กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1048.2 สายฝนพร่างพรมเหนือใบอู๋ถง
อู๋โซ่วเคยชินกับภาพเหตุการณ์นี้เสียแล้ว เขาหัวเราะหึหึ คีบเนื้อ ปลาชิ้นใหญ่ยัดใส่ปาก จิบเหล้าสาเกที่รสชาติค่อนข้างจืดจางไปหนึ่ง อึก “ก็ไม่รู ้ว่าเป็ นเจ้าคนผู้ใดที่กินอิ่มว่างงาน จงใจป่ าวประกาศแก่ ภายนอกว่าฮ่องเต้หญิงเหยาจิ้นจือ หวงอีอวิ๋นแห่งภูเขาผูซาน อวี้ เจวี้ยนฟู และยังมีปรมาจารย์ใหญ่หญิงแห่งธวัลทวีปหลิ่วตุ้ยอวี๋ต่างก็ มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ และยังมีเทพธิดาที่ชื่อเสียงความงามระบือไกลอีก สิบกว่าคนที่ต่างก็มาถึงเมืองหลวงแคว้นอวิ๋นเหยียนแล้ว เวลาสั้นๆ เพียงแค่สองเดือนก็มีพวกผู้ฝึกตนที่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวกลุ่มใหญ่ และปัญญาชนของหลายแคว้นรอบแคว้นอวิ๋นเหยียนพากันกรูมาที่นี่”
แม้ว่านับตั้งแต่ที่อู๋โซ่วกลับมาจากสานักกระบี่ชิงผิงจะจงใจแสร ้ง ท าท่าล าพองภาคภูมิใจให้พวกกวอม่านเชี่ยนเห็นอยู่ตลอด
และอันที่จริงตอนอยู่ที่ท่าเรือนอกภูเขา อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นก็มี ท่าทางปรองดองอย่างมาก และน้าชาของท่าเรือชิงซานก็…อร่อยมาก จริงๆ
แต่ไม่รู ้ว่าเหตุใดตอนนี้วลีติดปากของอู๋โซ่วถึงเป็ นค าว่า “ขอให้ ข้าได้พักหายใจหายคอสักหน่อย”
กวอม่านเชี่ยนเคารพนับถือเจ้าขุนเขาเฉินที่มีชาติกาเนิด ยากจนผู้นั้นจากใจจริง ตั้งตัวด้วยมือเปล่า อยู่ในวัยไม่สับสนก็
สามารถสร ้างกิจการบ้านเรือนใหญ่โตถึงเพียงนี้ได้แล้ว มีภูเขาเบื้อง บนหนึ่งแห่งและสานักเบื้องล่างอีกหนึ่งแห่ง
คู่รักบนภูเขาของร ้านผ้าห่อบุญ เถาหงสิงเลื่อมใสในการกระทา ของอิ่นกวานหนุ่มที่กาแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนสตรีออกเรือนแล้ว กลับชื่นชมในความ “กลัวภรรยา” ของเฉินผิงอันมากกว่า
ทุกวันนี้ข่าวลือเล็กๆ บางอย่างเล่าลือกันไปอย่างน่าเชื่อถือ บอก ว่าตอนเช ้าตรู่มักจะมองเห็นเถ้าแก่รองนั่งอยู่หน้าประตูใหญ่ของ จวนหนิงเพียงล าพังอยู่บ่อยๆ
ตรอกเล็กนอกร ้านอาหารมีเด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝกลางหว่างคิ้ว คนหนึ่งเดินผ่านมา เขาสะบัดชายแขนเสื้อเดินดิ่งผ่านหน้าประตูร ้าน ไป แต่จู่ๆ กลับเอนตัวมาด้านหลัง เบิกตากว้างมองเข้ามาในร ้าน ก่อน จะหมุนตัวกลับเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ยิ้มพูดหน้าทะเล้นว่า “คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก มักจะมีความพยายามที่เปล่าประโยชน์ เหมือนคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่สองสามเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น รักษาม้าตาย ประคองจับโคลนเละๆ แกะสลักไม้ผุ โน้มน้าวให้หญิง คณิกาเปลี่ยนแปลงตนเองเป็ นผู้หญิงที่ดี บอกให้นักฆ่าวางมีด ให้ พ่อค้าอย่าหาเงินอย่างหน้าเลือด”
เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในร ้านแล้วก็ตบลงบนไหล่ของเจ้าอ้วนหนักๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง “สหายหลิงเจียว ใจกว้างร่างอ้วน หรือ ถึงได้ยังมีอารมณ์มาหลบดื่มเหล้าอยู่ที่นี่?!”
