กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1047.2 สุดท้ายความฝันงดงามก็กลายเป็ นจริง
หลี่ไหวกล่าว “เขาไปที่ใบถงทวีปแล้ว บอกว่าเฉินผิงอันเชิญให้ เขาออกจากภูเขาด้วยตัวเอง ต้องไปทาเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่หากขาด เขาไปก็จะไม่ส าเร็จ”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าก็เชื่อจริงๆ หรือ?”
หลี่ไหวยิ้มเอ่ย “ย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องอย่างการคุย โวไม่ต้องร่างค าพูดประเภทนี้ จะคิดจริงจังไปทาไม แค่ฟังแล้วก็ปล่อย ผ่านไปเท่านั้น”
เจิ้งต้าเฟิงยกนิ้วโป้ งให้ “หัวใจกว้างขวางย่อมรองรับความสุขได้ ดี”
หลี่ไหวถาม “ซูเตี้ยนล่ะไปไหน?”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “นางออกเดินทางไกลแล้ว เพราะได้พึ่งใบบุญ ของเจ้า ก็เลยไปหาศิษย์พี่ อยู่ในวงการขุนนางของราชสานักหากมี คนรู ้จักก็เป็ นขุนนางได้ง่าย ท่องอยู่ในยุทธภพมีศิษย์พี่ร่วมสานักที่มี ชื่อเสียงเป็ นที่พึ่ง หากคิดจะหยัดยืนอยู่ในต่างบ้านต่างเมืองก็น่าจะ ง่ายแล้ว”
หลี่ไหวถามอย่างสงสัย “ซูเตี้ยนไปหาศิษย์พี่แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า ด้วย?”
เจิ้งต้าเฟิ งหัวเราะร่วน “สวรรค์กล่าวไว้เช่นไร ชะตาเป็ นเช่นนี้ พูดมากไปก็ไร ้ประโยชน์”
ตรงหน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว
นักพรตเซียนเว่ยเห็นโฉมหน้าของบัณฑิตกลุ่มนั้นอย่างชัดเจน แล้ว ขาสองข้างของคนเฝ้ าประตูภูเขาลั่วพั่วรุ่นที่สองก็เริ่มสั่นเทาแล้ว
คุ้นตา! คุ้นตาเกินไปแล้วจริงๆ! เพราะถึงอย่างไรสถานะนักพรต นั้นเป็ นของปลอม ไม่ได้รับธรรมโองการ แต่เหนียนจิ่งกลับเคยอ่าน ต าราของอริยะปราชญ์อย่างจริงจังมาก่อนหลายปี
จะไม่คุ้นตาได้อย่างไรเล่า ศาลบุ๋นในอ าเภอ ในเขตการปกครอง ในแคว้นของหนึ่งทวีป ก็เป็ นศาลบุ๋นของเมืองหลวงที่มีจานวน ภาพเหมือนแขวนอยู่มากที่สุด มีปราชญ์ครบทั้งเจ็ดสิบสองท่าน อาเภอและเขตการปกครองในพื้นที่ เนื่องจากศาลบุ๋นมีขนาดไม่ใหญ่ ภาพเหมือนที่แขวนไว้จึงมีน้อย ส่วนใหญ่นอกจากภาพของ ปรมาจารย์มหาปราชญ์ หลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งและเหวินเซิ่งแล้ว ก็จะแขวน ภาพเหมือนสิบภาพไล่มาตามอันดับ เรียกว่าสิบศิษย์เอกแห่งศาลบุ๋น
บัณฑิตสี่คนแรก วันนี้พร ้อมใจกันมาที่ตีนเขา เซียนเว่ยเห็นแล้ว ก็จ าพวกเขาได้ทันที
