กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 1048.8 สายฝนพร่างพรมเหนือใบอู๋ถง
ในสายตาของอู๋อี้ “ผู้ฝึกตนเฒ่า” ที่ขอบเขตสูงพวกนั้นฝึกตนมี ความผิดผลาด เนื้อหนังมังสาและจิตวิญญาณล้วนใกล้เคียงกับไม้ผุ แล้ว กลับเป็ นพวกผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างอายุยังน้อยที่ผ่าน การขัดเกลามาไม่มาก นางยังมีโอกาสที่จะแก้ไขให้พวกเขาได้เดิน ไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง
หลังจากนั้นผู้ฝึ กลมปราณกลุ่มนี้ก็ติดตามบรรพจารย์ตั้งหลิง เดินทางลงใต้มายังใบถงทวีปด้วยกันเพื่อสร ้างกิจการใหม่ ขีดเส้น แบ่งกับจวนจื่อหยางอย่างชัดเจน กาลังจะก่อตั้งพรรคใหม่ในต่างบ้าน
ต่างเมือง
สาหรับผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเขาแล้ว อันที่จริงรู ้สึกมีความสุข มากกว่าความกังวลพรรคใหม่ก่อตั้งขึ้นก็จะมีการเรียบเรียงทาเนียบ ขึ้นใหม่ ว่ากันว่าคนโชคดีส่วนหนึ่งจะสามารถเลื่อนขั้นกลายเป็ นลูก ศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์ตั้งหลิงได้โดยตรง คนบางส่วนที่ไม่มี ตาแหน่งที่นั่งในศาลบรรพจารย์ของจวนจื่อหยางก็มีโอกาสที่จะได้นั่ง เก้าอี้ในพรรคใหม่ เพราะถึงอย่างไรเมื่อมีที่นั่งแล้วก็เท่ากับว่ามีเงิน เทพเซียนที่เป็ นเงินเดือนเพิ่มมาก้อนใหญ่ นี่ก็คือข้อดีที่จับต้อง ได้มากที่สุด
ผู้ฝึกลมปราณแปดสิบกว่าคนติดตามบรรพจารย์เดินทางจาก มาตุภูมิไปยังภาคกลางของใบถงทวีปด้วยขบวนอันยิ่งใหญ่ แล้วมา หยุดอยู่ที่ริมลาคลองหลินเหอ เป็ นการตั้งตัวด้วยมือเปล่าอย่างสมชื่อ แล้วจริงๆ
หากว่าเป็ นสถานที่แห่งอื่นในใบถงทวีป ผู้ฝึ กตนขอบเขต ก่อกาเนิดคนหนึ่งเป็ นผู้นา ได้ครอบครองพรรคบนภูเขาที่มีผู้ฝึกตน เกือบหนึ่งร ้อยคนก็สามารถเลื่อนติดอันดับ “สานัก” ชั้นสูงได้แล้ว
ไม่รู ้ว่าเหตุใดหลังจากที่อู๋อี้เลื่อนเป็ นขอบเขตก่อกาเนิดได้แล้วถึง เอาแต่นึกถึงนักพรตพเนจรที่ปี นั้นสวมชุดเหลืองรองเท้าผ้าป่ าน สะพายกระบี่ถือแส้ปัดฝุ่น
และนั่นเป็ นครั้งแรกที่อู๋อี้ได้เห็นว่าบิดาผู้หยิ่งทระนงให้ความ เคารพผู้ฝึกลมปราณเผ่ามนุษย์อย่างมีมารยาท น่าเสียดายที่ไม่รู ้ชื่อ แซ่ของอีกฝ่ าย และบิดาก็ยิ่งไม่ยินดีที่จะพูดคุยเรื่องรากฐานของคนผู้ นั้นกับนาง