“สหายหลิงเจี่ยว” ที่ร่างอ้วนฉุแต่กลับชื่อว่าอู๋โซ่ว (โช่วแปลว่า ผอม) ร่างแข็งชื่อ จิตแห่งมรรคาบีบตัวแน่น หันหน้ามามองด้วย ใบหน้าอมทุกข์ ยิ้มแห้งๆ เอ่ยว่า “เจ้าสานักชุย ลมอะไรหอบให้ท่านผู้ อาวุโสมาถึงที่นี่หรือ?”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “เพราะออกห่างมาจากท่าเรือชิงซาน ทุกวันได้
กินดีอยู่ดี ในที่สุดก็คืนสติแล้วหรือ?”
อู๋โซ่วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เจ้าสานักชุยพูดตลกแล้ว”
ชุยตงซานบีบบ่าของเจ้าอ้วนอย่างแรง “พูดตลกหรือ? สหายหลิง เจี่ยวตีวัวกระทบคราด อยากจะพูดว่าข้าเป็ นคนเหยาะแหยะไม่จริงจัง หรือ?”
อู๋โซ่วรีบเอ่ยขออภัย “มิกล้าๆ เข้าใจผิดแล้วๆ”
ชุยตงซานขยับเท้า ยื่นมือไปผลักอู๋โซ่วและกวอม่านเชี่ยนออก จากกันแล้วเบียดตัวเองนั่งลงตรงกลางของม้านั่งยาว
กวอม่านเชี่ยนขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร
เกี่ยวกับ “เด็กหนุ่มชุดขาว” ที่ไม่รู ้ว่าโผล่มาจากไหนผู้ซึ่งเป็ นเจ้า สานักของสานักเบื้องล่างภูเขาลั่วพั่ว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้า ขุนเขาเฉินผู้นี้…ต่อให้จะเป็ นร ้านผ้าห่อบุญที่ข่าวสารว่องไวก็ยังหา เบาะแสใดๆ ไม่พบ ก่อนหน้านี้ไม่นานบรรพจารย์จางจื๋อยังเตือนพวก เขาโดยเฉพาะว่าอย่าได้พยายามไปตามหาเบาะแสเกี่ยวกับรากฐาน
การฝึกตนของ “ชุยตงซาน’ ส าหรับคนผู้นี้ แค่รักษาความเคารพอยู่ ห่างๆ ก็พอ
ดังนั้นวันนี้ซุยตงซานเป็ นคนมาหาเองถึงที่ นอกจากอู๋โซ่วที่เคย เจอกับความยากลาบากซึ่งแอบโอดครวญอยู่ในใจตัวเองแล้ว พวก เถาหงสิงต่างก็รู ้สึกประหลาดใจกันอย่างมาก
“รู ้จักไหม?”