บัณฑิตสวมชุดผ้าฝ้ ายที่ตรงเอวห้อยกระบวยตักน้า
เต้าหลิน นามว่าหรานจวิน คือผู้น าแห่งเจ็ดสิบสองปราชญ์ผู้มี เทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋นเล่าลือกันว่าคนผู้นี้คืออริยะปราชญ์คนแรกที่ ได้ครอบครองตัวอักษรแห่งชะตาชีวิต
ส่วนบุรุษที่สวมกวานสูงเรือนกายกายา ตรงเอวพกกระบี่เหล็กคน นั้น
โจวกั๋ว นามตวนเจิ้ง เล่าลือกันว่าเป็ นคนที่ติดตามปรมาจารย์ มหาปราชญ์มานานที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ทุกคน ติดตามปรมาจารย์ มหาปราชญ์ออกท่องไปใต้หล้า ท าให้ “นักพรต” ของโลกมนุษย์ยุค บรรพกาลไม่กล้าเปิดปากพูดจาเลวร ้าย
หมิ่นเหมิน นามเซียงจี่ นิสัยอ่อนนอกแข็งใน เข้าสู่มรรคาด้วย ความกตัญญู เชี่ยวชาญในเรื่อง “วรรณกรรม” มากที่สุด
หลีโหว นามจวีจิ้ง มีวาทศิลป์ และความสามารถในการโต้แย้ง บริหารบ้านเมืองได้อย่างมีหลักการ เก่งกาจในเรื่องการหาเงิน ถูก บัณฑิตรุ่นหลังเคารพบูชาเป็ นบรรพจารย์ด้านการค้าของลัทธิขงจื๊อ ปรมาจารย์มหาปราชญ์เคยเอ่ยชมเขาว่า “สามารถสนทนาเรื่อง ‘กวี นิพนธ ์ ได้” และหลีโหวก็เป็ นที่ยอมรับว่าเป็ นลูกศิษย์ที่ปรมาจารย์ มหาปราชญ์ให้ความเคารพนับถือมากที่สุด ไม่มีหนึ่งใน หากโจวกั๋ว ที่ห้าวหาญเก่งกล้าสามารถพูดกับอาจารย์ได้ว่า “เหตุใดต้องอ่าน ต าราก่อนถึงจะเรียกว่าการเรียนรู ้” หลีโหวกลับเอ่ยได้ว่า “ความรู ้ของ อาจารย์สูงส่งลึกล้า คล้ายกับผืนฟ้ าที่มิอาจพาดบันไดเดินขึ้นไปถึง ได้
คงเป็ นเพราะหลีโหวเชี่ยวชาญการทาการค้า ในบรรดาลูกศิษย์ ของปรมาจารย์มหาปราชญ์เขาจึงถือว่าเกี่ยวข้องกับวิถีทางโลกมาก ที่สุด เรื่องเล่าและคาสรรเสริญเกี่ยวกับเขาในตาราที่แพร่หลายของ โลกยุคหลังจึงมีมากที่สุด ต่างก็พูดกันว่าเขาคือบัณฑิตที่นาสิ่งที่ได้ เรียนรู ้มาผสมผสานกับค าพูดและการกระท าได้ดีที่สุด
บัณฑิตสี่คนที่เหมือนเดินออกมาจากม้วนภาพวาดของศาลบุ๋นนี้ ต่างก็เป็ นลูกศิษย์ผู้เป็ นที่ภาคภูมิใจของปรมาจารย์มหาปราชญ์ ล้วน อยู่ในอันดับสิบศิษย์เอกของศาลบุ๋น
หรานจวินแม้ยากจนแต่มีความสุขในวิถีแห่งคุณธรรม จวีจิ้ง ร่ารวยแต่มีมารยาท
วิถีแห่งบุ๋นและบู๊ ไม่ได้ตกลงสู่พื้น แต่อยู่ที่ตัวคน บุ๋นอยู่ที่หมิ่นเห มิน บู๊อยู่ที่ตวนเจิ้ง
หลีโหวยิ้มเอ่ย “พวกเราคงไม่ถูกมองเป็ นพวกนักต้มตุ๋นหรอก กระมัง?”