เขาเอ่ยแค่คาทานายที่คล้ายกับปริศนา มีประโยคหนึ่งบอกว่า ใช ้ ร่างกายที่มีขีดกาจัดไปหลอมจวนแห่งเพลิงที่ไร ้ขอบเขตสิ้นสุด
หากไม่เป็ นเพราะเชียวหลวนเทพวารีแม่น้าป๋ ายกู่ที่เป็ นเพื่อน บ้านใกล้เคียงบนภูเขาก็คือดอกพุทธรักษาที่จาแลงมาจากจอกสุราที่ คนผู้นี้ขว้างทิ้งไป หึหึ อู๋อี้ก็ไม่มีทางปล่อยให้นางท าตัวตามแต่ใจแน่
ผู้ที่แนะนาให้อู๋อี้มาช่วยสกุลตู๋กูราชวงศ์จู๋อิ๋งเก่าของแจกันสมบัติ ทวีปก่อตั้งแคว้นที่ริมลาคลองหลินเหอ ก็คือเฉินผิงอันที่ทาตัวเป็ น “แม่สื่อ” ด้วยตัวเอง ตอนนั้นปากของอู๋อี้บอกว่านี่เป็ นเรื่องใหญ่ที่ ส าคัญมาก ขอให้นางพิจารณาให้ดีๆ ก่อน
อันที่จริงก็เป็ นแค่ประโยคที่เอ่ยไปตามมารยาท พิจารณากะผาย ลมอะไรเล่า อยู่ที่แคว้นหวงถิงซึ่งสถานที่เล็กแคบ ยากจะกางมือกาง เท้าได้อย่างเต็มที่แห่งนั้น อย่างมากสุดก็เป็ นได้แค่เจินเหรินผู้พิทักษ์ แคว้น หากจะเข้าไปอยู่ในวงการขุนนางก็ต้องถูกจับมัดรวมกับแคว้น หวงถิง ในวงการขุนนางภูเขาสายน้าที่วกวนอ้อมค้อม คนที่นางต้อง คอยดูสีหน้ามีถมเถไป แล้วยังต้องรักษากฎของราชส านักต้าหลีอีก หรือไม่? เว่ยป้ อซานจวินขุนเขาเหนือที่เอะอะก็จัดงานเลี้ยงท่องราตรี คือตะเกียงประหยัดน้ามันหรือ? หากเขาจัดงานเลี้ยงท่องราตรีอีกครั้ง จะท าอย่างไร?
ส่วนน้องชายที่รับหน้าที่เป็ นเทพวารีแม่น้าหันสือ แต่ไหนแต่ไร เขากับนางที่เป็ นพี่สาวก็แค่รักษาความปรองดองแต่เพียงภายนอก เท่านั้น แน่นอนว่าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันก็ไม่เข้าประตูบ้านบาน เดียวกัน อู๋อี้เองก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองดีไปกว่าอีกฝ่ายสักเท่าไร
ส่วนทางฝั่งของจวนจื่อหยางนั้น คาดว่าทุกวันนี้หวงอู่คงจะดีใจ จนลงไปนอนกลิ้งตลบไปมาอยู่กับพื้นแล้วกระมัง
ในที่สุดก็ได้เป็ นเจ้าจวนจื่อหยางอย่างแท้จริงเสียที เหนือหัวไม่มี บรรพจารย์บุกเบิกภูเขาอยู่ ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะเดินตามรอยเท้าของ เจ้าจวนแต่ละรุ่นที่มักจะปิดด่าน ปิดไปปิดมาคนกลับหายไป