เด็กหนุ่มชุดขาวยกชายแขนเสื้อขึ้น ควักเงินเทพเซียนสาม เหรียญออกมาวางลงบนโต๊ะ
เป็ นเงินสามชนิดของบนภูเขา เงินเกล็ดหิมะ เงินร ้อนน้อย เงิน ฝนธัญพืช
ชุยตงซานยื่นฝ่ ามือออกมา นิ้วสามนิ้วแยกกันดันไว้บนเงินเทพ เซียนหนึ่งเหรียญ ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าพวกเจ้าต่างก็ไม่รู ้จักพวกมัน พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เถาหงสิงยิ้มเอ่ย “เจ้าสานักซุยคิดว่าเป็ นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ เป็ นเช่นนี้เถอะ”
ในเมื่อมีคนบางคนที่แค่พบเจอหน้าก็เหมือนรู ้จักกันมานาน เจอ แล้วถูกชะตาด้วยอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีคนบางคนที่เห็นแล้ว ไม่อยากเจออีกเป็ นครั้งที่สอง ยกตัวอย่างเช่นเจ้าสานักชุยที่แสร ้ง อวดภูมิให้ดูลึกลับซับซ ้อนตรงหน้าผู้นี้
น่าเสียดายก็แต่เจ้าสานักเฉินผู้นั้น ไฉนถึงเอาลูกศิษย์ผู้สืบทอด คนนี้มาเป็ นเจ้าสานักของสานักเบื้องล่างได้
เปลี่ยนเป็ นเผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่ที่ชื่อเสียงดีมากก็ยังดี แต่ก็จริง นะ นางคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว มิอาจก่อตั้งพรรคบนภูเขาได้
ชุยตงซานงอสามนิ้วเคาะลงบนเงินเทพเซียนบนโต๊ะเบาๆ หัวเราะ ร่าเอ่ยว่า “อาจารย์ของข้ายึดมั่นมาโดยตลอดว่าหากอธิบายเหตุผล โดยไม่ยกตัวอย่างก็ไม่ต่างจากอันธพาลที่ท าตัวเหลวไหล ถ้าอย่าง นั้นข้าก็จะยกตัวอย่างให้ฟังแล้วกัน ยกตัวอย่างเช่นพวกเจ้ารู ้จักกับ อาจารย์ฟ่ าน แต่อาจารย์ฟานกลับไม่รู ้จักพวกเจ้า ถ้าอย่างนั้นพวก เจ้ากับอาจารย์ฟานก็ไม่ถือว่ารู ้จักกัน ถูกไหม? นี่ก็หลักการเดียวกัน”
กวอม่านเชี่ยนพูดกลั้วหัวเราะเสียงหยัน “ทาไม เงินเทพเซียน สามเหรียญนี้รู ้จักเจ้าสานักชุยหรือ?”
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อเก็บเงินเทพเซียนมาไว้ในชายแขน เสื้ออีกครั้ง “ช่างเถิดเปิดคุยกับไก่ สอนพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ หากจางจื๋ ออยู่ที่นี่ด้วย คาดว่าเขาน่าจะฟังเข้าใจ”
ในบรรดาลู่หยางมู่เค่อเจ็ดกลุ่มที่เริ่มลงจากภูเขามาหา ประสบการณ์ได้รวมบุรุษที่มีฉายาว่าซงจือเอาไว้ด้วย พวกเขาเลือก สถานที่ต่างๆ ในทวีปเพื่อลงหลักปักฐาน
ได้ยินมาว่าอาจารย์ฟ่ านของสานักการค้าขึ้นเขาไปด้วยตัวเอง เพื่อโน้มน้าวให้ลู่หยางมู่เค่อกลุ่มนี้ละเมิดกฎบรรพบุรุษออกมาจาก ภูเขา
อันที่จริงร ้านผ้าห่อบุญก็ดี ลู่หยางมู่เค่อก็ช่าง
ในสายตาของชุยตงซานแล้วก็เป็ นแค่การตัดเย็บชุดแต่งงานให้ คนอื่นเท่านั้น
คาว่า “คนอื่น” ที่ว่านี้มีสองคน
หนึ่งคือบรรพบุรุษสานักการค้า อาจารย์ฟ่าน
สองคือหลิวจวี้เป่ าเทพเจ้าแห่งโชคลาภธวัลทวีปที่ทาการค้าไป ทั่วหล้า
การประชุมในศาลบุ๋นคราวก่อน ในที่สุดหลี่เซิ่งก็เปิ ดปากพูด เท่ากับเป็ นการเปิดตราผนึกชั้นหนึ่งออก
เป็ นเหตุให้เหล่าบรรพบุรุษของเมธีร ้อยสานัก นับแต่วันนี้ไปจะ สามารถฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงได้โดยที่ไม่มีคอขวดใดๆ อีก
สุดท้ายความสูงจะสูงเท่าไร มหามรรคาจะใหญ่เท่าไรก็อาศัยแค่ ความสามารถของแต่ละคนเท่านั้น
หลัวจินยิ้มเอ่ย “หากสานักกระบี่ชิงผิงมียอดฝีมืออย่างเจ้าสานัก ชุย ภูเขาลั่วพั่วที่ข้ากับสามีคิดถึงค านึงหามานานหลายปี ไม่ไปก็คง ไม่เป็ นไร”
ชุยตงซานสะอึกอึ้ง ดีนักนะ ถึงกับถูกสตรีผู้หนึ่งบีบคั้น รังแกที่ข้า ให้ความเคารพอาจารย์เป็ นที่สุดก็เลยยกอาจารย์ออกมาข่มขู่ข้า อย่างนั้นหรือ?