ที่แท้หลังจากพวกเขามาถึงอาเภอไหวหวงก็ไม่ได้ไปเยือนภูเขา พีอวิ๋นที่อยู่ใกล้หรือภูเขาลั่วพั่ว แต่เกิดความคิดขึ้นมากะทันหัน ไปที่ เมืองหลวงต้าหลีกันมาก่อนรอบหนึ่ง เพราะอยากจะไปดูที่หอเหริ นอวิ๋นอี้อวิ๋นสักหน่อย แล้วค่อยไปเยือนสานักศึกษาขุนชานที่ในอดีต เคยเป็ นส านักศึกษาซานหยา
คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนขวางทางที่ตรอกเล็กเส้นนั้น สุดท้ายยังบอก ด้วยว่าถนนสายนี้ผ่านไปไม่ได้ ขอเชิญทุกท่านกลับไป
เทพเซียนผู้เฒ่านามว่าหลิวเจียกับจ้าวตวนหมิงผู้เป็ นลูกศิษย์ ซุบซิบกันอยู่พักหนึ่งแล้วก็ไม่รู ้ว่าโทสะของก่อก าเนิดเฒ่าผุดมาจาก ไหน ที่แท้ลูกศิษย์ของตนเห็นบัณฑิตทุกคนก็บอกว่ารู ้จักทุกคน ต่าง ก็เป็ นอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปที่อยู่ในภาพเหมือนของศาลบุ๋น จ้าวต วนหมิงพูดจาน่าเชื่อถือบอกว่าตนต้องมองไม่ผิดเป็ นแน่ แรกเริ่มที่ได้ ยินหลิวเจียยังตกตะลึงและใจไม่ดี แต่พอฟังไปถึงช่วงหลังๆ เซียนซือ ผู้เฒ่าก็เริ่มมีโทสะเสียแล้ว นักต้มตุ๋นในเมืองหลวงเดี๋ยวนี้โอหังกันถึง เพียงนี้เชียวหรือ? หากจะบอกว่ามีอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปในต านาน ท่านหนึ่งมาเยือน ไม่แน่ว่าหลิวเจียอาจจะเชื่อจริงๆ มากสุดคือสองคน ผู้เฒ่าคงอดกังขาไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จ แต่มาทีเดียวสี่คน แบบนี้ก็ไม่มีอะไรให้ต้องลังเลกันอีกแล้ว อีกทั้งทุกคนต่างก็เป็ นอริยะ ปราชญ์อันดับหนึ่งในสิบศิษย์เอกของศาลบุ๋น…นี่ออกจะเกินไปหน่อย แล้ว!
พวกเจ้าแต่ละคนเห็นข้าหลิวเจียเป็ นเด็กสามขวบหรือไร ถึงได้ คิดว่าข้าจะหลอกได้ง่ายขนาดนั้น?!
คนทั้งสี่ที่ต้องกินน้าแกงประตูปิดหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน พวกเขาไม่ได้อธิบายอะไร เพียงแค่หมุนตัวเดินจากมา
เซียนซือผู้เฒ่ายังเอ่ยอย่างปลงอนิจจังอยู่ตรงนั้นว่า จริยธรรม ของสังคมเสื่อมถอยลงทุกวัน ผู้คนไม่ยึดถือคุณธรรมดังแต่ก่อน บัณฑิตทุกวันนี้ทาแต่เรื่องเสื่อมเสีย!
เด็กหนุ่มอดไม่ไหวเปิดปากพูดว่า อาจารย์ หากพวกเขาไม่ได้ หลอกเรา แต่เป็ นตัวจริงล่ะ?
เซียนซือผู้เฒ่าลูบหนวดคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะย้อนถามลูกศิษย์ อย่างระมัดระวังว่า คงไม่ใช่กระมัง?