เวลานี้ข้างกายอู๋อี้ยังมี “งูเจ้าถิ่น” อยู่ด้วยหลายตัว รัชทายาท ราชวงศ์จูอิ๋งเก่าที่ใช ้นามแฝงว่าเส้าพอเซียน ผู้ฝึ กกระบี่ขอบเขต
ก่อก าเนิด
เด็กกาพร ้าเหมิงหลง ว่าที่ฮ่องเต้หญิงของแคว้นเล็กในอนาคต
และยังมีผู้ฝึ กตนหญิงที่มีนามว่าสือชิวอีกคนหนึ่ง นางถึงกับ ไม่ใช่แม้กระทั่งขอบเขตถ้าสถิต สามารถมองข้ามไม่ต้องนับได้
อู่อี๋ไม่รู ้ด้วยซ้าว่าเส้าพอเซียนพาตัวถ่วงนี่มาด้วยทาไม ต่อให้เอา มาเป็ นแจกันดอกไม้ก็ไม่รู ้จักหาคนที่หน้าตาดีหน่อย
อู๋อี้เหลือบมองเส้าพอเซียนแล้วพูดด้วยสีหน้าคลุมเครือว่า “ต่างก็ เป็ นคนที่มีชะตาชีวิตรันทดเหมือนกัน มิน่าเล่าถึงมาจับกลุ่มอยู่ ด้วยกันได้”
ราชวงศ์จูอิ๋งเก่าที่เคยตั้งตัวเป็ นผู้พิชิตแห่งภาคกลางของแจกัน สมบัติทวีปก็ช่างโชคร ้ายเหลือเกิน ดันมาเจอกับราชวงศ์ต้าหลีที่ ถึงกับสามารถยึดครองแผ่นดินทั้งทวีปได้
ไม่อย่างนั้นอดีตรัชทายาทอย่างเส้าพอเซียน ต่อให้เนื่องจากการ เดินขึ้นเขาฝึกตนเพราะมีคุณสมบัติในการฝึ กกระบี่ดีเกินไปจึงถูก ก าหนดมาแล้วว่าจะมิอาจสืบทอดราชวงศ์ใหญ่ของสกุลตู๋กูได้ ก็ยัง
สามารถเป็ นจักรพรรดิบนภูเขาที่มีอิสระกว่าฮ่องเต้ล่างภูเขามากนัก เก้าอี้มังกรที่คนล่างภูเขาต้องผลัดเปลี่ยนกันนั่ง แต่เส้าพอเชียนกลับ ตั้งตนเป็ นบรรพบุรุษได้ตลอดเวลา
ส่วนตัวของอู๋อี้เอง นางได้มอบเม็ดกระบี่บรรพกาลหนึ่งเม็ดเพื่อ แลกเปลี่ยนมาด้วยตาแหน่งเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นของแคว้นเล็กก็
ไม่ถือว่าขาดทุนเกินไปนัก
แล้วนับประสาอะไรกับที่ราชวงศ์ใหญ่ก็ล้วนมาจากแคว้นเล็กกัน ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?
ภูตน้าอย่างเผ่าพันธุ์เจียวหลง ความสูงต่าของขอบเขตการฝึก ตนก็ต้องดูที่ว่าชาติก าเนิดดีหรือเลว
ในข้อดีอู๋อี้ได้เปรียบมาตั้งแต่กาเนิด นางถือเป็ นเจียวน้าแต่ ก าเนิด จึงไม่จ าเป็ นต้องผ่านขั้นตอนที่อันตรายยิ่งยวดอย่างการเดิน ลงน้ากลายเป็ นเจียวของเผ่าพันธ ์น้า
หากจะให้ยกตัวอย่างก็เหมือนอู๋อี้มาเกิดในครอบครัวของ จักรพรรดิ
ปัญหานั้นอยู่ที่ว่าเจียวที่บรรลุมรรคาจะต้องเกี่ยวพันกับวิถีทาง โลกอย่างลึกซึ้ง มีทั้งข้อดีและข้อเสีย พูดถึงแค่เหตุการณ์ต่างๆ ที่ ปรากฏในประวัติศาสตร ์ของแต่ละแคว้นในไพศาล โชคชะตาของ แคว้นหนึ่งล่างภูเขาก็จะต้องมีกฎที่ว่า “สามร ้อยปีเจอภัยพิบัติเล็ก แปดร ้อยปีเจอภัยพิบัติใหญ่’ แคว้นหนึ่งได้ครอบครองโชคชะตาแคว้น