ดี ข้ากลัวแล้ว
เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้ก็เป็ นพันธมิตรกันครึ่งตัว ถ้าอย่างนั้นก็ ควรปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ จะพูดจากับพวกเจ้าอย่าง ตรงไปตรงมา เอ่ยประโยคที่เป็ นความจริงซึ่งต่อให้พวกเจ้าจ่ายเงินก็ หาซื้อมาไม่ได้ก็แล้วกัน
“การค้าบางอย่างถูกก าหนดมาแล้วว่ามิอาจหาก าไรก้อนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นเสบียงอาหาร”
“รู ้ว่าร ้านผ้าห่อบุญอย่างพวกเจ้าต่างก็มีเงินกันมาก แล้วจางจื๋อ ยังรู ้จักวางตัว ไฉนทุกวันนี้ถึงยังคว้าอักษรจงมาไม่ได้เล่า? พวกเจ้า ไม่คิดว่าแปลกบ้างหรือ?”
“ผิดก็ผิดที่คนรุ่นก่อนไม่มีคุณธรรม คนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าถึง ได้ต้องเดือดร ้อนไปด้วย จ าได้ว่าบุคคลอันดับสองของร ้านผ้าห่อบุญ พวกเจ้าในอดีตหาเงินอย่างดุดันยิ่งนักความสามารถสูงเกินไป ไม่ว่า เงินแบบไหนก็กล้าหา ผลคือถูกศาลบุ๋นจดลงบันทึก คนผู้นี้ถูกจางจื๋อ ตัดชื่อทิ้งไปนานแล้ว ดังนั้นไม่แน่เสมอไปว่าพวกเจ้าจะเคยได้ยินชื่อ ของเขา น่าสงสารจางจื๋อ ไม่ว่าภายหลังจะแก้ไขชดเชยเรื่องนี้อย่างไร ไม่ว่าเขาจะไปที่สวนกงเต๋อด้วยตัวเองเพื่อหาช่องทางอย่างไรก็ล้วน
ไม่ส าเร็จ ผลคือไม่ได้พบหน้าเจ้าลัทธิหลักรองทั้งสามท่านของ ศาลบุ๋นเลยสักคน เรื่องทานองนี้ถือเป็ นเรื่องน่าอายในบ้านที่ไม่ควร แพร่งพรายออกไปข้างนอก จางจื๋อต้องไม่สะดวกจะเปิดปากแน่นอน ดังนั้นพวกเจ้าก็น่าจะไม่รู ้สินะ?”