สุดท้ายผู้เฒ่าก็ไม่คิดมากอีกแล้วว่าความจริงจะเป็ นเช่นไร คลี่ ยิ้มสง่างาม หากพวกเขาเป็ นพวกเขาจริง ถ้าอย่างนั้นคาพูดล้อเล่นที่ กึ่งจริงกึ่งเท็จของราชครูชุยก็ถือว่าศักดิ์สิทธิ์จริงแล้ว
ในเมื่อตนได้สมใจปรารถนา ได้พบเจอกับคนโบราณในต ารา ได้เจอกับผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่ไม่ปรากฏตัวง่ายๆ จริงๆ วันหน้าเขา หลิวเจียก็ไม่ต้องอยู่เฝ้ าประตูที่นี่แล้ว
เพียงแต่ว่าก่อนจะออกไปจากตรอกแห่งนี้ควรต้องขอบคุณซิ่วหู ดีๆ สักค า
ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองตรอกที่ค่อนข้างเงียบเหงา คล้ายจะมองเห็น เงาร่างของบัณฑิตเฒ่าสวมชุดสีเขียวจอนผมสองข้างเป็ นสีขาวหิมะ มือหนึ่งถือถั่วลิสง บางครั้งก็โยนเข้าปากหนึ่งเม็ด เคี้ยวอย่างละเอียด พลางเดินมาช ้าๆ ครุ่นคิดเรื่องในใจของตัวเอง มีทั้งเรื่องของบ้านเมือง ทั้งเรื่องของใต้หล้า เดินอยู่บนเส้นทางของโลกมนุษย์ที่ไร ้คนข้างกาย
เพียงล าพังราวกับว่าไม่เคยสนใจเรื่องของการอบรมบ่มเพาะตนดูแล ครอบครัวให้ดีอะไร แต่กลับสามารถปกครองบ้านเมืองปกครองใต้ หล้าได้
นักพรตเซียนเว่ยไม่ได้สงสัยในตัวตนของพวกเขา ในเมื่อพวกเขากล้ามาเยือนภูเขาลั่วพั่วก็ยิ่งเป็ นการยืนยันตัวตน
ของพวกเขาแน่นอนแล้ว ตวนเจิ้งกล่าวอย่างกังขาว่า “เป็ นเขา?”
ศิษย์พี่ใหญ่ได้ให้คาตอบแล้ว บัณฑิตสวมชุดผ้าฝ้ ายประสานมือ คารวะนักพรตผู้นั้นก่อนใคร
บัณฑิตอีกสามท่านก็ประสานมือคารวะนักพรตผู้นั้นด้วยท่าทาง เคร่งขรึมจริงจังตามไปด้วย
เพราะถึงอย่างไรเมื่อหมื่นปี ก่อน หากโลกมนุษย์ไม่มีคนผู้นี้ บุกเบิกเส้นทางให้ก่อนเกรงว่าใต้หล้าในอีกหมื่นปีให้หลังก็คงไม่ใช่ โลกมนุษย์อย่างเช่นทุกวันนี้แล้ว
เซียนเว่ยคนเฝ้ าประตูที่ปักปิ่นไม้บนมวยผมคารวะกลับคืนตาม ขนบลัทธิเต๋าอย่างมึนๆ งงๆ
รอกระทั่งเฉินผิงอันมาปรากฏตัวอยู่ข้างกาย เซียนเว่ยก็รู ้สึกโล่ง ใจได้ทันที ที่แท้พวกเขาก็คารวะเจ้าขุนเขานี่เอง
บนขั้นบันไดเส้นทางภูเขาที่ทอดยาวสู่ยอดเขาจี้เซ่อ เด็กชายชุด เขียวถูกเฉินชิงหลิวลากให้มานั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปรับรองแขกที่ตีน เขา
ซินจี้อันที่ก่อนหน้านี้ออกเดินทางท่องเที่ยวเพิ่งจะกลับมายังภูเขา ลั่วพั่วได้ไม่นานนั่งอยู่ด้านข้าง
ห่างไปไกลมีขุนนางผู้เรียบเรียงต าราของภูเขาลั่วพั่วนั่งอยู่ เด็กชายผมขาวตื่นเต้นเป็ นที่สุด บนหน้าหนังสือของตาราลาดับ เหตุการณ์ประจาปีในวันนี้ มีน้าหนักมากพอเหลือแหล่!
เฉินหลิงจวินมีความรู ้สึกว่าแขกกลุ่มที่อยู่ตรงตีนเขา มองแล้ว คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่กลับจ าไม่ได้ว่า เคยเห็นมาจากที่ไหน
เฉินหลิงจวินใช ้ศอกกระทุ้งพี่น้องที่รักที่นั่งอยู่ข้างกาย ถามเสียง เบาว่า “สหายของเจ้าหรือ?”