ที่สืบทอดยาวนานถึงสามร ้อยปี ก็ไม่ถือว่าสั้นแล้ว ไม่ถือว่าเป็ น ราชวงศ์ที่ชะตาชีวิตสั้นอย่างแน่นอน แต่สาหรับเจียวหลงที่มีอายุขัย ยืนยาวมาตั้งแต่กาเนิดแล้ว เวลาสั้นๆ แค่สามร ้อยปีไม่ถือว่ายาวนาน เลยสักนิด และนี่ก็เป็ นเหตุผลที่ว่าทาไมเฉิงหลงโจวบิดาที่เป็ นเจียว เฒ่าอายุหมื่นปี รวมไปถึงเฉาหย่งอดีตเฉียนถังจ่างถึงได้ไม่ยินดีจะ ย้ายออกจากพื้นที่ประกอบพิธีกรรมไปให้การช่วยเหลือจักรพรรดิใน โลกมนุษย์กันง่ายๆ
หากเกี่ยวพันกับโชคชะตาของแคว้นแห่งหนึ่งลึกล้าเกินไปก็ง่าย ที่จะเจอทัณฑ์สวรรค์ตามไปด้วย
ดังนั้นต่อให้เป็ นคนที่ตบะสูงส่งลึกล้าอย่างเฉิงหลงโจวก็ยังแค่เคย รับหน้าที่เป็ นรองเจ้ากรมพิธีการของแคว้นหวงถิงเท่านั้น เวลาที่ มากกว่านั้นกลับเหมือนคนว่างงานไม่มีอะไรทาออกจากบ้านไปเดิน เล่น ไปสูดอากาศเสียมากกว่า
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงทายาทเจียวหลงที่มิอาจสร ้างโอสถได้ เท่านั้นที่ถึงจะเสี่ยงอันตรายทาเช่นนี้ อีกทั้งยังชอบเลือกราชวงศ์ใหม่ เอี่ยมที่เพิ่งก่อตั้งแคว้นได้ไม่นาน เอาเป็ นว่ายิ่งอยู่ห่างจากขีดจากัด สามร ้อยปีได้นานเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
เส้าพอเซียนยิ้มเอ่ย “ฝ่ าบาทของพวกเราจะช่วยสหายต้งหลิ งแลกเปลี่ยนรายชื่อสาหรับการเดินลงลาน้าใหญ่มาให้เอง”
อู๋อี้กระตุกมุมปาก “การรับรองปากเปล่าเช่นนี้ แค่พูดประโยค ไพเราะชวนฟังไม่กี่คาเป็ นเรื่องง่ายดายนัก”
เส้าพอเซียนกล่าว “ขอแค่สหายตั้งหลิงยินดีออกแรง เกี่ยวกับ รายชื่อที่แน่นอนนี้ข้าสามารถช่วยขอคาตอบที่ชัดเจนมาจากเจ้า ส านักชุยได้”
อู๋อี้ถาม “ไม่ไปหาเฉินผิงอันโดยตรงหรือ?”
เส้าพอเซียนยิ้มเอ่ย “กิจธุระของสานักเบื้องล่างในใบถงทวีปแห่ง นี้ เจ้าขุนเขาเฉินตัดสินใจแล้วว่าจะเป็ นเถ้าแก่สะบัดมือทิ้งร ้าน ดังนั้น ไปหาเจ้าส านักชุยก็พอ”
อู๋อี้ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
เส้าพอเซียนถาม “สหายต้งหลิง คิดชื่อพรรคแห่งใหม่ได้แล้วหรือ ยัง?”
