอสถทอง หลี่หลิ่วมอบสมบัติอาคมสองชิ้น ให้กับเหวยไท่เจินท าให้นางสามารถแลกชีวิตกับผู้ฝึกตนก่อก าเนิด เว้นจากผู้ฝึกกระบี่ได้
ครั้งนี้กลายเป็ นก่อกาเนิด หลี่หลิ่วก็มอบสมบัติอาคมด้านการ ป้ องกันให้กับเหวยไท่เจินอีกคู่หนึ่ง สามารถแลกชีวิตกับขอบเขต หยกดิบได้
เพียงแค่เพราะนางเกิดมาก็มีนิสัยนุ่มนิ่มบอบบาง อีกทั้งยังไม่เคย ประลองวิชากับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขามาก่อน เป็ นเหตุให้แค่มองก็ รู ้สึกว่านางเป็ นคนที่รังแกได้ง่าย
ขอบเขตของผู้ฝึกตนก่อก าเนิด แต่มีบุคลิกของผู้ฝึกตนอิสระห้า ขอบเขตล่าง
จู่ๆ ก็มีคนเลิกม่านไม้ไผ่ขึ้น เสียงของบุรุษคนหนึ่งขัดจังหวะ ความคิดของเหวยไท่เจิน
“แม่นางท่านนี้ไม่ทราบว่าชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน แต่งงานแล้ว หรือยัง?”
เหวยไท่เจินรีบหันหน้าไปมองก็เห็นชายผู้หนึ่งที่เส้นผมเงาวับ กาลังถูมือคลี่ยิ้มด้วยสีหน้าเขินอาย “ข้าน้อยเจิ้งต้าเฟิง คือพี่ใหญ่… ของหลี่ไหว! ยังไม่แต่งงาน เพียงแค่เพราะรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ของตัวเองมาโดยตลอด อีกทั้งยังสายตาสูง จึงถ่วงเวลาเรื่อยมาจน ป่ านนี้ แค่ว่าหน้าตาดูแก่ไปสักหน่อย แต่จริงๆ แล้วอายุยังไม่มาก บอกตามตรง ความรู ้ของเจ้าหนูหลี่ไหวผู้นี้ก็ล้วนเป็ นข้าที่สอนมาเอง กับมือ”
ชายฉกรรจ์นั่งลงบนม้านั่งยาว ขยับก้นตบม้านั่งข้างกายตัวเอง “แม่นางมานั่งนี่สิ ไม่ต้องเกรงใจ ถือเสียว่าเป็ นบ้านของตัวเอง นั่ง พวกเราสองคนมานั่งคุยกันเถอะ”
แม้ว่านางจะสวมหมวกคลุมปกปิ ดใบหน้า แต่เรือนกายอรชน อ้อนแอ้น บุคลิกนุ่มนวลอ่อนหวานของนาง เจิ้งต้าเฟิงมั่นใจได้เลยว่า ขอแค่มีเรือนกายเช่นนี้ก็ไม่ต้องดูหน้ากันแล้ว!
เห็นว่าแม่นางคนนั้นน่าจะเขินอายเพราะเห็นชายงาม เจิ้งต้าเฟิง จึงยกชายชุดกว้าตัวยาวขึ้น นั่งไขว่ห้าง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าผู้แซ่เจิ้ง ก็เป็ นบัณฑิตเหมือนกัน ชีวิตนี้ชอบท่องเที่ยวไปในภูเขาต ารา บางครั้งเจอประโยคไพเราะหัวใจก็เคลิบเคลิ้ม แล้วนับประสาอะไรกับ คนงามที่รูปโฉมดุจหยกเช่นนี้”
ดูสิดู รูปโฉมนี้ของข้า การพูดจาเช่นนี้ของข้าทาให้แม่นางจาก ต่างถิ่นอึ้งตะลึงไปทันทีเลย
หลี่ไหวอ่านจดหมายที่หูเฟิ งส่งมาให้เรียบร ้อยแล้ว ได้ยินเสียง ความเคลื่อนไหวด้านนอกก็เดินออกมาจากประตูห้องด้านข้าง ยิ้ม พูดขัดคอว่า “ท าไมเจ้าไม่บอกว่าคอยเช็ดอึเช็ดฉี่เลี้ยงดูจนข้าเติบ ใหญ่มาล่ะ”
หากจะพูดกันแบบนี้จริงๆ อันที่จริงก็ไม่ผิด ตอนเด็กหลี่ไหวสนิท กับเจิ้งต้าเฟิงที่สุดจริงๆ เขามักจะแบกหลี่ไหวขึ้นหลังไปกลับระหว่าง บ้านบรรพบุรุษทางทิศตะวันตกกับร ้านยาตระกูลหยางเสมอ
เจิ้งต้าเฟิงร ้อนใจทันที “ข้าอายุมากขนาดนั้นเสียที่ไหน คือหนุ่ม น้อยอ่อนเยาว์ที่เพิ่งจะอายุสามสิบต้นๆ เท่านั้น….”