เฉินชิงหลิวยิ้มเอ่ย “สูงเกินกว่าจะอาจเอื้อม”
เฉินหลิงจวินกล่าว “นายท่านของข้าลงจากภูเขาไปต้อนรับแขก ด้วยตัวเองแล้ว ข้านั่งเป็ นเพื่อนเจ้าอยู่ที่นี่ดูไม่ค่อยเหมาะกระมัง?”
เฉินชิงหลิวหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าไม่ใช่บัณฑิตเสียหน่อย จะไป ทาอะไรที่นั่น จะไปพูดคุยเรื่องวิชาการกับคนเขาหรือ?”
เฉินหลิงจวินไม่ชอบใจทันใด “เจ้าก็เรียกตัวเองว่าเป็ นปัญญาชน สุภาพนอบน้อมอย่างภาคภูมิใจมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ ท าไมไม่ไป ร่วมวงความครึกครื้นสักหน่อย จะดีจะชั่วก็ให้คนเขาคุ้นหน้าคุ้นตา บ้างเล่า?”
เฉินชิงหลิวยิ้มตาหยี “ข้าผ่านช่วงเวลาที่ต้องแนะน าตัวเองกับ ใครมานานแล้ว”
ซินจี้อันพยักหน้ายิ้มกล่าว “นับตั้งแต่วันแรกที่สหายเฉินออก จากพื้นที่มงคลบ้านเกิดมาก็เคยตั้งกฎกับตัวเองไว้ข้อหนึ่ง จะไม่เข้า ร่วมงานเลี้ยงสุราน่าเบื่อที่ต้องแนะนาว่าตัวเองชื่อแซ่อะไรกับคนอื่น เด็ดขาด ดูเหมือนว่าเคยมีข้อยกเว้นแค่ครั้งเดียว ก็คือตอนที่เจอกับ ยอดฝีมือสานักโม่ผู้นั้น?”
เพราะมีเฉินหลิงจวินนั่งอยู่ด้านข้าง ซินจี้อันจึงไม่ได้เปิ ดเผย ตัวตนที่แท้จริงของยอดฝีมือผู้นั้นว่าเป็ นจวี่จื่อแห่งสานักโม่
เฉินชิงหลิวพยักหน้า “หากจาไม่ผิดก็มีข้อยกเว้นแค่ครั้งนั้นครั้ง เดียว เพียงแค่เพราะค าพูดบางประโยคของเขาตรงใจข้ามาก ประโยค นั้นคือ “น้าที่ต้นกาเนิดขุ่นย่อมไม่ใสสะอาดผู้ที่การกระทาขาดความ ซื่อสัตย์ชื่อเสียงย่อมเสียหาย”
เฉินหลิงจวินมองข้ามเนื้อหาที่เป็ นการคุยโวนั้นไปโดยอัตโนมัติ เพียงถามอย่างใคร่รู ้ว่า “พี่จั๋วหลิว เจ้าถึงกับมาจากพื้นที่มงคลหรือ? คงไม่ใช่คนในท้องถิ่นของอุตรกุรุทวีปหรอกนะ?”
เฉินชิงหลิวเผยสีหน้าหวนระลึกถึง พยักหน้ากล่าว “อันที่จริงข้า มาจากพื้นที่มงคลไร ้เจ้าของแห่งหนึ่งของหลิวเสียทวีป”
ซินจี้อันถาม “ลืมถามไปเลย ทุกวันนี้แม่นางเซี่ยคนนั้นอยู่ที่ ไหน?”