ดวงตาของอู๋อี้เป็ นประกายสดใสเจิดจ้า เอ่ยเน้นหนักว่า “ชื่อว่า จวนฉุนหยางไปก่อนรอให้ข้าเลื่อนเป็ นขอบเขตหยกดิบเมื่อไหร่ก็ควร จะเปลี่ยนเป็ นสานักฉุนหยางได้แล้ว”
……
วันที่แสงแดดเจิดจ้าท้องฟ้ าปลอดโปร่ง
บุรุษผู้หนึ่งสวมชุดเขียวอย่างลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ จอนผมสองข้าง เป็ นสีดอกเลา ในมือข้างหนึ่งถือร่มกระดาษน้ามันเดินเลียบเส้นทาง ภูเขาขึ้นเขาสูงไปช ้าๆ
ข้างกายมีผู้ฝึ กตนอิสระคนหนึ่งที่มาจากธวัลทวีปตามมาด้วย ฉายาของเขาคือชิงมี่ชื่อจริงคือเผิงเซวี่ยเทา สวมชุดหม่างรัดเข็มขัด สีขาว ตรงเอวห้อยเงี่ยน (ชื่ออาวุธโลหะสมัยโบราณชนิดหนึ่งรูป สี่เหลี่ยมยาวไม่มีคม แต่มีสี่แง่ง) เล่มหนึ่ง
เขาเคยชินกับการมีบ้านเป็ นสี่มหาสมุทร ไม่ก่อตั้งพรรค ไม่รับ ลูกศิษย์ ค าว่าสหายบนภูเขาต่างก็เป็ นสหายดื่มสุราที่ทั้งสองฝ่ ายต่าง ก็รู ้ไส้รู ้พุงกันดี
วิชาอสนีของเขาเป็ นสายเฉพาะของตัวเอง
บุรุษที่แต่งกายเหมือนลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหมุนร่มกระดาษน้ามัน ในมือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่เฝิง ไม่เสียใจภายหลังจริงๆ หรือ ไม่เพียงแต่ รับหน้าที่เป็ นผู้ถวายงานประจาตระกูลของสกุลเจียงพื้นที่มงคลถ้า เมฆาพวกเรา แล้วยังยินดีจะกลายเป็ นเค่อชิงอันดับหนึ่งของสานักกุย หยกพวกเราด้วย? อย่าได้ฝืนตัวเองเลยนะ”
เฝิ งเซวี่ยเทายิ้มเอ่ย “สามารถรักษาชีวิตนี้ไว้ได้ ถึงขั้นที่ว่า ขอบเขตไม่ได้ถดถอย ยังมีอะไรที่ข้าไม่พอใจอีกเล่า อย่าว่าแต่ สถานะสองอย่างนี้เลย ต่อให้ไปเป็ นผู้ติดตามของใครคอยปกป้ อง
มรรคาอย่างลับๆ กี่ร ้อยปี ก็ยังไม่นับเป็ นอะไรได้ ไม่มีอะไรให้ไม่ ยินยอม”
พูดไปแล้วก็ละอายใจ ก็เป็ นเขาที่ขอบเขตสูงที่สุดแต่กลับออก แรงน้อยที่สุด
ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานผู้ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังเป็ นเฝิงเซวี่ยเทาที่ มีชาติก าเนิดจากผู้ฝึ กตนอิสระ หลายๆ ครั้งกลับมิอาจยื่นมือเข้า แทรกได้เลย
เพียงแต่ว่าพอถึงช่วงหลัง ต่างฝ่ ายต่างคุ้นเคยกันดีแล้ว เฝิ งเซวี่ย เทาถึงพอช่วยได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ
บนยอดเขามีศาลาอยู่หลังหนึ่งชื่อว่าตีชุ่ย แต่แขวนกรอบป้ ายไว้ อีกแผ่นหนึ่งเป็ นคาว่าสวรรค์สรรสร ้างอย่างพิถีพิถัน
บนยอดเขาที่ตั้งอยู่บนทางลาดหางมังกร เล่าลือกันว่าเคยมีเจ้า แห่งวังมังกรลาน้าใหญ่เคยมาหยุดพักอยู่ที่นี่