“นี่เรียกว่าใจไม่แข็งพอก็หาเงินไม่ได้ ใจอามหิตเกินไปก็รักษา เงินไว้ไม่อยู่ ล าบากคนท าการค้าอย่างพวกเจ้าแล้วจริงๆ ทรัพย์สิน เงินทองที่ผ่านมือเหมือนน้าไหล พรวดๆๆ ไหลมา พรวดๆๆ ไหลไป”
“มีแค่การเดินทางไปเยือนศาลบุ๋นครั้งสุดท้ายเท่านั้นที่ไม่ถือว่า จางจื๋อไปเสียเที่ยว ได้ฟังค าตักเตือนจากจิงเซิงซีผิงตอนอยู่หน้าประตู สวนกงเต๋อ คนรุ่นก่อนปลูกต้นไม้คนรุ่นหลังได้อาศัยร่มเงา”
“ดังนั้นหลายปี มานี้ร ้านผ้าห่อบุญมีการค้าอยู่หลายอย่างที่ ขาดทุนมาโดยตลอด ต้องชุดเชยเอาจากเส้นทางการทาเงินเส้นอื่น แล้วก็มีการค้าอยู่หลายอย่างที่แม้จะแตะต้องก็ยังแตะต้องไม่ได้”
“ยังดีๆ ไม่เสียแรงที่บรรพจารย์จางจื๋อของพวกเจ้าอดทนต่อ ความยากลาบาก เป็ นดั่งลูกสะใภ้ที่ต้องทนรับความอยุติธรรมมานาน หลายปี ในที่สุดก็ทนจนกลายมาเป็ นแม่สามีได้แล้ว ใช ้เงินฝนธัญพืช แค่สามพันเหรียญก็แลกชื่อเสียงที่ดีมาได้ คุ้มค่า!”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นี่จะนับเป็ นอะไรได้ แม้แต่ เหล่าไท่จวินที่มีคุณธรรมมีชื่อเสียงสูงส่งของพวกเจ้าคนนั้น เรื่องใน อดีตที่มีกับเหวยเซ่อแห่งธวัลทวีป ในอดีตนางฝันว่าได้ไปเยือนถ้า
สวรรค์อิงฮวา ถือว่าหากไม่ตีกันก็ไม่ได้รู ้จักกันกับเหวยเซ่อที่ปล่อย จิตหยินออกเดินทางไกล แต่ไฉนสุดท้ายถึงกลายเป็ นว่าให้ตายก็ไม่ ไปมาหาสู่กันอีกน่าเสียดายที่ไม่อาจผูกสมัครเป็ นคู่บาเพ็ญเพียร ใน เมื่อรู ้แล้ว กลัวหรือไม่? ถามพวกเจ้าว่ากลัวหรือไม่?”
กวอม่านเชี่ยนสะอึกอึ้งไปทันใด แม้กระทั่งลูกศิษย์สายผู้สืบทอด ดั้งเดิมของสกุลกวออาเภอจวิ้นเชี่ยนอย่างเขาก็ยังแค่เคยได้ยินข่าว ลือเล็กๆ น้อยๆ มาอย่างไม่ปะติดปะต่อ ไม่ค่อยเหมือนกับสิ่งที่เจ้า สานักชุยเล่ามา ในตระกูลต่างก็พูดกันว่าผู้ฝึ กตนใหญ่ที่บอกว่า ตัวเองเป็ นเจ้าแห่งยอดเขาเจ็ดสิบสองแห่งท่านนั้นหลงรักเหล่าไท่จวิน ของบ้านตนตั้งแต่แรกเห็น แต่ปีนั้นทางตระกูลกาลังเจอกับช่วงคลื่น มรสุม เหล่าไท่จวินไม่ยินดีจะทิ้งเรื่องเละเทะเอาไว้แล้วตัวเองแต่งงาน ไกลไปอยู่ทวีปอื่น ตอนนั้นเหวยเซ่อที่เป็ นขอบเขตบินทะยานแล้วก็ยิ่ง ไม่อาจแต่งเข้าสกุลกวอจวิ้นเซี่ยน ถึงได้ทาให้การแต่งงานบนภูเขา ครั้งนี้มิอาจสมบูรณ์แบบได้…
ส่วนถ้าสวรรค์อิงฮวาที่ไม่เคยมีเจ้าของแห่งนั้น คือสถานที่ ทิวทัศน์งดงามที่มีชื่อเสียงมากบนภูเขา เพราะความเร็วในการไหลริน ของแม่น้าแห่งกาลเวลาต่างจากโลกภายนอกเป็ นเหตุให้ความเร็วใน การบ่มเพาะและเติบโตของวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้ าดินอยู่เหนือกว่า พื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลแห่งอื่น
ก็ไม่แปลกที่จะมีผู้ฝึกตนใหญ่วิจารณ์สถานที่แห่งนี้ว่า “แค่พื้นที่ เล็กๆ แห่งนี้ ใส่ปุ๋ ยรดน้าลงไปเล็กน้อย สิ่งที่งอกและเติบโตก็มีแต่ก้อน เงินก้อนทอง”
“อยู่กับจางจื๋อ สามวันหิวเก้ามื้อ แม้แต่เก้าอี้ในศาลบรรพจารย์ ของส านักอักษรจงก็ยังไม่มีให้นั่ง จะมีความหมายอะไร ตอนนี้ที่สานัก ของข้าก าลังต้องการคนพอดี ยังขาดคนที่มีความสามารถอยู่มาก ข้ารู ้สึกว่าพวกเจ้าทั้งหลายต่างก็มีความสามารถ ไม่สู้ร่วมมือกับข้า อย่างจริงใจ ฝันฝ่ าอุปสรรคขวากหนาม…ไม่พูดเรื่องไร ้สาระพวกนี้ แล้ว เอาเป็ นว่าแค่ประโยคเดียวที่ตรงไปตรงมาที่สุด พี่ชายทั้งหลาย จะมาร่ารวยเงียบๆ ไปด้วยกันหรือไม่?”