ปีนั้นนางได้ติดตามพวกเขาไปเที่ยวเยือนภูเขาห้อยหัวโดยเรียก ตัวเองเป็ นสาวใช ้ของพวกเขาอย่างภาคภูมิใจ วิชาหมัดของนางหนัก หน่วงอย่างยิ่ง
เฉินชิงหลิวยิ้มเอ่ย “ปีนั้นเมื่อทาธุระสาเร็จก็แยกย้ายกันไป นาง ไม่ถูกกับลูกศิษย์ทั้งหลายของข้าก็เลยไปดินแดนพุทธะสุขาวดี ไม่ได้ ข่าวของนางมานานมากแล้วจริงๆ”
เฉินหลิงจวินยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม กดเสียงต่าถามว่า “ใน บรรดาลูกศิษย์ของเจ้ามีคนแซ่เจิ้งอยู่หรือไม่ คนที่เวลาออกจากบ้าน ชอบสวมชุดขาว ตัวสูงมาก มองดูแล้วไม่ใช่คนที่ขาดเงิน”
เฉินชิงหลิวพยักหน้า “คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของข้า แซ่เจิ้ง จริงๆ อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางนับว่ามีชีวิตที่ไม่เลว ส่วนคน อื่นๆ ที่เหลือล้วนไม่เป็ นโล้เป็ นพาย”
เหมือนอย่างพวกหันเชี่ยวเซ่อ หลิ่วเต้าเฉิง เวลาเจอตนยังจะมี หน้ามาเรียกเขาว่าอาจารย์อีกหรือ?
เฉินหลิงจวินวางใจได้ทันใด หากพูดแบบนี้ การที่ตอนนั้นตน เรียกอีกฝ่ายว่าหลานเจิ้งก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทแล้ว
เพียงแต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ไฉนตอนนั้นที่อยู่ ตรงตีนเขา ซิ่วไฉเฒ่ากับห่านขาวใหญ่คล้ายจะคุยกับหลานเจิ้งถูก คอไม่เบา? เพียงแค่เพราะความเกรงใจเท่านั้นหรือ?
เฉินชิงหลิวหลุดหัวเราะพรีด “เจ้าเด็กแซ่เจิ้งผู้นั้นฉลาดมากจริงๆ ปีนั้นข้าไม่กล้าสอนเวทกระบี่ให้เขาด้วยซ้า หลีกเลี่ยงไม่ให้สอนจน ลูกศิษย์ท าให้อาจารย์ต้องอดอยากหิวตาย”
เฉินหลิงจวินตบไหล่ของเฉินชิงหลิว เอ่ยโน้มน้าวว่า “พวกเรา ล้วนเป็ นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ต่างคนต่างรู ้ไส้รู ้พุงกันดี เวลาอยู่ นอกโต๊ะสุราก็คุยเล่นเรื่องไร ้สาระพวกนี้ให้น้อยๆ หน่อย”
ถูกคงโหวที่พอได้เป็ นขุนนางผู้เรียบเรียงตาราของภูเขาลั่วพั่วก็ หางชี้ฟ้ าทุกวันได้ยินเข้า นางคงจะหัวเราะเยาะว่าตนคบสหายที่ทา อะไรพึ่งพาไม่ได้ พูดจาไม่น่าเชื่อถือ แบบนั้นจะไม่ขายหน้าแย่หรอก หรือ
เด็กชายชุดขาวจุ๊ปาก นี่ก็ถือว่ารู ้ไส้รู ้พุงกันดีด้วยหรือ?
สหายจิ่งชิงตัวดี เจ้ารู ้จริงๆ หรือว่าอาจารย์ซินที่พอเจ้าได้เทียบ อักษรสองชิ้นของเขามาแล้วบอกว่า “เขียนตัวอักษรได้ไม่เลว บทกวี ก็นับว่าใช ้ได้ มองดูแล้วมีพลังอ านาจอย่างมาก’ เขาคือใครกันแน่?
แสงสว่างเปล่งวาบในหัวสมองของเฉินหลิงจวิน เพื่อให้ระมัดระวัง ขับเรือได้นานหมื่นปีเขาจึงยื่นมือมาป้ องข้างปาก ถามว่า “เจ้าบอก ความจริงกับข้ามาเถอะ หลานเจิ้งผู้นั้นคงไม่ใช่คนผู้นั้นกระมัง?”
เฉินชิงหลิวหัวเราะฮ่าๆ “แล้วคนผู้นั้นคือใครล่ะ? เพราะแซ่เจิ้ง แถมยังชอบสวมชุดขาวก็เลยต้องเป็ นเจิ้งจวีจงแห่งนครจักรพรรดิขาว อย่างนั้นหรือ?”