เจียงซ่างเจินยื่นมือมาดันตรงจอนผม เอ่ยทอดถอนใจอย่างปลง อนิจจังว่า “ความร่ารวยมีเกียรติ ชื่อเสียงเกียรติยศเงินทอง เป็ นเพียง ฝันงดงามตื่นหนึ่ง ผู้ที่ไม่ได้มีชีวิตยืนเป็ นอมตะ ชีวิตนี้ชาตินี้ก็ยัง เป็ นได้แค่มดตัวน้อยอยู่ดี”
เฝิงเซวี่ยเทายิ้มเอ่ย “น้องเจียงมีคุณสมบัติในการฝึกตนดีขนาด นี้ วันหน้าต้องได้เลื่อนเป็ นขอบเขตบินทะยานอย่างแน่นอน”
ปีนั้นเจียงซ่างเจินยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในยอดเขาจิ่วอี้ซึ่งถูกมองเป็ น “จวนผู้สืบทอด” ของส านักกุยหยกต้องกลัดกลุ้มมิอาจสมดังใจหวัง ถูกผลักไสจนต้องเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปมารอบหนึ่ง
ตอนนั้นเจียงซ่างเจินพูดจาส่งเดชบอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ผู้สืบ ทอดของชิงมี่แห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไปๆ มาๆ ก็มีเทพธิดา ท าเนียบของบนภูเขาจ านวนไม่น้อยถูกเจียงซ่างเจินข่มขู่
เป็ นเหตุให้ทุกครั้งที่ฮว่อหลงเจินเหรินเดินทางไปเที่ยวเยือนทวีป แดนเทพแผ่นดินกลาง ทาธุระสาคัญเสร็จเมื่อไหร่ ขอแค่มีเวลาว่างก็ จะต้องไปร าลึกความหลังกับเฝิงเซวี่ยเทา บอกว่าเจ้ารับลูกศิษย์ได้ดี เลยนะ เขาไปสร ้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ไว้ในอุตรกุรุทวีปของพวกเราแล้ว
ดังนั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร ้าง เขาที่ เรียกตัวเองว่า “เปิงเลอะเจินจวิน” ถึงได้เอ่ยประโยคที่ว่า “ผู้เยาว์มา ช่วยเหลือช ้าไป มีโทษสมควรตาย
เฝิงเซวี่ยเทาถามอย่างใคร่รู ้ “สหายเจียง พวกเราจะไปพบใครที่ ยอดเขาหรือ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “คือสหายรักคนหนึ่งของข้า ตอนนั้นที่ข้ารับ หน้าที่เป็ นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่ว ท่านผู้นี้ได้ออกแรง ช่วยเหลือข้าไว้มาก”
พริบตานั้นบนยอดเขาก็มีเมฆหมอกแผ่อบอวล เฝิงเซวี่ยเทาหรี่ ตาลงทันใด
สรุปแล้วเป็ นเพื่อนคนไหนของเจียงซ่างเจินถึงได้ใช ้วิธีแกล้ง หลอกตบตามาเป็ นวิถีแห่งการรับรองแขกเช่นนี้
เห็นเพียงว่ามีเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกระโดดออกมาจากใน ศาลาบนยอดเขา ชูแขนสองข้างขึ้นสูงแล้วโบกตวัดไปด้านข้าง ข้าง ทางด้านหนึ่งก็มีสาวงามดุจกลุ่มสกุณา บ้างก็ดีดพิณ บ้างก็เป่าขลุ่ย บ้างก็ดีดผีผา…เด็กหนุ่มชุดขาวกระโดดมาข้างหน้าอีกหนึ่งที ยื่น แขนออกไปอีกทางหนึ่งก็มีเทพธิดาที่เป่ าเซียวหยก ดีดคงโหว เคาะ ระฆังหยก ฯลฯ พากันปรากฏ ตัว…
แม้ว่าเฝิ งเซวี่ยเทาจะยังไม่แน่ใจในตัวตนของอีกฝ่ าย แต่เขา มั่นใจเรื่องหนึ่งได้เลยว่าอีกฝ่ ายต้องเป็ นสหายของเจียงซ่างเจิน แน่นอน อีกทั้งยังเป็ นสหายบนภูเขาที่สนิทสนมกันมากอีกด้วย!