อู๋โซ่วตามองจมูกจมูกมองใจ ไม่เอ่ยอะไรสักค า
นี่คือมังกรข้ามแม่น้าปะทะงูเจ้าถิ่นใช่หรือไม่?
สรุปแล้วเป็ นคาสั่งของอิ่นกวานหนุ่มหรือเป็ นเจ้าสานักชุยที่ ตัดสินใจเองโดยพลการ?
เถาหงสิงมองสบตากับกวอม่านเชี่ยน สีหน้าพวกเขาต่างก็ เคร่งเครียด ผู้ที่มาเยือนมีเจตนาไม่ดี ผู้ที่มีเจตนาดีไม่มาเยือน? ไม่ ทันระวังขึ้นเรือโจรมา เจ้าของเรือก็เริ่มได้คืบจะเอาศอกแล้ว?
ทันใดนั้นบรรยากาศพลันเคร่งเครียด ยังคงเป็ นหลัวจินที่ทาลาย ความเงียบด้วยการเปิ ดปากถามก่อนว่า “เจ้าส านักชุยพูดเล่นอยู่ หรือ?”
“ใช่แล้ว! แน่นอนน่ะสิ ไม่อย่างนั้นการที่ข้าขุดมุมกาแพงอย่าง เปิดเผยเช่นนี้จะเข้าท่าแล้วหรือ?”
ชุยตงซานพยักหน้า “น้องชายก็แค่เห็นว่าพวกเจ้าทั้งไม่ขยับ ตะเกียบกินอาหาร แล้วก็ไม่ดื่มเหล้า ก็เลยอยากจะหาเรื่องสนุกทา เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนอย่างไรล่ะ”
ในใจของพวกกวอม่านเชี่ยนมีความคิดอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน โดยไม่ได้นัดหมายสมองของคนผู้นี้มีปัญหาหรือ?
อู๋โซ่วน่าจะพอเดาความคิดของเพื่อนร่วมงานทั้งหลายได้ พวก เจ้าเพิ่งจะรู ้หรือว่าเจ้าส านักชุยต้องไปหาหมอรักษาอาการป่วยน่ะ
ชุยตงซานไม่ถือสาพวกเขา กล่าวว่า “ข้าคงไม่มานั่งกินเปล่าดื่ม เปล่าแล้ว พูดถึงแค่ปลาเผาสาหรับสี่คนจานนี้ มีคนที่กินด้วยเพิ่มมา คนหนึ่ง พวกเจ้าไม่ถือสา แต่ข้ากลับเกรงใจวันนี้ข้ามาที่นี่ก็เพื่อ ปรึกษาเรื่องหนึ่งกับพวกเจ้า ไม่ต้องตื่นเต้น เป็ นเรื่องที่ใหญ่เท่าเมล็ด งาเท่านั้นเอง พวกเจ้าต่างก็เป็ นคนไม่อ้อมค้อม ข้าเองก็เป็ นคนจริงใจ ที่มีอะไรก็พูดอย่างนั้น ใช ้เวลาไม่นานก็คงจะเจรจากันเสร็จ เรื่อง เล็กน้อย สามารถอ้อมผ่านจางจื๋อไปได้ ยกตัวอย่างเช่นวันหน้าข้าว ของที่ภูเขาของข้าขายให้กับภายนอก ร ้านผ้าห่อบุญที่สร ้างไว้ใน สถานที่ต่างๆ เลียบลาน้าใหญ่ของใบถงทวีป มีร ้านหนึ่งก็นับร ้านหนึ่ง จะต้องหาชั้นสาหรับวางขายของให้ข้าโดยเฉพาะสี่ห้าชั้น ได้กาไรมา เท่าไรก็เท่านั้น ทางร ้านมิอาจหักส่วนแบ่งได้ ล้วนเป็ นสมบัติพิทักษ์ ร ้านที่ทาให้คนเห็นแล้วละสายตาไปไหนไม่ได้ สองขาขยับก้าวเดินไม่