เฉินหลิงจวินหัวเราะเสียงดัง ยกมือตบหัวเฉินชิงหลิวไปหนึ่งป้ าบ “พวกเราสองพี่น้องไม่ไปเล่านิทานใต้สะพานหาเงินมาก็ช่างน่า เสียดายจริงๆ”
เสี่ยวโม่ที่สวมหมวกเหลืองรองเท้าเขียวพาเด็กสาวสวมหมวกขน เตียวมาปรากฏตัวด้านข้าง จากนั้นก็นั่งลงบนขั้นบันได้อย่างง่ายๆ
เมื่อครู่ตอนที่อยู่หอบูชากระบี่ เซี่ยโก่วรับรองกับเสี่ยวโม่ว่าจะไม่ มีทางสร ้างเรื่องให้แขกที่มาเยือนต้องกระอักกระอ่วน เจอหน้ากันแล้ว จะต้องแสดงความเป็ นมิตรปรองดองอย่างแน่นอน
อันที่จริงเซี่ยโก่วมีอุบายเล็กๆ เป็ นของตัวเอง ในเมื่อมีคนร ้องงิ้ว หน้าแดงก็ต้องมีคนร ้องงิ้วหน้าขาว นี่ถึงจะเหมาะสม
เพียงแต่ว่ารอกระทั่งเสี่ยวโม่ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล ถึงขั้นที่ว่า ไม่ได้บอกกล่าวกับเฉินผิงอันก่อน เซี่ยโก่วก็ใจอ่อนทันที นางไม่กลัว ว่าเจ้าขุนเขาเฉินที่เป็ นเจ้าบ้านจะวางตัวลาบากแต่กลับตัดใจปล่อย ให้เสี่ยวโม่ลาบากใจไม่ได้
บนชั้นบันไดของเส้นทางภูเขา พวกเขานั่งเรียงกันเป็ นแถว จาก ซ ้ายไปขวา เรียงล าดับกันเป็ นเด็กชายผมขาวที่ถือพู่กันและสมุด เซี่ยโก่วที่เท้าคางด้วยมือข้างเดียวกาลังอ้าปากหาว เสียวโม่ที่วางไม้
เท้าเดินป่าสีเขียวไว้บนหัวเข่า เฉินหลิงจวินที่สงสัยว่าทาไมนังเด็กโง่ หน่วนซู่ถึงยังไม่ปรากฏตัวเสียที เฉินชิงหลิวที่เอาสองมือตบเข่าเบาๆ ซินจี้อันที่ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์ ครู่หนึ่งต่อมาจูเหลี่ยนก็พา เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูมาที่นี่ นั่งลงข้างกายซินจี้อัน
ได้ยินเสียงเตือนในใจของเฉินผิงอัน เว่ยป้ อก็เร่งรุดจากสถานที่ อ่านหนังสือบนภูเขาพีอวิ๋นมายังภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้
หากไม่เป็ นเพราะเฉินผิงอันเคยเตือนไว้ก่อน เว่ยป้ อก็ไม่กล้าเชื่อ ว่าเป็ นความจริง
เว่ยป้ อคารวะบัณฑิตทั้งหลาย คลื่นอารมณ์กระเพื่อมไหว เนิ่น นานก็ยังมิอาจสงบลงได้ ราวกับว่าความฝันที่งดงามได้กลายเป็ น ความจริงในฉับพลัน
บัณฑิตสวมชุดผ้าฝ้ ายตรงเอวห้อยกระบวยตักน้ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถือเทียนท่องราตรีท่ามกลางความมืดมิด คือการกระทาที่มีเหตุผล ฉายาท่องราตรีของเว่ยซานจวินสมชื่ออย่างแท้จริง”
เวยป้ ออึ้งตะลึงไปเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงทุ้มหนัก ทันใด “อาจารย์ต้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เสี่ยวเสิน (เทพน้อย คาเรียก แทนตัวอย่างถ่อมตัว) ก็มีความคิดเช่นนี้อยู่พอดี!”
เฉินผิงอันอึ้งงันพูดไม่ออกไปทันใด ก่อนหน้านี้ข้าพูดปากเปียก ปากแฉะโน้มน้าวเจ้าไปตั้งมากมาย เว่ยซานจวินเจ้าไม่ได้ยินเพราะ ก าลังนอนละเมออยู่หรือ