คนปกติทั่วไปต้องไม่มีทางจัดขบวนต้อนรับแบบนี้ออกมาได้แน่
เจียงซ่างเจินก้าวเร็วๆ เข้าไปหา ตีมือกับเด็กหนุ่มชุดขาว เอา ศอกยันกัน แล้วต่างคนก็ต่างหมุนตัวเปลี่ยนตาแหน่งกันยืน ก่อนจะ ทาทุกอย่างซ้าอีกรอบ สุดท้ายจึงจับมือกัน ทาทุกอย่างนี้เสร็จในรวด เดียว
“โจวอันดับหนึ่ง! หากเจ้ายังไม่มาอีก ข้าคงต้องข่มกลั้นความ เจ็บปวดเสียใจอย่างสุดแสนเตรียมเป่าแตรให้เจ้าแทนแล้วนะ!”
เจียงซ่างเจินพูดด้วยสีหน้าแข็งที่อ “ไม่มีความจาเป็ นนี้เลยจริงๆ”
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “เจ้าได้รับจดหมายแล้วกระมัง?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “ได้รับแล้ว รู ้แล้วว่าในภูเขามีอาจารย์ เสี่ยวโม่ที่เข้ากับคนอื่นได้ดีมากๆ มาอยู่”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างเจ็บปวดรวดร ้าวใจ “พวกเขาได้ใหม่แล้วลืม เก่า เห็นของใหม่ก็เปลี่ยนใจ แต่ละคนทุกวันนี้พากันโน้มเอียงเข้าหา อาจารย์เสี่ยวโม่หมดแล้ว จะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่ น้องชายอย่าง ข้าเห็นอยู่ในสายตา ร ้อนใจแทบตายอยู่แล้ว ในใจมีแต่ความข่มชื่น ไม่ว่าข้าจะใช ้เหตุผลโน้มน้าวหรือใช ้อารมณ์ท าให้คล้อยตาม พูดถึง ความดีของโจวอันดับหนึ่งซ้าไปซ้ามาอย่างไรก็ยังไม่เป็ นผลเลยสัก นิด”
เด็กหนุ่มชุดขาวทุบตีหัวใจตัวเอง “ข้าเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน”
เจียงซ่างเจินนวดคลึงปลายคาง คือการช่วงชิงบนมหามรรคาอีก ครั้งหนึ่งแล้วหรือ? ไม่รู ้ว่าครั้งนี้จะมีโอกาสชนะหรือไม่
ขุยตงซานถาม “ท่านผู้นี้คือ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “คือสหายร่วมทุกข์ที่ข้านับถือมาเนิ่นนาน ผู้อาวุโสบนภูเขาแห่งธวัลทวีป มีฉายาว่าชิงมี่ เจ้าต้องเคยได้ยินมา ก่อนแน่นอน”
ใบหน้าของขุยตงซานเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “หา? เจ้าก็คือผู้ อาวุโสชิงมีทีพรสวรรค์ด้านเวทอสนีไม่เป็ นรองให้กับจวนเทียนซือ ของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ไปถึงเกาะนกแก้วแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจ
เข้าร่วมการประชุมศาลบุ๋น แล้วยังถูกอาจารย์ลุงจั่วของข้าไล่ฟันไป ตลอดทางแต่ก็ยังฟันไม่ตายผู้นั้นน่ะหรือ?”