ออกของชั้นเลิศที่ใช ้เปิดประตูร ้านจะช่วยดึงดูดผู้คนมาให้พวกเจ้าได้ สักกี่มากน้อยเชียว?! แน่นอนว่าพวกเจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า ล้วนเป็ น สหายที่แค่เห็นหน้าก็เหมือนรู ้จักกันมานานพูดถึงเงินจะท าร ้าย ความรู ้สึกกัน หากพวกเจ้าจะมอบเงินมาให้ได้ก็ไม่เป็ นไร ท าร ้าย ความรู ้สึกข้า น้องชายอย่างข้ากลับพอจะฝืนรับไว้ได้”
นี่ก็คือเก็บค่าคุ้มครองจากร ้านผ้าห่อบุญในใบถงทวีปของพวก เราอย่างเปิดเผย?
“อีกอย่าง ในเมื่อร ้านผ้าห่อบุญเปิดประตูทาการค้า ทุกวันต้อง ต้อนรับขับสู้ผู้คน เชื่อว่าจะต้องเจอตัวอ่อนผู้ฝึกตนที่คุณสมบัติไม่เลว บ้างแน่ๆ ก็ต้องรบกวนให้ทุกท่านช่วยพูดดีๆ ช่วยแนะน าแทนน้องชาย สักสองสามคา หากว่ามีผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์อายุน้อยก็ยิ่งดีเข้าไป ใหญ่”
“ต่อจากนี้ก็คือข้อที่สามแล้ว แบ่งเป็ นเรื่องที่ต้องระวังเล็กๆ อีก สองสามข้อ ช่างเถอะยืนพูดไม่ปวดเอว ข้านั่งคุยดีกว่า พวกเราดื่ม เหล้าพลางคุยกันไปด้วย…”
เจ้าสานักชุยตัวดี แบบนี้มารดาเจ้าเรียกว่า “มีเรื่องจะปรึกษา” หรือ?
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “เป็ นเพื่อนบ้านกันอย่างปรองดองย่อมดีกว่า อะไรทั้งหมด”
หลัวจินกล่าว “ไม่ต้องพูดเรื่องที่สามแล้ว ตอนนี้ข้าสามารถบอก
กับเจ้าส านักชุยอย่างตรงไปตรงมาได้เลยว่าไม่มีอะไรให้ต้องคุยกัน” ชุยตงซานเอ่ย “ท าการค้าน่ะ อย่าท าอะไรโดยใช ้อารมณ์นักสิ
นั่งลงเปิดราคาสูงเทียมฟ้ าต่อรองราคากัน มีมามีไป นั่นถึงจะสนุก” เถาหงสิงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก” กวอม่านเชี่ยนหัวเราะเสียงเย็น “วันนี้ถือว่าข้าได้เปิดโลกกว้าง
แล้ว” อู๋โซ่วพูดเสียงแข็งอย่างที่หาได้ยาก “เจ้าสานักชุยไม่มีความ
จริงใจมากพอ ยากที่จะคุยกันต่อได้จริงๆ แต่การค้าไม่ส าเร็จ
มิตรภาพยังอยู่ ทุกคนอย่าท าลายความปรองดอง” ชุยตงซานถาม “จะไม่ฟังเรื่องที่สามจริงๆ หรือ?” หลัวจินกล่าว “อย่าท าลายความปรองดองเลย”