เหวยไท่เจินรับมือไม่ถูก
โชคดีที่อีกฝ่ ายเพียงแค่ปากหวานลื่น แต่มือไม้ไม่ได้ยุ่มย่าม ไม่อย่างนั้นนางคงได้แต่สะบัดฝ่ามือตบเข้าให้แล้วจริงๆ
หลี่ไหวช่วยแนะนาให้พวกเขารู ้จักกันอย่างมาดร ้าย “เทพธิดา เหวย เขาชื่อเจิ้งต้าเฟิงข้าเรียกเขาว่าท่านอาเจิ้งมาตั้งแต่เด็ก หากนับ กันตามล าดับอาวุโส เขาคือศิษย์น้องของท่านพ่อข้า เมื่อก่อนทางาน อยู่ในร ้านยาแห่งนี้ ภายหลังท่านปู่หยางรังเกียจที่เขาเกียจคร ้านวันๆ ไม่รู ้จักทาอะไรเป็ นการเป็ นงาน หากไม่เล่นหมากล้อมกับคนอื่นริม ทางก็มักจะไปเดินเล่นเตร็ดเตร่ที่เตาเผามังกร ท่านปู่หยางโมโหมาก ก็เลยไล่เขาออกไป ท่านอาเจิ้งยังเคยรับหน้าที่เป็ นคนเฝ้ าประตูทาง ทิศตะวันออกของเมืองเล็กด้วย ตัวเขาถือว่าเป็ นคนดีอยู่”
เจิ้งต้าเฟิงดวงตาเป็ นประกายวาบ “แม่นางแซ่เหวยหรือ? เหวยที่ แปลว่าเรียนหนังสือด้วยความขยันหมั่นเพียรใช่หรือไม่? เป็ นแซ่ที่ดี เลยนะ! แล้วนับประสาอะไรกับทีในต าราก็เขียนประโยคที่ว่า “ลมพัด กระโชกแรง (ต้าเฟิ ง) จนต้นไม้ใหญ่ในวัดกานเฉวียนถูกถอนราก ถอนโคนหลายสิบเหวย (หนึ่งเหวยประมาณหนึ่งเมตรกว่า) นี่คือบุพ เพวาสนา นี่แสดงให้เห็นข้าว่ากับแม่นางเหวยมีบุพเพวาสนาต่อกัน จริงๆ!”
เหวยไท่เจินกึ่งเชื่อกิ่งกังขา ยากมากที่จะมีตาราแบบนี้และมี ประโยคเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?
หลี่ไหวชี้ไปทางห้องเก็บฟืน เอ่ยว่า “ท่านอาเจิ้ง เมื่อครู่นี้สือหลิง ซานบอกว่าท่านปู่ หยางล้วนยกของทั้งหมดที่อยู่ในห้องเก็บฟืนให้กับ ข้า ข้าไม่มีที่ให้เอาไปเก็บ ไม่สู้มอบให้ท่านท่านมาขนพวกมันไป?”
เจิ้งต้าเฟิงมีบ้านดินเหลืองหลังหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกสุดของ เมืองเล็ก ไม่ได้สนิทสนมกับสือหลิงซานถึงขั้นนั้น แต่หลี่ไหวกลับเห็น เจิ้งต้าเฟิงเป็ นผู้อาวุโสในตระกูลของตัวเองมาโดยตลอด เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่เป็ นการจัดการของอาจารย์
เจ้ากล้ามอบให้ แต่ข้าไม่กล้าไว้รับหรอกนะ” หลี่ไหวกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็วางไว้ที่นี่ก่อน”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ายิ้มเอ่ย “แบบนี้ย่อมดีที่สุด” หลี่ไหวถาม “มาที่นี่ได้อย่างไร?” เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “มีบัณฑิตกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู ้จักมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว ข้าขี้ขลาดก็เลยให้นักพรตเซียนเว่ยรับรองแขกแทน” หลี่ไหวถามอย่างสงสัย “อะไรนะ?”
เจิ้งต้าเฟิ งไม่ยินดีจะพูดมากในเรื่องนี้ จึงเปลี่ยนเรื่องถามว่า “นักพรตเนิ่นหายไปไหน?”