สีหน้าเฝิงเซวี่ยเทากระอักกระอ่วน
เจอหน้ากันก็พูดแบบนี้เลยหรือ? เจ้าคิดว่าตัวเองคือกู้ชิงซงหรือ ไร?
แต่สามคาว่า “อาจารย์ลุงจั่ว” ในประโยคนี้ของเด็กหนุ่มชุดขาว กลับมากพอจะท าให้เฝิงเซวี่ยเทาปิดปากเงียบไม่พูดไม่จาแล้ว
ชุยตงซานเอ่ยอย่างมีโทสะ “เจ้าเฒ่ากู้ชิงซงจะนับเป็ นผายลม อะไรได้ เมื่อเทียบกับเฉินหลิงจวินราชามังกรน้อยของภูเขาลั่วพั่ว บ้านข้า และยังมีสหายเฒ่าคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลิวเจียแล้วก็ยังห่างชั้นกัน
ไกลนัก”
เส้นเอ็นหัวใจของเฝิงเซวี่ยเทาขึงตึงทันที เจียงซ่างเจินยิ้มเอ่ย “พี่เฝิง ชินไปแล้วก็ดีเอง”
ชุยตงซานสลายขบวนต้อนรับนั้นทิ้งไป เดินเข้าไปในศาลาแล้ว นั่งลงด้วยกัน
อยู่ดีๆ ชุยตงซานก็โพล่งถามประโยคหนึ่งว่า “เจียงซ่างเจินในทุก วันนี้ไม่เหมือนเจียงซ่างเจินในอดีตแล้ว ไม่รู ้สึกเสียดายบ้างหรือ?”
ดูเหมือนเจียงซ่างเจินจะไม่ประหลาดใจเลยสักนิด เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บอกตามตรงยังมีความไม่ยินยอมอยู่บ้างไม่มากก็น้อยจริงๆ”
ชุยตงซานพยักหน้า โจวอันดับหนึ่งของพวกเรายังคงปฏิบัติต่อ ผู้อื่นด้วยความจริงใจพี่น้องคนดี
เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่มีอะไรหรอก ชีวิตคนเราจะหวัง ให้สมบูรณ์แบบทุกประการย่อมไม่ได้ มีความบกพร่องในความไม่ สมบูรณ์แบบบ้าง ดวงจันทร ์ยังไม่เต็มดวงดอกไม้บานครึ่งๆ กลางๆ ก็
ดีมากไม่ใช่หรือ”
ชุยตงซานใช ้หมัดทุบฝ่ ามือ “ได้ยินค าพูดจากใจจริงของท่านก็ รู ้สึกว่าช่างเป็ นเรื่องที่งดงามเหลือเกิน”
เจียงซ่างเจินนั่ งลงบนราวรั้ว ชุยตงซานก็ท าเลียนแบบ ทอดสายตามองไปยังทิศไกลด้วยกัน
เฝิงเชวี่ยเทานั่งอยู่ในตาแหน่งที่ใกล้กับขั้นบันได ไม่รบกวนการ ร าลึกความหลังของคนทั้งสอง
ผ่านไปไม่นานเท่าไร ฝนเม็ดเล็กก็พร่างพรมลงมาท าให้ฟ้ าดิน ขมุกขมัว
เจียงซ่างเจินกางร่มกระดาษน้ามัน นิ้วมือบิดหมุนด้ามร่ม โยน ออกไปด้านนอก ร่มคันนั้นก็เหมือนดอกไม้ที่ปลิวคว้างหล่นลงในโลก มนุษย์
“ความสุขของผู้มีเมตตาและมีปัญญา อยู่ท่ามกลางก้อนเมฆและ สายน้า”
ชุยตงซานยิ้มอ่อนจางเอ่ยว่า “จิตแห่งมรรคาเป็ นเช่นนี้ สามารถ เดินกร่างได้หมื่นลี้”